บทความ

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

เรื่อง ฤทธิ์ทางใจ ไม่ใช่การถอดกายทิพย์
การถอดกายทิพย์หรือถอดจิตวิญญาณ ยังไม่นับเป็นฤทธิ์ทางใจ
พวกมารและซาตานก็ถอดกายทิพย์ได้ แต่ยังไม่ใช่พลังใจ
แล้วพลังใจที่แท้จริงนั้น นับว่าสำเร็จได้อย่างไร
ใจมีฤทธิ์ แค่คิดก็ได้ดังใจแล้ว ไม่ต้องลงมือกระทำ คือจุดเริ่มจิตที่มีฤทธิ์ทางใจ ไม่ต้องถอดกายทิพย์ก็ได้
อธิษฐานแล้วเกิดผลได้จริง คือใจมีฤทธิ์ นับเป็นผลทางจิต ทำจิตให้เป็นแม่เหล็ก เมื่อใจควบคุมจิตได้
การฝึกฤทธิ์ ฝึกจากอธิษฐานบารมีก็ได้
อธิษฐานบารมีคือความตั้งใจแน่วแน่ให้สำเร็จผล
เมื่อตั้งใจแน่วแน่แล้ว ทำกิจการงานให้สำเร็จผลให้ได้ อย่าท้อแท้
อย่าปล่อยให้ล้มเหลวโดยไม่ลุกขึ้นสู้จนสำเร็จ ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ใจก็มีฤทธิ์เอง แต่ยังไม่ใช่ ฤทธิ์ที่สมบูรณ์แบบ
พวกมารและซาตานก็สามารถทำให้มีใจที่มีฤทธิ์เช่นนี้ได้
จนเมื่อถึงระดับกำหนดใจคุมจิตวิญญาณได้ ใจจึงมีฤทธิ์มากพอเรียกว่า ฤทธิ์ทางใจ
จิตวิญญาณหรือเจตภูตออกจากร่างคนไปได้เอง
ถ้าควบคุมจิตวิญญาณตนเองยังไม่ได้ ยังไม่สำเร็จฤทธิ์แห่งจิตใจ
ถ้าควบคุมจิตวิญญาณในกายสังขารตนเองได้ระดับหนึ่ง นับว่าสำเร็จ
เช่น กำหนดให้จิตวิญญาณของตนเอง ไปทำงานที่สวรรค์ ไปทำกิจที่นรกก็ได้
พลังทางใจมีกำลังไม่เท่ากัน ฝึกได้ไม่มีที่สิ้นสุด
จิตวิญญาณที่แรงและมีกำลังมาก คุมได้ยากจะแทรกเข้ากาย และขับดันในร่างกายให้หลงทาง หรือออกจากร่างกายไปทำกรรมชั่ว
เมื่อเราควบคุมจิตวิญญาณทไให้มีกำลังสูงขึ้นได้เรื่อยๆ ก็มีฤทธิ์ทางใจสูงขึ้น
มนุษย์ทุกคนมีเจตภูตดูแลร่างกายทั้งสิ้น
เจตภูต คือจิตวิญญาณดวงนอกสุด ในกายสังขารนั้นสามารถเข้าออกจากกายสังขารได้เสมอเมื่อเราคิดเรื่องนอกตัว
ในก็บันทึกไว้ พระราชาผู้หนึ่งตื่นขึ้นมาพูดคุยกับเจตภูตตนเอง
ผู้มีฤทธฺทางใจขั้นสูง สามารถคุมจิตผู้อื่นได้ด้วย
เช่น การ ดึงจิตวิญญาณลูกศิษย์ไปภพภูมิอื่น
ถ้าสำเร็จตาทิพย์หรือพระอินทร์ให้ยืมตาทิพย์ ก็จะเห็นนรกสวรรค์ได้
แม้ไม่สำเร็จมโนมยิทธิ แต่ก็เห็นนรกสวรรค์ได้ด้วยกำลังของอาจารย์ช่วย
แม้ไม่เห็นโลกทิพย์ เพราะไม่มีตาทิพย์
แต่ก็สำเร็จฤทธิ์ได้ เพราะเป็นอภิญญาต่างชนิดกัน
กำหนดที่ใจ ให้จิตวิญญาณไปทำกิจต่างๆ ถ้าสำเร็จผลก็ได้ฤทธิ์แห่งใจ
กำหนดใจเข้มแข็งให้กิจการใดๆ ก็สำเร็จ แม้กายสังขารไม่กระทำ ก็บังเกิดผลได้
ปลุกเสกคือมนพิธี ต้องใช้เวลา
ฤทธิ์ทางใจ ไม่ต้องปลุกแค่นึกนิดเดียวผลลัพธ์ก็มากมาย

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

“ การทำสมาธิเป็นศิลปะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของชีวิต
– อาจจะเป็นศิลปะที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเพราะในความเข้าใจในการทำสมาธินั้นมี ความรัก และความรักไม่ได้เป็นผลมาจากระบบนิสัยการทำตามวิธีการความรักไม่สามารถปลูกฝังได้ด้วยความคิด ความรักอาจเกิดขึ้นได้เมื่อมีความเงียบสนิทและจิตใจจะเงียบได้ก็ต่อเมื่อเข้าใจธรรมชาติของการเคลื่อนไหวของมันเองอย่างที่คิดและรู้สึก ..
ดังนั้นการทำสมาธิจึงเกิดขึ้นได้เมื่อคุณนั่งอยู่ในรถประจำทางหรือเดินในป่าที่เต็มไปด้วยแสงและเงาหรือฟังเสียงนกร้องหรือมองหน้าภรรยาหรือสามีของคุณ
การทำสมาธิไม่ใช่สิ่งที่แตกต่าง มันคือความเข้าใจในชีวิตทั้งหมดที่การแตกกระจายของชีวิตทุกรูปแบบได้หยุดลง ..
เมื่อมีใครปฏิเสธโลกทางจิตวิทยาที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อตัวเองโดยสิ้นเชิงและได้ปฏิเสธโครงสร้างทางจิตวิทยาของสังคมที่เราเป็น: ความโลภความอิจฉาความโหดร้ายความรุนแรงความอิจฉาความเกลียดชัง
เมื่อคุณปฏิเสธโดยสิ้นเชิงคุณก็มีพื้นที่และความเงียบ และเป็นเพียงความคิดที่เป็นความคิดทางศาสนาเท่านั้นไม่ได้เป็นของศาสนาที่มีการจัดระเบียบและเป็นผู้เผยแผ่ศาสนาใด ๆ
– เป็นเพียงความคิดเช่นนั้นเท่านั้นที่สามารถมองเห็นสิ่งที่วัดไม่ได้ และจิตใจเช่นนี้ก็เป็นแสงสว่างสำหรับตัวมันเอง “

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

จิตเป็นบ่อเกิดของสังสาระ และ นิพพาน
ในภาพยนตร์ The Matrix มนุษย์ได้ทำสงครามกับเครื่องจักร จนถึงขั้นที่มนุษย์ต้องตัดพลังงานแสงอาทิตย์ ไม่ให้เครื่องจักรมีพลังงาน แต่ทว่าเหล่าเครื่องจักร ก็เลยหันไปจับเอามนุษย์มาทำพลังงาน แทนพลังงานที่สูญเสียไป และจองจำให้มนุษย์อยู่ใน The Matrix เพื่อสร้างชีวิตหลอกๆ
The Matrix ที่สร้างชีวิตหลอกๆในที่นี้ก็คือ จิตของเรานี้เอง ที่ยังหุ้มห่อไปด้วย อวิชชา ดังนั้นมันจึงปรุงแต่งโลก ที่เรารับรู้ตรงหน้าออกไป ในลักษณะของสังสาระ นี่คือความหมายของ จิตเป็นบ่อเกิดของสังสาระ ปัญญา คือ ยาเม็ดสีแดง ที่นีโอกินและตื่นขึ้นมาพบโลกจริงๆ ดังนั้น ถ้าจิตกอปรไปด้วยปัญญาระดับปัญญาตรัสรู้​ โลกที่เห็นก็จะกลายเป็นนิรวาณไป ดังนั้น จิตเป็นบ่อเกิดของนิพพานในความหมายนี้ เราอาจจะพูดได้ว่า จิตเป็นบ่อเกิดของสังสาร และ นิพพาน
สังสาระ คือ บ่อเกิดของความทุกข์ อันก่อเกิดมาจากความไม่รู้ ตัญหา อุปทาน ที่ผลักดันจิตให้กระทำกรรมไปด้วยอำนาจของตัญหา แต่ในธรรมชาติแห่งสังสาระนั้น ย่อมมีนิพพานอยู่ เพราะ ความดับแห่งสังสาระได้นั้นแหละ คือ นิพพาน สังสาระ นั้นคือ ธรรมชาติแห่งเกิด และ ตาย และ ความคิดเรื่องเกิด และ ตายก็สัมพันธ์กับความคิดเรื่องมีอยู่ และ ไม่มีอยู่ เมื่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏขึ้นเราบอกว่า​ สิ่งนั้นมีอยู่ และ เมื่อสิ่งใดหายไปเราบอกว่า สิ่งนั้นไม่มีอยู่ นี่คือสามัญสำนึกของเรา
เช่น ดอกไม้ที่บานในตอนนี้เราบอกว่า ดอกไม้นั้นมีอยู่ แต่พอเวลาผ่านไปดอกไม้ร่วงโรยไป เหี่ยวเฉา และ สลายไป เราก็บอกว่า ดอกไม้นั้นไม่มีอยู่ แต่เมื่อเราพิจารณาดอกไม้อีกครั้ง เราจะพบว่า ดอกไม้ไม่ได้หายไปไหน เพราะไม่มีอะไรหายไปจากความมี ไปสู่ความไม่มี และ ไม่มีความมีใดจะเกิดขึ้นจากความไม่มีได้ ดอกไม้จึงไม่ได้หายไป
บางทีมันเหี่ยวเฉาลง และ สลายตัวกลายเป็นดินอยู่ที่โคนต้นของมันนั้นเอง และ ต้นของมันก็จะดูดซึมขึ้นไปเป็นส่วนหนึ่งของต้น และ พอเหตุปัจจัยถึงพร้อมมันจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของดอกไม้ ดอกใหม่ที่กำลังแย้มบาน แม้เราจะกล่าวว่าเป็นดอกไม้ดอกใหม่ แต่ในดอกไม้นั้นย่อมประกอบไปด้วยอณูของดอกไม้ดอกเก่านั้นแหละ เพราะ สสาร พลังงานย่อมไม่สูญหาย มีแต่แปรรูปไป ดังนั้น ดอกไม้ดอกเก่าที่เหี่ยวเฉาไป จึงไม่ได้หายไป แต่แปรเปลี่ยนรูปไป คือ ไปอยู่ในรูปอื่น รอปัจจัยถึงพร้อมก็ปรากกฏขึ้นมา แนวคิดที่ว่า อะไรบางอย่างหายไป หรือ จากมีแล้วก็กลายเป็นไม่มี
จึงเป็นมายา การเกิดตายก็เป็นเช่นนี้ ดูผิวเผินดอกไม้เกิดตาย แต่มองให้ลึกซึ้ง เนื่องจากก่อนหน้าที่ดอกไม้จะมี ดอกไม้มีอยู่แล้ว เพียงแต่อยู่ในรูปอื่น​ อาจจะในรูปดิน​ ปุ๋ย​ ก้อนหิน​ น้ำ​ ก็เป็นได้ดังนั้นดอกไม้จึงไม่เคยเกิด และ หลังจากดอกไม้เหี่ยวเฉา มันก็ไม่ได้หายไป แต่ไปปรากฏในรูปอื่น
จึงไม่มีการตาย​ เกิด-ตายของดอกไม้จึงเป็นมายา​
อีกด้านดอกไม้จึงไร้เกิดและตาย

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

วิญญาณเลือกครอบครัวและเพื่อนก่อนที่จะเกิดมา
จิตวิญญาณของเราพบกับโลกนี้ครั้งแล้วครั้งเล่าเมื่อสิ่งนี้เกิดขึ้นเราเติบโตและเปลี่ยนแปลง เราเจริญเร็วกว่า สัญญา(ความทรงจำ )วิญญาณเก่าและสร้างใหม่ในขณะที่เราไปนี่เป็นเพียงสิ่งที่เป็นอยู่
วิญญาณเกิดมาในร่างกายที่แตกต่างกันมากมายตลอดช่วงชีวิตที่แตกต่างกัน บางครั้งเรามีพ่อแม่คนเดียวกันกับที่เราเคยทำในชีวิตก่อนหน้านี้และในช่วงเวลาอื่น ๆ ที่เราไม่มี
ใครจะอยู่ในชีวิตของเราเป็นสิ่งที่เรากำหนดเมื่อเชื่อมต่อกับแหล่งที่มาก่อนที่จะกลับมาที่นี่อีกครั้ง เราจำไม่ได้ว่าตัดสินใจหรือเลือกคนเหล่านี้  แต่เราได้ทำในช่วงเวลาที่เราอยู่ที่แหล่งกำเนิดเราเลือกบทเรียนที่จะเรียนรู้ชีวิตแบบไหนที่เราต้องการใช้ชีวิตและทุกสิ่งที่อยู่ระหว่างนั้น ในช่วงเวลานั้นเราจะจับคู่กับพ่อแม่และหุ้นส่วนที่จะนำทางเราไปตลอดทาง หากคุณเคยมีประสบการณ์ชีวิตกับใครบางคนโดยเฉพาะคุณทั้งสองอาจเลือกที่จะเปลี่ยนบทบาทในชีวิตหน้าด้วยเหตุผล ไม่มีข้อ จำกัด ในสิ่งที่สามารถทำได้
สัญญาวิญญาณประกอบด้วยเวลาวันที่และสถานที่เกิดของคุณตลอดจนครอบครัวที่คุณเกิดและทุกอย่างตั้งแต่ความตายไปจนถึงเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้น
ทุกสิ่งถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าให้เกิดขึ้นก่อนที่จะมีการพิจารณาในขณะที่คุณมีชีวิตอยู่ คุณจำการตัดสินใจของคุณในขณะที่อยู่ในรูปแบบวิญญาณไม่ได้ แต่พวกเขายังคงค่อนข้างโดดเด่นและชี้นำชีวิตของคุณไปสู่เส้นทางที่คุณกำหนดไว้
ดังที่กล่าวมาคุณมีเจตจำนงเสรี และสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งนี้ได้ตามที่เห็นสมควร โชคชะตาและชะตากรรมของเราไม่ใช่สิ่งที่สามารถตัดสินใจได้ง่าย ๆ แต่ไม่ว่าจะมีเค้าโครงอยู่ก็ตาม สัญญาจิตวิญญาณของเรา
คือข้อตกลงที่เราทำกับตัวเองซึ่งมีขึ้นเพื่อช่วยให้เราเติบโตไปสู่สถานะที่สูงขึ้นของจิตสำนึกหรือความตระหนัก หากคุณรู้สึกว่าได้พบกับคนที่ใช่ในเวลาที่เหมาะสมเป็นไปได้มากว่าเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาวิญญาณที่กำลังจะบรรลุผล แม้ว่าสิ่งนี้อาจสร้างความสับสนเมื่อคุณเริ่มสังเกตเห็นว่าสิ่งนี้ส่งผลกระทบต่อชีวิตของคุณอย่างไร แต่จะเริ่มมีเหตุผลมากขึ้น เรามักจะมาเกิดที่นี่บนโลกใบนี้กับคนเดิมครั้งแล้วครั้งเล่า
คุณจะรู้จักครอบครัววิญญาณของคุณเมื่อคุณพบพวกเขา แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณควรเพิกเฉยต่อครอบครัวที่คุณได้รับในครั้งนี้
โลกนี้เป็นสถานที่ที่ลึกลับมาก แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้นเพราะ “ไม่มีเหตุผล” คุณควรสบายใจเมื่อรู้ว่าคุณกำลังทำในสิ่งที่จิตวิญญาณของคุณต้องการให้สำเร็จ เรียนรู้บทเรียนก่อนที่คุณจะเติบโตและเติบโตในทุกวิถีทาง
จงทำให้จิตวิญญาณของคุณภูมิใจในตัวเอง

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

เราถูกล้อมรอบไปด้วยเวทมนตร์และพลังงานศักดิ์สิทธิ์
Devine เราก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีมนต์ขลังลี้ลับเช่นกัน แต่ในหลาย ๆ สถานการณ์เราอาจล้มเหลวในการรับรู้ถึงพลังสนับสนุนของเราเนื่องจากสิ่งที่เราถูกกำหนด ให้เชื่อ เรียนรู้ที่จะไว้วางใจสิ่งที่แปลกใหม่และไม่ได้อธิบายความรู้รอบตัวคุณ และการยอมรับในส่วนของความคิดเห็น ข้อขัดแย้งพลังงานตัวคุณเองที่คุณไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ นี่เป็นวิธีหนึ่งที่จะทำให้ประสาทสัมผัสของคุณเฉียบคมขึ้น

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

ความฉลาด
“สัญญาณที่แท้จริงของความฉลาดไม่ใช่ความรู้ แต่เป็นจินตนาการ” – ไอน์สไตน์
จักรวาล / ธรรมชาติมีชีวิตอยู่มากหากการกำหนดชีวิตคือความฉลาดและความสามารถในการปรับตัว มนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติดังนั้นจิตใจของมนุษย์
– ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจิตใจสากลเช่นกันโดยผ่านกระบวนการวิวัฒนาการของสมองได้รับการปรับสภาพอย่างหนักและถูกตั้งโปรแกรมด้วยภาษาแนวคิดและคำพูดอย่างแท้จริงดังนั้นในการพูด ‘ความคิดของคุณจึงสร้างขึ้นเอง ความเป็นจริง ‘. หากมีอะไรที่สูง / กว้างกว่าที่คิดก็ต้องเป็นความฉลาดของจิตสากลที่รวบรวมทั้งสองอาณาจักร 
1. The Known (จิตใจที่มีเหตุผล) ~ ความสามารถในการเก็บรักษาและทำซ้ำสิ่งที่คิดไว้ในอดีต: สติปัญญา / เหตุผล / ความรู้ / ข้อมูลที่สะสม
2. The Unknown (จิตใจที่หยั่งรู้) ~ ความสามารถในการคิดสิ่งต่างๆอย่างตรงจุด: ความเข้าใจ / สัญชาตญาณ / จินตนาการ / จากความทรงจำที่ไม่มี
••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

อัพเกรดพลังชีวิต ไปสู่ระดับพลังงานใหม่

ต้องผ่านความวุ่นวายใจ และอุปสรรคใหญ่เสมอ.
อุปสรรคคือเส้นทางเซน
อัพเกรดจิตวิญญาณง่ายนิดเดียว
1.ยอมรับในความจริงที่เกิดขึ้น
ทั้งด้านดีและไม่ดีให้ได้จากใจ
2 .ทำความเข้าใจในเรื่องราวภาวะเหล่านั้น
3 .อย่ายึดติดในเรื่องราวต่างๆเหล่านั้น เอฟเวอรี่ติงจิงกเบล
4. ปล่อยวางให้ได้จากใจจริงๆ ทั้งในเรื่องดีและไม่ดี
5 .จงศรัทธาและเชื่อในสิ่งที่เกิดทุกอย่างว่ามีที่มาที่ไปเสมอ กับสิ่งต่างๆที่เราได้เจอและเรียนรู้นั้น
เราจะไม่รู้จักความอิสรภาพนั้นได้  ถ้าไม่เคยได้ติดคุกมาก่อน
เราจะไม่รู้จักความโปร่ง โล่ง เบาสบาย  ถ้าเราไม่เคยยึดติดกับอะไร
เราจะไม่รู้จักความสุข  ถ้าไม่เคยมีทุกข์
เราจะไม่รู้จักควบคุมความอยาก
#ถ้าเราไม่เคยรู้ถึงอนุภาพของความอยาก
เราจะไม่รู้จักการรักตัวเอง ถ้าเราไม่รู้จักกรรมเกี่ยวพันกับคนอื่น
เราจะไม่รู้จักความมั่งคั่งมั่งมี ถ้าเราไม่เคยยากจน
เหนือเหตุ เหนือผล เหนือกรรม เหนือการกระทำทั้งปวง
มันคืออิสระภาพที่ไร้ขอบเขต
ที่เรารู้ว่าจิตเราสามารถทำอะไรได้ทุกอย่าง
บันดาลได้ในทุกสิ่งได้ให้เห็น ให้มีและจับต้องได้
เป็นความสุขที่เกิดขึ้นเป็นรูปวัตถุ….
ถ้าเราเข้าใจกับทุกอย่างและทำใจเป็นกลาง
ได้เป็นปกติกับสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า
จิตวิญญาณของเราก็จะละเอียด
และบริสุทธิ์แบบฉับพลันทันทีทันใด….
ก้าวข้ามฝั่งมันง่ายจะตาย
WiFi ทางจิต
คู่ขนานทางจิตไปไกลมากกว่าที่เราคิด
วิวัฒนาการในโลกยุคใหม่ไม่เคยหยุดนิ่ง
วิวัฒนาการทางวิทยาศาสตร์ไม่เคยหยุดนิ่งแม้วินาทีเดียว
วิวัฒนาการทางการแพทย์ไม่เคยหยุดนิ่งแม้วินาทีเดียว
วิวัฒนาการทางจิตก็เช่นกัน
WiFi ทางจิตคืออะไร ?????
การเชื่อมจิตโดยอัพเกรดจิตสู่จิตโดยไม่ต้องคุย
อาการผิดปกติทางจิตจะหายคลายได้เลย
การเชื่อมจิตโดยอัพเกรดจิตสู่จิต โดยชีวิตไม่ต้องคุย
เกิดอาการสภาวะสุขสงบทางจิตได้เลย
การเชื่อมจิตโดยอัพเกรดจิตสู่จิตโดยไม่ต้องคุย
สร้างระบบจิตมนุษย์แบบประมวลผลไกลๆ
มนุษย์ทุกคนสามารถพัฒนาตนเป็นพุทธะ
มนุษย์ทุกคนสามามารถพัฒนาตนเป็นพระเจ้า
มนุษย์ทุกคนสามารถพัฒนาตนเป็นทวยเทพ
มนุษย์ทุกคนสามารถตนเป็นกูรูชั้นสูง
มนุษย์ทุกคนสามารถตนเป็นอัจฉริยะ
มนุษย์ทุกคนสามารถพัฒนาตนเป็นเศรษฐี
ทุกแนวทางมีกระบวนการจากผู้เชี่ยวชาญ
สถาบันอัพเกรดมนุษย์Human Upgrade Institute
พัฒนาจิตเชิงลึกไกลกว่าจิตใต้สำนึก
ด้วยคลื่นWiFiทางจิต
“…ถึงเธอสรรพพลังงานผู้ทำหน้าที่ในกายหยาบ_กายทิพย์…ของฉัน”
“ไขปมชีวิต ชนะจิตตน ตื่นรู้สู่จิตวิญญาณ”
.
คำถาม : เป็นคน จะฝึกยกระดับจิตตัวเองอย่างไร เริ่มต้นอย่างไรก่อน
1. ฝึกอัพเกรดจิตวิญญาณ
2.อัพเกรดความรู้ความสามารถ ของภาคมนุษย์
.
ภาคมนุษย์ต้องดูตัวเองว่าต้องทำมาหากิน?
ต้องรับผิดชอบต่อครอบครัว?
ต้องอัพเกรดศักยภาพตัวเองในการทำให้ชีวิตรุ่งเรือง มีกิจการงานที่มั่นคง และมีเงินสำรอง มีเงินกินใช้ ตรงนั้นต้องไม่บกพร่อง
.
ในขณะเดียวกันก็อัพเกรดภาคจิตวิญญาณตนเอง ด้วยการสวดมนต์ หรือ ภาวนา บทไหนก็ได้ทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ทำวันเว้นวันแต่ต้องทำทุกวัน เหมือนเราหยอดกระปุกวันละบาท 100 วันก็ 100 บาท พันวันก็ 1,000 บาท
.
การสวดมนต์ไหว้พระโดยไม่ต้องไปที่อื่น เอาที่บ้านตัวเอง แล้วถ้าอยากจะได้ ความหลุดพ้นการปล่อยวางก็พิจารณาหลักสัจธรรม ไม่เที่ยงทั้งหลายทั้งปวง ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเรา ไม่มีอะไรเป็นเขาเป็นของเขา
.ทั้ง 2 อย่างก็คือ ภาคโลกกับภาคจิตวิญญาณ ต้องทิ้งไม่ได้ ยกเว้นว่าเราจะไปเป็นนักบวช บิณฑบาตอาหารชาวบ้านกินตรงนั้นน่ะ จะพัฒนาจิตวิญญาณได้เต็มที่ แต่ถ้าเป็นฆราวาสต้องรับผิดชอบภาคของการหาเงินเลี้ยงชีวิตให้มีความสุข และสมบูรณ์บริบูรณ์ด้วย
.
ไม่ใช่ไปมัวเสาะแสวงหาความหลุดพ้น อยากได้อริยะ แต่ชีวิตกิจการงานแย่ ไม่สนใจจะฟังข่าวสารความเปลี่ยนแปลงของโลก เอาแต่ไปปฏิบัติธรรมสุดท้ายแล้วกิจการงานเจ๊ง นี่คือมนุษย์ประเทศเราเป็นอย่างนี้นะ เพราะฉะนั้นให้ทำทุกอย่างควบคู่กันไป
“ข้าแต่พระบรมธรรมบิดา ข้าแต่พระบรมธรรมมารดา ขอนบน้อมพลังงานความดี”แห่งธรรม”
อณูความละเอียดสูงสุดในห้วงจักวาล ราดรดลงสู่จิตญาณผู้ทำหน้าที่บีบคั้น ทรมาน เจ็บป่วย ทดสอบ ในภาคกายหยาบกายทิพย์ของลูก ให้ได้รับผลความดีสูงสุดแห่งธรรมอณูละเอียดทั้งปวงด้วยเถิด”
“ขอให้เธอมีความสุข  ร่ำรวยทรัพย์
ขอให้เธอพ้นจากความทุกข์ทรมาน
ขอให้เธอมีพลังสมบูรณ์สุข… ปีติสุข สันติสุข
ขอให้เธอสดับรับรู้แจ้งในธรรมอณูความละเอียดในห้วงจักรวาล
ขอให้พลังความว่างเปล่าในห้วงจักรวาลจงสถิตแด่เธอ”
“…แด่เธอ จิตญาณผู้ทำหน้าที่ทั้งหลายทั้งปวง
เมื่อเธอได้รับพลังงานความดีแห่งฉันที่เป็นพลังความดีอันสูงสุดของอณูธรรมแล้ว เมื่อเธอหมดหน้าที่ขอให้เธอจงคืนกลับสู่อ้อมกอดพระบรมบิดาพระบรมมารดา ดับ ว่าง จากภารกิจหน้าที่ใด ๆ ในห้วงสากลจักรวาลตลอดกาลนานเถิด…”
“ฉันให้เพราะ…ไม่ใช่ด้วยเหตุที่เธอทำให้ฉันทุกข์ทรมาน แต่ให้เพราะฉันเห็นเธอมีความทุกข์ทรมานเช่นกัน… สรรพพลังงานผู้ทำหน้าที่บีบคั้นใจ”
มัญชุศรี ปารมิตาสูตร
ท่อนแรก :
ข้าพเจ้าสดับมาดั่งนี้ สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ในสวนของท่านอนาถบิณฑิกะในเมืองสาวัตถี พร้อมด้วยบรรดามหาภิกษุจำนวนหนึ่งหมื่น และพระโพธิสัตว์ทั้งหลายจำนวนหนึ่งแสน ที่ล้วนแต่ตั้งอยู่ในภูมิอันไม่เสื่อมถอย
ในอดีตที่ผ่านมาแสนนานก็ได้สักการะพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ประมาณพระองค์ไม่ได้มาแล้ว แลได้ปลูกฝังกุศลมูลอย่างลึกซึ้งต่อพระพุทธเจ้าเหล่านั้น ได้ยังประโยชน์ให้สำเร็จแก่หมู่สัตว์ ชำระพุทธโลกธาตุให้บริสุทธิ์ ได้บรรลุถึงธารณี มีปฏิภาณไหวพริบ ได้สำเร็จแล้วซึ่งปัญญาญาณสมบูรณ์ในมวลหมู่กุศล ได้ใช้อภิญญาอันเป็นอิสระเที่ยวไปในพุทธเกษตรทั้งปวง และเปล่งประภาสรัศมีที่ไม่มีประมาณ กล่าวแสดงพระสัทธรรมที่ไม่มีประมาณ ได้สั่งสอนพระโพธิสัตว์ทั้งปวงให้เข้าสู่ความเป็นเอกลักษณะ
(ความเป็นหนึ่งเดียว, ไม่มีสอง) ได้บรรลุถึงความไม่หวาดกลัว ใช้ความดีบำราบหมู่มาร ทั้งสั่งสอนเหล่าพาหิระที่เห็นผิดให้หลุดพ้น หากมีสรรพสัตว์ที่ยินดี
ในสาวกก็เป็นสาวกยาน
ผู้ยินดีปัจเจกก็เป็นปัจเจกยาน
ผู้ยินดีในโลกก็เป็นโลกยาน
ได้ใช้.ทาน ศีล ขันติ วิริยะ ฌาน ปัญญา
สังเคราะห์สรรพสัตว์ทั้งหลาย โปรดผู้ยังไม่ได้โปรด ผู้ยังไม่หลุดพ้นก็ช่วยให้หลุดพ้น ผู้ไม่สงบก็ช่วยให้สงบ
ผู้ยังไม่นิพพานก็ยังให้นิพพาน ได้ประพฤติโพธิสัตวจรรยาอย่างถึงที่สุด สามารถเข้าสู่พุทธธรรมปิฎกทั้งปวงได้อย่างช่ำชอง อันกุศลนานาเหล่านี้ก็ล้วนแต่บริบูรณ์พร้อม
นามกรแห่งท่านเหล่านั้นมี
พระมัญชุศรีธรรมราชกุมารโพธิสัตว์
พระเมตไตรยโพธิสัตว์
พระสมันตประภาสโพธิสัตว์
พระศูรวีริยโพธิสัตว์
พระไภษัชยราชโพธิสัตว์
พระรัตนปาณีโพธิสัตว์
พระรัตนมุทราโพธิสัตว์
พระจันทรประภาสโพธิสัตว์
พระอาทิตยศุทธิโพธิสัตว์
พระมหาพละโพธิสัตว์
พระอนันตพละโพธิสัตว์
พระวิริยปราปต์โพธิสัตว์
พระมหาธวัชพละโพธิสัตว์
พระธรรมลักษณโพธิสัตว์
พระอิศวรราชโพธิสัตว์
บรรดาพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ดังนี้จำนวนหนึ่งแสน พร้อมทั้งเทวดา นาคปีศาจอื่นๆ อีกเป็นมหาชนหมู่ใหญ่ ที่ล้วนแต่มาประชุมกันอยู่
วิถีทำสู่ธรรมจักรวาล

