ราหู

เราทุกคนมีราหูประจำตัวเมื่อเกิดมา ไม่ใช่สิ่งลึกลับ เพราะราหูถือเหมือนกับดาวพระเคราะห์ดวงหนึ่ง ไม่ใช่สิ่งไกลตัวอีกต่อไป ด้วยการค้นหาเข็มทิศชะตาชีวิตด้วยหลักปรัชญาโหราศาสตร์

ราหูหมายถึงการติดต่อ ความสัมพันธ์ การผูกพัน และการผูกมัด เมื่อนำมาผสมความหมายกับเรือนชะตาและดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ

ราูหูใต้ บอกอดีตชาติ
ราหูเหนือ คือทิศทางชีวิตในชาตินี้ที่ต้องทำให้สมบูรณ์

ก่อนที่ใครสักคนจะก้าวเข้าไปในชีวิตที่เต็มไปด้วยอุปสรรค ตัวช่วยที่ดีที่สุดก็คือ ” การรู้จักตัวเอง ” ซึ่งไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ล้วนดีทั้งสิ้น

โหราศาสตร์ ความสำเร็จทางโลก และจิตวิญญาน
ความพอใจในทางวัตถุไม่เคยเป็นความสุขที่แท้จริง และถาวรในใจมนุษย์ เป็นแต่เพียงสิ่งหลอกลวง ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป และก็ไม่รู้จักพอ ความสุขที่แท้จริงของมนุษย์อยู่ลึกกว่านั้น นั่นคือ ” จิตวิญญาน ” อย่างไรก็ตาม ความต้องการในทางวัตถุบางอย่างก็ยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ เพียงแต่จะบอกว่า ถ้าไม่ได้เต็มก็ไม่มีวันปลดเปลื้อง ..

••••• … ••••• … ••••• … ••••• … ••••• … •••••

…ราหู ผู้เปลี่ยนแปลงดวงชะตา…

ในยามที่บุคคลนั้นอยู่ในภาวะมีปัญหารอบด้านมากมาย..ที่เรียกว่าช่วง” ดวงตก “มักมีดาวบาปเคราะห์โคจรมาทำมุมสัมพันธ์กับดวงชะตาของบุคคลนั้นเสมอ…หนึ่งในดาวบาปเคราะห์ที่ตกเป็นจำเลยในการถูกกล่าวหาก็คือ “ราหู(๘)” ด้วยเหตุเพราะดาวราหูนั้นมีบริบทในทางโหราศาสตร์ที่เป็นกฏเกณฑ์ที่ชัดเจนว่า..ในยามที่ดาวราหูเข้าทับ..หรือเล็งดวงชะตา..ในทางโหราศาสตร์ถือว่าเป็นเกณฑ์” พินทุบาทว์” หรือเรียกอีกอย่างว่า”ดวงแตก”

โหราจารย์แต่งโคลงกลอนพระคาถาให้ท่องจำตอกย้ำถึงความน่ากลัวของ”ราหู(๘) ว่า..

“อสุรินทร์ (ราหู) ถึงลัคนาใน บาปพระเคราะห์จรไปมาต้องทับกัน อีกทั้งจันทร์มาทับลัคน์ ท่านทายว่าตัดชีวาถึงอาสัญ”