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

เมื่อจิตใจมนุษย์ตื่นขึ้นสู่จิตวิญญาณ
จิตใจของมนุษย์จะมองหาคำตอบสำหรับคำถามเก่า ๆ
นับตั้งแต่ที่จิตใจของมนุษย์สูญเสียการเชื่อมต่อกับจิตวิญญาณมนุษย์จึงรู้สึกสูญเสียความเป็นจริง
ที่พวกเขาเห็นว่าเป็นความจริงและพวกเขามองว่าความเป็นจริงทางวิญญาณไม่ใช่ของจริง
เกือบทุกศาสนามีชีวิตหลังความตายหมายความว่าพวกเขาเชื่อว่าร่างกายไม่ใช่ทั้งหมดที่มี แต่คนส่วนใหญ่เชื่อว่าคุณสามารถเข้าถึงการดำรงอยู่ของวิญญาณหลังจากความตายเท่านั้น
จะเป็นอย่างไรหากในการเริ่มต้นสร้างการดำรงอยู่ของร่างกายมนุษย์บนโลกนั้นไม่มีจิตใจของมนุษย์
ร่างกายมนุษย์เป็นเพียงภาชนะสำหรับจิตวิญญาณเท่านั้น เรามาดูกันว่าร่างกายมนุษย์ถูกสร้างขึ้นโดยผู้ชายและผู้หญิงอย่างไร จากนั้นวิญญาณก็เข้ามาในภาชนะที่สร้างขึ้นสำหรับวิญญาณนี้โดยร่างกายของมนุษย์อื่น ๆ
เนื่องจากความหนาแน่นภายในความเป็นจริงของโลกวิญญาณส่วนใหญ่สามารถเชื่อมต่อกับเรือของมนุษย์ได้มากพอที่จะยึดเกาะและใช้ร่างกายในทางกายภาพได้
จากนั้นจิตวิญญาณของเราอาศัยจิตใจ / สมองของมนุษย์เพื่อทำงานบนโลก
มันเหมือนกับสายเงินที่หลายคนมองว่ามันเดินทางออกจากร่างกาย สายสีเงินเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างจิตวิญญาณและร่างกายมนุษย์
ในขณะที่จิตใจมนุษย์ตื่นขึ้นหรือตระหนักถึงจิตวิญญาณจิตใจของมนุษย์เริ่มค้นหาคำตอบเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่สามารถหาคำตอบได้ในความเป็นจริงของมนุษย์
สิ่งที่จิตใจมนุษย์พยายามค้นหามากที่สุดคือจุดประสงค์ของการเป็นมนุษย์บนโลก ความเป็นจริงของโลกเป็นความจริงแบบคู่กับประสบการณ์ที่เลวร้ายที่สุดและดีที่สุดของมนุษย์และทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ระหว่างนั้น
อารมณ์ของมนุษย์จะใช้ในการทำความเข้าใจจิตวิญญาณ และสิ่งต่างๆเช่นความรักและความเกลียดชังถูกใช้เป็นเครื่องหมายในการทำความเข้าใจความเป็นจริงทางวิญญาณ
เมื่อพิจารณาว่าเราเห็นความรักเป็นอารมณ์ที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรักที่ไม่มีเงื่อนไขเราเห็นหรือคิดว่าจิตวิญญาณของเราเป็นได้แค่ “ความรัก”
เราชอบคิดว่าถ้ามีคนอื่นควบคุมพวกเขา (จิตวิญญาณ) ควรจะเป็นเพียงความรักนั้นพวกเขา (จิตวิญญาณ) สามารถหรือควรมีความสนใจสูงสุดในใจและหากเป็นเช่นนั้นจริงพวกเขา (จิตวิญญาณ) ต้องรักเรา (มนุษย์ ) และรักเราโดยไม่มีเงื่อนไขเมื่อพิจารณาถึงสิ่งเลวร้ายที่มนุษย์เราทำในบางครั้ง
เราชอบเรียกมันว่าความรักจากพระเจ้าความรักที่สูงขึ้นความรักที่ไม่มีเงื่อนไขและมนุษย์

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

การปลดปล่อยความโกรธและความเกลียดนั้น เป็นสิ่งจำเป็น หลายคนมีความโกรธและเกลียดชังอยู่ในตัว และเท่าที่แก่นและจริยธรรมบางครั้งเขาก็มีมากกว่าหลายคนที่เกลียดเขา เมื่อฉันเห็นบางคนแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น จากหลายคนที่ไม่ซื่อสัตย์
ฉันได้เห็นพลังแห่งความเกลียดชังที่ส่งไปยังลุงเช่นเดียวกับความเป็นอยู่ที่สูงขึ้นของเขาและฉันรู้ว่าเขาเป็นนายที่น่าทึ่ง
ที่รับมันมาเพื่อล้างความเกลียดชังทั้งหมดออกไป ฯลฯ
ฉันเห็นหลายสิ่งหลายอย่างเขียนขึ้นเกี่ยวกับเรื่องนี้และบางครั้งมันก็น่ารำคาญจริงๆ
วิทยาศาสตร์ไม่สามารถเห็นด้วยกับความจริงที่ว่าพืชรู้สึกได้เพราะพืชไม่มีตัวรับประสาททั้งหมดเช่นเดียวกับมนุษย์และสัตว์มี
พวกเขายังคงทราบดีว่าพืชต้องพึ่งพาสัตว์ในการงอกและสร้างพืชใหม่เกือบตลอดเวลา อาหารในโลกมาจากสัตว์และพืชที่กำลังจะตายและด้วยวิธีนี้ทำให้พืชใหม่มีชีวิต
สัตว์หลายชนิดอาศัยพืชเป็นแหล่งอาหารดังนั้นสัตว์และพืชทำงานร่วมกันเพื่อการดำรงอยู่ของพวกมัน
ในฐานะมนุษย์เรามีความรู้สึกและเราสามารถแสดงความรู้สึกเหล่านั้นได้ สัตว์สามารถแสดงออกถึงความรู้สึกได้เช่นกัน
น้ำสามารถแสดงออกได้มากพอ ๆ กันในรูปแบบที่แตกต่างกัน ดังนั้นพืชสามารถ
แนวคิดทั้งหมดคือการมีความทุกข์น้อยลงและส่งผลกระทบต่อธรรมชาติน้อยลง คำถามคือถ้าเราทานอาหารจากพืชผลที่ตามมาสำหรับสัตว์คืออะไร พวกมันจะสูญพันธุ์หรือไม่?
นั่นส่งผลต่อพืชหลายชนิดเนื่องจากพวกมันต้องพึ่งพาสัตว์เพื่อดำรงอยู่
เป็นทางเลือกที่ยากและฉันคิดว่ามันเป็นทางเลือกส่วนตัว
ฉันอยากจะขอให้ทุกคนที่เลือกที่จะไม่กินเนื้อสัตว์ให้หยุดตัดสินและทำให้คนที่กินเนื้อต้องอับอาย
จนถึงขณะนี้ยังไม่มีข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ว่าทางใดทางหนึ่งจะดีกว่ากัน เนื่องจากเราไม่ทราบถึงผลที่ตามมาในระยะยาว
โลกนี้มีอายุหลายพันล้านปีและยังคงมีชีวิตอยู่รอดของมนุษยชาติมาโดยตลอด เรารู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของมนุษย์ประมาณ 200.000 ปีของพันล้านปีเหล่านั้น
เป็นการดีที่จะคิดถึงผลกระทบของเราที่มีต่อโลกขณะที่เราอยู่ที่นี่ แต่การที่เรามีอยู่บนโลกนี้เป็นเพียงแค่เศษเล็กเศษน้อยของทุกคนที่มาก่อนเราและใครจะตามมา
ในความเป็นจริงผลกระทบของเรามีเพียงหนึ่งมิลลิวินาทีในการดำรงอยู่ของโลก อาจจะน้อยกว่าด้วยซ้ำ
ใช่ทุกวินาทีมีค่าคือสิ่งที่หลายคนจะพูด แต่เราเป็นใครที่จะตัดสินเส้นทางวิวัฒนาการของโลก
อารยธรรมทั้งหมดอาจจะมาและจากไปและเราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับพวกเขา
แต่โลกยังคงอยู่ที่นี่
และจะอยู่ที่นี่นานหลังจากที่คุณจากไป

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

วิธีเชิญเนื้อคู่เข้ามาในชีวิต!
Soul Mate คืออะไร?
คู่ชีวิตคือความสัมพันธ์ที่โรแมนติกที่มีชะตากรรมกับคนที่คุณรู้สึกว่ามีความสัมพันธ์เป็นพิเศษ คุณตกหลุมรักและสนับสนุนจิตวิญญาณของกันและกันและร่างกายของพวกเขา การสนับสนุนเป็นแนวคิดหลักที่นี่ คุณเป็นแฟนตัวยงของกันและกันและเป็นที่ที่ปลอดภัยสำหรับการล่มสลาย ความสัมพันธ์นี้ไม่เคยทำให้เสื่อมเสียไม่เหมาะสมหรืออยู่บนพื้นฐานของการหลงตัวเองหรือการควบคุม เมื่อคุณพบบางสิ่งบางอย่างในตัวคุณก็ตื่นขึ้นแม้จะชื่นชมยินดี คุณสามารถหายใจได้ในที่สุด สิ้นสุดการรอแล้วคุณกลับมาถึงบ้านอีกครั้ง
คู่ชีวิตไม่จำเป็นต้องเป็นคนในอุดมคติที่จะทำให้ชีวิตของคุณสมบูรณ์แบบหรือรักษาความเหงาได้ คุณไม่จำเป็นต้องชอบหรือเห็นด้วยกันเสมอไป แต่เขาหรือเธอจะช่วยคุณพัฒนา คุณจะได้เรียนรู้จากกันและกัน
นี่คือคำแนะนำที่จะช่วยคุณปรับโฟกัสที่ใช้งานง่ายของคุณเพื่อให้คู่ชีวิตของคุณเป็นจริงได้
1. เชิญคู่ชีวิตของคุณเข้ามา
ยอมจำนนต่อการกระทำโดยจัดเวทีสำหรับคู่ชีวิตจากนั้นสังเกตสัญญาณว่าเขามาถึงแล้ว
2. สร้างรายการที่ต้องการ
ใช้เวลาเงียบ ๆ เพื่อนึกภาพคุณสมบัติที่คุณปรารถนามากที่สุดในคู่ครอง ถามตัวเองว่าอะไรจะดีสำหรับฉันอย่างแท้จริง? ฉันต้องการอะไร? ความฉลาด? น้ำใจ? สนับสนุน? เคมี? ต้องการลูก? ทักษะการสื่อสารที่ดี? เขาหรือเธอเชื่อมต่อทางจิตวิญญาณหรือไม่? จัดทำรายการลักษณะที่คุณไม่สามารถยอมรับได้เช่นการหมกมุ่นอยู่กับตัวเองหรือเข้มงวด ความต้องการของทุกคนแตกต่างกัน
3. ปลดปล่อยความคาดหวัง
คิดว่ารายการของคุณเป็นจดหมายถึงวิญญาณ คุณได้ร้องขอคู่ชีวิตของคุณ ไม่ต้องคอยส่งจดหมายซ้ำ ตอนนี้ให้รายการไป เก็บความปรารถนาไว้ในใจเบา ๆ แต่อย่าเร่งเร้า เชื่อว่าคุณเคยได้ยิน
4. ฟังสัญชาตญาณ
สังเกตสัญญาณที่เข้าใจง่ายว่าคุณได้พบกับคนที่สนใจแม้ว่าเขาหรือเธอจะไม่ใช่“ คนประเภทของคุณ” ก็ตาม คลื่นความหนาวสั่นอย่างฉับพลันความรู้สึกดึงดูดใจหรือความเข้าใจที่ลึกซึ้งว่าบุคคลนี้อาจเหมาะกับคุณ ระวังสัญชาตญาณเช่นความรู้สึกไม่สบายในลำไส้ของคุณหรือความรู้สึกไม่ไว้วางใจที่เตือนว่า“ อันตราย ข่าวร้าย. อยู่ห่าง ๆ.” สิ่งเหล่านี้จะช่วยปกป้องคุณจากความสัมพันธ์ที่ไม่แข็งแรง
5. ระวังซิงโครนิกส์และเดจาวู
การซิงโครไนซ์เป็นช่วงเวลาที่สมบูรณ์แบบเมื่อเส้นทางเชื่อมต่อถึงกันได้อย่างง่ายดาย คุณนั่งข้างใครบางคนในภาพยนตร์ที่กลายเป็นคู่ชีวิตของคุณ หรือคุณมีโอกาสไปปารีสที่คุณจะได้พบกับเดอะวัน นอกจากนี้ให้สังเกตว่าคุณมีความรู้สึกของเดจาวูราวกับว่าคุณเคยรู้จักกันมาก่อน หากสิ่งนี้เกิดขึ้นกับคนแปลกหน้าให้พูดในตลาดดำเนินการกับสถานการณ์ด้วยการยิ้มและสบตา จากนั้นเริ่มการสนทนาเช่นการขอเส้นทาง
ไม่มีกำหนดเส้นตายสำหรับคู่ชีวิต คุณสามารถมาถึงเมื่อคุณอายุยี่สิบหรือแปดสิบเมื่อใดก็ตามที่ถึงเวลาที่เหมาะสม แรงดึงดูดทางเพศเป็นส่วนหนึ่งของความผูกพันแม้ว่าสิ่งนี้อาจแตกต่างกันไปในช่วงชีวิตต่างๆ ความสัมพันธ์เหล่านี้บางส่วนราบรื่นอย่างไม่น่าเชื่อในขณะที่ส่วนใหญ่มีความท้าทายมากกว่า อย่างไรก็ตามกับคู่ชีวิตสองคนแข็งแกร่งกว่าหนึ่งคน คุณทำให้กันและกันดีขึ้น

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

ทุกคนได้รับสัญญาณทุกวัน โดยปกติสัญญาณและความสอดคล้องต่าง ๆ จะยืนยันว่าเรากำลังดำเนินการอย่างถูกต้องหรือกำลังสั่งให้เราดำเนินการอื่น
สัญญาณไฟคู่และซิงโครไนซ์มักจะมุ่งไปที่การทำให้เราหันมาสนใจแฝดของเราเป็นส่วนใหญ่ แทบจะไม่เคยมีสัญญาณขอให้เราดำเนินการ เหมือนกับว่าจักรวาลไม่ต้องการให้เราฟุ้งซ่านหรือลืมภารกิจของเรา
โดยปกติเรามักจะได้ยินคนพูดว่า“ เมื่อฉันได้ยินหรือเห็นบางสิ่งสามครั้งฉันจะถือเป็นสัญญาณ”
ถ้าจักรวาลต้องการให้เราใส่ใจกับเปลวไฟคู่อย่างแท้จริงเราจะได้รับสัญญาณและซิงโครไนซ์ 100 และ 100 เราถูกทิ้งเกลื่อนกลาดทั้งหมดมาจากแหล่งต่าง ๆ ในเวลาที่ต่างกันในรูปแบบที่แตกต่างกัน เราหันกลับมาได้และตรงหน้าเราก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณ
บางครั้งด้วยสัญญาณเปลวไฟคู่และซิงโครไนซ์อาจทำให้รุนแรงได้ เมื่อเห็นหรือได้ยินสัญญาณหรือการประสานกันเราอาจมีอารมณ์ร่วมได้โดยการฉีกขาดรู้สึกกลัวเล็กน้อย
หรือเหมือนเราเพิ่งเข้าสู่แดนสนธยา และถ้าเราอยู่กับคนอื่นในเวลานั้นพวกเขาจะรู้สึกถึงผลกระทบทางอารมณ์กับเรา เหมือนกับว่าจักรวาลต้องการให้มันอยู่ตรงหน้าคุณดังนั้นจึงไม่มีทางที่คุณจะปฏิเสธได้
“ ความซิงโครไนซ์คือความจริงในปัจจุบันสำหรับผู้ที่มีตาเห็น”
– คาร์ลจุง

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

สัญลักษณ์เปลวไฟคู่และรูปแบบความสัมพันธ์:
คู่รักที่มีเปลวไฟคู่ใจจะนึกถึงการเชื่อมต่อพลังงานตลอดช่วงชีวิตของคุณคุณอาจมีความฝันวิสัยทัศน์หรือจินตนาการของบุคคลลึกลับที่ผิดปกติหรือมีพลัง คุณได้รับความรู้สึกพิเศษและพลังของแต่ละคนรู้สึกคุ้นเคยราวกับว่าเป็นคนที่คุณเคยพบในอดีตหรือคนที่คุณจะได้พบในอนาคตที่ไม่รู้จัก คุณมีความรู้สึกคลุมเครือว่าบุคคลนี้มีอยู่จริงแม้ว่าคุณจะไม่สามารถมองเห็นใบหน้าหรือสร้างรูปลักษณ์ทางกายภาพของพวกเขาในความคิดของคุณได้ คุณมีความรู้สึกราวกับว่าบุคคลนี้ ‘อยู่ที่นั่นที่ไหนสักแห่ง’ และอาจรู้ด้วยซ้ำว่าคุณเป็นใครในระดับเดียวกัน
อาจมีความผิดปกติหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบการประชุมครั้งแรกระหว่างเปลวไฟครั้งแรก บ่อยครั้งที่คุณมีความรู้สึกหรือ ‘รู้’ บางสิ่งบางอย่างที่คุณไม่สามารถบรรยายเป็นคำพูดได้ Twinflames มักจะพบกันเป็นครั้งแรก (ไม่ว่าจะด้วยตนเองหรือทางออนไลน์) ในลักษณะที่ผิดปกติ เปลวไฟคู่เข้ามาในชีวิตของเราด้วยวิธีที่ไม่คาดคิดจากสีน้ำเงินและโดยปกติจะมีการประสานและเหตุการณ์แปลก ๆ หรือการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของพลังงานในสัปดาห์เดียวกันของการประชุมครั้งแรก
คู่รักคู่แฝดส่วนใหญ่อยู่ห่างไกลกันหรืออาศัยอยู่ในประเทศต่างๆ มักจะมีบางอย่างที่ขัดขวางไม่ให้ทไวซ์เฟลมอยู่ด้วยกันในช่วงแรก โดยปกติจะเป็นเพราะมีงานที่ต้องทำอย่างหนักในระดับจิตใจและอารมณ์ก่อนที่การประชุมทางกายภาพจะเกิดขึ้น หากการประชุมทางกายภาพเกิดขึ้นเร็วเกินไปพลังงานมักจะรุนแรงเกินไป
ความสัมพันธ์เกิดขึ้นทันทีราวกับว่าไม่มีเวลาที่จะหายไปตั้งแต่คุณอยู่ด้วยกันครั้งสุดท้าย คุณรู้สึกสบายใจเมื่ออยู่กับพวกเขาและคุณรู้สึกว่าคุณสามารถเป็นตัวของตัวเองกับพวกเขาได้อย่างแท้จริง บางครั้งการสนทนาดูเหมือนจะคงอยู่ตลอดไปและมีไม่มากที่เปลวไฟคู่ไม่เต็มใจที่จะพูดถึง ราวกับว่าคุณสามารถแบ่งปันทั้งชีวิตของคุณกับคน ๆ นี้และมีระดับของการเปิดกว้างและความเข้าใจระหว่างคุณซึ่งนำมาซึ่งความรู้สึกคุ้นเคยที่สะดวกสบาย แต่น่าสนใจ
คุณรู้สึกถึงความรักและแรงดึงดูดอย่างท่วมท้น ความรักนี้เป็นของแท้และจริงใจและคุณรู้สึกดึงดูดพลังของพวกเขาด้วยแม่เหล็ก ไม่ต้องสับสนกับตัณหาหรือความรักครอบงำ ความรักแบบ Twinflame ไม่มีเงื่อนไขและก้าวข้ามอัตตา หากคุณพบเปลวไฟคู่ของคุณไม่ได้หมายความว่าความสัมพันธ์จะต้องปราศจากปัญหาหรือความขัดแย้งส่วนตัว อาจยังมีบทเรียนและการรักษาที่ต้องเกิดขึ้นระหว่างวิญญาณฝาแฝด Twinflames ยังคงเป็นมนุษย์ในระดับกายภาพ
คุณรู้สึกถึงความสมบูรณ์ที่เกินคำบรรยาย ความรู้สึกนี้เกี่ยวกับความสมบูรณ์ในระดับจิตวิญญาณที่อยู่นอกเหนือจากร่างกาย เปลวไฟแฝดแต่ละดวงยังคงเป็นของแต่ละบุคคลและไม่ใช่ ‘อีกครึ่งหนึ่งของจิตวิญญาณของคุณ’ ราวกับว่าคุณเป็นจิตวิญญาณที่สมบูรณ์ในตอนนี้ที่คุณได้พบแล้ว คุณกำลังพบกับกระจกที่มีพลังของจิตวิญญาณของคุณเอง คุณแบ่งปันการสั่นสะเทือนและคุณสะท้อนกับพวกเขา คุณยังรู้สึกดึงดูดเสียงของพวกเขาและมันอาจฟังดูคุ้นเคยสำหรับคุณด้วยซ้ำ
สัญญาณของความสัมพันธ์ของ TWINFLAME และ TWIN SOUL RELATIONSHIP DYNAMIC
มีลักษณะทั่วไปหลายประการและลักษณะที่น่าสนใจของจิตวิญญาณคู่แฝดตลอดจนอาการและอาการแสดงที่ผิดปกติของพลังงานและประสบการณ์แฝด สัญญาณเหล่านี้บ่งชี้ว่ากำลังจะได้พบกับเปลวไฟคู่ของพวกเขาหรือได้กลับมารวมตัวกับวิญญาณฝาแฝดของพวกเขาในระดับกายภาพแล้วเช่นเดียวกับคำอธิบายของพลวัตที่เกิดขึ้นในความสัมพันธ์แบบเปลวไฟคู่
เปลวไฟคู่ความรักมีพลวัตอาจมีสถานการณ์ที่ผิดปกติและเหตุการณ์ที่มีพลังเกิดขึ้นในช่วงเวลาที่เปลวไฟคู่พบกัน วิญญาณแฝดหลายคนอาจเคยข้ามเส้นทางมาแล้วครั้งหนึ่งในอดีตโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ (ต่อ …… ).
คำอธิบายเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับสัญญาณทั่วไปและสัญญาณที่ผิดปกติของวิญญาณคู่แฝดตลอดจนพลังงานและลักษณะเฉพาะของการเชื่อมต่อเปลวไฟคู่:
TWINFLAME RELATIONSHIP SIGNS – ลิงค์:
เป็นสิ่งที่ดีกว่าทางกายภาพ
ลิงค์:
Twin Souls เติมเต็มซึ่งกันและกันอย่างมีพลังและบุคลิกภาพของคุณมีหลายแง่มุมมุมมองเกี่ยวกับชีวิตหรือ ‘นิสัยใจคอในพฤติกรรม’ เล็กน้อยที่คุณทั้งคู่อาจแบ่งปันซึ่งกันและกัน แต่เนื่องจากคุณแต่ละคนมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวจึงมีความแตกต่างกันอยู่บ้าง
นอกจากนี้ยังมีแง่มุมของเปลวไฟคู่ของคุณที่ดูเหมือนตรงข้ามกับคุณอย่างสิ้นเชิง แต่ลักษณะเฉพาะและคุณสมบัติที่ตรงกันข้ามของคุณอาจเป็นจุดแข็งและการรับรู้ที่ช่วยสร้างสมดุลระหว่างความสัมพันธ์และกันและกันหากอัตตาอยู่เหนือกว่า เช่นเดียวกับหยินและหยาง
สัญลักษณ์รูปหัวใจหยินหยางเรืองแสง Twinflames เชื่อมต่อกับระดับจิตวิญญาณ Twinflames มีความเอาใจใส่ซึ่งกันและกันและรู้สึกถึงกันและกันในแบบที่นอกเหนือไปจากทางกายภาพ แม้ในขณะที่อยู่ห่างไกลเปลวไฟคู่มักจะรู้สึกกระปรี้กระเปร่า
เนื้อคู่หรือคู่ชีวิต?
10 องค์ประกอบของ Soul Mate
เพื่อนร่วมวิญญาณ เตือนวิญญาณ การเชื่อมต่อวิญญาณ เราได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้อ่านเกี่ยวกับเรื่องนี้และพวกเราบางคนก็โชคดีที่ได้สัมผัสกับมัน เราทุกคนอยากรู้อยากเห็นและพวกเราส่วนใหญ่ต้องการสิ่งนั้น
“ คู่ชีวิตของคุณทำให้คุณรู้สึกเหมือนเดิมราวกับว่าไม่มีชิ้นส่วนใดหายไปจากปริศนา ในทางกลับกันคู่ชีวิตอาจเป็นผู้สนับสนุนที่ดีและเป็นเพื่อนร่วมชีวิตที่ยาวนาน แต่มีข้อ จำกัด ในความสามารถในการเสริมสร้างจิตวิญญาณของคุณ”
เพื่อนร่วมชีวิตแตกต่างจากคู่ชีวิต บางคนไม่เคยพบคู่ชีวิตหรือการเชื่อมต่อทางวิญญาณก็ปักหลักกับคู่ชีวิต ความสัมพันธ์เหล่านี้สามารถเป็นที่น่าพอใจมาก พวกเขามักสร้างขึ้นจากความไว้วางใจความเคารพและมิตรภาพซึ่งกันและกัน
คุณจะเห็นว่าในชีวิตเราไม่สามารถควบคุมเวลาและบางครั้งก็ควบคุมสถานการณ์ได้น้อยลง บางคนไม่สามารถรอได้ตลอดไปด้วยความหวังว่าจะได้พบคู่ชีวิตดังนั้นพวกเขาจึงพอใจกับความสัมพันธ์ในชีวิตคู่ที่เป็นผู้ใหญ่ สำหรับบางคนมันเกี่ยวกับการอยู่รอดความมั่นคงหรือความเป็นเพื่อนที่เรียบง่ายและคำว่าคู่ชีวิตไม่ได้สะท้อน แนวคิดนี้อาจดูเรียบง่ายเพ้อฝันและไม่สมจริง สภาพชีวิตระยะเวลาความพร้อมความปลอดภัยและปัจจัยอื่น ๆ อีกมากมายอาจมีผลต่อการเลือกความสัมพันธ์ของเรา …
แต่…
โอกาสที่คุณจะเปิดกว้างพร้อมและมีความสุขมากพอที่จะได้พบกับ Soul Mate ในช่วงชีวิตนี้มันจะเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดและไม่คาดคิด อาจรู้สึกไม่มั่นคงไม่มั่นคงและไม่เป็นเหตุเป็นผลเพราะเป็นการเชื่อมต่อที่แตกต่างจากที่คุณเคยมี
ไม่มีคำพูดหรือคำอธิบายใดที่สามารถสื่อถึงความเชื่อมโยงดังกล่าวได้อย่างชัดเจน มันเป็นพลังงานแม่เหล็กการรู้โดยสัญชาตญาณและดูเหมือนถูกต้อง ไม่ว่าจะมีพื้นที่หรือเวลาเพียงใดคุณก็พบหนทางของคุณซึ่งกันและกัน
จริงๆแล้วจังหวะและวิธีมักจะแย่มาก แต่เมื่อมันมาถึงคุณก็รู้ มี “ฉันรู้สึกถึงคุณ” มีความลื่นไหลและจังหวะที่ดูเหมือนจะถูกชี้นำโดยสิ่งที่สูงกว่ามาก คุณถอยออกมาเพื่อจับลมหายใจเพราะลึก ๆ แล้วคุณรู้ว่านี่เป็นสิ่งพิเศษ นี่คือความแตกต่าง นี่คือของแท้
มันดิบและมันเป็นเรื่องจริงที่น่ากลัวมากจนคุณอยากจะวิ่งหนีเพียงเพื่อดื่มด่ำและเอามันเข้าไปคู่ชีวิต คนที่คุณรู้สึกสั่นสะเทือนเมื่ออยู่ห่างออกไปหนึ่งพันไมล์ คนที่คุณได้ยินเสียงกระซิบเมื่อพวกเขาคิดถึงคุณ ผู้ที่ให้คุณเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ แต่โอบกอดเงาของคุณจากระยะไกล ที่หนึ่ง. คนที่คุณรู้สึกเหมือนรู้จักกันมาเป็นล้านปี
เมื่อคุณเข้าสู่ WOW ในที่สุดคุณจะเห็นความสวยงามความหายากและความชัดเจนในที่สุด คุณรู้ว่ามันเป็นเรื่องจริงผู้รักษา บางครั้งเป็นเพื่อนบางครั้งคนรัก บางครั้งชั่วคราวและครั้งอื่น ๆ ถาวร
คำเตือนจิตวิญญาณที่สวยงามเหล่านี้อาจปรากฏขึ้นในชีวิตของเราชั่วคราวเพื่อเตือนให้เรานึกถึงสิ่งที่เราลืมไป การเขียนการร้องเพลงการสร้างสรรค์จินตนาการการเต้นรำหรือการใช้ชีวิต พวกเขาจุดประกาย พวกเขาได้รับไฟ พวกเขาคือการสะกิดที่นุ่มนวล บางครั้งพวกเขาอยู่และบางครั้งก็ดำเนินต่อไป แต่พวกเขามักจะทำให้คุณซาบซึ้งและมักจะลืมหายใจ พวกเขาเตือนเราให้มีชีวิตมีชีวิตชีวาและมีความหวัง
“ คุณเคยพบใครเป็นครั้งแรก แต่ในใจของคุณคุณรู้สึกราวกับว่าคุณเคยพบมาก่อนหรือไม่”
~ Joanne Kenrick, When a Mullo Loves a Woman
#เราไม่ได้สร้างความรักเราไม่ได้จูบด้วยซ้ำ แต่ความใกล้ชิดที่อธิบายไม่ได้ที่เราแบ่งปันทำให้เราไม่ต้องพูดกันและจ้องมองซึ่งกันและกันอย่างสิ้นหวัง” ~ จัสมิน Dubroff
#เนื้อคู่คือคนที่ดึงเอาสิ่งที่ดีที่สุดในตัวคุณออกมา พวกเขาไม่สมบูรณ์แบบ แต่เหมาะสำหรับคุณ” ~ ไม่ทราบผู้แต่ง
มีการจับได้ว่าต้องเผชิญหน้ากับการเชื่อมต่อที่ลึกซึ้งเหล่านี้ ก่อนที่คุณจะก้าวไปสู่ความลึกนี้และกล้าพอที่จะสังเกตเห็นได้คุณต้องรักตัวเองก่อน เพราะเมื่อคุณมีความรักนับล้านครั้งสำหรับตัวคุณเองมันเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติและง่ายดายโดยเปลี่ยนผ่านตัวคุณและเปลี่ยนผ่านไปหาคนที่รักตัวเองมากเกินไปและพร้อมและเปิดกว้างสำหรับความลึกซึ้ง
ความใกล้ชิดต้องเปิดใจ การมองค้นหาอธิษฐานนึกภาพและนั่งสมาธิไม่ได้นำมาซึ่งคู่ชีวิต ฉันไม่เชื่อว่าพวกเขาจะถูกอัญเชิญได้ ไม่มีใครสามารถเป็นอีกครึ่งหนึ่งของคุณหรือเติมถ้วยของคุณได้นอกจากคุณ แน่นอนว่าคู่ชีวิตสามารถเตือนใจสร้างแรงบันดาลใจและยกระดับชีวิตของคุณได้อย่างแน่นอน แต่ไม่มีใครสามารถเป็นความสุขของคุณได้ – แต่คุณ แม้ว่าสามารถเตรียมได้
ทำงานของคุณ. รักและบำรุงตัวเอง. เติมจิตวิญญาณของคุณเองและเติมไฟของคุณเอง แล้วเมื่อไหร่และถ้าพวกเขามาคุณก็พร้อมที่จะเสียงดังฉ่า
“ อย่ากังวลกับการค้นหาคู่ชีวิตของคุณ ค้นหาตัวเอง.”
~ Jason ปลิว
รู้สึกสงสัย? อ่านต่อไปโดยไม่ต้องวิเคราะห์มากเกินไปให้ถามตัวเองว่า – คู่ชีวิตหรือคู่ชีวิต?
…..
องค์ประกอบ 10 ประการของ SoulMate
1. มีบางอย่างอยู่ข้างใน การอธิบายว่าคู่ชีวิตทำให้คุณรู้สึกอย่างไรนั้นเป็นเรื่องยาก มันเป็นอารมณ์ที่เหนียวแน่นลึกซึ้งและเอ้อระเหยซึ่งไม่มีคำใดสามารถครอบคลุมได้
2. เหตุการณ์ย้อนหลัง หากคู่ของคุณเป็นคู่ชีวิตของคุณมีโอกาสที่เขาหรือเธอจะอยู่ในชีวิตที่ผ่านมาของคุณ คุณอาจรู้สึกแปลก ๆ ของเดจาวูราวกับว่าช่วงเวลานั้นได้เกิดขึ้นแล้วบางทีนานมาแล้วบางทีอาจจะอยู่ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างออกไป
3. คุณแค่ได้รับกันและกัน เคยเจอคนสองคนที่จบประโยคกันไหม? บางคนเรียกการใช้เวลาร่วมกันมากเกินไป แต่ฉันเรียกว่าการเชื่อมต่อระหว่างคู่ชีวิต คุณอาจประสบกับสิ่งนี้กับเพื่อนสนิทหรือแม่ของคุณ แต่มันเป็นสัญญาณบอกเล่าของคู่ชีวิตเมื่อคุณได้สัมผัสกับคู่ของคุณ
4. คุณตกหลุมรักข้อบกพร่องของเขา (หรือเธอ) ไม่มีความสัมพันธ์ใดที่สมบูรณ์แบบและแม้แต่ความสัมพันธ์แบบคู่ชีวิตก็จะประสบกับภาวะลุ่มๆดอนๆ ถึงกระนั้นความผูกพันนั้นจะยากที่จะทำลาย เพื่อนร่วมวิญญาณมีช่วงเวลาที่ง่ายกว่าในการยอมรับแม้กระทั่งการเรียนรู้ที่จะรักซึ่งกันและกันก็ไม่สมบูรณ์แบบ
5. มันเข้มข้น ความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาอาจเข้มข้นกว่าความสัมพันธ์ปกติทั้งในทางดีและทางร้ายในบางครั้ง สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือแม้ในตอนเชิงลบคุณจะมุ่งเน้นไปที่การแก้ไขปัญหาและมองข้ามช่วงเวลาที่เลวร้ายไปได้
6. คุณสองคนต่อต้านโลก เพื่อนร่วมวิญญาณมักมองว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาเป็น “เรากับโลก” พวกเขารู้สึกเชื่อมโยงกันมากจนพร้อมและเต็มใจที่จะใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ตราบใดที่พวกเขามีคู่ชีวิตอยู่เคียงข้าง
7. คุณแยกไม่ออกทางจิตใจ เพื่อนร่วมวิญญาณมักมีความเชื่อมโยงทางจิตใจคล้ายกับฝาแฝด พวกเขาอาจหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเพื่อโทรหากันในเวลาเดียวกัน แม้ว่าบางครั้งชีวิตอาจทำให้คุณห่างกัน แต่จิตใจของคุณจะปรับตัวได้เสมอหากคุณเป็นคู่ชีวิต
8. คุณรู้สึกปลอดภัยและได้รับการปกป้อง ไม่ว่าคู่ของคุณจะเป็นเพศใดเขาหรือเธอควรทำให้คุณรู้สึกปลอดภัยและได้รับการปกป้องเสมอ คู่ชีวิตของคุณจะทำให้คุณรู้สึกเหมือนมีเทวดาผู้พิทักษ์อยู่เคียงข้าง คนที่เล่นกับความไม่มั่นคงของคุณไม่ว่าจะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวไม่ใช่คู่ชีวิตของคุณ
9. คุณไม่สามารถจินตนาการถึงชีวิตของคุณโดยไม่มีเขา (หรือเธอ) คู่ชีวิตไม่ใช่คนที่คุณจะเดินจากไปได้ง่ายๆ เป็นคนที่คุณคาดไม่ถึงว่าจะไม่มีคนที่คุณเชื่อว่าควรค่าแก่การเกาะติดและต่อสู้เพื่อ
10. คุณมองตากัน คู่ชีวิตมีแนวโน้มที่จะมองตากันเมื่อพูดบ่อยกว่าคู่รักทั่วไป มันมาจากความเชื่อมโยงที่ฝังลึกระหว่างพวกเขาโดยธรรมชาติ การมองคนในสายตาเมื่อพูดแสดงถึงความสบายใจและความมั่นใจในระดับสูง

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

การเปลี่ยนแปลงของจักรวาลส่งผลต่อร่างกายของเราอย่างไร ????
เราเป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลและจักรวาลเป็นส่วนหนึ่งของเรา ทุกอย่างเชื่อมต่อกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
เมื่อสิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นในโลกของจักรวาลหรือเกิดขึ้นกับวัตถุท้องฟ้าโดยทั่วไปจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีพลัง
การเปลี่ยนแปลงที่มีพลังเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อพวกเราทุกคน……ไม่ว่าเราจะตระหนักหรือไม่ก็ตาม !!! บางคนพาเราเข้ามาข้างในและคนอื่น ๆ ทำให้เราตั้งคำถามกับทุกสิ่งรอบตัว คุณไม่มีทางรู้อย่างแท้จริงว่าบางสิ่งจะส่งผลต่อคุณอย่างไรในขณะที่คุณไม่เหมือนใคร ???
เมื่อจักรวาลนำพลังงานต่ำออกมาพวกเราจำนวนมากก็ลงไปในที่ทิ้งขยะและรู้สึกหมดพลัง เราอาจจะเฉื่อยชาและลำไส้ของเราอาจอึดอัด ….หลายคนสังเกตเห็นปัญหาการย่อยอาหารเมื่อพลังงานในจักรวาลมีน้อย
เมื่อพลังของจักรวาลมีมากเราจะรู้สึกถึงบางสิ่งที่รุนแรงมากขึ้น นี่อาจเป็นสิ่งที่คุณได้สัมผัสในช่วงพระจันทร์เต็มดวง เรารู้สึกราวกับว่าเรากำลังผ่านการเปิดตัวและทุกสิ่งที่เรากำลังดำเนินอยู่นั้นถูกขยายออกไปอย่างมาก
นอกจากนี้ยังอาจทำให้เรามีปัญหาในการนอนหลับอย่างมาก พลังงานเหล่านี้บางส่วนผลักดันเราเข้าสู่ภายในและอื่น ๆ ออกสู่ภายนอก มันขึ้นอยู่กับสิ่งที่จักรวาลส่งมาให้คุณ
พลังภายในมีประโยชน์อย่างมากเพราะมันผลักดันให้เราดำดิ่งลงไปในตัวตนของเราและทำไมเราถึงเป็นอย่างที่เราเป็น มันกระตุ้นการรักษาและเปลี่ยนเราไปสู่ความคิดที่มีการศึกษามากขึ้น เราสามารถเรียนรู้ได้มากมายโดยการทำความรู้จักตัวเองในระดับที่ลึกขึ้น……. ปัญหามากมายสามารถแก้ไขได้ในลักษณะนี้เท่านั้น
หากคุณกำลังเผชิญกับบางสิ่งคุณควรถามตัวเองว่าพลังงานที่อยู่รอบตัวกำลังพยายามบอกอะไรคุณ หากคุณกำลังดิ้นรนเพื่อหาคำที่จะพูดบางทีการคิดอย่างจริงจังอาจเป็นไปตามลำดับ เมื่อใดก็ตามที่เราเจอบางสิ่งในชีวิตนี้มันมีความหมายอยู่เบื้องหลัง …. #จักรวาลทำงานอย่างลึกลับ การเปลี่ยนแปลงของท้องฟ้าและการเปลี่ยนแปลงของจักรวาลเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นตลอดเวลาไม่ว่าเราจะต้องการหรือไม่ก็ตามดังนั้นเราอาจใช้มันให้เป็นประโยชน์
หากคุณมีอาการปวดหัวคลื่นไส้อารมณ์ที่ไม่สามารถควบคุมได้อาการร้อนวูบวาบหรือสิ่งอื่นใดที่อาจเป็นได้และส่วนใหญ่เป็นเพราะพลังงานที่เปลี่ยนแปลงรอบตัวคุณ มีอาการหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นในจักรวาล มีอะไรอีกมากมายในโลกนี้มากกว่าที่เราจะรู้ ……….จักรวาลอยู่ที่การทำงานเสมอ