บอกความร้ายกาจของ”ราหู(๘)” ขนาดไหน..ก็ถึงขนาด “ตัดชีวาถึงอาสัญ” คือเอากันถึงเป็นถึงตาย…สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มศึกษาโหราศาสตร์..ก็มักจะจดจำความหมายของ”ราหู(๘)”ง่ายๆว่า “มัวเมา ทายราหู”..อันเป็นบทเริ่มต้นในการแปลความหมาย..เป็นการตอกย้ำถึงความเข้าใจว่า “ราหู(๘)” นั้นร้ายกาจ..จะแปลหรือมองในทางดีคงไม่เจอ…..ราหู(๘)ในทางโหราศาสตร์นั้นมีมหามิตรเพียงหนึ่งเดียว..ซึ่งก็คือพระเสาร์(๗)…และดาวเสาร์(๗)นี้…ก็ถูกจัดให้เป็นประธานฝ่ายบาปเคราะห์อีกด้วย…ทุกท่านคงเคยได้ยินคำว่า ” พระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก ”  ซึ่งเป็นคำพูดที่หมอดูมักใช้เปรียบเปรยให้รู้ว่า..ยามที่ดวงชะตามีพระเสาร์(๗)เข้ามาทำมุมสัมพันธ์กับดวงชะตา…ก็มักจะทำให้เกิดเรื่องไม่ดี..หรือเกิดเรื่องวุ่นวายมากมาย…ความจริงแล้วทั้ง”ราหู(๘)” และ”ดาวเสาร์(๗)” นั้นก็ล้วนถูกจัดอยู่ในประเภท “บาปเคราะห์” ซึ่งคนทั่วไปคงไม่ปรารถนาจะให้ดาวทั้งสองนั้นมาข้องเกี่ยวกับดวงชะตาเป็นแน่แท้…แต่ความจริงแล้ว ดาวบาปเคราะห์นั้นก็ไม่ใช่จะมีแต่เพียงด้านเสียแต่เพียงอย่างเดียว

เมื่อ”ราหู(๘)”และ”ดาวเสาร์(๗)” เป็นคู่มิตรของกันและกันเพียงหนึ่งเดียว..ดังนั้นในยามที่ดาวคู่นี้มาพบเจอกันในดวงชะตาของใครก็ตาม..ในช่วงเวลาที่ดาวทั้งสองทับหรือเล็งกันนั้น..เจ้าชะตานั้น..ก็จะมีโชคใหญ่เกิดขึ้นในดวงชะตาแน่นอน…ยกตัวอย่างเช่น..ในพื้นดวงเดิมของใคร..ถ้ามี”ดาวเสาร์(๗)” อยู่ในเรือนกฏุมะ(การเงิน)..แปลง่ายๆว่าคนๆนั้นจะต้องเป็นคนที่มีภาระทางด้านการเงินชัดเจน..เพราะ”ดาวเสาร์(๗)”เป็นดาวบาปเคราะห์ที่มาให้โทษทุกข์ในเรื่องการเงินแก่ดวงชะตานั้น…เมื่อเป็นเช่นนี้..เจ้าชะตาก็จะลำบากมากในการหาเงิน..เพราะหาเท่าไหร่ก็มีภาระที่ต้องรอจ่ายออกไปตลอดเช่นกัน…ใครมีพื้นดวงเช่นนี้..หมอดูมักบอกว่าชาตินี้คงจนไปทั้งชาติ…แต่ในวันที่ฟ้าเปิด..”ราหู(๘)” โคจรมาทับเรือนการเงิน…ซึ่งมี”ดาวเสาร์(๗)” ตั้งรับอยู่ในดวงเดิม…ก็ทำให้เจ้าชะตาร่ำรวยขึ้นมาได้ในพริบตา..เป็นโชคใหญ่ชนิดถูกหวยรวยเบอร์ระดับรางวัลที่หนึ่งได้ไม่ยาก…นี่เป็นบริบทหนึ่งของ” ราหู(๘)”ให้คุณแก่ดวงชะตา..