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

พลังจักรวาลและพลังชีวิต univers of life
พลังที่กระจายอยู่ทั่วจักรวาล เรียกสั้นๆ ว่า “พลังจักรวาล” ปกติ พลังจักรวาลมีมากมายหลายแบบ มีทั้งที่เกิดจากสิ่งไม่มีชีวิต เช่น พลังความร้อนจากไฟ และที่มาจากสิ่งมีชีวิต
เช่น พลังความร้อนจากกายสัตว์, พลังชีวิตหลังคนตายแล้วสลายออกสู่บรรยากาศ ฯลฯ เหล่านี้ รวมเรียกว่าพลังจักรวาลทั้งสิ้น แต่พลังจักรวาลที่นิยมฝึกกัน จะเป็นพลังจักรวาลที่มาจากสิ่งมีชีวิต เรียกว่า “#พลังออร่า” เนื่องจากพลังจากสิ่งไม่มีชีวิตนั้น หากเราซึ่งเป็นมนุษย์ได้รับมากหรือน้อยเกินไป หรือไม่เข้ากับสภาพร่างกาย ก็จะเกิดปัญหาต่อสุขภาพมาก เช่น พลังความร้อน หากได้รับมากเกินขีดสมดุล จะทำให้ร้อนใน พลังความเย็นหากได้รับมากเกินจะทำให้ป่วยง่าย
ดังนั้น ผู้ฝึกพลังจักรวาลจึงนิยมฝึกพลังจักรวาลที่มาจากสิ่งมีชีวิตเพราะผู้ฝึกก็เป็นสิ่งมีชีวิต จึงมีพลังที่คล้ายกันเข้ากันได้ดีและไม่ค่อยมีปัญหา ในบทความที่จะกล่าวต่อไปนี้ จะขออธิบายพลังจักรวาลชนิดต่างๆ ดังนี้
พลังจักรวาลสาย “เอี๊ยง”
คือ พลังจักรวาลที่เกิดจากภายใน เป็นพลังภายในของเราเอง ที่ถูกกระตุ้นให้แสดงพลังออกมา เช่น ในยามคับขัน จวนตัวจะถูกทำร้าย เป็นต้น พลังเอี๊ยงนี้มีมากมายหลายชนิด รวมเรียกกันกว้างๆ ว่า “เก้าเอี๊ยง” ซึ่งเก้าเอี๊ยงจริงๆ ที่ฝึกกันในนิยายกำลังภายในนั้น มาจากการฝึกอานาปานสติพร้อมออกกำลังกายไปด้วย เพื่อขจัดความหนาวเย็นที่พระสงฆ์ได้รับ เป็นพลังความร้อนในร่างกาย และมีประโยชน์หลายด้าน ที่สำคัญคือ ช่วยในการฟื้นฟูพลังภายในสายอื่นๆ ชนิดอื่นๆ ในร่างกายได้ด้วย กรณีที่สูญเสียพลังภายในเพราะสาเหตุต่างๆ ผู้ฝึกพลังเก้าเอี๊ยงมาดี จะสามารถฟื้นฟูกลับคืนสภาพได้รวดเร็วกว่าบุคคลธรรมดา
#ข้อดีอีกประการของพลังเอี๊ยง คือ การกระตุ้นความเป็นตัวของตัวเอง ทำให้เป็นผู้นำ มีภาวะผู้นำมากขึ้น แต่ถ้ามากเกินไป จะกระทบกับสังคมรอบข้าง กลายเป็นคนบ้าอำนาจได้เหมือนกัน ดังนั้น ธรรมชาติ จึงสร้างสรรค์พลังอีกรูปแบบที่ตรงกันข้ามไว้คานสมดุลกัน นั่นคือ #พลังเก้าอิม ที่ผู้ฝึกมักเป็นหญิง และสามารถดูดซับพลังภายในของชายได้ ทำให้ฝ่ายชายที่มีพลังเก้าเอี๊ยงมากเกินไป ขาดความทะเยอทะยานบ้าอำนาจในที่สุด นอกจากพลังเก้าเอี๊ยงแล้ว พลังในกลุ่มเอี๊ยง หรือพลังภายในของมนุษย์ ยังมีอีกหลายชนิด เช่น #พลังกุณฑาริณี ที่อยู่บริเวณอวัยวะเพศ เมื่อได้รับการกระตุ้นทางเพศ พลังก็จะถูกกระตุ้นให้นำออกมาใช้ และถ่ายเทให้เซลสืบพันธุ์ที่ผสมกันแล้ว เพื่อเป็นปราณเริ่มต้นสำหรับทารกจะใช้ในการพัฒนาอวัยวะร่างกายต่อไป อนึ่ง พลังภายในมีหลายชนิดหลายประเภท แต่จะไม่อธิบายมากกว่านี้ เพราะไม่ชำนาญในพลังชนิดอื่นๆ จึงเน้นแต่เก้าเอี๊ยง
พลังจักรวาลสาย “อิม”
คือ พลังจักรวาลที่เกิดจากภายนอกเข้าไปสะสมในร่างกาย ซึ่ง…#เกิดจากการทะลวงจักระในร่างกายเพื่อเปิดรับพลังจากภายนอก แล้วฝึกดูดซับพลังจากภายนอกมาเก็บสะสมไว้ในตัวของผู้ฝึก เพื่อใช้ประโยชน์ด้านต่างๆ พลังอิมนี้มีหลายชนิด ในการฝึกพลังอิม มักเป็นผู้หญิงฝึกจะเหมาะสม เพราะเพศหญิงไม่มีบทบาททางสังคมมาก เป็นช้างเท้าหลัง แต่ต้องคอยคุมไม่ให้ฝ่ายชายดุดันหรือบ้าอำนาจมากเกินไป
ในสมัยโบราณ สำนักปฏิบัติจะสอนให้ผู้หญิงที่มีหน้าตาสวยงามฝึกพลังอิม เพื่อหวังได้เป็นพระสนม จากนั้น ผู้หญิงบางคนจะถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง เมื่อแต่งงานกับผู้ชายแล้ว จะดูดซับพลังจากผู้ชายนั้นทีละน้อย จนฝ่ายชายลดความทะเยอทะยานลง ความบ้าอำนาจก็ลดลง เป็นการหยุดความบ้าอำนาจของผู้ชายในวงการการเมืองในสมัยโบราณ การใช้ผู้หญิงเป็นเครื่องมือทางการเมืองนี้มีมานานแล้ว และยังได้รับการบันทึกไว้ในตำราพิชัยสงครามของประเทศจีนจนถึงทุกวันนี้ด้วย อนึ่ง บางท่านแม้เกิดเป็นชาย แต่มีบุญกรรมตามวาระทำให้จักระเจ็ดเปิดเองโดยไม่รู้ตัว เมื่อจักระเปิดแล้ว พลังจักรวาลบางชนิดเข้าสู่ร่างกาย ทำให้เกิดระบบพลังอิมขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ อย่างที่เรียกว่า “พลังมารแทรก” เป็นต้น การถูกแทรกโดยพลังสายอื่นที่ตนไม่ได้ฝึกนี้ เป็นอันตรายต่อการฝึกมาก ทำให้ถูกครอบงำด้วยพลังชนิดนั้นๆ ทำให้มีความคิดผิดทาง เป็นมิจฉาทิฐิได้ ผู้ที่ฝึกพลังเก้าเอี๊ยงหากถูกทดสอบด้วยการถูกพลังจักรวาลครอบงำนี้ หากมีพลังเอี๊ยงสูงถึงจุดหนึ่ง จะเอาชนะการครอบงำด้วยพลังจักรวาลที่เข้ามาแทรก หรือครอบงำเราได้ เช่น พลังจากมารหรือเทพก็ดี ที่ครอบงำให้เราเชื่อ ให้เราทำตามที่ท่านบอก หากเรามีพลังเอี๊ยงเหนือกว่าแล้ว ก็จะไม่ตกอยู่ภายใต้การครอบงำ และเดินทางชีวิตของตนอย่างที่เป็นตัวของตัวเองได้ ทว่า การฝึกพลังเก้าอิม ก็มีข้อดีบางประการ คือ ทำให้เราได้รับพลังจากจักรวาลที่ดี นำทางชีวิต เหมาะสำหรับผู้หญิงที่เป็นช้างเท้าหลัง สมควรได้รับการนำทางด้วยพลังจักรวาลที่ดี พลังจักรวาลที่ลงมาครอบเราไว้นั้น จะนำทางเรา ขับดันให้ทำสิ่งต่างๆ ตามแนวทางที่ดีต่อไป เช่น บางคนไปรับขันธ์องค์ฤษีมา และได้ทำสมาธิ อยู่อย่างวิเวกสันโดษ ก็จะมีการดำเนินชีวิตอยู่ด้วยดี แต่หากไม่ได้รับพลังจักรวาลนี้ครอบไว้ ก็อาจไปทำอย่างอื่นที่เลวร้ายก็ได้ การฝึกพลังเก้าอิมนี้ แต่เดิมตามตำราจีนโบราณ จะเริ่มฝึกดูดซับพลังจากพลังของสิ่งไม่มีชีวิตที่มีความเย็น เป็นพลังสายเย็นตรงข้ามกับพลังเก้าเอี๊ยง เช่น การดูดซับพลังจากอัญมณี เช่น หยกเย็น เป็นต้น
ทว่า ภายหลังมีผู้เข้าใจผิดไปฝึกดูดซับพลังจากหลุมศพ และได้พลังจากคนตายซึ่งเป็นพลังดำที่หมองหม่นไป ทำให้ทำสิ่งเลวร้ายต่างๆ โดยที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ ภายหลังประเทศไทย มีอาจารย์ผู้ค้นพบวิชชานี้ และได้ปรับแนวทางในการฝึกใหม่ ให้รับพลังจักรวาลที่ดี แบบโยคีโบราณกระทำกัน คือ การรับพลังจักรวาลจากเทพพรหมชั้นดี เป็นเครื่องนำพาชีวิตเราไปสู่ทางที่ดีงาม
การฝึกโยคะแบบโยคีโบราณกับพลังเก้าอิม
การฝึกโยคะตามตำรับพระศิวะคือการหลอมรวมจิตวิญญาณส่วนอาตมันเข้ากับปรมาตมัน โดยอาตมันคือส่วนจิตวิญญาณของเรา และปรมาตมันคือส่วนที่ได้รับมาจากเทพพรหมที่เรานับถือ เมื่อเราบูชาท่าน ศรัทธาท่าน จะได้รับพลังจากท่านส่งตรงลงมาจากจักรวาล เมื่อจะใช้พลังนี้ จำต้องหลอมรวมตัวเราเองให้แนบสนิทกับพลังเหล่านี้ สำหรับในกลุ่มผู้ฝึกมโนมยิทธิ จะเห็นกายทิพย์ถอดออกมาจากเทพพรหมเหล่านั้น แล้วครอบสวมทับลงบนกายสังขารของผู้ฝึกโยคะ เมื่อผู้ฝึกโยคะหลอมรวมพลังได้แล้ว จะสามารถใช้พลังความสามารถพิเศษเหล่านี้ได้ ราวกับเป็นเทพพรหมองค์นั้นๆ เลย เทพเทวดาทั้งหลาย เวลาจะดลจิตดลใจคนให้ทำกิจต่างๆ มักใช้วิธีนี้ คือ ส่งพลังของตนมาจากจักรวาลครอบลงในตัวคน แล้วทำให้คนๆ นั้น ถูกพลังนั้นขับดันให้ทำสิ่งต่างๆ ตามแบบพลังนั้นๆ เช่น พลังพรหม ขับดันให้คนอยากนั่งสมาธิ อยู่อย่างสงบ พลังเทพ ขับดันให้คนอยากพัฒนาบ้านเมือง พลังโพธิสัตว์ ขับดันให้คนอยากโปรดสัตว์ด้วยธรรม เทพเทวดาใช้วิธีนี้มานานแล้ว และการถอดกายทิพย์ครอบขันธ์มนุษย์ก็มีมานานแล้ว การเข้าทรงการแสดงตนเป็นตัวแทนของเทพเจ้าจึงมีมานานมากด้วยเช่นกัน สำหรับวิชชาทางโยคะ คือ การหลอมรวมตัวเองเข้ากับพลังของเทพเจ้านี้ ก็มีมานานแล้ว ทว่า หลังจากระบอบชนชั้นวรรณะของอินเดียเสื่อมลง การสอนสมาธิโยคะก็เป็นไปเพียงเพื่อสุขภาพ, เรือนร่างที่สวยงามไป ไม่ได้ทราบถึงเรื่องจิตวิญญาณเหล่านี้เลย หรือแม้แต่การถ่ายทอดเรื่องพลังจักรวาลก็ขาดหายไปมากมายนัก เคล็ดลับในการหลอมรวมนี้ เป็นหลักการทำโยคะที่สำคัญที่สุดและจะช่วยพัฒนาจิตวิญญาณของคนให้สูงส่งขึ้นได้ตามลำดับไป เมื่อบุคคลหลอมรวมกับเทพเจ้าองค์ที่หนึ่งได้สำเร็จแล้ว รับพลังชั้นสูงขึ้นไปอีกเรื่อยๆ พลังและความสามารถพิเศษก็จะเพิ่มพูนขึ้นเป็นลำดับไป นี่คือ การฝึกพลังจักรวาลแบบ “อิม” คือ รับพลังจากภายนอกเป็นหลัก ในกลุ่มอาจารย์สอนธรรมฝ่ายหญิงในอนุตรธรรมหลายท่าน มีระบบพลังภายในแบบอิม อยู่แล้ว เขาเหล่านั้นจะทำหน้าที่เป็นตัวแทน ของพระโพธิสัตว์องค์ต่างๆ ซึ่งท่านจะให้เราทำตัวเหมือนเด็กทารก ไม่ขัดขืน เมื่อท่านใช้พลังครอบกายเราแล้ว เราก็จะถูกขับดันไปได้อย่างง่ายดาย เป็นเคล็ดลับอย่างหนึ่งของการ “ประทับทรง” ทว่าข้อเสียของการรับพลังจากภายนอก คือ การไม่เข้าใจตัวเอง ถูกครอบงำ ไม่รู้ตัวตนที่แท้จริงของตนเอง ถูกเทพเทวดาครอบงำอยู่ตลอดเวลา แม้ทำความดีก็จริง แต่การไม่เข้าใจตัวเอง ไม่รู้ตัวเอง อาจทำให้พลาดโอกาสหลายอย่างได้ ในบทความฉบับนี้ จึงไม่ขอเสนอแนะวิธีการฝึกพลังเก้าอิม ซึ่งง่ายต่อการถูกพลังจักรวาลจากภายนอกที่ทั้งดีและไม่ดีครอบงำ จะมุ่งเน้นแต่การฝึกพลัง “เก้าเอี๊ยง” ซึ่งช่วยในด้านสุขภาพได้อีกด้วย
วิชาพราหมณ์แบบหยิน-หยาง
ใดๆ ในโลกมักมีสิ่งตรงข้าม คู่ตรงข้ามกันเสมอ วิชาพราหมณ์ก็เช่นกัน นอกจากจะมีวิชาสายขาวและสายดำ (ลัทธิบูชายัญ) แล้ว ก็ยังมีวิชาพราหมณ์แบบหยินและหยางอีก วิชาพราหมณ์แบบสายหยางคือแบบปกติ ที่เรามักพบกันทั่วไป คือ การฝึกจากภายในของเราเอง เหมือนพื้นฐานของวิชาโยคะของท่านตั๊กม้อ และวิชาของเส้าหลิน ทว่า ยังมีวิชาพราหมณ์อีกแบบเป็นสายหยิน ซึ่งจะตรงกันข้ามเลย เช่น การเปิดจักระเจ็ดเพื่อรับพลังจากภายนอก แทนที่จะเน้นการสร้างพลังจากภายในของตัวเองแบบสายหยาง วิชาแบบสายหยินนี้เน้นพลังภายนอก ดึงพลังภายนอกเอามาใช้ได้ครับ พลังภายนอกที่นิยมเอามาใช้เป็นพลังระดับสูง ซึ่งก็เรียกว่า “พลังจักรวาล” เป็นสำคัญ การทำสมาธิปกติ ทำให้เกิดฌานตามแบบปกตินั้นเป็นวิชาของพราหมณ์สายหยางครับ ทว่า แบบสายหยินมีการเปิดรับพลังจากภายนอกมาใช้ได้ด้วย
พลังภายนอกมีทั้งพลังที่ดีและไม่ดี ผลคือ ผู้ฝึกวิชาสายหยินจึงมีทั้งแบบมืดและสว่าง แบบมืดนั้นจะรับองค์เทพภาคมืด ซึ่งไม่ได้อยู่บนสวรรค์เพราะอาจทำผิดกฎสวรรค์แล้วหลบหนีมาอยู่บนโลก ถามว่ารับเข้าตัวไปทำไม? คำตอบมีหลายอย่าง สรุปคือ เอามาสร้างบารมีร่วมกันครับ คือ เขาก็ช่วยเสริมพลังให้เรา เราก็ต้องช่วยให้เขาหลุดพ้น ในการช่วยให้เขาหลุดพ้นนี้ บางครั้งเราต้องยอมเป็นร่างกระทำกรรมแทนบางอย่าง เช่น การพลีกามแบบตันตระ หรือ “กามตันตระ” เราจึงถูกเรียกว่า “ศักติลัทธิฝ่ายซ้าย” ซึ่งจะมีศักติลัทธิฝ่ายขวาอยู่ด้วย ฝ่ายขวาจะไม่ทำแบบนี้ จะทำทุกอย่างให้บริสุทธิ์ถูกต้องทั้งหมด ทว่า การดำรงอยู่ในโลกบางครั้งก็ทำแต่สิ่งที่ถูกต้องอย่างเดียวไม่ได้ จึงต้องมีฝ่ายซ้ายมาบำเพ็ญสิ่งที่ฝ่ายขวาทำไม่ได้ เช่น กามตันตระ เป็นต้น ก็เหมือนพระลามะที่มีลามะหมวกดำ สามารถทำสิ่งที่ผิด หรือไม่ดีได้ แต่ทั้งนี้ก็ต้องมีเหตุผลครับ เช่น ลามะหมวกดำที่สังหารทรราชในประเทศทิเบต
ใดๆ ในโลกมักมีคู่ตรงข้ามเสมอ สิ่งที่ตรงข้ามกับเรายังมีอยู่ครับ
พลังจักรวาล ( 2 )
การตรวจวัดและจำแนกชนิดของพลังจักรวาลชนิดต่างๆ
การที่เราจะทราบได้ว่าพลังจักรวาลที่เข้ามาสู่ร่างกายเรานั้นเป็นพลังสายใด แบบใด ของเทพพรหมองค์ใด ต้องฝึกวิธีการตรวจวัดแบบต่างๆ เมื่อชำนาญแล้ว ก็สามารถตรวจวัดพลังภายในของมนุษย์ได้ด้วย กล่าวคือ วิธีตรวจวัดพลังจักรวาลนี้ใช้ได้ทั้งระบบอิมและเอี๊ยง คือ ไม่ว่าพลังนั้นจะมาจากจักรวาลภายนอกก็สามารถตรวจได้ หรือจะเกิดจากการปฏิบัติของเจ้าของกายสังขารเองก็สามารถตรวจวัดได้เช่นกัน ดังนั้น เราจึงสามารถใช้วิธีตรวจวัดนี้ เพื่อดูพัฒนาการของการฝึกจิตของผู้ฝึกจิตได้เช่นกัน ด้วยหลักการดังต่อไปนี้เขาจะรอจนกว่ามีผู้ชายที่มีตบะมามี sex ด้วย เมื่อไรที่เขาได้มีกามตันตระ เขาก็จะได้ตบะของฝ่ายชายทันทีครับ
โดยตรวจวัดแล้วจำแนกออกเป็นสามแบบ คือ จิตแบบผู้นำ, จิตแบบผู้ตาม และจิตแบบปัจเจกชน ผู้อิสระไม่นิยมสังคม ทั้งนี้ ในคนทั่วไปจะมีลักษณะสามอย่างนี้ผสมกันเพราะเวียนว่ายตายเกิดมาหลายบทบาท แต่ในผู้บำเพ็ญธรรมมากๆ จะเริ่มแน่วแน่ชัดเจนขึ้นในแบบใดแบบหนึ่ง
๒)#การตรวจวัดวิญญาณ โดยตรวจวัดแล้วจำแนกออกเป็นกายทิพย์ของตนเอง ที่ได้จากการบำเพ็ญบารมีของตนเอง (ระบบเอี๊ยง) หรือเป็นกายทิพย์ที่เทพเทวดาครอบลงมาอีกชั้นหนึ่ง (ระบบอิม) และมีกี่แบบ กี่พลัง กี่กายทิพย์ซ้อนอยู่ภายใน การแยกแยะว่ากายทิพย์นั้นเป็นของเราเองหรือถูกครอบนั้นสำคัญต่อการฝึกมาก
๓) #การตรวจวัดลมปราณ โดยตรวจวัดแล้วจำแนกออกเป็นกลุ่มลมปราณสายต่างๆ เช่น ลมปราณกุณฑาริณี ประมาณได้เท่าใด เช่น เทียบชั้นพลังวัตรได้สิบปี เป็นต้น หรือถ้าเป็นรัศมีที่ศีรษะแบบผู้ฝึกอรูปฌานนิยมกัน ก็วัดรัศมีเป็นโยชน์ ในกลุ่มผู้ฝึกธาตุสี่ (จตุธาตุ) ได้สะสมพลังวัตรจากธาตุทั้งสี่ได้มากน้อยเพียงใด เป็นต้น
วิธีตรวจวัดพลังจักรวาล
๑) #การใช้ตาทิพย์ เพ่งด้วยตาทิพย์เข้าไปในกายในกาย จะเห็นกายทิพย์ชนิดต่างๆ ซ้อนๆ กันอยู่ ในครั้งแรกจะเห็นกายทิพย์ชั้นนอกสุด เมื่อพยายามเพ่งเข้าไปอีก เหมือนปรับโฟกัสตาทิพย์ให้ลึกลงไป จะเห็นกายทิพย์ข้างในซ้อนกันเป็นชั้นๆ การใช้ตาทิพย์อย่างเดียวจะถามไม่ได้ ทำได้แต่ดูแล้วคาดเดาเท่านั้น
๒) #การใช้หูทิพย์ เพ่งด้วยหูทิพย์พร้อมกำหนดจิตสื่อถาม จะได้รับคำตอบกลับมาแต่อย่าเพิ่งเชื่อทันที ต้องทำการสัมภาษณ์กายทิพย์ข้างใน ก็จะแน่ใจได้ การสื่อสารด้วยหูทิพย์ต้องระวังเสียงแทรก ซึ่งอาจไม่ได้มาจากสิ่งที่เราถามก็ได้ ถ้าใช้หูทิพย์และตาทิพย์ร่วมกันมักไม่ค่อยมีปัญหา แต่ก็อย่าเชื่อไปเสียทุกอย่าง
๓) #การใช้จิตสัมผัส ฝึกใช้จิตหยั่งรู้ด้วยตนเอง สัมผัสด้วยตนเองว่าพลังภายในของบุคคลหนึ่งๆ ประกอบด้วยพลังอะไรบ้าง บางครั้งจิตสัมผัสนี้จะบอกเมื่อเราได้พูดคุยกับคนผู้นั้นไปเรื่อยๆ ความรู้สึกจะเริ่มมากขึ้น ชัดขึ้นและบอกออกมาเอง
๔) #การใช้กายสัมผัส ฝึกใช้ผิวกายสัมผัสแหล่งพลังนั้นๆ โดยจะใช้ฝ่ามือทาบกับสิ่งที่ต้องการทราบ ทำสมาธิสักพัก สัมผัสพลังชนิดต่างๆ แล้วจำข้อน่าสังเกตไว้ เช่น พลังเทพมักร้อน, พลังโพธิสัตว์มักเย็น โดยลองฝึกสัมผัสเทวรูปก็ได้
๕) #การสังเกตพฤติกรรม ฝึกการสังเกตพฤติกรรมของบุคคลก็สามารถทำนายได้ว่าบุคคลนั้นมีพลังอะไรครอบงำอยู่หรือพลังภายในชนิดใดที่กำลังขับดันพฤติกรรมเขาอยู่ การสังเกตพฤติกรรมนี้ เป็นสิ่งที่ฝึกได้ทุกคนเพราะไม่ต้องพัฒนาอวัยวะรับสัมผัสขึ้นไปเป็นอายตนะพิเศษในการรับรู้สิ่งที่ยากแก่การรับรู้ได้ต่างๆ
๖) #การถ่ายรูปออร่า วิธีนี้ง่ายที่สุด ไม่จำเป็นต้องฝึกเลย โดยการขอให้อาจารย์ที่เชี่ยวชาญด้านการถ่ายภาพออร่าและการอ่านออร่าตรวจดูพลังภายในของตนก็ได้ การถ่ายรูปออร่าเป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นรูปธรรมเห็นได้จริงด้วยตาเปล่าทุกคนเห็นเหมือนกันได้ทั้งหมด และมีหลักการที่พัฒนาโดยวิทยาศาสตร์
สำหรับการฝึกจิตในที่นี้ จะเริ่มต้นจากการตรวจวัดระดับจิตวิญญาณเบื้องต้นก่อน เพื่อให้รู้สถานภาพเบื้องต้นของผู้ฝึกแบบคร่าวๆ จากนั้น จะหาวิธีพัฒนาจิตวิญญาณแบบการฝึกเก้าเอี๊ยง เพื่อปลดปล่อยพลังภายในที่ไม่ดีออกไปให้หมด ก็จะทำให้พลังภายในดีขึ้น
—หลักสำคัญของพลังจักรวาลคือการเพิ่มพลังให้กับร่างกายทั้งกายธาตุและกายทิพย์ เพื่อเพิ่มพลังหรือชำระให้สะอาดหมดจด หรือทั้งสองอย่าง
—ความจริงแล้วไม่ใช้แค่วิชาพลังจักรวาลเท่านั้นที่ใช้หลักการนี้พวกเทวปูชาก็ใช้หลักการนี้มาแต่ดึกดำบรรพ์ พวกฤๅษีก็ใช้ แม่แต่พระสงฆ์องค์เจ้าก็ใช้ หลักการวิชาธรรมะเปิดโลกก็เป็นหลักการเดียวกัน เพียงแต่มีเป้าหมายสูงกว่าคือเพื่อรู้แจ้งโลกและหลุดพ้น
—ส่วนพลังจักรวาลที่ใช้ๆกันทั่วไปนั้นต้องการเพียงเพื่อผลทางสุขภาพกาย สุขภาพใจเป็นสำคัญ
*แหล่งพลังงาน
—พลังทุกอย่างต้องมีที่มา เช่นพลังแม่เหล็กโลกก็มาจากแกนโลก พลังหลุมดำก็มาจากศูนย์กลางแกแลกซี่ พลังจักรวาลก็มีที่มาเช่นกัน ขอบอกเพียงสั่นๆว่าเป็นพลังศักดิ์ จะศักดิ์สิทธิ์มากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับผู้อัญเชิญเป็นสำคัญ
*จักรา
—จักราคือตำแหน่งที่ใกล้เคียงกลุ่มอวัยวะสำคัญหลักๆของร่างกายที่ง่ายต่อการมอบพลัง เพราะเชื่อมโยงกันด้วยระยะทางอันสั้น
—นิยามแพทย์จะเข้าใจได้ง่ายกว่าและตรงความจริงกว่าด้วย
—อวัยวะสำคัญ ๆ ในร่างกาย
—สมอง ใช้ตำแหน่ง ยอดศรีษะ
—ตา หู จมูก ลิ้น ใช้ตำแหน่ง หลังศรีษะ
—คอ หลอกลม กระเดือก ใช้ตำแหน่ง คอด้านหลัง
—หัวใจ ปอด ใช้ตำแหน่ง หลังตอนบน
—กระเพาะ ใช้ตำแหน่ง หลังตอนกลาง
—ตับ ไต ม้าม ใช้ตำแหน่ง หลังตอนกลางล่าง(ตรงกับสะดือ)
—ลำไส้ กระเพาะปัสสาวะ รังไข่ ใช้ตำแหน่ง หลังตอนล่าง
—ทวารหนัก ใช้ตำแหน่ง ก้นกบ(ซึ่งตำแหน่งนี้มักให้เจ้ตัวทำเอง)
—ดังนั้นจักราไม่จำเป็นต้องมี 7 อาจจะมีเท่าไรก็ได้ แล้วแต่ความละเอียดในการแบ่ง ซึ่งพวกหมอและพยาบาลจะแบ่งได้แม่นยำกว่า คนทั่วไปมาก
—ที่แบ่งจักราเป็น 7 จุดทั่วไปนั้นเป็นการแบ่งคร่าวๆ เพื่อให้เป็นมาตรฐานสากล ซึ่งจัดแบ่งกันมาตั้งแต่สมัยก่อนยุคฮินดู และยังอยู่แม่ในปัจจุบันเพราะง่ายดีกระนั้น ผู้เชี่ยวชาญด้านสรีระก็สามารถพัฒนาให้ละเอียดขึ้นได้
*วิธีปฎิบัติแบบพลังจักรวาล
—ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วเป็นวิธีการฝึกปฎิบัติกันมายาวนานแล้ว
—แท้จริงแล้วการเพิ้มพลังให้กับร่างกายทั้งกายธาตุและกายทิพย์นั้นนักปฎิบัติสามารถทำให้ตนเองด้วยตนเองได้ หรือจะรับจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยตรงก็ได้ หรือจะรับจากผู้มีใจสูงก็ได้ ดังนี้
—สมัยโบราณนั้น นักฝึกฝนได้ทำการเพิ่มพลังให้แก่อวัยวะสำคัญต่างๆของตนเองด้วยพลังจิต โดยทำให้จิตเข้มข้นด้วยการกำหนดสติแล้วเคลื่อนไปยังตำแหน่งที่ใกล้อวัยวะสำคัญเหล่านั้น เพื่อกระตุ้นให้ทำงานดีและมีพลังโดยสมควร
—การฝึกจิตแบบนี้เป็นการฝึกจิตแบบดั้งเดิมของผู้มีใจสูงทั่วโลก ซึ่งชนโบราณได้ค้นพบว่าจุดต่างๆในร่างกายนั้น ถ้าเรารู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์ ต่อจิตใจและร่างกายมากดังนี้
—จุดกลางกระหม่อม หรือส่วนบนสุดของศรีษะ จุดนี้เป็นจุดที่คลายอารมณ์คลายความตึงตัวที่ดี เป็นจุดที่ทำให้เกิดปัญญาญาณและสติปัญญา เกิดความปีติแจ่มใสได้ง่าย ให้กำหนดความรู้ตัวที่นี้ให้แจ่มชัด
—จุดหว่างคิ้วนี้เป็นจุดตื่น ทำให้ตื่นตัวได้ง่าย และมีประโยชน์ในการรวมพลังส่งไปให้ผู้อื่น กำหนดจิตไว้ที่นี้อย่างนุ่มเบาและมั่นคง อย่างเพ่งแรง ถ้าเพ่งแรงจิตจะตึง อาจมึนศรีษะได้ จำไว้ปฎิบัตินุ่มเบาและมั่นคง
—จุดที่ตา เป้นจุดที่หากประคองความรู้ตัวโดยไม่เพ่ง ไม่บีบจุดนี้จะทำให้เกิดจิตตานุภาพ ตานี้จะเป็นหน้าต่างของจิตใจ อาการทางตาเป็นยังไงจิตมักเป็นอย่างนั้น สังเกตดู ถ้าตารู้สึกตึงแสดงว่าจิตใจเรายังตึงตัวอยู่ ให้แผ่เมตตาออกไปจนรู้สึกเป็นที่สบาย
—จุดปลายจมูกนี้ จะเป็นจุดที่ทำให้เกิดปีติ ซาบซ่านได้ง่ายแต่ควรระมัดระวัง อย่าใช้ตาไปเพ่งดู ให้ใช้ความรู้ตัวรู้อยู่ตรงนั้น
—จุดนี้ จะใกล้จุดที่รับรสต่างๆ ของลิ้นมาก เวลาหิวถ้าทำจุดนี้ให้สงบความหิวจะหายไป
—ฐานนี้เป็นภวังค์ของการหลับ ไครมีปัญหาเรื่องการนอนไม่หลับให้ประคอความรู้ตัวไว้ที่นี้ จนเป็นที่สบาย ค่อยๆ ผ่อนควายกำหนดตัวเองให้หลับได้ง่าย สังเกตดูเมื่อประคองจิตมาไว้ตรงนี้จะรู้สึกเคลิ้ม
—จุดนี้เป็นจุดที่สำคัญที่สุดคือจุดที่หัวใจ จุดนี้เป็นจุดแห่งความรู้แจ้งใหม่ๆ จะเห็นการเต้นของหัวใจได้ชัดผ่อนคลายอาการที่หัวใจนั้น ให้สงบระงับและประคองให้อยู่ในจิตเอง ให้มีสติ จิตรู้จิต จิตรู้ใจ เมื่อมาอยู่ตรงนี้คราใดจะมีความเบิกบานแจ่มใส มีแสงสว่างไสวอยู่ตรงนั้น ประคองไว้ให้มั่น ฐานนี้เป็นฐานที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นฐานที่ตั้งของใจโดยตรง ไม่ว่าจะฝึกจิตในอริยาบถใดก็ตามให้สังเกตและตั้งความรู้ตัวไว้ตรงนี้เสมอๆ
—จากนั้นขยับมาที่จุดเหนือสะดือประมาณ 2 นิ้ว หรือจุดก้นกบนั้นเอง จุดนี้เป็นจุดที่ให้ความกระปรี้กระเปร่า ความสดชื่นได้ดี เพราะเมื่อกำหนดจุดนี้ จะทำให้หายใจทั่วปอด เป็นจุดที่ทำให้เกิดปีติ จึงเป็นจุดที่พวกฟๅษีชีไพรติดกันมาก เชื่อว่าเป็นจุดที่นำไปสู่ความสำเร็จแต่จริงๆแล้วยังไม่ใช้ เพียงเป็นจุดที่ให้ความสุขอันละเอียด พึงระวังอย่าเพ่งอย่าบีบจิตฐานนี้จะทำให้ดิ่งจิตเข้าสู่ความสงบ ปล่อยให้คลายไปเลย
—เมื่อประคองความรู้วจนได้ความสงบพอสมควรแล้ว ต่อไปค่อยๆประคองความรูตัวมาไว้ที่สะดือ ที่สะดือเป็นจุดเริ้มต้นที่นำอาหารและอากาศมาล่อเลี้ยงร่างกายสมัยเป็นทารกอยู่ในครรภ์มารดา ดังนั้น ประคองความรู้ตัวให้แจ่มใส เมื่อแจมใสได้ดีแล้ว จะเห็นขบวนการต่างๆ ของร่างกายภายในได้ชัดเจน
—จุดต่อไปนี้เป็นจุดใต้สะดือสองนิ้ว เอาความรู้ตัวไปอยูที่นั้นอย่างสงบ น่มนวลและแผ่วเบา อย่าเพ่งอย่าบีบจิต ฐานนี้จะทำให้ดิ่งไปสู่ความสงบปแล่อยดิ่งไปเลยจนเป็นที่สบาย
—จุดต่อไปนี้ให้กำหนดความรู้ตัวไว้ที่ก้นกบ จุดนี้เป็นจุดรับน้ำหนักของเราในขณะนี้ เป็นจุดที่สร้างความรู้สึกทางกายได้ชัด จะเกิดความเสียวซ่านไปยังประสาทส่วนต่างๆทำให้กำหนดความรู้ตัวทั่วพร้อมได้ง่าย
—ให้ประคองความรู้ตัวจากก้นกบขึ้นไปตามกระดูกสันหลัง ถึงตรงรอยต่อของกระดูกสันหลังกับสมองใกล้ Medulla Oblongataภาษาฤๅษีเรียกศูนย์วิสุทธิจักร จุดนี้เหมือนกับหัวเทียนในร่างกายของคนจะ spark พลังต่างๆมากมาย ถ้าทรงสติ ณ จุดนี้ให้มั่นคงต่อเนื่องจนเป็นสมาธิและผ่อนคลายให้โปร่งว่างสบายแล้ว กระบวนการสร้างพลังจะราบรื่นและสามารถดูดพลังละเอียดในบรรยากาศมาบริโภคได้ เช่น อีเธอร์หรือโอโซนในบรรยากาศ หรือรังสีทิพย์ในมิติทิพย์ เป็นต้น
—นั้นคือเทคนิคการเพิ้มพลังในตนด้วยตนเอง ซึ่งนักปฎิบัติตามพงไพรนิยมใช้กันเป็นประจำ
—แต่หากพลังของตนมีไม่พอ เพราะดูแลตัวเองไม่ดี ไม่บริหารเลยอาจเชิญพลังของศาสดาหรือครูบาอาจารย์ที่ตนนับถือ(ศาสนาไหนก็ได้)มาโปรดตนก็ได้….

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

หากเราเข้าใจกฎ และสามารถนำไปประยุกต์ใช้กับชีวิตได้ เราสามารถสร้างสิ่งต่างๆ ที่เราต้องการได้ เพราะนี่เป็นกฎเดียวกับที่ธรรมชาติสร้างป่า ทางช้างเผือก ดวงดาว หรือร่างกายมนุษย์ มันสามารถสนองความปรารถนาเบื้องลึกของเราได้เช่นกัน”
1.#กฎของศักยภาพที่บริสุทธิ์ (The Law of Pure Potentiality)กฎแห่งศักยภาพบริสุทธ์ที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน .
การฝึกจิตเพื่อให้เข้าสู่ความเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน (The Law of Pure Potentiality)
สนามพลังแห่งศักยภาพบริสุทธิ์ที่ซ่อนเร้นอยู่ภายใน คือ ดินแดนอันสงบ ที่สรรพสิ่งล้วนมาจากที่นี่ จากที่ที่ “สิ่งที่ยังไม่ประจักษ์ถูกทำให้ประจักษ์” เมื่ออยู่ในภาวะจิตบริสุทธิ์ เราเกิดปัญญาพิสุทธ์ เรามีความสมดุล มีความหนักแน่นมั่นคงที่มิอาจทำลายได้ และมีความปีติสุข เมื่อเราเข้ามายังดินแดนแห่งนี้ เราจะพบกับจิตวิญญาณบริสุทธิ์ของเราเอง และสามารถมองเป็นความไร้สาระและความไร้ประโยชน์ของการดำเนินชีวิตที่เอาอัตตาเป็นที่ตั้ง อัตตาอยู่บนรากฐานของความกลัว แต่จิตวิญญาณอยู่ในความมั่นคงแห่งรัก
การให้และรับคือพลังการหมุนเวียนกันของจักวาลทุกครั้งที่เราจะไปพบใครให้นำสิ่งที่เราสามารถจะให้เขาได้ติดตัวไปเสมอมันไม่จำเป็นต้องมีราคา เพราะแม้แต่คำชมเล็กๆ น้อยๆ ก็นำมาสู่การให้ที่มีคุณค่าทางจิตใจ
วิธีที่ดีที่สุดในการใช้กฎแห่งการให้คือ ตัดสินใจว่าเมื่อไหร่ที่คุณต้องพบปะกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นเวลาใดก็ตาม คุณจะให้อะไรแก่เขาสักอย่าง ไม่จำเป็นต้องเป็นวัตถุสิ่งของ อาจเป็นดอกไม้ คำชม หรือคำอธิษฐาน… ความห่วงใย ความใส่ใจ ความรัก และความรู้สึกที่ดีที่คุณมีให้ สิ่งเหล่านี้คือของขวัญล้ำค่า ที่คุณจะให้ได้ โดยที่ไม่ต้องลงทุน”
กฎแห่งการให้ …1
เคยสังเกตมั๊ยว่า ยิ่งคุณให้ มันจะยิ่งได้รับ? ทำไมมันถึงถูกต้องได้ขนาดนี้? มันเกิดขึ้นเพราะกายและจิตของเราอยู่ในสภาวะของการให้และรับจากจักรวาลตลอดเวลา การสร้าง การให้ความรัก และการเติบโตทำให้การไหลเวียนดำเนินไปไม่สิ้นสุด การหยุดให้จะทำให้การไหลเวียนหยุดลง และมันจะจับตัวกันเป็นก้อน เช่นเดียวกับเลือด ยิ่งเราให้ เรายิ่งเกี่ยวข้องกับการไหลเวียนพลังจักรวาลมากขึ้น และเราจะได้รับกลับมามากขึ้น ทั้งในรูปของความรัก วัตถุสิ่งของ หรือประสบการณ์ที่อาจดูเหมือนโชคร้ายในตอนต้น แต่แล้วก็ลงเอยด้วยดี เงินทำให้โลกหมุนได้ก็จริง แต่มันมีข้อแม้ว่าการให้กับการรับต้องมากพอกันเท่านั้น
ถ้าคุณให้….. #จงให้ด้วยใจเบิกบาน ถ้าคุณต้องการพรแห่งความสุข จงให้พรผู้อื่นในใจด้วยการส่งความคิดดีๆ ไปยังพวกเขาให้มาก ถ้าคุณไม่มีเงิน จงให้บริการ มันไม่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับสิ่งที่เราจะได้เพราะธรรมชาติที่แท้จริงของมวลมนุษย์ คือ ความมั่งคั่งและความอุดมสมบูรณ์ ธรรมชาติให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราต้องการ ดินแดนแห่งศักยภาพบริสุทธิ์ที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในได้มอบอัจฉริยภาพและความคิดสร้างสรรค์แก่เรา เพื่อนำไปสร้างสิ่งต่างๆ มากยิ่งขึ้น
3. #กฎของกรรม (The Law of Karma)
การฝึกจิตเพื่อให้เข้าใจถึงกฎแห่งกรรม (The Law of “Karma” or Cause and Effect)
การเตือนตนเอง บอกตนเอง หรือ โปรแกรมจิตใต้สำนึกตนเองอยู่ตลอดเวลา ถึง ความจริงเหล่านั้น ก็จะทำให้คนๆ หนี่ง ลดโอกาสในการพาตนเองไปสู่เรื่องร้ายๆ เรื่องลบๆ ในชีวิต ซึ่งในทางตรงกันข้าม คือ เป็นการเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จ หรือ พบแต่สิ่งดีๆ ในชีวิต เนื่องจาก ไม่ทำต้วเป็น “ต้นเหตุ” ที่จะนำไปสู่ผลลัพธ์แย่ๆ ในชีวิต
ทุกๆการกระทำจะสร้างแรงหรือพลังงานที่จะย้อนกลับมาในลักษณะคล้ายๆกัน. การเลือกการกระทำที่จะนำความสุขและความสำเร็จไปให้ผู้อื่น จะเป็นการรับรองว่าจะมีกระแสของความสุขและความสำเร็จกลับมาหาคุณ.
ผลกรรมทุกอย่างคือการตัดสินใจเลือกของคุณ มีเหตุก่อนจึงมีผล ทุกครั้งที่จะตัดสินใจอะไรจงถามตัวเองด้วยคำถามสองข้อคือ หนึ่ง อะไรคือผลที่ตามมาของทางเลือกที่ฉันกำลังตัดสินใจเลือกนี้ และ สอง ทางเลือกที่ฉันตัดสินใจเลือกนี้นำความสุขมาให้ฉันและคนรอบข้างหรือไม่ ถ้าคำตอบคือใช่ คุณก็ทำ
4…#กฎแห่งความพยายามน้อยที่สุด..การใช้ความเพียรน้อยที่สุด (The Law of Least Effort)
เช่นเดียวกับธรรมชาติของปลาที่ว่ายน้ำและดวงอาทิตย์ที่ส่องแสง ธรรมชาติของมนุษย์ คือ การทำฝันให้เป็นจริงได้อย่างง่ายดาย หลักการใช้ความพยายามอย่างประหยัดของเวดิกกล่าวว่า “ทำน้อยลงแต่ได้ผลสำเร็จมากขึ้น” นี่เป็นการปฏิวัติความคิด-หรือเป็นเรื่องบ้าบอกันแน่? การทำงานหนัก การวางแผน
#และการดิ้นรนต่อสู้ทั้งหมดเป็นเรื่องเสียเวลาจริงหรือ?เมื่อการกระทำของเราเกิดจากความรัก ไม่ใช่เกิดจากแรงปรารถนาแห่งอัตตา เราจะมีพลังมากขึ้นที่สามารถนำไปใช้สร้างสิ่งต่างๆ อย่างที่เราต้องการได้ ในทางตรงกันข้าม การไขว่คว้าหาอำนาจเหนือผู้อื่น หรือการพยายามทำตัวให้เป็นที่ยอมรับของผู้อื่น เป็นการสิ้นเปลืองพลังงานมหาศาล เรากำลังพยายามพิสูจน์อะไรสักอย่าง ถ้าหากสิ่งที่เราทำมาจากจิตวิญญาณของเราแล้ว เราจะเลือกวิธีและสถานที่ที่จะส่งผลกระทบต่อวิวัฒนาการและนำพาความอุดมสมบูรณ์มาให้ได้อย่างง่ายดาย
ขั้นแรกคือ ฝึกที่จะยอมรับ เราไม่สามารถหวังจะเปิดช่องทางให้พลังจักรวาลที่ไร้ความพยายามไหลผ่านเข้ามาได้ ถ้าเรายังต่อสู้ขัดขวางพลังนั้นอยู่ จงบอกกับตัวเองแม้ในยามที่ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากว่า “สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้มันควรเป็นเช่นนี้เอง” ขั้นที่สอง ฝึกที่จะไม่ป้องกันตัว ถ้าเรายังคงขืนปกป้องความคิดเห็นของเรา หรือตำหนิผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา เราจะไม่สามารถเปิดรับทางเลือกที่สมบูรณ์แบบที่ติดปีกรอเราอยู่
#กฎแห่งความสำเร็จทางจิตวิญญาณข้อ. 4คือ กฎของการใช้ความพยายามน้อยที่สุด กฎนี้มีพื้นฐานจากข้อเท็จจริง ที่ว่า ความชาญฉลาดของธรรมชาติย่อมจัดการสิ่งต่างๆ ได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายาม หรือไม่ต้องระมัดระวังแต่อย่างใด นี่คือหลักการของการกระทำแต่น้อย หลักการของการไม่ต่อต้าน… เมื่อเราเรียนรู้บทเรียนจากธรรมชาติบทนี้แล้ว เราจะสามารถทำตามความปรารถนาของเราได้อย่างง่ายดาย”
มีวิธีที่ง่ายมากขึ้นที่จะได้สิ่งที่คุณปรารถนาจากชีวิต มันเกี่ยวกับการปรับตัวให้เข้ากับธรรมชาติและจักรวาล
หากคุณไม่ใช่ฤาษีสมถะ คุณเป็นแค่ตัวละครหนึ่งในโลกเศรษฐกิจที่จำเป็นต้องหาทางปรับจิตวิญญาณให้เข้ากับสังคมของความมั่งคั่งให้ได้
การพิสูจน์ให้เห็นกฎแห่งความสำเร็จที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเป็นโจทย์ที่ท้าทายมากสำหรับงานเขียนแนวพัฒนาตนเอง กรรม (เหตุและผล) และธรรม (เป้าหมายในชีวิต) อยู่ด้วยกับเรามาชั่วกัปชั่วกัลป์ และมันเป็นกฎสองข้อในบรรดากฎเจ็ดข้อของโซปรา ต่อไปนี้เราจะมาดูกฎที่เหลือห้าข้อกันอย่างย่อๆ
การตั้งใจและอธิษฐานจิตเพื่อสานฝันให้เป็นจริง (The Law of Intention and Desire)
การตั้งจิตอธิษฐานที่จะสานฝันให้เป็นจริงนั้นจะช่วยให้เราสามารถนำพลังชีวิตและพลังจิตออกมาใช้ประโยชน์ได้ เมื่อ มีเป้าหมายแล้วให้เรามุ่งมั่นและเอาใจใส่ตลอดเวลาจนกว่าสิ่งที่เราวาดฝันไว้ จะเป็นจริง แม้ว่าเราจะเจออุปสรรคต่าง ๆ ในระหว่างทางบ้าง พลังแห่งการตั้งจิตอธิษฐานนั้นจะช่วยให้เรามีความมุ่งมั่นและไม่ล้มเลิกไป เสียกลางครัน
กฎข้อนี้เป็นกฎที่สลับซับซ้อนที่สุด และแน่นอนมันเป็นกฎที่ดึงดูดใจที่สุดด้วย ในขณะที่ต้นไม้ถูกกำหนดให้ทำเป้าหมายหนึ่งโดยเฉพาะ (หยั่งราก เติบโต และสังเคราะห์แสง) แต่อัจฉริยภาพของระบบประสาทของมนุษย์ยอมให้เรากำหนดความคิดและกฎธรรมชาติต่างๆ ได้อย่างแท้จริง เพื่อนำผลสำเร็จของทุกสิ่งที่ปรารถนาได้อิสระเต็มที่มาสู่ มันเกิดขึ้นผ่านกระบวนการของความเอาใจใส่และความตั้งใจ
ขณะที่การเอาใจใส่กับบางสิ่งบางอย่างเป็นตัวทำให้มันเกิดขึ้นและทำให้มันเพิ่มทวีมากขึ้น ความตั้งใจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดพลังและข้อมูล และ “จัดการผลสำเร็จของมันเอง” แล้วมันเกิดขึ้นได้ยังงัยล่ะ?
ผู้แต่งใช้การอุปมากับน้ำนิ่งในสระ ถ้าจิตเรานิ่ง เวลาที่เราโยนก้อนกรวดแห่งความตั้งใจลงไป มันเกิดระลอกน้ำที่เคลื่อนผ่านกาลและเวลา แต่ถ้าจิตเราเหมือนทะเลบ้าคลั่ง แม้เราโยนตึกสูงระฟ้าลงไปในน้ำ มันก็จะไม่มีผลอะไรทั้งนั้น เมื่อความตั้งมั่นเกิดขึ้นแล้วในความนิ่งที่เปิดกว้างรับความคิดใหม่ๆ เราสามารถอาศัยพลังการจัดการที่ไม่มีที่สิ้นสุดของจักรวาลทำให้มันปรากฏขึ้นได้ เรา “ปล่อยให้จักรวาลเป็นผู้จัดการรายละเอียดเอง”
6.##กฎแห่งการไม่ยึดติด #กฎของการปล่อยวาง (The Law of Detachment)การลงมือกระทำอย่างสุดความสามารถโดยไม่สนใจผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น (The Law of Detachment)
กฎข้อนี้ฟังดูแล้ว รู้สึกว่ามันขัดแย้งจากความเป็นจริง กล่าวคือ หากไม่สนผลลัพธ์ แล้วมันจะไปสู่ผลลัพธ์ได้อย่างไร
ดังนั้นการเดินหน้าไปสู่เป้าหมาย หรือ ผลลัพธ์สุดท้าย นั่น อาจจะซอยเป้าหมายเป็นเป้าหมายย่อยๆ ต่อจากนั้นค่อยๆ Focus เป้าหมายย่อยๆ ไปที่ละเป้าหมาย เพราะถ้าเราเฝ้าถามตนเองว่าจะบรรลุเป้าหมายสุดท้ายเมื่อไหร่ เราจะเครียด และอาจจะหมดกำลังใจไปเสียก่อน
ยอมให้ตัวคุณเองและคนอื่นๆมีอิสระที่จะเป็นตัวของตัวเอง. อย่าบังคับทางออก ให้ทางออกมันเกิดขึ้นมาแบบของมัน. ความไม่แน่นอนเป็นสิ่งจำเป็น และ มันเป็นเส้นทางไปสู่อิสรภาพของคุณ
แม้คุณอาจมีความตั้งใจ แต่คุณต้องไม่ยึดติดกับความสำเร็จของมันก่อนที่มันจะปรากฏขึ้นเอง เราสามารถมุ่งเน้นไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งได้โดยตรง แต่ถ้าเรายึดติดกับผลที่เฉพาะเจาะจงของมันแล้วมันจะก่อให้เกิดความกลัวและความไม่มั่นคงหากมันมีโอกาสไม่เป็นไปดังที่หวังไว้ คนที่ปรับตัวสอดคล้องกับจิตวิญญาณจะมีความตั้งใจและความปรารถนาสูง แต่ความเป็นตัวตนของพวกเขาไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลที่ได้ มันมีส่วนหนึ่งในตัวพวกเขาที่ไม่อาจทำให้
“เฉพาะผู้ที่เกี่ยวพันแต่ไม่ยึดติดกับสิ่งใดเหล่านั้น ที่สามารถจะรื่นเริงและหัวเราะได้ สัญลักษณ์ต่างๆ ของความมั่งคั่งจะปรากฏขึ้นเองตามธรรมชาติโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ หากเรายังคงยึดติดกับสิ่งต่างๆ เราจะกลายเป็นนักโทษของความไร้ประโยชน์ ของความสิ้นหวัง ของความต้องการทางโลก ของความกังวลกับเรื่องหยุมหยิมเล็กน้อย ของความสิ้นคิดอยู่เงียบๆ ของความเครียด อันเป็นลักษณะเด่นชัดของการดำรงชีวิตธรรมดาที่ไม่ค่อยดีนัก และคิดถึงแต่เรื่องความยากจน”
หากยังยึดติด เราจะรู้สึกว่าถูกบีบบังคับให้ยอมรับทางออกของปัญหา แต่หากไม่ยึดติด เราสามารถเฝ้าดูทางออกที่สมบูรณ์แบบที่เกิดขึ้นจากความสับสนวุ่นวายนั่นเองได้อย่างอิสระ
อยู่เหนือการวิพากษ์วิจารณ์ ไม่หวาดหวั่นกับการท้าทายใดๆ และไม่อยู่ภายใต้อำนาจของใคร แต่ทว่าอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่วางอำนาจเหนือผู้ใด เพราะมันรู้ว่าคนอื่นทุกคนล้วนเป็นพระเจ้าองค์เดียวกัน มีจิตวิญญาณเดียวกันอยู่ในหน้ากากที่ต่างกัน”
7. #กฎของธรรมะ (The Law of Dharma)
กฎข้อที่ 7 เราเกิดมาทำไมบนโลกใบนี้ (The Law of “Dharma” or Purpose in Life
เมื่อม่านแห่งอัตตาลู่ลง ปัญญาจะปรากฏ ความรู้ความเข้าใจลึกซึ้งจะเป็นเรื่องปกติ ถ้าเราเลิกให้ความสำคัญกับตัวเอง เราจะเริ่มมองเห็นความยิ่งใหญ่ของจักรวาล เราสามารถเข้าถึงศักยภาพอันบริสุทธิ์ที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในได้โดยตรงด้วยการทำสมาธิภาวนากับการปลีกวิเวก แต่ก็ยังสามารถทำได้ด้วยการฝึกที่จะไม่วิพากษ์วิจารณ์และหัดชื่นชมธรรมชาติ เมื่อคุณรู้จักดินแดนแห่งนี้แล้ว คุณจะกลับมาพักพิงอยู่ที่นี่เสมอ และเป็นอิสระต่อทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราว สถานการณ์ อารมณ์ความรู้สึก ผู้คนและสรรพสิ่ง ความมั่งคั่งรุ่งเรืองและพลังสร้างสรรค์ทุกชนิดเกิดขึ้นจากดินแดนแห่งนี้
ค้นหาตัวตนภายในที่สูงกว่าของคุณเอง. ค้นหาความสามารถที่พิเศษของคุณ. ถามตัวเองว่าคุณจะสามารถช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ได้ดีที่สุดอย่างไร. การใช้ความสามารถพิเศษของคุณในการช่วยเหลือผู้อื่นจะนำมาซึ่ง ความสุขใจ และ ความ สมบูรณ์

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

พลังงานแห่งรัก ไม่ได้ถูกแบ่งแยกดว้ยความดี ความชั่ว พลังแห่งรักจุดกำเนิดจากหัวใจ ที่สดใสบริสุทธิ์ จุดประกายและส่องแสงสว่างพลังงานนั้นออกมา กระแสแห่งรักจะกระจายไปในทิศทางใด ธรรมชาติเป็นบริบทกำหนด ความรัก เมตตา
เกิดจากใจ ที่ใสซื่อตรง ไม่หวังผลใดๆในการครอบครอง
พลังงานบริสุทธิ์นี้ จะตีกลับ วนลูปเข้าสู่จุดกำเนิดเดิม ก่อเกิดจิตดวงใหม่ หรือปัญญาญาณ ที่สามารถแทงทะลุ กิเลส ตัณหา ราคะ มลทิน จนเข้าสภาวะสุญญากาศ แห่งสุญญตา
และปริศนา อันลึกซึ้ง

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

สายญาณบารมี คืออะไร ???
ที่มาของคำนี้ต้องแยกเป็นสองคำครับ สายญาณ กับ บารมี สายญาณ
สายญาณ คือ กลุ่มก้อนของพลังงานขององค์เทพ องค์นั้นๆซึ่งจะแบ่งเป็นสาย ตามทัศนคติ เผ่าพันธุ์ของมนุษย์ครับ เช่น สายญาณเทพฮินดู สายญาณเซียน(เทพจีน) เป็นต้นครับ องค์เทพนั้นอยู่ในภพที่ไม่มีกายสังขารครับ เป็นภพแห่งพลังงานครับ ซึ่ง องค์เทพนั้นท่านสามารถแบ่งญาณหรืออณูของท่านได้อย่างไม่รู้จบครับ
แบ่งเพื่ออะไ…….ร องค์เทพท่านต้องแบ่งญาณหรืออณูออกมา เพื่อเสริมบารมีให้กับตัวท่านเองครับ แล้วทีนี้จะเสริมบารมีได้อย่างไร ท่านก็ต้องใช้มนุษย์ที่มีเลือดเนื้อมีกายสังขารครับ และอยู่ในภพภูมิที่สามารถปฏิบัติสะสมบุญสะสมความดีได้ครับ และมนุษย์ผู้นั้นจะต้องมีบุพกรรมร่วมกันมาก่อนในอดีตชาติครับถึงจะเป็นกายสังขารให้ท่านได้ครับ พอจะเข้าใจคำว่า สายญาณแล้วนะครับ
คำที่สองคือว่า #บารมี Power energy of life
ครับ ตามรากศัพท์ หมายถึง ปฏิปทาอันยวดยิ่ง คุณธรรมที่ประพฤติปฏิบัติอย่างยิ่งยวด คือ ความดีที่บำเพ็ญอย่างพิเศษ เพื่อบรรลุซึ่งจุดหมายอันสูง ครับ เพราะฉะนั้น บารมี ขององค์เทพ ก็ต้องสร้างอย่างต่อเนื่องครับ เพื่อให้ท่านมี บารมี ต่อไปอย่างไม่รู้จบครับ อย่างที่บอกในตอนต้นครับ
ท่านก็ต้องใช้มนุษย์ที่มีบุพกรรมร่วมกันมาเป็นกายสังขารท่านในการเสริมบารมีครับ
เพราะฉะนั้นคำว่า สายญาณบารมี คือ กายสังขารขององค์เทพตามสายญาณที่มุ่งเน้นในการเสริมสร้างบารมี ครับ
ซึ่งทั้งกายสังขารเองก็จะได้รับบารมีด้วยครับ ถือเป็นผลพลอยได้สองต่อครับ

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

ตาที่สาม
ตามความเชื่อในรหัสยลัทธิและคุยหลัทธิ ตาที่สาม ไม่ใช่ตาเนื้อ แต่เป็นตาภายในที่ทำให้เห็นสิ่งเหนือปกติวิสัย
[1]แสดงถึงการรับรู้ระดับสูงในทางจิตวิญญาณ และเป็นสัญลักษณ์ของการรู้แจ้ง รวมถึงการหยั่งรู้พิเศษ เช่น การเห็นนิมิต ตาทิพย์ รู้เหตุการณ์ต่าง ๆ ล่วงหน้า เป็นต้น
[2] ในศาสนาฮินดูถือว่า อาชญาจักระ (आज्ञा चक्र) คือตาที่สาม
[3] เป็นจักระแห่งจิต คือดวงตาแห่งพุทธิปัญญา
[4]มนุษย์มองเห็นสิ่งต่าง ๆ ได้ในความฝันก็โดยอาศัยอาชญาจักระนี้ และพลังงานทางจิตวิญญาณจากสิ่งแวดล้อมจะเข้ามาในร่างกายผ่านจักระนี้ด้วย
อาชญาจักระยังเป็นจุดบรรจบของนาฑิทั้งสามก่อนจะไหลขึ้นสู่สหัสราระซึ่งเป็นจักระสูงสุด ผู้ปฏิบัติโดยเพ่งที่จักระนี้จะสามารถพ้นจากทวิภาวะได้
[5]ลัทธิอนุตตรธรรมเรียกตำแหน่งตาที่สามว่าจุดญาณทวาร
[6][7] (อักษรจีน: 玄關竅) เชื่อว่าวิญญาณจะเข้าออกร่างกายผ่านทางประตูนี้ และเป็นทางเดียวที่วิญญาณจะใช้ผ่านเพื่อกลับคืนสู่สวรรค์ซึ่งถือเป็นบ้านเกิดของวิญญาณทุกดวง ลัทธินี้ยังเชื่อว่าตำแหน่งจุดญาณทวารถูกปิดเป็นความลับสวรรค์มาแต่โบราณ แม้แต่ผีสางเทวดาก็ไม่รู้ แต่อริยชนผู้บรรลุแล้วในอดีตได้แสดงเป็นปริศนาไว้ในคัมภีร์ต่าง ๆ
ลัทธิอนุตตรธรรมเชื่อว่าเฉพาะผู้ได้รับอาณัติแห่งสวรรค์จากพระแม่องค์ธรรมเท่านั้นที่จะเปิดจุดญาณทวารได้ การเจิมเปิดจุดญาณทวารจะกระทำในพิธีถ่ายทอดเบิกธรรม(อักษรจีน: 辦道禮節 ปั้นเต้าหลี่เจี๋ย) ซึ่งดำเนินพิธีเป็นความลับ ไม่เปิดเผยให้คนนอกรับรู้ ผู้ที่รู้แล้วห้ามนำไปบอกต่อ เพราะเชื่อว่าจะถูกสิ่งศักดิ์สิทธิ์ลงโทษ

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

กำเนิดเครื่องทิพย์
พลังจิตของคนที่ได้ “รูปฌาน” แล้ว ล้วนก่อตัวเป็นเครื่องทิพย์ได้ทั้งสิ้น และ เครื่องทิพย์นั่นคือ
“ธรรมในกำมือ” แต่เขาบำเพ็ญอย่างไร?
ผู้ที่สำเร็จรุปฌานแล้ว ซึ่งมีอยู่มากมายในนี้ เมื่อกระทำจิตซ้ำๆ ติดชินวิสัยเดิมๆ พลังจิตที่ย้ำซ้ำๆ จะสะสมและก่อตัวเป็น “รูป” อาวุธทิพย์อย่างใดอย่างหนึ่งได้
เช่น ติดนิสัยชอบพูดขวานผ่าซาก แต่ตรงและถูกจริง ก็ก่อตัวเป็น “ขวานเพชร” ได้,
ติดชอบฟาดธรรมะใส่คนแรงๆ แต่ถูกต้องตรงไปตรงมา ก็ก่อตัวเป็นพลอง เพชรได้
หรือบางคนติด “ชอบตัด ชอบปฏิเสธ” ในฉับพลันที่รูปนามกระทบตน
นี่ก็ก่อตัวเป็น “ดาบเพชร” ได้เช่นกัน ทั้งหมดนี้ ล้วนมีรูปแบบทั้งสิ้น
ส่วน คำว่า “ธรรมในกำมือ” ปรากฎในไตรปิฎก ความหมายแท้จริงก็เป็นเช่นนั้น คือ จะเป็นสิ่งที่อยู่ในมือเรานี่เอง แต่เป็นมือของกายทิพย์ครับ เช่น ดอกบัวทิพย์, บาตรทิพย์, ดวงแก้วมณีทิพย์ ฯลฯ แต่ละอย่างจะต้องบำเพ็ญให้ได้ “ที่สุดแห่งธรรม” ในโลกนี้คนที่จะทราบได้ว่าของทิพย์แต่ละอย่างจะต้องบำเพ็ญอย่างไรจนถืงที่สุดแห่งธรรม เช่น แจกันทิพย์ต้องมีดอกไม้บานงอกออกมา, บาตรทิพย์ต้องแตกออกเป็นกลีบบัว,
จักรก็ต้องให้ได้จักรเพชร (วัชระ)
เมื่อบำเพ็ญต่อไป
จึงยังติดใน “รูปราคะ” อันเป็นด่านท้ายๆ ก่อนถึงอรหันต์ เมื่อติดอาวุธ ติดชินวิสัยเดิมๆ และ ติดชินมรรควิธีอย่างนี้เสมอๆ จึงกลายเป็น “อนาคามี” ไป มิสำเร็จอรหันตผลได้ ///
สามลำดับขั้นของวรรณะแห่งเครื่องทิพย์
ชั้นแก้ว เกิดจากการกลั่นจิตกลั่นใจให้ใสให้สว่าง
ในธรรมแห่งธรรมกาย
ขั้นทองคำ เกิดจากคุณธรรม ความดี
การแปรธาตุไฟเป็นธาตุทองด้วยกสิณแปรธาตุ
ขั้นวัชระ ( เพชร ) เกิดจากธรรมในวัชระนิกาย

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

กายทิพย์ที่บรรลุธรรมแล้ว
จิตวิญญาณที่บรรลุธรรมแล้วสังเกตได้หลายวิธีๆ หนึ่งคือ ดูที่กายทิพย์ของจิตวิญญาณนั้น จะมีลักษณะที่แตกต่างไปจากเดิม แม้แต่กายทิพย์ที่อยู่ในสังขารมนุษย์ก็ตาม ดังนี้
๑) กายทิพย์โพธิสัตว์ (กายทอง กายเพชร)
กายโพธิสัตว์ เป็นกายแบบเทวดาชั้นที่สี่ ซึ่งในชั้นนี้มีกายสองแบบ คือ หนึ่งแบบเซียน ที่จะตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ได้ อีกแบบคือ แบบโพธิสัตว์ ซึ่งจะตรัสรู้เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ได้, พระพุทธเจ้าก็ได้ หรือพระยูไลก็ได้ หรือไม่ได้ตรัสรู้เอง แต่จะรับธรรมจากพระยูไลหรือพระพุทธเจ้าแล้วบรรลุเป็นอรหันตโพธิสัตว์ก็ได้ เมื่อบรรลุธรรมแล้ว จะมีกายทิพย์แบบ “กายเพชร” คือ ใสเป็นแก้วประกายพรึก ที่เรียกว่า “วัชรกาย” ส่วนผู้บรรลุกายพุทธะ หรือกายยูไล (ไม่ใช่กายโพธิสัตว์) จะมีกายสองแบบ คือ แบบยูไลตะวันตกที่จะมีกาย “สีทองคำ” และแบบยูไลตะวันออกที่จะมีกาย “แก้วใส” พร้อมดวงแก้วประจำกายสีต่างๆ เช่น สีเขียว ทำให้เห็นกายมีสีต่างๆ ได้ เหมือนอัญมณีสีต่างๆ (คล้ายพระแก้วฯ)
๒) กายทิพย์เทพ (กายทอง กายแก้ว)
กายที่บรรลุธรรมแล้ว จะมีกายใสเป็นแก้วประกายพรึก เรียกว่า “วัชรกาย” อนึ่ง เทพจะมีอยู่ในสวรรค์ชั้นต่างๆ ตั้งแต่ชั้นที่สามลงมาถึงชั้นที่หนึ่งเท่านั้น เทพชั้นที่สามนั้น เมื่อได้บรรลุธรรมจะมีกายแก้วเช่น พระเจ้าจักรพรรดิ แต่เทพชั้นล่างลงไป อาจไม่ได้ถึงกายแก้ว จะได้แต่กายทองคำหรือกายสีอื่นๆ เช่น พญานาคเมื่อก่อนบรรลุธรรมเป็นพญานาคสีแดง เมื่อบรรลุธรรมแล้วก็มีสีกายเหมือนเดิม แต่มีรัศมีที่ศีรษะเปลี่ยนไป เป็นวงกลมสมบูรณ์สีขาวรอบแล้วเปล่งรัศมีสีต่างๆ แล้วแต่จะได้สีอะไรแต่จะมีรัศมีศีรษะไม่ครบเจ็ดสี (เฉพาะพระโพธิสัตว์ขึ้นไปจึงได้เจ็ดสี เรียกว่า “ซกเชน”) อนึ่ง เทพชั้นที่ต่ำกว่าเทพกษัตริย์จะมีกายทิพย์สีทองได้เมื่อบรรลุอรหันต์ และทรงขันธ์อยู่ได้ในสภาพนั้นๆ ถ้าอยู่ในกายสังขารมนุษย์ก็จะไม่ต้องห่มผ้าเหลืองก็อยู่ได้โดยมีบุญบารมีเลี้ยงตัวเอง ไม่ต้องเดินบิณฑบาต เช่น พระมหาจักรพรรดิ บรรลุธรรมแล้วกายใสเป็นแก้ว เลิกก่อกรรมทำเข็ญอยู่ได้ด้วยผลบุญนั้น ไม่ละสังขารตายในเจ็ดวัน เนื่องจากกำลังจิตมีมาก บารมีมีมากพอดำรงทรงขันธ์อยู่ได้โดยไม่ต้องอาศัยผ้าเหลืองในพระพุทธศาสนา โดยมีจิตวิญญาณเข้าแทรกในกายเพื่อคุ้มครองประจำกายนั้นๆ ก็จะสามารถดำรงชีพได้เหมือนปุถุชนปกติ ที่ไม่บรรลุธรรม
๓) กายทิพย์ภิกษุ (กายทอง)
กายภิกษุ เป็นกายทิพย์ที่สถิตอยู่ประจำสวรรค์ชั้นที่สามเท่านั้น (ไม่รวมสุขาวดีโลกธาตุ) อนึ่ง กายภิกษุจะบำเพ็ญธรรมจนบรรลุแล้วได้เพียง “กายทองคำ” เท่านั้น ไม่อาจได้ถึงกายแก้ว หรือ “วัชรกาย” ได้ จิตวิญญาณภิกษุนี้ ถ้ายังดำรงทรงขันธ์อยู่ในร่างมนุษย์ ก็จะมีกายทิพย์สีทองคำเช่นกัน ถ้าบารมีสูงขึ้นเกินไป จนกลายเป็นโพธิสัตว์แล้ว กายทองก็จะไม่มี กลายเป็นวัชรกายแทนได้ ส่วนจิตวิญญาณที่ไม่มีกายสังขารแล้วนั้น ไม่อาจเป็นเช่นนี้ได้ เพราะถ้ากายทิพย์เปลี่ยนแปลงมาก ก็จะจิตวิญญาณสลายแล้วเกิดใหม่ทันที
๔) กายเทวดา (กายเดิม)
กายเทวดาคือจิตวิญญาณชั้นที่หนึ่งถึงชั้นที่สามที่ไม่มีตำแหน่งเฉพาะใดๆ เป็นแต่เทวดาธรรมดา เหมือนประชาชนคนธรรมดา ไม่ได้รับราชการฉะนั้น เขาเหล่านี้มีบุญเสวยอยู่ได้ด้วยตนเองตามอัตภาพ เทวดาเหล่านี้บรรลุธรรมบนสวรรค์แล้วไม่ต้องบวช ไม่ต้องอาศัยผ้าเหลืองบิณฑบาตต่างจากในโลกที่ต้องมีสมมุติมากนั้น แต่ถ้าจิตวิญญาณเหล่านี้อยู่ในกายสังขารของมนุษย์โลก เมื่อบรรลุธรรมแล้วจะไม่อาจดำรงทรงขันธ์อยู่ได้เนื่องจากบุญบารมีมีน้อยมักจะละสังขารตายทันทีก่อนได้บวชในผ้าเหลือง เนื่องจากจิตวิญญาณไม่ใช่ภิกษุไม่มีบุญห่มผ้าเหลืองเช่นผู้ปฏิบัติธรรมห่มขาวที่ละสังขารตายเองภายในเจ็ดวันโดยเทวดาที่บรรลุธรรมแล้ว ไม่มีกายสีทองคำหรือกายเพชร ต่างไปเพียงรัศมีที่ศีรษะ ที่เดิมจะมีรัศมีไม่สว่างขาวกลมเต็มรอบ กลายเป็นมีรัศมีสว่างขาวกลมเต็มรอบที่สมบูรณ์ -จบ-