จะเห็นว่า “ราหู(๘)” นั้นไม่ได้ส่งผลในด้านร้ายเสมอไป…โคลงโหราศาสตร์ที่ลงท้ายไว้ว่า “ตัดชีวา ถึงอาสัญ” จะแปลความหมายถึงความตาย..ก็ไม่ผิด..แต่ต้องมองดูให้เป็นปรัชญาโหรว่า..การตายนั้นคือตายอย่างไร..จากกรณีตัวอย่างที่กล่าวไปข้างต้น..เป็นการตายจากเรื่องเดิมๆ..ตายจากความไม่มีเงิน..เป็นมีเงิน…”ราหู(๘)” ในด้านดีที่ส่งผลเปลี่ยนแปลงดวงชะตานั้นมีอีกหลายมุมมอง..ในดวงชะตาของบุคคลที่เป็นผู้มีชื่อเสียง..เช่นดาราหรือนักร้อง..หรือนักการเมือง…ในดวงชะตามักมี “ราหู(๘)” อยู่ในมุมที่ดี..หรือมีตำแหน่งทางโหราศาสตร์ที่ดี..เช่น “ราหู(๘)”ได้ตำแหน่ง..”เกษตร”..”อุจน์”..”มหาจักร”..”ราชาโชค”…ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น..ก็เพราะความหมายของ “ราหู(๘)” คือ”มัวเมา ทายราหู” บุคคลที่มี”ราหู(๘)” โดดเด่นในดวงชะตา..จึงมักเป็นที่นิยมชมชอบของคนทั่วไป..หากวิเคราะห์เชิงลึกว่า”ราหู(๘)” ไม่ใช่ดาว..แต่”ราหู(๘)” คือเงา..คือมายา..คือความลุ่มหลง..บุคคลที่มี”ราหู(๘)” ในดวงชะตาโดดเด่นหรือมีตำแหน่งที่ดีจึงมีเกณฑ์โด่งดังหรือเป็นที่นิยมชมชอบของคนทั่วไปได้ไม่ยาก…

“ราหู(๘)”ให้คุณแก่ดวงชะตาได้จริง..มิใช่เป็นแค่เพียงบาปเคราะห์หรือดาวร้าย..ที่ให้ผลเสียแต่เพียงด้านเดียว..เมื่อเป็นเช่นนี้..ทำไม”ราหู(๘)”จึงเป็นที่กล่าวขานจากโหราจารย์ว่าร้ายนัก..เช่นว่า..”ราหู(๘)” นั้นเกี่ยวข้องกับอบายมุขต่างๆ..หรือเป็นพวกนักเลง..โจร..หรือหัวขโมย…การที่จะตัดสินว่า”ราหู(๘)” ในดวงชะตาของใครร้ายหรือดี..ให้คุณหรือให้โทษ..ก็ต้องตรวจเช็คกับนักพยากรณ์ด้านโหราศาสตร์ให้เข้าใจว่า…”ราหู(๘)” ในดวงชะตานั้น..เป็นเจ้าเรือนภพที่ดีหรือไม่…ถ้าเป็นเจ้าเรือนภพที่ดีแล้ว…”ราหู(๘)” ในดวงชะตาไปอยู่ในเรือนภพที่ดีหรือไม่…ตกทุรสถานภพคือเป็น “อริ”..”มรณะ”..”วินาศ”..แก่ดวงชะตาหรือไม่….ถ้าหาก”ราหู(๘)”ในดวงชะตาใครอยู่ในตำแหน่งที่เป็นกฏเกณฑ์ทางโหราศาสตร์ที่ว่าเอาไว้ว่าจะส่งผลร้าย..เช่นเป็น “พินทุบาทว์”

เมื่อ”ราหู(๘)” มาทับหรือเล็งดวงชะตาในพื้นชะตาเดิม..ตามการผูกดวง..จะเกิดผลร้าย..

บริบทหนึ่งของ”ราหู(๘)” ที่ชี้ให้เห็นว่า..”ราหู(๘)”นั้นเป็นผู้ที่เปลี่ยนแปลงดวงชะตากลับร้ายกลายดีได้..มิใช่เป็นเพียงจำเลยสังคมที่มักถูกกล่าวหาว่าให้ร้ายแก่ดวงชะตาแต่เพียงด้านเดียว

••••• … ••••• … ••••• … ••••• … ••••• … •••••

ราหูไม่ได้ร้ายอย่างเดียวและไม่ได้ดีอย่างเดียว จงเชื่อในกฎแห่งกรรมแล้วเร่งทำความดีเถิดได้ดีแน่
ราหูเป็นเทพอสูรแบบเดียวกับนนทุกและท้าวลัสเตียนซึ่งเป็นพ่อของทศกรรฐ์แต่มีฤทธิ์เดชมากที่สุด(ท้าวลัสเตียนมีภูมิธรรมถึงขั้นเป็นพรหมระดับเดียวกับพระพรหมองค์ที่เป็นพ่อของนางสงกรานต์นั่นแหละ)
เทพอสูรนั้นพื้นเพเป็นยักษ์หรืออสูรมาก่อนแต่บำเพ็ญเพียรภาวนามากจึงมีภูมิธรรมที่สูงขึ้นพ้นภาวะจากอสูรเป็นเทพ จึงเรียกว่าเทพอสูร แต่ถ้าเมื่อใดกิเลศครอบงำก็อาจกลับกลายเป็นอสูรได้อีก