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

หลายคน เข้าใจว่า #นิพพาน คือการพบนิพพาน เวลาตายแล้วจะไม่กลับชาติมาเกิดอีก อันนั้นเข้าใจ ผิด
วงจรชีวิต คุณสามารถกลับมาเกิดอีกได้ หรือ Rea birds ถือกำเหนิดได้เป็นแสนๆชาติ อย่างต่อเนื่อง ได้
สังเกตุเกิดได้จาก พระพุทธเจ้า
ก่อนจะที่ตรัสรู้ ,หรือมหาตื่นรู้ ได้เกิดเป็นนกเป็น ช้างม้า หมาแมวสารพัดสัตว์ ก่อนจะพบนิพพานในชาติสุดท้าย แล้วตั้งจิตดับขันธ์ปรินิพพาน ปรินิพพานนี่สามารถทำได้เฉพาะ บรรดา
Master หรืออาจารย์ ศาสดาต่างๆที่อวตารร่างเทพลงมาสั่งสอนมนุษย์ ตามแต่ละสายไป ฉนั้นนิพพาน คือนิพพานเฉพาะตัว นิพพาน ใครนิพพานมัน
คนไหนพบนิพพาน แจ้งชัดในนิพพาน นิพพานไม่สามารถสอนกันได้ แต่ชี้ชัดกันได้ สิ่งที่คุณทำนี้ เข้าถึงนิพพานได้
นิพพาน หรือภาวะนิพพาน นั้น เป็นภาวะการพัฒนาตนในแต่ละชาติ ให้เข้าถึงกิจกรรมสภาวะ ทางวิญญาณในแต่ละภพ เชื่อมโยง สันตติ สืบเนื่อง ต่อเนื่องเหมือนทารก เชื่อมสายสะดือครรภ์ของมารดา
นิพพานเกิด จาก Emotion หรือสภาวะทางอารมณ์ เฉพาะตัว
เกิดการ Bigbang แล้วดับสู่สุญญตา ง่ายๆคือเกิดจากความมืดสู่ความมืด จนค้นพบทางสว่าง ง่ายๆคือ เกิดจาก ego –จนดับสู่สุญญตา จิตดับจากภวังค์ แล้วเกิดการจุติจิตดวงใหม่ เข้าสู่ Physical body หรือการถือกำเนิดจิตดวงใหม่ในร่างปัจจุบัน
นิพพาน คือคือภาวะดื่มด่ำ ระหว่างจิต กะ ego จนเข้าถึงวิญญาณ โดยปราศจากวิญญาณ

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

คนเรามองไม่เห็นอนาคต ถ้ามองเห็นอนาคต….ก็จะไม่ทุกข์

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

จิตต้องเข้าถึงกายทิพย์ ชำระล้างกายทิพย์ดว้ยพลังงานบริสุทธิ์ จิตวิญญาณดวงใหม่จึงจะถือกำเนิดขึ้น

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

ร่าง กายของมนุษย์เรานอกจากรูปร่างหน้าตาภายนอกซึ่งเรียกว่ากายเนื้อหรือกายหยาบ แล้ว ยังมีร่างกายใน ที่เป็นกายละเอียดเกาะเกี่ยวซ้อนทับอยู่ภายในร่างกายซึ่งเรียกว่า #กายทิพย์ กายทิพย์นั้นเป็นคลื่นพลังงานที่มีรัศมีเรืองรอง สามารถแผ่ซ่านออกมานอกกายเนื้อตามกระแสพลังของจิตใจ-อารมณ์-ความคิด-และความ สมบูรณ์ของร่างกาย ซึ่งบางคนอาจมองเห็นด้วยตาเปล่า เรียกว่า…..ออร่า
กายทิพย์หากมีรัศมีหม่นมัว สีสันไม่แจ่มจ้าสดใส อาจหมายถึงโรคภัยไข้เจ็บ หรือมีอารมณ์ความคิดที่เป็นด้านลบ การสัมผัสถึงกายทิพย์หรือรัศมีกายทิพย์ของผู้อื่น สามารถทำได้ แม้นจะไม่ใช่การมองเห็นด้วยตาเปล่า
#แต่อาจรับรู้ด้วยความรู้สึก ล่วงรู้ว่าบุคคลนั้นกำลังตกอยู่ในความสุขความเศร้า เป็นคนนิสัยใจคออย่างไร แม้รูปร่างภายนอกจะดูดี พูดจาดี
#แต่เราอาจรู้สึกว่าเขากำลังเจ็บป่วยทางใจ คือไม่เหมือนอย่างที่เห็น คนที่รู้สึกถึงกายทิพย์นี่ได้…. จะต้องเป็นผู้มีสมาธิจิตพอควร ไม่ใช่ทึกทักเอาตามความคิดได้
กายทิพย์และรัศมีกายทิพย์มีความละเอียดซับซ้อนมาก นอกจากจะบอกเรื่องสุขภาพหรือปัญหาสุขภาพที่จะเกิดขึ้นกับกายหยาบล่วงหน้า ยังบอกถึงสภาพอารมณ์จิตใจ โชควาสนา และยังมีความเชื่อกันว่า สามารถบ่งบอกถึงอดีตชาติซึ่งเป็นกายทิพย์ชาติก่อนๆ ซ้อนทับกันลงไปเรื่อยๆ แม้กายภายนอกของชาติก่อนๆ จะตายไปแล้ว แต่กายทิพย์ของชาติก่อนๆ ยังซ้อนกันอยู่ นี่เป็นเหตุที่ทำให้คนเราในชาตินี้ มีนิสัยใจคอ-ความรู้ความสามารถติดตัวมาจากชาติก่อนๆ ด้วย
จิตนั้นต้องเดินทางผ่านกาลเวลามาอย่างยาวนาน อาศัยรูปขันธ์เกิดตามวิบากกรรมหรือที่เรียกว่าวาสนาบารมี จะเกิดมาดีบ้างหรือไม่ดีบ้างขึ้นลงวนอยู่ในภพภูมิสูงต่ำไปตามยถากรรม ซึ่งตัวเองปรุงแต่งไว้ตามกิเลสความลุ่มหลงและอุปาทานในขณะนั้นๆ เกิดดับเรื่อยมาช้านานด้วยความไม่รู้ และความไม่รู้นี้เองที่นำพาจิตเวียนว่ายอยู่ในทะเลทุกข์ หาทางหลุดพ้นไม่เจอ จนกว่าจะเกิดความรู้ขึ้นมา และหาทางยุติกรรมได้ด้วยความรู้นั้น
แต่ในขณะที่จิตยังต้องท่องเที่ยวอยู่ในสังสารวัฏฏะ ก็ยังต้องอาศัยรูปหรือร่างกายเป็นแดนเกิดเพื่อสะสางกรรมที่สร้างไว้ รูปหรือร่างกายที่อาศัยนี้ก็ไม่มีความคงทน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามกฎของธรรมชาติและกฎกรรมตลอดเวลา มีความเสื่อมและเจ็บป่วยอยู่เสมอ สร้างความทุกข์ให้มิใช่น้อยแม้นยังไม่ตาย
การเสริมสร้างพลังกายทิพย์ นับว่าเป็นการเสริมสร้างพลังทางร่างกาย และทำให้มีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้นด้วย เพราะการเสริมสร้างพลังกายทิพย์ ก็คือการดูแลร่างกายและจิตใจให้ดีขึ้นนั่นเอง
แม้นปัจจุบัน วิทยาการแพทย์ในยุคดิจิตอลจะก้าวหน้าไปมาก แต่ท่ามกลางความเจริญก็กลับนำพาสารพิษและมลภาวะรวมถึงความเครียดในการดำรง ชีวิตในสังคมที่ต้องแก่งแย่งแข่งขันมาสู่สุขภาพอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะคนในสังคมเมือง
ในร่างกายมนุษย์ที่เกิดขึ้นมาได้ ประกอบด้วยธาตุหก คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาณ (จิต) หากรักษาความสมดุลของธาตุทั้งหลายเหล่านี้ไว้ได้ สุขภาพก็จะแข็งแรง
กายทิพย์เองก็เป็นตัวบ่งบอกถึงความสมดุลในร่างกายเช่นกัน ทั้งยังสามารถพัฒนากายทิพย์ให้ทรงอานุภาพมากยิ่งขึ้นได้ด้วยการปฏิบัติทาง จิตและทางกาย
นอกจากกายทิพย์จะมีความคงทนถาวรกว่ากายเนื้อ ทั้งยังต้องเดินทางเกาะเกี่ยวไปกับจิตอีกเนิ่นนานและจะอีกนาน.. ไปจนกว่าจิตจะชำระล้างกิเลสเข้าสู่ความบริสุทธิ์หรือเข้านิพพาน หากกายเนื้อตายลงนั้น กายทิพย์หรือกายวิญญาณที่อยู่กับจิตก็จะต้องหาร่างกายใหม่หรือรูปขันธ์ใหม่ อาศัย ซึ่งจะเป็นไปตามวิบากบุญบาปที่สร้างเอาไว้ หากไปเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม กายใหม่จะละเอียดมากกว่ากายทิพย์ขณะเป็นมนุษย์ และจะมีผลต่อกายทิพย์ในกายใหม่นั้นด้วย กายทิพย์นั้นจะแปรเปลี่ยนไปตามบุญวาสนาและสภาพจิตใจ
กายทิพย์ที่มีพลานุภาพ ย่อมทำให้กายหยาบมีพลานุภาพไปด้วย การเพิ่มพลังอานุภาพให้กายทิพย์คนเรานั้น สามารถฝึกฝนปฏิบัติได้ด้วยการรักษาสภาพร่างกายและจิตใจให้สมบูรณ์ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เช่นผักผลไม้สะอาด การอยู่ในธรรมชาติที่สะอาด มีผลต่อสุขภาพร่างกายฉันใด การให้อาหารจิตที่ดี เช่นมีความคิดในด้านบวก มีความรักความเอื้ออาทร หรือการฝึกฝนสมาธิจิต ฯลฯ ก็มีผลต่อสุขภาพจิตฉันนั้น
.. ภายในกายเนื้อหรือกายทิพย์ จะมีจักระหรือศูนย์พลังทั้ง 7 อยู่ภายใน เป็นทางขับเคลื่อนของปราณก่อนกระจายไปทุกอณูในร่างกาย จักระแต่ละจุดจะมีสีแห่งชีวิต
จักระ1 อยู่ตรงฝีเย็บระหว่างอวัยวะเพศและทวารหนักมีสีแดง
จักระ2 อยู่ตรงก้นกบมีสีส้ม
จักระ3 อยู่บนกระดูกสันหนังแนวเดียวกับสะดือมีสีเหลือง
จักระ4 อยู่บนกระดูกสันหลังแนวเดียวกับหัวใจมีสีเขียว
จักระ5 อยู่บนกระดูกสันหลังช่วงต้นคอมีสีฟ้า
จักระ6 อยู่ระหว่างคิ้วตรงหน้าผากหรือดวงตาที่สามมีสีไพลิน
จักระ7 อยู่บนกระหม่อมมีสีม่วง
เมื่อปราณหรือ#พลังกุณฑาลินี ที่สถิตปลายสุดของกระดูกสันหลัง ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น มันจะพุ่งสู่จักระสุดท้ายเหนือศีรษะ ซึ่งเชื่อมต่อกับพลังจักรวาลที่มีอยู่ทั้งหมด มันจะมอบความรู้แจ้งในตนเองให้กับผู้ที่ทำได้ แต่ละจักระจะมีคุณสมบัติทางจิตวิญญาณ เมื่อจักระทั้งเจ็ดถูกเปิดขึ้น
#สามารถเดินลมปราณได้ทะลุทะลวงทั่วร่างกาย จะทำให้ร่างกายสามารถแก้ไขความไม่สมดุลทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยการนำคลื่นพลังหรือปราณไปแก้ไขในจุดที่บกพร่อง ทั้งยังช่วยให้ผู้ปฏิบัติขั้นสูงรวมเป็นหนึ่งเดียวกับความสุขสงบ และพบความสมบูรณ์ทางจิต การปฏิบัติสมาธิเป็นประจำ และนำพลังชีวิตไปใช้ในทางสร้างสรรค์ อ่อนน้อมถ่อมตน เอื้ออาทรและมีความเมตตา นอกจากสุขภาพจะพัฒนาดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ยังช่วยให้ตื่นตัวไวต่อการรับรู้ถึงพลังธรรมชาติรอบ ๆ ตัวของเราได้อย่างน่าอัศจรรย์ เราจึงสามารถทำให้กายทิพย์แข็งแรงทั้งด้วยการขับเคลื่อนปราณในร่างกาย และนำพลังจักรวาลเข้ามาฟื้นฟูพลังกายทิพย์เราได้
ขุมพลังสู่การเพิ่มอานุภาพพลังกายทิพย์
ด้วย พลังสมาธิ – พลังปราณ – พลังคอสมิค
พลังสมาธิ (พลังจิต) การจะฝึกฝนศาสตร์และองค์ความรู้ทุกแขนง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้สมาธิ-สติ-ปัญญา เป็นตัวนำพาเราไปสู่ขบวนการความรู้แจ้งในศาสตร์นั้นๆ สมาธินับเป็นฐานกำลังสำคัญต่อกระบวนทั้งร่างกายและจิตใจ การฝึกสมาธิให้จิตสงบแน่วแน่มีพลานุภาพต่อการรับรู้และนำมาใช้งานนั้นเป็น เรื่องจำเป็น เพราะจิตใจที่ไม่เป็นระเบียบและไม่เป็นสมาธิ จะไม่สามารถนำไปใช้งานอะไรได้เลย สมาธิเองเป็นฐานที่จะปฏิบัติให้พลังกายทิพย์ก้าวหน้าด้วยเช่นกัน การรวบรวมสมาธิได้ ย่อมปลุกพลังปราณและรับพลังคอสมิคได้ การรับปราณภายนอกตัวและพลังคอสมิค ในขั้นต้น ไม่จำเป็นต้องใช้สมาธิสูงอะไรเลยด้วยซ้ำ
#พลังปราณ (พลัง ชีวิตหรือพลังกุณฑาลิณีหรือคนจีนเรียกว่าชี่) พลังปราณหรือพลังชีวิต เป็นพลังดั้งเดิมของจักรวาลที่สั่นสะเทือนอยู่ในร่างกายเรา บ่งบอกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลในตัวเรา แม้นเราจะแยกตัวออกมาแล้ว เราสามารถเชื่อมต่อพลังชีวิตของเรากับจักรวาลได้ การฝึกสมาธิจนสามารถกระตุ้นปราณในตัวให้ตื่นขึ้น ไหลเวียนไปตามจักระทั้งเจ็ดในร่างกาย จะส่งผลต่อสุขภาพ ที่ทำให้มีชีวิตชีวา เป็นแรงขับเคลื่อนอยู่ภายในซึ่งหล่อเลี้ยงชีวิตให้กระชุ่มกระชวย นอกจากปราณในตัวแล้ว พลังชีวิตนอกตัวหรือปราณนอกตัว ยังมีอยู่ในอากาศ สายลม ดอกไม้ ต้นไม้ น้ำค้าง ก้อนหิน ฯลฯ สรรพสิ่งในโลกล้วนมีพลังซ่อนอยู่ในตัวเอง ธรรมชาติที่บริสุทธิ์จะช่วยให้ร่างกายของเราฟื้นสมรรถภาพได้แม้ในยามเจ็บ ป่วย แม้นแต่พลังจากดวงดาวต่างๆ ที่ส่องมายังโลก ก็นำมาใช้ในการฟื้นฟูจักระทั้งเจ็ดในร่างกาย พลังแสงอาทิตย์นับเป็นพลังชีวิตขนาดยิ่งใหญ่มหาศาล ก่อให้เกิดสิ่งมีชีวิตต่างๆ หากเราต้องอยู่ในที่อับแสงมืดมิดเป็นเวลานานเกินไป จะส่งผลให้ร่างกายห่อเหี่ยวและอาจถึงตายได้
#พลังคอสมิค (ต่างจากกัมมันตรังสีcosmic ในอวกาศและแสงอาทิตย์ที่เป็นอันตราย) หรือที่เรียกพลังจักรวาล (จิตจักรวาล) เชื่อว่ามีอยู่รอบๆ ตัวเรา เป็นพลังที่ส่งมาจากจักรวาลหรือจิตจักรวาล เป็นคลื่นพลังงานจากจิตเบื้องบน หรือจิตที่สูงส่ง มีความรักความเมตตาหาประมาณไม่ได้ เชื่อว่าเป็นพลังแห่งความรัก พลังศักดิ์สิทธิ์ พลังแห่งการรักษา-โอบอุ้ม-คุ้มครอง เราสามารถรับพลังคอสมิคได้ชัดเจนเมื่อจิตมีสมาธิ หากสามารถกระตุ้นจักระทั้งเจ็ดในตัวและรับคลื่นพลังจักรวาลได้ นอกจากจะช่วยให้กายทิพย์และกายเนื้อเรามีพลานุภาพมากขึ้น รักษาโรคภัยไข้เจ็บในตัวเอง ยังสามารถส่งพลังนี้ผ่านตัวเราไปรักษาผู้ป่วยคนอื่นๆ โดยเชื่อว่าพลังจักรวาลจะสื่อจากตัวเราส่งผ่านมือเปล่าไปรักษาอาการเจ็บป่วย ของผู้ที่ต้องการมาให้ช่วยเหลือ พลังคอสมิคมีพลังอำนาจ สามารถนำมาใช้ในด้านรักษาและทำลายล้างได้ตามจิตใจของตัวเราเอง หากนำมาใช้ในด้านดีงามพลังก็จะพัฒนาไปถึงขีดสุด แต่หากนำมาใช้ในเรื่องไม่ดีก็จะทำลายล้างตัวเราเองเช่นกัน
จะเห็นได้ว่า เราแทบจะแยกพลังสมาธิตัวเราเอง พลังปราณในตัว-ปราณนอกตัว และพลังจักรวาลได้ยาก การมีพลังจิตจนสามารถนำพลังนอกตัวมาประสานกับตัวเอง กายทิพย์ก็จะทรงพลังมากขึ้น เมื่อนำพลังงานจักรวาลและพลังงานของดวงดาวต่างๆ มาใช้ด้วยสมาธิ โดยการใช้ตัวเองเป็นตัวกลางในการรับคลื่นพลังก่อนส่งผ่านไปยังบุคคลอื่น จะช่วยให้เราไม่สูญเสียพลังตัวเอง อีกทั้งยังช่วยให้เรามีพลังกายทิพย์มากขึ้นอีก

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

14 การยืนยันความมั่นใจที่ส่งเสริมการเสริมพลังตนเอง
หากคุณต้องการเริ่มต้นด้วยการยืนยันการเพิ่มขีดความสามารถด้วยตนเองขั้น พื้นฐานแทน (หรือก่อนหน้านี้) ที่พยายามสร้างด้วยตัวคุณเองต่อไปนี้เป็นวลีที่ทรงคุณค่า
เรียบง่าย แต่ทรงพลัง การยืนยันนี้เตือนคุณว่าคุณมีสิทธิ์ที่จะขอให้รับทุกสิ่งที่คุณต้องการไม่ว่าข้อความที่คุณอาจได้รับจากการทำลายในชีวิตก่อนหน้านี้จะเป็นอย่างไร
บางครั้งเราคิดว่าเราต้องพึ่งพาผู้อื่นเพื่อให้ได้สิ่งที่เราต้องการ ในขณะที่คนอื่น ๆ สามารถเป็นแหล่งข้อมูลและผู้สนับสนุนที่ดีได้สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าคุณมีทุกสิ่งที่คุณต้องการภายใน
คำแถลงเช่นนี้เป็นวิธีที่ดีในการไตร่ตรองความจริงของกฎแห่งการดึงดูดอย่างรวดเร็ว และหันความสนใจไปที่ความสามารถไม่รู้จบเพื่อกำหนดโลกรอบตัวคุณ
แทนที่จะเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นและกังวลว่าคุณจะเข้ามาในระยะเวลาสั้น ๆ ให้ดูว่าไม่มีใครสามารถให้โลกได้ในสิ่งที่คุณทำ จงชื่นชมยินดีในความจริงที่ว่าคุณเพิ่มคุณค่าให้โลกทุกวัน
#ฉันมีฝูงชนมากมาย” I have a large crowd. “
บางครั้งคุณจะมีความรู้สึกผสมและคุณจะเปลี่ยนแปลงและพัฒนาตลอดเวลา ทั้งสองสิ่งนี้โอเค! มันสะท้อนความซับซ้อนของคุณ เคารพและให้เกียรติในหลายแง่มุมของคุณและทุกสิ่งที่พวกเขาต้องสอนคุณ
I will be my best supporter.
เช่นเดียวกับที่คุณมีพลังทั้งหมดที่คุณต้องการคุณควรรู้สึกมั่นใจในการสนับสนุนความต้องการและเป้าหมายของคุณ คุณไม่จำเป็นต้องขอโทษใครก็ตามที่แสวงหาความเคารพและความสำเร็จ การยืนยันนี้ช่วยให้คุณปรับความคิดนั้น
I have the power to succeed. ”
คำพูดเหล่านี้มีประโยชน์ไม่ว่าคุณจะต้องการเพิ่มขีดความสามารถของตัวเองในการทำงานเพื่อความอุดมสมบูรณ์ความโรแมนติกอาชีพที่ร่ำรวยหรือสิ่งอื่นใดก็ตาม นี่เป็นการยืนยันอย่างรวดเร็วที่จะใช้เมื่อคุณรู้สึกสั่นคลอนเล็กน้อย
ไม่มีใครสามารถตัดสินใจได้ว่าอะไรที่ดีที่สุดสำหรับคุณสิ่งที่คุณต้องการหรือวิธีที่คุณติดตาม พูดประโยคนี้เพื่อต่อสู้กับความกังวลพื้นฐานที่คุณต้องการทำให้คนอื่นพอใจหรือคุณควรคำนับความเชี่ยวชาญของพวกเขาในเรื่องของความสุขของคุณเอง
ในทำนองเดียวกันไม่มีใครที่จะเอาความสุขของคุณไป นอกจากนี้ยังไม่มีใครถูกตำหนิเพื่อป้องกันไม่ให้คุณมี ความสุขคือทางเลือกและเป็นสิ่งที่คุณสามารถทำได้ในวันนี้
ความเห็นอกเห็นใจและความรักช่วยเพิ่มความถี่ในการสั่นสะเทือนของคุณและดึงดูดสิ่งที่ดีกว่าเข้ามาในชีวิตของคุณดังนั้นการยืนยันในตอนเช้าเช่นนี้จะทำให้คุณมีวันที่ดี
ไม่มีอะไรที่คุณจะเอาชนะไม่ได้! อย่างไรก็ตามบางครั้งคุณต้องได้ยินเสียงตัวเองพูดออกมาดัง ๆ ก่อนที่คุณจะจำได้ว่ามันเป็นเรื่องจริง
#เชื่อในตัวเอง.” Believe in yourself. “
ในที่สุดบางครั้งการยืนยันที่ง่ายที่สุดก็ดีที่สุด หากคุณใช้ความเชื่อมั่นและความเชื่อมั่นในตัวเองเป็นคำพูดที่เพียงพอบ่อยครั้งมันก็จะกลายเป็นข้อเท็จจริงที่ทำให้การตัดสินใจอื่น ๆ

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

กรรมเป็นแนวคิดของศาสนาฮินดู ซึ่งอธิบายถึงเวรกรรมผ่านระบบที่มีผลประโยชน์ ที่ได้รับจากการกระทำที่เป็นประโยชน์ในอดีตและผลร้ายจากการกระทำที่เป็นอันตราย
ในอดีตสร้างระบบการกระทำและปฏิกิริยาตลอดชีวิตวิญญาณ อาตมัน (Atman) กลับชาติมาเกิด ,วงจรของการเกิดใหม่ ReBirds.
“ชีวิตมีอยู่โดยไม่มีกฎ; เกมส์ไม่สามารถอยู่ได้โดยไม่มีกฎ
ดังนั้นศาสนาที่แท้จริงจึงไม่มีกฎเสมอ ๆ
ศาสนาจอมปลอมเท่านั้นที่มีกฎ เพราะศาสนาเท็จเป็นเกมส์”

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

“สิ่งมีชีวิตทั้งหมดคือพลังงาน ทุกชีวิตคือพลังงาน
…….หากพลังงานนั้นได้รับอนุญาตให้ไหลโดยไม่มีข้อขัดแย้งใด ๆ โดยไม่ต้องเสียดสี ไม่มีความขัดแย้งใด ๆ พลังงานนั้นจะไร้ขอบเขตไม่มีที่สิ้นสุด”

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

ตันตระเสพกาม?
การเสพกิเลสทุกชนิดจนเกิดความเบื่อหน่าย แล้วคลายกิเลส และหลุดพ้นในที่สุด
นิกายตันตระ(Tantra Buddhism) #เชื่อว่าความหลุดพ้นไม่จำเป็นต้องมีพิธีกรรมใดๆ
ถ้าไปโยงกับวลี “เสพกามด้วยจิตว่าง” !!!
ตันตระ มาจากสันสฤกต 2คำ tattva -mantra
Tattva ศาสตร์แห่งจักรวาล
มนตรา ทุกคำสอน สุภาษิตของพระเจ้าคือมนตรา
มนตราคือ คำที่เสมือนตะขอ ดึงเราออกจากสภาพของโลกียะ
การสวดมนต์ใดๆก็ตามที่เหมือนตะขอ ดึงเราออกจากอารมณ์ทางโลกคือมนตรา
ไม่ใช่มนตราในแบบของเรา
ยังมีคำว่า เกจิ ของเราหมายถึงเก่งในด้าน อาคม เวทย์ หรืออาจจะรวมธรรมะ
แต่เกจิคือ บัณฑิต ที่เรียนธรรมจนครบหลักสูตร

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

ทุกข์ทั้งหมดเกิดขึ้นจากการเห็นแก่ตัว สุขทั้งหมดเกิดขึ้นจากการหวังดีให้ผู้อื่นมีความสุข

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

ตัณหาดับด้วยตัณหา กิเลสของมนุษย์ประกอบด้วย
“ราคะ โทสะ โมหะ” การจะดับกิเลสได้ต้องประพฤติที่จิตจนเบื่อหน่ายไปเอง

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

Kundalini) อันเป็นพลังจากแหล่งกำเนิดของจักรวาล (primodial energy) กุณฑาลินี หมายถึงพลังงานเพื่อการวิวัฒนาร่างกาย และจิตใจของมนุษย์เป็นสำคัญ
พลังงานดำรงอยู่ทั้งในสภาวะที่เผยตัวออกมาแล้ว และในสภาวะที่ยังไม่เผยตัวออกมา ก็เป็นแค่ สภาวะของเมล็ดพันธุ์ โดยที่ #กุณฑาลินีคือศักยภาพ หรือความเป็นไปได้ทั้งหมดของความเป็นมนุษย์ที่คนเราอาจบรรลุถึงได้
เพียงแต่มันยังคงดำรงอยู่ในฐานะที่เป็นแค่เมล็ดพันธุ์
หรือเป็นแค่ศักยภาพในตัวของคนเราเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้น กุณฑาลินีโยคะ จึงเป็นวิชาเพื่อการปลุกพลังกุณฑาลินีเพื่อทำให้ศักยภาพที่แฝงเร้นอยู่ในตัวมนุษย์กลายเป็นจริงขึ้นมา ในมุมมองของโยคะ มนุษย์เราส่วนใหญ่ ไม่เคยได้ใช้ศักยภาพที่ดำรงอยู่ในตนเองออกมา 100% เลย แต่กลับใช้แค่บางส่วนเป็นส่วนน้อยเท่านั้น ส่วนใหญ่ของศักยภาพที่ยังไม่ได้ถูกใช้ออกมานี่แหละ คือสิ่งที่โยคะเรียกว่า #กุณฑาลินี
ในบรรดาศักยภาพที่แฝงเร้นอยู่ในตัวมนุษย์นั้น แม้แต่วิทยาศาสตร์สมัยใหม่เองก็ยังยอมรับว่า ศักยภาพของสมองเป็นส่วนที่ผู้คนส่วนใหญ่ใช้น้อยที่สุด เมื่อเทียบกับอวัยวะส่วนอื่นๆ ของร่างกาย กล่าวคือ
#ของศักยภาพของมันเท่านั้นเองที่เหลืออีก 90% ของศักยภาพสมอง กลับถูกกลบฝังอยู่ภายในตัวคนเราอย่างน่าเสียดาย ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า ผู้คนส่วนใหญ่ไม่รู้วิธีที่จะพัฒนาศักยภาพของสมองส่วนที่แฝงเร้น ซึ่งวิชาโยคะเรียกว่า กุณฑาลินีนี้อย่างเป็นระบบนั่นเอง
จะว่าไปแล้ว กุณฑาลินีโยคะ น่าจะเป็นศาสตร์โบราณที่เก่าแก่ที่สุดในโลกที่ปราชญ์คุรุทั้งหลายแห่งโยคะได้คิดค้นขึ้นมา เพื่อพัฒนาศักยภาพของสมองอย่างเป็นระบบ ด้วยเหตุนี้เอง ในสายตาของมวลชนสมัยโบราณที่ไม่รู้จักวิชาโยคะจึงมองเห็นบรรดาปราชญ์คุรุผู้ฝึกฝนกุณฑาลินีโยคะเหล่านี้เป็น “ยอดคน” หรือเป็นมนุษย์ที่มีความสามารถสูงส่งเทียม “เทพยดา” ในตำนานไปเลยทีเดียว
ทั้งๆ ที่โดยแท้จริงแล้ว กุณฑาลินีโยคะคือส่วนหนึ่งของศาสตร์และปรัชญาแห่งตันตระ (Tantra) ที่มุ่งก่อให้เกิดวิวัฒนาการทางจิต (evolution of consciousness) อย่างเป็นระบบ แก่ตัวผู้ฝึกในฐานะปัจเจก และแก่มนุษยชาติในฐานะที่เป็นเผ่าพันธุ์ เท่านั้นเอง
ปราชญ์คุรุแห่งวิชาโยคะ ได้ค้นพบมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้วว่า แต่ละส่วนต่างๆ ในสมองของคนเรานั้น ล้วนเชื่อมโยงกับจักระต่างๆ ในระดับกายทิพย์ทั้งสิ้น โดยที่บางส่วน (บริเวณส่วนหน้าของสมอง)
เชื่อมโยงกับจักระที่ 1 (มูลธาร) ขณะที่บางส่วนที่อยู่ถัดเข้ามาเชื่อมโยงกับจักระที่ 2 (สวาธิษฐาน) ส่วนที่อยู่ถัดเข้ามาตรงกลาง เชื่อมโยงกับจักระที่ 3 (มณีปุระ)
และจักระที่ 4 (อนาหะตะ) ตามลำดับ โดยที่ส่วนที่อยู่บริเวณส่วนหลังของสมอง เชื่อมโยงกับจักระที่ 5 (วิสุทธิ) ส่วนบริเวณต่อมไพนีลของสมองตรงกึ่งกลางด้านในสมองนั้น เชื่อมโยงกับจักระที่ 6 (อาชณะ)
จักระทั้ง 6 ฐานหรือ 6 แห่งนี้ เป็นเสมือนสวิตช์ไฟที่ทำหน้าที่ “เปิดไฟ” (ให้พลังงาน) แก่ส่วนต่างๆ ทั้งหมดของสมองนั่นเอง โดยที่จักระที่ 7 (สหัสธาร) ซึ่งเป็นตำแหน่งบนยอดสุดของศีรษะเป็นที่ตั้งของจิตวิญญาณอันสูงส่ง (อาตมัน) และเป็นที่สถิตที่แท้จริงของพลังกุณฑาลินี (kundalini shakti) เมื่อผู้นั้นฝึกโยคะสำเร็จแล้ว
นอกจากจักระทั้ง 7 แล้วในระบบของกุณฑาลินีโยคะ ยังให้ความสำคัญกับตำแหน่งอีก 2 ตำแหน่งในบริเวณสมองด้วยคือ
(1) #จุดพินธุ (Bindu) ซึ่งอยู่บริเวณส่วนยอดด้านหลังของศีรษะกับ
(2) #จักระลลนา (lalana chakra) ซึ่งเป็นจักระย่อยตั้งอยู่บริเวณด้านหลังเหนือเพดานปากบน ซึ่งเป็นจุดที่เก็บ “น้ำอมฤต” (ambrosia) หรือฮอร์โมนทิพย์ที่หลั่งออกมาจากจุดพินธุ เพื่อปล่อยสู่จักระที่ 5 (วิสุทธิ) บริเวณลำคอ ซึ่งมีบทบาทสำคัญมากต่อการชะลอวัย รักษาความเป็นหนุ่มสาวให้ยาวนาน และการมีสุขภาพแข็งแรงอายุยืน

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

1.ถ้าเกิดมาจน ไม่ใช่ความผิด
2.ถ้าจน การเรียนรู้ ,ประสบการณ์ นั้นสำคัญ
3.โลกไม่สนคนมั่นใจ แต่ทุกคนสนใจ ‘ความสำเร็จ’ ที่เกิดจากความมั่นใจ
4.คน “ขี้เกียจ” จะทำงานยากๆ ได้ “ง่าย”
5.บางคน…ฝัน บางคน…กำลังทำ แต่หลายคน…เชยชม
กฏแห่งแรงดึงดูด โลกของเรามีแรงดึงดูด เป็นพลังงานที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าเหมือน Wifi แต่พวกเราสามารถสัมผัสมันได้ผ่านการเกี่ยวเนื่อง ซึ่งตัวเราเองก็สามารถเป็นจุดศุนย์กลางของแรงดึงดูดได้ ไม่ต่างจากโลกเช่นกัน แต่แรงดึงดูดที่ว่านี้ไม่ใช่ทุกสรรพสิ่งบนโลก แต่เป็นสิ่งดีๆที่เราต้องการจะดึงดูดให้เข้ามา คิดดีก็เจอสิ่งดีๆ แต่ถ้าคิดในแง่ลบก็อาจเจอสิ่งไม่ดี
จิตของเรามีพลังอำนาจมหาศาล ในการชักจูงให้ตัวเองทำสิ่งที่ต้องการ เพราะถ้าอยากประสบความสำเร็จ สมองที่ถูกกระตุ้นบ่อยๆ ว่าจะสำเร็จ มันจะพยายามแสวงหาหนทางด้วยสติปัญญา ลองทำโน่นทำนี่ อาจถูกบ้างผิดบ้าง แต่หากล้มเหลว
กฏแรงดึงดูดก็จะช่วยให้มีแรงฮึดในการลุกขึ้นสู้ “กฏของแรงดึงดูด”
1.ความพยายาม
2.คิดบวก
3.รู้จักตัวเอง
การมีสติ เป็นส่วนสำคัญของกฏแห่งแรงแดงดึงดูด เพราะการมีสติจะเป็นตัวกำหนดให้ตนเองรู้ว่า ขณะนี้เราคิดอะไร คิดดีหรือไม่ เมื่อเราสามารถรู้เท่าทันความคิดเมื่อไหร่ เราก็สามารถควบคุมมัน แยกความคิดไม่ดีออกจากความดีได้ ก็จะเป็นตัวขับเคลื่อนดำเนินความคิดดีๆต่อไป เพราะเรายับยั้งความคิดไม่ดี ไมให้เข้าไปอยู่ในส่วนของสิ่งดีๆ
การควบคุมตัวเอง เป็นปัจจัยพื้นฐานของการกำหนดจิตของเรา ไม่ให้คล้อยตามสิ่งรอบข้าง เช่น การพนัน หรือความคิดไม่ดี ความคิดนี้จะเป็นตัวกระตุ้นให้สมองของผู้ที่คิด สั่งการและกระทำตามแนวความคิดไม่ดีเหล่านั้น ซึ่งการกระทำนั้นจะเป็นตัวสนองผลลัพธ์ของแนวความคิด อีกทั้งยังรวมถึงกลุ่มคนที่มีอารมณ์เป็นที่ตั้ง มันจะเป็นตัวทำลายความฝันดีๆ เพราะว่าคนที่ไม่รู้เท่าทัน ไม่รู้จักความคิดดีๆ อารมณ์ร้าย ก็มักจะโกรธง่าย เกลียดง่าย ฉุนเฉียวง่าย สิ่งเหล่านี้ก็จะถูกแสดงออกผ่านทางสีหน้าค่าตา และร่างกายออกสู่ภายนอก ซึ่งสิ่งที่จะกลับมาสู่คุณก็คงไม่ใช่สิ่งดีๆเป็นแน่แท้ แต่ในทางกลับกัน หากคุณรู้เท่าทัน และระงับความคิดไม่ดีได้นั้น สิ่งดีๆจากจิตใต้สำนึกก็จะแสดงออกมาให้กระทำ แต่สิ่งดีๆ และคุณก็จะได้รับสิ่งดีกลับมาเช่นกัน
คุณต้องถามถึงตัวคุณเองก่อน ว่าคุณพร้อมหรือยัง ที่จะใช้กฏแรงดึงดูด นำความสำเร็จมาสู่ชีวิตคุณ หากคุณพร้อมที่จะทำแล้ว คุณต้องถามตัวเองถึงจุดมุ่งหมายว่า ” อะไรคือสิ่งที่คุณต้องการมากที่สุดในชีวิต และความสำเร็จที่คุณต้องการคืออะไร ” พยายามถามมันออกมา มีเพียงคุณเท่านั้นที่สามารถรู้คำตอบได้ และจงใช้มันให้เป็นพลังแห่งการขับเคลื่อน ที่จะพาชีวิตคุณไปสู่ความสำเร็จ

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

The turning point กระบวนการคิดของมนุษย์หรือกระบวนทัศน์ในการคิดของมนุษย์บนโลกได้มีการเคลื่อนย้ายกระบวนทัศน์(paradigm shift)จากกระบวนทัศน์แบบกลไก…สู่กระบวนทัศน์ของฟิสิกส์แผนใหม่…ที่เป็นแบบองค์รวม..เรียกว่า Holistic Paradigm หรือเรียกว่ากระบวนทัศน์แบบองค์รวม….
คำว่า…กระบวนทัศน์แบบองค์รวม…
ทำไมจะต้องมีการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์ใหม่….นั่นก็คือ….จะต้องปรับเปลี่ยนปรัชญาในการคิดใหม่…..
…100 ปี เต็มทฤษฎีสัมพัทธภาพของ…อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ และครบรอบ 120 ปีเต็มของนักฟิสิกส์ผู้ยิ่งใหญ่ชาวเดนมาร์ก นิลส์ บอร์ห ( 1885-1962)
2 ท่านผู้เปิดพรมแดนการรับรู้ด้านฟิสิกส์ให้กับมนุษยชาติ….และปรัชญาแห่งการคิด…แบบเอกลักษณะ และทวิลักษณะ….ตราบจนถึงฟิสิกส์ ควอนตัม….อนันตลักษณะ ( holographic)….และกระบวนทัศน์แห่งองค์รวมปัจจุบัน….
ในการอธิบายถึง…..เหตุภาพ ( #causality ) หรือเหตุและผลแห่งการเกิดขึ้นของปรากฎการณ์ต่างๆ…..จำแนกออกเป็น 2 แนวคิดใหญ่….คือ….
#แนวคิดแรก…เห็นว่าสามารถวัดค่าหาความแน่นอนได้….เช่นจากสถิติ…ข้อมูล…ด้วยหลักแห่งความแน่นอน
#อีกแนวคิด…..เห็นว่าไม่สามารถวัดค่าที่แน่นอนได้….อันเนื่องจากข้อจำกัดต่างๆในการทำความเข้าใจ….วัตถุที่มีลักษณะของการประกอบกันเป็นความสมบูรณ์โดยสิ่งตรงข้าม(complementarity)หรือเอกภาพของด้านตรงข้ามที่ประกอบกันขึ้นเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
…..การตรวจวัดใดๆจะไม่เป็นรูปเดียวกัน
….หากแต่เสริมความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
…..หรือหลักแห่งความไม่แน่นอน….
จากอดีต….ปรัชญาจีน..และของทางตะวันออกได้อธิบายถึงเอกภาพของด้านตรงข้ามที่ดำรงอยู่ในวัตถุ….เช่นหยิน-หยาง….ปรัชญาของพุทธ จะอธิบายถึง…อนัตตา…ความไม่มีตัวตนหรือลักษณะของ….อนันตลักษณ์….
ในการดัดแปลงทางธรรมชาติของมนุษย์เพื่อการดำรงชีวิตอยู่ของมนุษย์….และ เพื่อที่จะตรวจวัดค่าประมาณการให้ได้ใกล้เคียงความเป็นจริงอย่างสัมพัทธ์….จึงเกิดการสังเกตุทดลองค้นคว้าในกระบวนการผลิตต่างๆ…..และมีกรอบแห่งการคิด…เพื่อหาค่าประมาณการภายใต้กรอบแห่ง 4มิติ
ดังกล่าว….
การขยายกรอบอ้างอิง…สามารถตรวจวัดความแน่นอนของสรรพสิ่งได้…..หากแต่ว่าผู้เขียนเชื่อว่ามีกรอบแห่งมิติ…ที่มนุษย์ยังไม่ได้รับรู้ ณ.เวลาปัจจุบัน… นั้นมีมากมายจนนับไม่ได้เป็นอนันต์…..มิติที่นำเสนอเพิ่มเติม….เพื่อขยายกรอบการรับรู้แบบสัมพัทธ์….อันได้แก่…..
#มิติที่7 การทับซ้อน
#มิติที่8 การเหลื่อมทับของเวลา
#มิติที่9 องค์รวมพหุภาพ….
เป็นการแยกย่อยเพื่อให้เห็นความแตกต่างเท่านั้น……แต่ที่จริงแล้ว….หลักการคิดก็คือ….มิติแห่งองค์รวมพหุภาพของสรรพสิ่ง….ที่มีลักษณะสัมบูรณ์และสัมพัทธ์….ภายใต้กรอบอ้างอิง…ดังนั้นถึงจะแยกย่อยเป็นล้านล้านมิติ…..กรอบแห่งเหตุภาพ เพื่อหาค่าประมาณการ ก็ต้องถือเอากรอบสุดท้ายคือ องค์รวมพหุภาพ….เป็นการวัดค่าประมาณการ อยู่ดี….
ความหมายของคำว่า….สัมพัทธ์.& สัมบูรณ์…
สัมพัทธ์ และสัมบูรณ์ หมายถึง….ความเป็นจริงภายใต้กรอบเงื่อนไข…และกรอบแห่งการสังเกตุ….
ความแตกต่าง….ระหว่างสัมบูรณ์ และสัมพัทธ์ ต่างกันตรงที่กรอบอ้างอิงที่มีขอบเขตขนาด…ที่แตกต่างกัน..
.เช่น….
1+1 = 2 เป็น ความเป็นจริงที่ สัมบูรณ์ ภายใต้กรอบและขอบเขตุที่ผู้สังเกตุต้องการหาค่า ที่เต็มหน่วยของการแทนค่าทางคณิตศาสตร์ ของเลขฐาน 10 ……ความเป็นจริงที่ได้คำตอบว่าเลข 2 หาใช่ความสัมบูรณ์ใดๆ….ที่จะอธิบายได้ในทุกกรอบอ้างอิง…
ในคำตอบของ 1+1 เราจะได้คำตอบหลายล้านคำตอบ….จนถึงอนันต์……ค่า 2 หรือตัวเลข เต็มหน่วยของ ฐาน 10 จึงเป็นความจริงอย่างสัมพัทธ์
….ภายใต้กรอบอ้างอิงหรือขอบเขตุที่แตกต่างกัน.
….ดังนั้น ค่าตัวเลข 2 ที่ได้จะไม่เป็นจริงอย่างสัมบูรณ์และเป็นจริงอย่างสัมพัทธ์เมื่อ กรอบและขอบเขตุที่เปลี่ยนแปลงไป…..เช่นกรอบตัวเลขฐานใดๆฐานหนึ่งที่ผู้สังเกตุต้องการคำตอบ….ในกรอบนี้คำตอบที่ว่าผลรับเท่ากับ..2…จึงเป็นความจริงอย่างสัมพัทธ์….
พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก….เป็นความเชื่อที่ยืนยันว่าเป็นความจริงอย่างสัมบูรณ์ของมนุษย์โลก….แต่ก็เป็นความจริงอย่างสัมพัทธ์….เมื่อมองจากผู้สังเกตุอื่นที่อยู่นอกโลก….ความจริงที่ว่าพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออกจึงเป็นความจริงอย่างสัมพัทธ์ในขอบเขตุแห่งการสังเกตุที่ต่างออกไป…. แต่เป็นความจริงอย่างสัมบูรณ์ในความเชื่อทั่วไปของมนุษย์โลก….
สัจจธรรมสัมบูรณ์ และสัจจธรรมสัมพัทธ์ ใดๆ……จึงเป็นเพียงค่าประมาณการภายใต้กรอบขอบเขตุ…และอันตรกิริยาระหว่างการแปรเปลี่ยนไปของสิ่งภายนอกกับผู้สังเกตุ…..ต่อสิ่งนั้นๆ…..
กล่าวถึงที่สุดแล้วสิ่งที่มนุษย์ยึดมั่นถือมั่นล้วนแล้วก็คือ…อนัตตา…แห่งสัจจธรรม..

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

*ปรัชญาจักรวาลของรูปทรงสามมิติเหมือนสถูปกับความหมายเชิงโยคะ*
“มันดาลา” (Mandala) คือภาพของสถูปที่มองมาจากสายตา “เบื้องบน” พิธีกรรมเก่าแก่ในการสร้างพระสถูปจะใช้เงาที่ทอดมาจากเสานาฬิกาแดดที่ตั้งตรงจุดศูนย์กลางของวงกลม เพื่อกำหนดเส้นผ่าศูนย์กลางบอกทิศตะวันออก ทิศตะวันตก จากเส้นดังกล่าว เส้นแกนบอกทิศเหนือทิศใต้ก็เกิดขึ้นตามแบบเรขาคณิต เป็นรูปสี่เหลี่ยมที่มีด้านต่างๆ ตรงกับทิศทั้งสี่ การสร้างพระสถูปคือการกำหนด และจำกัด “พื้นที่ว่าง”
#โดยทำให้พื้นที่ว่างนี้กลายเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา เพราะเป็นการสร้างสรรค์ระบบระเบียบของพื้นที่ขึ้นมาจากความไร้ระเบียบ อันหมายถึง การสร้างสรรค์ของจักรวาลที่ผุดขึ้นมาจากความไร้ระเบียบ (Chaos)
นี่คือ การสร้างพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมาในท่ามกลางสิ่งแวดล้อมอันเป็นโลกีย์ และเป็นการสร้าง “จักรวาลน้อย” ขึ้นมาโดยฉับพลันด้วย ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อเราอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิเพชร อันเป็นยันตร์สามมิติรูปทรงพระสถูป
เราก็กำลังสร้าง “พื้นที่ศักดิ์สิทธิ์” ขึ้นมาท่ามกลางสิ่งแวดล้อมอันเป็นโลกีย์เช่นกัน และเรากำลังสร้าง “จักรวาลน้อย” ขึ้นมาในบัดนั้นด
จุดศูนย์กลางของสถูป คือ จุดศูนย์กลางของ “จักรวาลจำลอง” ที่สะท้อนจุดศูนย์กลางอันสูงสุด หรือต้นกำเนิดของปรากฏการณ์ของสิ่งทั้งปวง ในทางสัญลักษณ์ที่จุดศูนย์กลางสูงสุดนี้จะมีเส้นแกน หรือแกนจักรวาลเป็นแกนกลางของภพภูมิต่างๆ ที่เชื่อมร้อยภพภูมิเหล่านี้เข้ากับต้นกำเนิดอันอยู่เหนือโลก แกนของจักรวาลจึงทำให้เกิดช่องที่พลังอำนาจของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายให้สามารถไหลบ่าลงมาในภพภูมิที่ต่ำกว่าได้ ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อเราอยู่ในท่านั่งขัดสมาธิเพชร อันเป็นยันตร์สามมิติรูปทรงพระสถูปกระดูกสันหลังของเราจึงสะท้อนเส้นแกนจักรวาล อันเป็นช่องทางให้พลังศักดิ์สิทธิ์ไหลลงมาสู่ตัวเรา ผู้กำลังปฏิบัติธรรม บำเพ็ญภาวนาได้
กำเนิดของจักรวาลนั้น เมื่ออธิบายในเชิงสัญลักษณ์จึงได้ว่าเป็นการแผ่ขยายหรือแผ่รัศมีจากศูนย์กลางไปตามทิศทั้งหก ที่เป็นกากบาทสามมิติ ซึ่งมีเส้น 6 เส้นแผ่มาจากศูนย์กลางร่วมกัน เส้นรัศมีทั้ง 6 นี้ คือ เส้นแสดงพิกัดแห่งโลกของอายตนะทั้ง 6 ของคนเราด้วย ทิศทั้ง 6 ในการแผ่ขยายทางพื้นที่กับเวลาทั้ง 3 ช่วงคือ อดีต ปัจจุบัน และอนาคตนั้น
ต่างก็บรรจุอยู่ใน การเคลื่อนไหวอันไร้มิติที่จุดศูนย์กลาง ปรากฏการณ์ทั้งมวล สิ่งที่ดำรงอยู่ทั้งหมด และเหตุการณ์ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอวกาศ และเวลาล้วนมีอยู่ที่นั่น
แต่เนื่องจากจุดศูนย์กลางของจักรวาล เป็นสิ่งที่ไม่มีรูปร่างไร้มิติ และไม่ขึ้นกับกาลเวลา มันจึงเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้ได้กับ “เอกภาวะ” อันดำรงอยู่ก่อนสิ่งอื่นใด “เอกภาวะ” นี้ ได้สรรค์สร้างสรรพสิ่งโดยปราศจากการเปลี่ยนแปลงหรือกระทบกระเทือนสาระของตัวมันเอง จุดศูนย์กลางของจักรวาลได้สร้างสิ่งต่างๆ เหล่านั้น โดยที่ตัวมันเองมิได้เปลี่ยนแปลงเลย นี่คือ ความหมายของคำสอนเชิงอภิปรัชญาของโยคะที่กล่าวว่า “พรหมันกลายเป็นสรรพสิ่ง” จะเห็นได้ว่า “การสร้าง” จักรวาล คือกระบวนการที่ทำให้สิ่งที่แนบเนื่องหลับใหลอยู่ในเอกภาวะได้คลี่คลายปรากฏตัวออกมา เป็นสิ่งที่หลากหลาย และเป็นความหลากหลายที่กลายเป็นหนึ่งด้วย
ด้วยเหตุนี้ จุดศูนย์กลางของจักรวาลจึงมิได้เป็นเพียงจุดกำเนิดของสรรพสิ่งเท่านั้น แต่ยังเป็นจุดสุดท้ายที่สรรพสิ่งทั้งปวงต้องกลับคืนมาด้วย เอกภาวะย่อมก่อให้เกิดความหลากหลาย สิ่งที่ลึกล้ำที่สุดก่อให้เกิดสิ่งภายนอกทั้งปวง สิ่งอันเป็นนิรันดร์จึงเผยให้เห็นวัฏจักรแห่งกาลเวลา พลังจักรวาลเมื่อผสมผสานบรรจบกัน ย่อมย้อนกลับไปสู่จุดศูนย์กลาง ความหลากหลายจะกลับไปสู่เอกภาวะ สิ่งภายนอกย่อมกลับเข้าไปเป็นสิ่งภายในโดยสมบูรณ์ และกาลเวลาย่อมกลืนหายเข้าไปในจุดสงบนิ่งแห่งความไร้กาลเวลาหรือนิพพาน
นอกจากนี้ เส้นแกนของพระสถูปยังวางตามตำแหน่งของ “ดวงอาทิตย์” ที่โคจรจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งโดยเป็นการแสดงสัญลักษณ์ทางอภิปรัชญาของดวงอาทิตย์ว่า เป็นบ่อเกิดและเป็นศูนย์กลางของภพต่างๆ พระอาทิตย์จึงเป็นสัญลักษณ์ของหลักสากลสูงสุด เป็นศูนย์กลางของจักรวาล มีสภาวะเหนือโลก เป็นดวงปัญญาแห่งจักรวาล ดวงอาทิตย์ในปรัชญาของโยคะจึงหมายถึง ดวงตาแห่งจักรวาลซึ่งตรวจตราไปทุกสิ่ง และมองเห็นสิ่งทั้งปวงด้วย
สัญลักษณ์แห่งการที่พระอาทิตย์สถิตอยู่บนยอดเขาพระสุเมรุนั้น จึงมีความหมายเดียวกับ จักระที่ 7 “สหัสวาร” (ดอกบัวพันกลีบ) ซึ่งเป็นจักระที่ตั้งอยู่บนกลางกระหม่อมของผู้บำเพ็ญโยคะ ที่นั่งขัดสมาธิตัวตรงหลังตรงนั่นเอง กล่าวคือ สหัสวารเทียบได้กับรัศมีของดวงอาทิตย์ กระดูกสันหลังที่ตั้งตรงเทียบได้กับเสาแกนโลก และท่านั่งขัดสมาธิเพชรเทียบได้กับเขาพระสุเมรุจำลอง
“เสาแกนโลก” ที่เป็นเสาแกนที่ตั้งฉากตรงจุดศูนย์กลางขององค์พระสถูป มีความหมายว่า เป็นเส้นเชื่อมต่อโลกนี้กับจุดกึ่งกลางของภพภูมิอื่นๆ และกับจุดร่วมและจุดหลักที่เป็นแหล่งกำเนิด เสาแกนนี้ยังเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึง หนทางที่นำไปสู่ภพภูมิที่เป็นอิสระจากกาลเวลาและสถานที่ และในขณะเดียวกัน เสาแกนก็ยังเป็นช่องทางให้พลังอันศักดิ์สิทธิ์ และกระแสสัจธรรมไหลลงมายังโลกภูมิอันเป็นมายา กระแสธรรมหรือกระแสสัจธรรมนี้แหละ เป็นสิ่งที่ทำให้โลกนี้มีความหมาย ทำให้สิ่งจำกัดได้รู้จักสิ่งอันไร้ขอบเขต และทำให้กาลเวลาได้พบกับนิรันดร
“เสาแกนโลก” นี้ยังเป็นเสาแห่งลมปราณอีกด้วย เสาแกนที่ค้ำพยุงจักรวาลเป็นเสาของลมปราณ เนื่องเพราะปราณเป็นเสาเอกของวิหารแห่งจักรวาล และเป็นแกนกระดูกสันหลังของคนเรา ในขณะเดียวกัน เสาแกนนี้จึงเป็นองค์รวมแห่งปรากฏการณ์ เป็นโลกแห่งจิต เป็นที่รวมของสรรพสิ่งที่มีปราณเคลื่อนไหวและแนบเนื่องอยู่ในสิ่งทั้งหมดนี้ มันจึงเป็นอย่างเดียวกับพรหมัน เพราะฉะนั้นในปรัชญาของโยคะ ผู้ใดที่เข้าถึงพรหมันในตัวเอง ผู้นั้นย่อมเข้าถึงพระเจ้า และผู้ใดที่เข้าถึงพระเจ้า ผู้นั้นย่อมเข้าถึงเสาแกนแห่งจักรวาล
เสาแกนแห่งจักรวาล จึงเป็นหนทางไปสู่ความรู้แจ้ง เส้นแกนนี้พุ่งขึ้นไปเบื้องบนไปสู่วิถีแห่งการหลุดพ้นหรือสุริยทวาร ซึ่งเป็นประตูเปิดออกไปสู่จักรวาล โยคะจึงบอกว่า เส้นทางแห่งจิตวิญญาณหมายถึงการขึ้นไปตามเสาแกนแห่งจักรวาลนี้ การทะลุยอดหลังคาจักรวาลออกไป หรือการไต่ขึ้นไปตามแกนจักรวาลจนทะลุยอดหลังคาจักรวาลออกไป ในวิชาโยคะจึงหมายถึงความสำเร็จในการปฏิบัติสมาธินั่นเอง
โดยที่ร่างกายของคนเราเปรียบเหมือนจักรวาลที่ย่อย่อยลงมา กระดูกสันหลังเปรียบเหมือนเขาพระสุเมรุ ซึ่งเป็นแกนกลางของจักรวาล กระดูกสันหลังตั้งต้นที่บริเวณก้นกบผ่านจักระต่างๆ ขึ้นไปจนมาสุดที่กลางกระหม่อม ยอดศีรษะเป็นจุดที่เรียกว่า “พรหมรันธระ” หรือช่องว่างแห่งพรหม อันเป็นจุดที่สว่างจ้า เปรียบได้กับพระอาทิตย์บนยอดสุดของจักรวาล ยอดศีรษะจึงเป็นจุดศูนย์กลางของตัวตน และเป็นหลักสูงสุดที่ก่อให้เกิดความมีตัวตนของมนุษย
จุดประสงค์ของการฝึกโยคะคือการปีนภูเขาพระสุเมรุ (เสาแกนแห่งปราณ) ในร่างกายขึ้นไปทีละขั้น โดยจะพบความสว่างขึ้นเป็นลำดับ จนในที่สุดจะมาถึงจุดที่สว่างจ้าที่สุด ดั่งพระอาทิตย์บนยอดจักรวาลนั่นเอง เมื่อเราได้ทำความเข้าใจปรัชญาจักรวาล และความหมายของยันตร์สามมิติที่เป็นรูปทรงพระสถูป (เขาพระสุเมรุ) หรือท่านั่งขัดสมาธิเพชรในวิชาโยคะดังข้างต้นแล้วต่อไป เราจะเริ่มกล่าวถึง ระบบการฝึกปฏิบัติของโยคะอย่างละเอียดกันเสียที โดยจะขอเริ่มจากกุณฑาลินีโยคะก่อนเป็นอันดับแรก