ดาวที่ให้แสงสว่างมากสุดและสำคัญสุด คือ อาทิตย์และจันทร์ ราหู คือ ตัวการให้เกิดคราส คราสบดบังแสงได้ทั้งอาทิตย์และจันทร์ ราหูย่อมมีพลังมากด้วย เมื่อราหูมีพลังขนาดนี้ จึงไม่มีเหตุผลที่จะไม่ใช้ทำนาย

ราหู คือ จุดตัดระหว่างระนาบโคจรของอาทิตย์ (Ecliptic : ระวิมรรค) และของจันทร์ที่เอียงทำมุมกัน 5 องศา จุดตัดมี 2 จุด-เหนือใต้ จุดที่อยู่เหนือระวิมรรค คือ ราหู จุดที่อยู่ใต้ คือ เกตุ มันเล็งกัน 180 องศา ราหูโคจรย้อนจักรราศีในอัตราเฉลี่ย 3.2 ลิปดาต่อวัน ( เกตุนี้ต่างจากเกตุไทยที่คำนวณขึ้นมาใหม่และมีนิยามความหมายแตกต่างกัน )

ราหูเป็นจุดตัด-ไม่มีแสงในตัวเอง ทั้งก่อให้เกิดคราส จึงเป็นตัวแทนของความมืดมิด หมกมุ่น มัวเมา เขลา โมหะ และบาปโทษทั้งหลาย นั่นคือทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติ ราหูเป็นมากกว่านั้น ราหูคือการเปลี่ยนแปลง เมื่อเข้าราศีใดภพใด มักนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่ราศีนั้นภพนั้น

ราหูให้คุณอย่างมากด้วย แต่การให้คุณเกิดใน “ด้านมืด” ของเรื่องราวเหตุการณ์ ซึ่งมันดำรงอยู่ในโลกแห่งความจริงที่เราปฏิเสธไม่ได้ ผู้ที่มีราหูเด่นในดวง มักมีเล่ห์เหลี่ยมชั้นเชิง ลูกล่อลูกชน เอาตัวรอดและเติบโตได้ดีในสถานการณ์พิเศษ ประเด็น คือ ดาวให้ทั้งคุณและโทษ โดยเฉพาะบาปเคราะห์ เมื่อให้คุณมากก็ให้โทษมาก หากใช้คุณสมบัติเหล่านี้เกินขอบเขต มันจะย้อนกลับมาทำลายตัวเองในยามที่ราหู (หรือบาปเคราะห์อื่น) ให้โทษ

ราหูคือพลังแห่งการดิ้นรน ต่อสู้ สร้างสรรค์ แต่เป็นการดิ้นรนต่อสู้เพื่อพ่อแม่ ลูกเมีย พี่น้องบริวารหว่านเครือ จึงต้องต่อสู้ทั้งมาร ทั้งปนุษย์ และอะไรต่างๆ อีกร้อยแปด ซึ่งพลังงานทั้งหลายเหล่านี้อยู่ที่ราหูทั้งสิ้น การดิ้นรสต่อสู้เป็นสิ่งจำเป็นในชีวิต เพราะไม่เพียงแต่เพื่อความสร้างสรรค์ สะสมเท่านั้น ยังให้ความตื่นเต้น ความภูมิใจ เป็นอาหารอันวิเศษแก่จิตวิญญาน

ถ้าราหูให้โทษ เป็นเครื่องกั้น ราหูจะเป็นอุปสรรค ขวากหนาม เป็นคู่แข่งที่เข้มแข้ง หรือผู้กีดกันไม่ให้บรรลึถึงความสำเร็จ ในความหมายว่าเครื่องบัง ราหูจะมีสภาพเช่นเดียวกับคราส ที่ทำให้แสงสว่างมืดมิดไป ทำให้ชีวิตประสพความมืดมน

ถ้าราหูให้คุณ
ในความหมายเครื่องกั้น ราหูจะเป็นรั้ว เป็นกำแพง เป็นเกราะ หรือผุ้คุ้มครองที่ให้ความปกป้องภยันอันตราย อันจะเกิดจากศัตรู ผู้ร้าย หรือสิ่งคุกคาม ที่จะทำให้เกิดความวิบัติแก่ชีวิต ในความหมายของเครื่องบัง ราหูจะมีสภาพเป็นร่ม เป็นกิ่งไม้ใบหนา หรือเมฆาที่มาให้ความร่มเย็นและบังความร้อนให้

ราหูโคจรราศีละ 1 ปีครึ่ง ครบรอบจักรราศีใช้เวลา 18 ปี

ราหู เงามืดมัวแห่งบาปเคราะห์ ที่ทำให้ชะตาชีวิตคนพลิกผัน
จากมหาเศรษฐีหมื่นล้าน กลายเป็นยาจกได้
แต่ถ้าราหูให้คุณผู้ใด ก็ทำให้จากวณิพกคนจรจัด
กลายเป็นเศรษฐีได้แค่พริบตา

ขอเพียงแต่….
ราหูกำเนิดตั้งอยู่ในเรือนที่ ๓, ๖, ๑๑
และได้รับแสงจากดาวพฤหัสบดีและศุกร์
ที่ตั้งอยู่ในเรือน ๑, ๔, ๗, ๑๐ กับราหู
ราหูในดวงชะตานั้นจะส่งเสริมเรื่องดี ๆ ให้
และจะระงับความชั่วร้ายโดยสิ้นเชิง

ลัคนาสถิตในราศีเมษ พฤษภ กรกฎ และมีราหูกุมลัคน์
ราหูในตำแหน่งนี้จะส่งคุณให้เป็นอย่างยิ่ง

และถ้าจะได้โชคใหญ่ ท่านก็บอกไว้ว่า
“ผิว์จะดูโชคใหญ่ในชันษา ถ้าองค์อสุรินทร์ต้องเสารา
พระสุริยาต้องครูเป็นคู่คง เสาร์เล็งอสูราท่านว่าไว้
เป็นโชคใหญ่ปีนั้นดังประสงค์”

“พระเสาร์ต้องราหูท่านดูตรง อังคารคงเล็งศุกร์และสุริยา
ถูกพฤหัสบดีมีโชคเป็นลาภครัน”

“อนึ่งจันทร์ต้องลัคน์ในชันษา พฤหัสบดีต้ององค์พระพุธา
พุธเล็งจันทราโชคอุดม”

“อนึ่งครูถูกต้องพระสุริเยศ ระวิประเวศเล็งครูดูเหมาะสม
จันทร์ต้องราหูดูนิยม เป็นอุดมโชคใหญ่ในชาตา”

“อนึ่งองค์พระอังคารต้องศุกระ สุริยะเล็งจันทร์นั้นท่านว่า
พระจันทร์จะต้ององค์พระพุธา เดือนนั้นเป็นมหาโชคชัย”

แต่ ที่น่าจดจำเป็นอย่างยิ่ง…..
“อนึ่งเล่าพระเสาร์เล็งภุมเมศ อังคารประเวศสบเสาร์ผิดวิสัย
ถึงมีลาภสาบสูญให้เสียไป ลาภนั้นถึงจะได้ไม่ดีเลย”

หือม์…..ไม่ง่ายเลย โชคใหญ่ข้อแรก ราหู เสาร์ อังคาร ศุกร์ อาทิตย์ พฤหัสบดี ดาวใหญ่ ๖ ดวง ต้องทั้งเล็ง ทั้งทับ กัน……ยากนะ

แต่ถ้า….เสาร์กับอังคาร…แค่สองดวง ก็…..ได้ลาภมาก็หายหมด
.