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

ในสมองมนุษย์นั้นถ้าจะให้พลังงานความสามารถที่ซ่อนอยู่ ปรากฎตัวออกมาทำหน้าที่อย่างครบวงจร และมีประสิทธิภาพนั้นต้องใช้เวลานานมาก ถ้าปล่อยไปตามยถากรรม หรือปล่อยไปตามปกติ แต่ในหลักโยคะมีแนวปฏิบัติเพื่นร่นเวลาให้พลังความสามารถของสมองปรากฏออกมาเร็วขึ้นโดยการเพิ่มการปฏิบัติที่ถูกต้องตามขั้นให้มากขึ้น สิ่งปฏิบัติเหล่านี้เปรียบเสมือนเป็นสื่อนำหรือที่เรียกว่า (transformation) ถึงโครงสร่างของสมองทุกส่วน หลังจากกระตุ้นหรือปลุกจนถูกส่วน ผลที่ตามมาจะเกิดการบรรลุความสำเร็จ เต็มไปด้วยความกระจ่างสว่างไสว สิ่งที่เป็นกุญแจสำคัญอย่างยิ่งยวดของความสำเร็จนี้คือจักระ Chakras

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

“ การตื่นขึ้นเป็นการเปลี่ยนจิตสำนึกที่แยกความคิดและการรับรู้ออกจากกัน สำหรับคนส่วนใหญ่ไม่ใช่เหตุการณ์ แต่เป็นกระบวนการที่พวกเขาเคยพบ
แม้แต่สิ่งมีชีวิตที่หายากเหล่านั้นก็มีประสบการณ์ในการตื่นขึ้นมาอย่างฉับพลันน่าทึ่งและไม่สามารถย้อนกลับได้
และจะยังคงผ่านกระบวนการแสดง สเตตัส ของพลังงาน
สติใหม่ ๆ จะเกิดและค่อยๆไหลตามเข้ามา และเปลี่ยนทุกสิ่งที่พวกเขาทำ …..ตาม flow chart

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

“ เราเป็นเทพเจ้าแห่งอะตอมที่ประกอบขึ้นด้วยตัวเอง
แต่เราก็เป็นอะตอมของเทพเจ้าที่สร้างเอกภพด้วย”
อะตอม คือปฏิกิริยาของธาตุธรรม ของสสาร ไม่ใช่เหตุใดๆ มันคือ.xyxy

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

“ ในความโกลาหลทั้งหลายทั้ปวงมีจักรวาลที่เป็นระเบียบ
กุมความลับ และโชคชะตาทั้งหมด”

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

พระพุทธเจ้าตรัสว่า “เอกะจะรัง จิตตัง…จิตดวงเดียวเที่ยวไป” ไอ้ที่บอกเป็นหลายดวง คืออารมณ์เข้ามาสิงจิตอยู่ใช่ไหม.. อย่างจิตมีความโกรธ จิตมีความโลภ จิตมีความหลง ใช่ไหม.. จิตมีความรัก อารมณ์ของจิตก็ต่างกันไป นั่นมันเป็นอารมณ์
ความจริงจิตน่ะ มันดวงเดียว เหมือนน้ำใส ๆ ใส่แก้วใช่ไหม.. ถ้าสีแดงใส่เข้าไป ไอ้น้ำนั่นน่ะออกเป็นสีแดง ถ้าสีเขียวใส่ไปน้ำก็เป็นสีเขียว ไอ้นั่นน้ำเปลี่ยนสีไปเพราะใส่สีเข้าไป จริง ๆ แล้ว น้ำมันใส แก้วมันใส
และที่เราทำเวลานี้ เราทำเพื่อให้จิตใสตามเดิม ถ้าจิตใสตามเดิมก็ไปนิพพานได้
เมื่อก่อนนี้มันใสเหมือนกัน แต่มันใสไม่มีประกายพรึก จึงต้องเวียนว่ายตายเกิดใช่ไหม…กระทั่งใสด้วยเป็นประกายพรึกด้วย อย่างดวงจิตคนนี่นะ อะไร….เจโตปริยญาณ ญาณตัวนี้ดูง่าย คนกี่พันคนก็ตามดูแป๊บเดียวจะรู้ทันที”
“แค่เห็นแป๊บเดียวหรือครับ”
“เป็นหมื่นนะ นึกอยากจะรู้ รู้ใครจิตสีอะไร จิตจริง ๆ เขานับเป็น ๖ สี แต่ย่อแล้วเป็น ๓ สี สีแดงเข้มหรือสีแดงอ่อน ได้ทั้งสองใช่ไหม…สีดำ ดำปี๋หรือดำอ่อน ๆ มัว ๆ…สีขาวจัด หรือขาวมัว ๆ มันไม่เหมือนกัน เอาแค่นี้แค่ ๓ สีพอ
ถ้าสีแดงเป็นจิตที่มีอารมณ์แจ่มใส ดีใจเพราะได้ของที่ชอบใจน่ะ ถ้าจิตสีดำมีทุกข์ จิตสีขาวจิตสบาย ถ้าจิตสีใสเป็นจิตของฌาน ๔ ถ้าจิตเป็นประกายพรึกเป็นจิตของพระอรหันต์”
ถ้าโสดาบัน อทิสสมานกายแต่งตัวยังไง โสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ แตกต่างกันไหมครับ”
“แตกต่างกัน…ไม่ต้องพระโสดาหรอก แค่คนที่จะตายเป็นเทวดานี่ ข้างในมันเป็นเทวดาก่อน ไม่ต้องดูเฉพาะจิตนะ ดูเฉพาะตัวข้างในนี่ เรียก “อทิสสมานกาย” นะ มันจะบอกเลย รูปร่างลักษณะเป็นอย่างนั้น อย่างจะเป็นสัตว์นรก ก็เห็นเลยเป็นสัตว์นรก มีสภาพอะไรบ้างรู้เลย…เรื่องเล็ก ๆ”
“อ๋อ…นี่ไม่ใช่ใหญ่เลยหรือครับ”
“เล็ก…มันเล็กมากหยิบไม่ค่อยถูก หยิบไม่ติดมือ…”
ถ้าหากว่าได้เจโตปริยญาณนี่ มองคนปุ๊บ! จะรู้ทันทีเลยหรือครับ”
“คือว่าความจริงไม่ต้องมองคนหรอก แค่รู้ชื่อต้องการจะรู้เท่านั้นใช้ได้”
“ไม่เคยเห็นหน้าเลยหรือครับ”
“ไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้จักกัน ไม่จำเป็น!”
“แล้วมีอีกอย่างหนึ่งครับ เกี่ยวกับการสอนเรื่องนรกสวรรค์นี่…”
“ความจริงในพระไตรปิฎกท่านก็ยืนยัน เรื่องนรกสวรรค์นี่มีจริง เรื่องนรกยืนยันตั้งแต่เล่ม ๑”
การที่จิตมีการเกิดดับ เป็นดวงเดียว หรือ คนละดวง ?
เป็นคำถามที่ดีมาก และเห็นได้ยาก
เปรียบกับ แสงอาทิตย์ ส่องลงบนแผงโซลาเซลล์ เกิดเป็นไฟฟ้า
ตามหลักวิทย์ แสงอาทิตย์เป็นพลังงาน แปลสภาพด้วยเคมีเป็นไฟฟ้า
มันควรเป็นสิ่งเดียวกันแต่ก็ไม่ใช่ แต่มันก็เกิดมามีคุณสมบัติต่างกัน จะเรียกว่าคนละอันก็ไม่ใช่
จิตสืบทอดกันอยู่ในกายเดียวกัน เกิดดับ เช่นเดียวกับกระแสไฟฟ้าที่เป็นคลื่น มีความถี่สูงมาก
ถามว่าไฟฟ้า ที่ขั้วแบต กับไฟฟ้าที่หลอดไฟ เป็นไฟฟ้าอันเดียวกันหรือไม่ ??
จิตที่อยู่ในกายเดียวกัน อยู่ตำแหน่งเดียวกัน ก็เห็นเป็นดวงเดียวกัน
แต่ขณะที่จุติจิตดับ (ตาย) ปฏิสนธิเกิด (เกิดในกายใหม่) จิตมีการสืบทอดกรรมไปตามจิตดวงนั้น
คำถามที่เกิดขึ้นคือ จิตของสัตว์ที่ตาย และสัตว์ที่เกิดใหม่ เป็นดวงเดียวกันอย่างนั้นหรือ ?
ทูรังคะมัง เอกะจะรัง อะสะรีรัง คูหาสะรัง
เย จิตตัง สัญญะ เมสสันติ โมกขันติ มาระพันธะนา
ชนเหล่าใดจักสำรวมจิตที่ไปได้ไกล เที่ยวไปดวงเดียว ไม่มีรูปร่าง
มีถ้ำคือร่างกาย เป็นที่อาศัย ชนเหล่านั้น จะพ้นจากเครื่องผูกของมารได้”

••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••

ตัวบทกฏหมายทั้งหมดไม่ได้เป็นความพยายามของมนุษย์ที่จะสร้างหลักเกณฑ์ทางศีลธรรมขึ้นมาหรือ? การออกกฏหมายยังไม่ถือว่าเป็นการตกลงร่วมกันของพวกเราว่าอะไร “ถูก” และ “ผิด” หรือครับ?
#God : กฏหมายแพ่ง (กฏเกณฑ์และข้อบังคับ)
บางข้อยังจำเป็นอยู่สำหรับสังคมที่ยังล้าหลังของพวกเธอ (เธอจงเข้าใจว่า ในสังคมที่พัฒนาแล้วไม่จำเป็นต้องมีกฏหมายพวกนั้น เพราะสิ่งมีชีวิตทั้งหมดจะควบคุมตัวเอง)
ในสังคมของพวกเธอ พวกเธอยังคงเผชิญหน้ากับคำถามในระดับที่ต่ำกว่าระดับอนุบาลอยู่เลย
พวกเธอจะหยุดตรงหัวมุมถนนเพื่อบริจาคเงินไหม?
พวกเธอจะซื้อขายกันภายใต้เงื่อนไขบางอย่างหรือไม่?
จะต้องมีข้อจำกัดอย่างไรไหมในการปฏิบัติตัวต่อผู้อื่น?
แต่เอาจริงๆเลยนะ กระทั่งกฏหมายพื้นฐานเหล่านี้… เช่น ห้ามฆาตกรรม ก่อความเสียหาย คดโกง หรือแม้กระทั่งฝ่าไฟแดง ก็ไม่ควรต้องมีและไม่จำเป็นต้องมีด้วยหากมนุษย์ทุกคนในทุกหนทุกแห่งปฏิบัติตาม #กฏแห่งรัก (Laws of Love)
นั่นคือ #กฏของพระเจ้า (God’s Law)
#N : พระองค์หมายความว่าถ้าพวกเราเพียงแค่ปฏิบัติตามบัญญัติสิบประการ ทุกอย่างก็จะออกมาดีเอง!
#G : ไม่มี สิ่งที่เรียกว่าบัญญัติสิบประการ*
#กฏของพระเจ้าคือไม่มีกฏ นี่คือเรื่องที่เธอไม่อาจเข้าใจได้
••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
คิดให้รวย
การคิดให้รวย เป็นสิ่งที่ผู้ที่ปรารถนาในความรวยอาจจะเฝ้าถามกับตัวเองว่าทำไมเราไม่รวยสักที เป็นเพราะอะไร ทำบุญมาน้อยหรือเปล่า หรือช่วงนี้ดวงไม่ค่อยดี หรือสาเหตุในชีวิตอย่างอื่นอีกร้อยแปดพันเก้า บางคนไปหาปลายเหตุ คือ ไปปรับเปลี่ยนฮวงจุ้ยบ้าน ไปเสริมศิริมงคลให้กับตนเอง เช่าวัตถุมงคลที่เค้าว่าดี บูชาแล้วมีแต่โชคลาภ แต่เวลากลับมาบ้านก็เครียดเรื่องเงินเหมือนเดิม ผมคิดว่าเราต้องแก้ที่ต้นเหตุครับ ถ้าเราไม่รวย ก็เป็นเพราะวิธีคิดของเรานั่นเอง วิธีคิดทำให้เรามีพลัง ทำให้เราก้าวไปข้างหน้า ทำให้เราจน ทำให้เรารวยได้ ทำให้เรามีความสุข และทำให้เรามีความทุกข์ ขึ้นอยูความคิดของคนเรานั่นเอง ลองศึกษาดู
คิดให้รวย 1 : เราสามารถสร้างสรรค์ชีวิตของเราได้
หลายๆ คนมีความคิดที่เชื่อว่า ชีวิตของฉันปล่อยไปตามยถากรรม ถ้าคุณต้องการชีวิตที่มั่งคั่งร่ำรวย คุณจะต้องคิดอยากรวยก่อนเป็นประการแรก โดยที่คุณเหมือนเป็นคนขับเรืออยู่กลางทะเล โดยควบคุมทิศทางเรือของคุณเอง คุณสามารถคิดสร้างสรรค์ชีวิตของคุณได้ เป็นข้อหนึ่งของวิธีคิดอย่างไรให้รวย
ต่อไปนี้เป็นแบบฝึกหัดที่ผมอยากให้คุณทำต้องทำ ผมคิดว่าแบบฝึกหัดนี้จะสามารถเปลี่ยนชีวิตของคุณได้อย่างแน่นอน เป็นการคิดให้รวย อยากให้คุณลองลงมือปฏิบัติดูครับ
– หยุดคิดถึงความยากจนอีกต่อไป มันอาจจะทำยาก แต่ถ้าคุณอยากรวยคุณต้องพยายามคิดแต่ความร่ำรวยในอนาคตของเรา
– หยุดคิดในทำนองว่า เราจะมีเงินได้อย่างไร เรามีความรู้น้อย เราการศึกษาต่ำ
– ฝึกคิดแง่บวก คิดดีในด้านสร้างสรรค์ พัฒนาในด้านที่เป็นไปได้ คือ ไม่ว่าคุณทำอาชีพอะไร ต้องคิดว่า คุณต้องทำได้ คุณต้องได้เงิน และรวยได้ คุณต้องประสบความสำเร็จได้
คิดให้รวย 2 : คิดอย่างมีเป้าหมาย ว่าเราต้องการอะไร
คุณต้องรู้สิ่งที่คุณต้องการก่อน แล้วจึงคิดที่จะทำให้ได้สิ่งนั้นมา โดยกำหนดเป้าหมายที่จะให้ได้สิ่งนั้นเมื่อไรในอนาคต และต้องการจะได้มากน้อยแค่ไหน ตั้งใจอย่างมุ่งมั่นที่จะได้สิ่งนั้นมาภายในเวลาที่กำหนด เมื่อคุณต้องการสิ่งนั้น โดยมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะก้าวไปสู่การมีเงินมีทอง มีฐานะดี มีความเป็นอยู่ดี เป้าหมายของคุณก็คือ ต้องการมีเงิน มีฐานะ และความเป็นอยู่ดี โดยคิดมุ่งหวังอยู่เช่นนี้ตลอดเวลา เป็นการคิดให้รวยซึ่งถ้าเราอยากรวยจริงๆ เราต้องทำได้
คิดให้รวย 3 : ต้องรวยให้ได้ในชีวิตนี้
หลายๆ คนไม่เคยตั้งจุดมุ่งหมายว่าจะต้องรวยให้ได้ในชีวิตนี้ คนเราส่วนมากคิดดีอย่างมีเหตุผลว่าทำไมจึงอยากรวย เพราะความร่ำรวยมีเงินมีทองนั้นหมายถึง การที่จะช่วยให้ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้นในหลายๆ ด้าน แต่จริงๆ แล้วก็ไม่เสมอไป เพราะถ้าหากมีเงินร่ำรวย แต่มาจนด้านสุขภาพจิตและร่างกายเสียแล้ว เป้าหมายที่จะมีเงินร่ำรวยอย่างต่อเนื่องก็ต้องหยุดชะงักลงทันที ดังนั้น เป้าหมายที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่ขาดเสียมิได้ก็คือ ต้องมีสุขภาพดี อยู่เสมอด้วยเช่นกัน
สิ่งที่สำคัญอีกข้อหนึ่งก็คือ คนส่วนมากไม่ได้ในสิ่งที่ตนต้องการ เป็นเพราะว่าพวกเขาไม่รู้แน่ชัดว่า สิ่งที่พวกเขาต้องการจริงๆ นั้นเป็นอะไร เป็นสิ่งใด ส่วนคนรวยนั้น จะรู้สิ่งที่เขาต้องการอย่างชัดเจน แล้วก็คิดมุ่งมั่นอยู่กับสิ่งที่เขาต้องการโดยไม่มีวันหยุด เขาจะพยายามทำทุกวิถีทางที่จะให้ได้สิ่งที่เขาปรารถนาให้จงได้ แต่ไม่ได้ทำผิดกฏหมายและศีลธรรม
ความคิดให้รวยนั้น ไม่เหมือนกับความคิดไปเดินเล่นชิลล์ๆ พักผ่อนหย่อนใจ คือเราต้องคอยกำหนดจิตจดจ่ออยู่กับสิ่งที่ต้องการอันเป็นเป้าหมายอย่างมุ่งมั่นและต่อเนื่อง ด้วยความพากเพียรพยายามอย่างไม่หยุด คุณต้องมีความเชื่ออยู่ในจิตใจว่าคุณต้องทำได้ แต่ถ้าไม่มีความตั้งใจมุ่งมั่นแน่วแน่วแล้ว การที่จะไปให้ถึงเป้าหมายที่คุณปรารถนนั้นก็เป็นไปได้ค่อนข้างน้อย ฉะนั้นต้องให้รวย คิดให้ออกมาอย่างชัดเจนเลยว่า เราจะต้องรวยให้ได้ในชีวิตนี้
คิดให้รวย 4 : เชื่อในพลังความคิดของตนเอง
หลายๆ ท่านในช่วงชีวิตที่ผ่านมาอาจจะเคยคิดเล็ก คิดได้ก็ดี ไม่ได้ช่างมัน คิดไปเรื่อยๆ แต่ความลับของความร่ำรวยแท้จริงแล้วอยู่ที่ พลังอำนาจของความคิด ขึ้นอยู่กับผู้คิด คิดอย่างไรมักได้อย่างนั้น บุคคลที่รู้จักใช้ความคิดหรือรู้จักคิด ย่อมใช้พลังอำนาจของความคิดเป็นพลังงานดึงดูดสิ่งที่ต้องการเข้ามาสู่ตนได้
พลังความคิดที่จะเกิดผลได้ เราจะต้องมีความเชื่อในความคิดของเราด้วย ถ้าเราเองยังไม่เชื่อในความคิดของเรา ก็ป่วยการที่จะให้คนอื่นมาเชื่อในความคิดของเราด้วย เราต้องเชื่อในตัวเรา เชื่อว่าเราทำสำเร็จ ทำสิ่งเล็กๆ ให้สำเร็จก่อน แล้วสิ่งๆ ใหญ่เราจะมีความมั่นใจว่าเราทำได้
คิดให้รวย 5 : ไม่คิดถึงแต่ปัญหา แต่ให้คิดก้าวไปข้างหน้า
คนที่ยังไม่รวยสาเหตุหนึ่งคือคอยคิดถึงแต่ปัญหา หากมีปัญหาก็ยอมแพ้ หยุดสู้ชีวิตกันต่อไป การที่จะร่ำรวยได้นั้น อาจจะไม่ง่ายนัก ไม่เหมือนกับการใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ แต่หากเป็นการเดินทางที่ต้องพบกับอุปสรรคมากมาย ดังที่นักประพันธ์บางคนกล่าวว่า ชีวิตเรานั้นใช่ว่าจะเดินอยู่บนกลีบกุหลาบ หากต้องเดินอยู่บนถนนที่ขรุขระหรือมีขวากหนามบ้าง ชีวิตจึงจะมีรสชาติ เป็นคำกล่าวที่จริงทีเดียว คนที่จะมีเงินมีทองได้ต้องทำงานหนัก คนที่จะมีชื่อเสียงได้ต้องทำงานหนักเช่นกัน ไม่ใช่อยู่เฉยๆ แล้วจะได้เงินได้ทองมากองอยู่ตรงหน้า ผู้ที่ประสบความสำเร็จทุกคน ล้วนแล้วแต่เป็นนักผจญภัยชีวิตที่ยอดเยี่ยม ฟันฝ่าอุปสรรคนานาชนิดมามากมาย กว่าจะมาถึงจุดนี้คือจุดที่มั่งมีเงินทอง มีชื่อเสียง
คนที่ไม่ประสบความสำเร็จเห็นอุปสรรคความยากลำบากเข้าหน่อยก็เกิดความท้อใจ พยายามหาทางหลีกเลี่ยงความยากลำบากอยู่เสมอ ไม่เคยคิดกล้าที่จะฟันฝ่าอุปสรรคความยากลำบากนั้นเลย ชอบความเป็นอยู่ที่ง่ายๆ สะดวกสบาย บุคคลประเภทนี้ยากที่จะร่ำรวย และยากที่จะประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงได้
คนรวยไม่มีความย่อท้อต่ออุปสรรคใดๆ ทั้งสิ้น เห็นอุปสรรคเป็นสิ่งที่ช่วยพัฒนาให้มีพลังจิตที่กล้าแข้งอดทน และก่อให้เกิดประสบการณ์ ก่อให้เกิดปัญญาที่ช่วยให้รู้วิธีแก้ไขต่อไป ไม่ว่าอุปสรรคชนิดใดเข้ามา ก็จะเอาประสบการณ์ และปัญญาในอดีตมาฟันฝ่าแก้ปัญหานั้นๆ ให้สำเร็จลุล่วงไปได้
คิดให้รวย 6 : พยายามมองหาโอกาสอยู่เสมอ
คนที่ยังไม่รวยจะพยายามจ้องมองหาปัญหาอยู่เสมอ ซึ่งในทางกลับกันคนรวยเป็นคนที่แสวงหาความรู้เพื่อพัฒนาตนอยู่เสมอ เป็นการเตรียมตัวรอโอกาสที่จะมาถึง เปรียบดังชาวประมงที่เตรียมใบเรือให้พร้อมอยู่เสมอพอลมมาก็แล่นเรือออกผจญภัยสู่ทะเลได้ทันที การเตรียมความรู้ความสามารถให้พร้อมอยู่เสมอ เป็นการดีเมื่อโอกาสมาถึงก็สามารถตอบรับโอกาสนั้นได้ทันที
คนที่ยังไม่รวยมักเป็นคนที่ชอบความสะดวกง่ายๆ สบายๆ ไม่คิดดิ้นรนเพิ่มเติมในชีวิต ไม่แสวงหาความรู้เพิ่มเติม ไม่เคยคิดถึงโอกาสที่จะเข้ามา และคิดว่าชีวิตนี้ของตนเอง คงไม่มีโอกาสที่จะมีงานที่ดีกว่านี้ คิดว่าไม่มีทางที่จะมีเงินร่ำรวยอีกแล้ว จึงปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามมีตามเกิดหรือตามยถากรรม ในโลกทางการเงิน ความกล้าเสี่ยงบางครั้งก็ทำให้ได้รับรางวัลของความกล้าเสียงได้อย่างคุ้มค่า รางวัลที่สูงค่า ย่อมต้องกล้าสู้ความเสี่ยงที่สูงด้วยเช่นกัน คนรวยมักเป็นผู้ที่กล้าเสียงเสมอ
คนรวยมักมีความคาดหวังต่อความสำเร็จ เขามีความมั่นใจต่อความสามารถของเขา มีความมั่นใจต่อความคิดสร้างสรรค์ตลอด และมีความเชื่อมั่นว่า สิ่งที่เขาทำต้องประสบความสำเร็จ สมดังคำว่าคิดให้รวย แล้วมันจะรวยได้เอง
คนที่ยังไม่รวยมีความคาดหวังต่อความล้มเหลว เพราะเขาขาดความมั่นใจในตนเอง ขาดความเชื่อมั่นในความสามารถของเขา และคิดว่าสิ่งที่เขาทำคงเป็นไปไม่ได้ที่จะประสบความสำเร็จ เขาเชื่อว่าถ้าเขาทำไปจะต้องไม่ประสบความสำเร็จแน่นอน
วิธีคิดให้รวยนั้น ก็คือการปรับความคิดของตนเองให้เป็นไปในทางบวก โดยให้มีความคิดลบอยู่น้อยที่สุด เพื่อเป็นแรงผลักดันให้กับชีวิตตนเอง เพราะคนคิดลบย่อมไม่มีแรงจูงใจใดๆ ที่จะทำให้สิ่งที่ตนทำประสบความสำเร็จได้ ถ้าเราอยากรวยเราต้องปรับทัศคติในการเดินไปข้างหน้า อุปสรรคเป็นเหมือนยาชูกำลัง อย่าเห็นอุปสรรคเป็นเหมือนกำแพง ชีวิตที่ไร้อุปสรรคผมว่ามันจืดชืดนะครับ
อย่างไรก็ตามการก้าวไปหาความรวย ก็อย่าลืมดูแลรักษาสุขภาพกันด้วยนะครับ และความเครียด หรือความคิดลบก็เกิดให้เกิดผลกระทบในร่างกายได้นะครับ ฉะนั้นผลของการคิดลบ นั้นก็เป็นลบสมชื่อจริงๆ ครับ สำหรับวันนี้คุณผู้อ่านก็ได้พอทราบ วิธีคิดอย่างไรให้รวยกันไปแล้วนะครับ ว่าต้องคิดบวกเป็นพื้นฐาน ก็ลองนำไปปฏิบัติกันดูนะครับ ขอให้คิดให้รวย มีเงินมีทองกันทุกท่านนะ
••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
7 ขั้นตอนในการฝึกฝนความคิดเชิงบวก
ความจริงความคิดในเชิงบวกคือทางเลือกไม่ใช่ลักษณะโดยธรรมชาติ คุณมีอำนาจที่จะเปลี่ยนทัศนคติของคุณและการยอมรับการเปลี่ยนแปลงนี้สามารถนำคุณไปสู่ชีวิตที่มีความสุขและประสบความสำเร็จมากขึ้น
เจ็ดขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยให้คุณเริ่มต้นการเดินทางที่ประสบความสำเร็จไปสู่มุมมองเชิงบวก
การทำตัวเหมือนเป็นคนในเชิงบวกสามารถกำหนดทัศนคติของคุณและเปลี่ยนวิธีการมองโลก
ตัวอย่างเช่นการศึกษาซ้ำ ๆ แสดงให้เห็นว่าการบังคับให้ยิ้มสามารถยกอารมณ์ของคุณได้จริง นอกจากนี้การทำตัวเป็นคนที่มั่นใจสามารถเริ่มเปลี่ยนความนับถือตนเองของคุณได้
ยิ้มให้คนแปลกหน้าในขณะที่คุณเดินผ่านพวกเขาบนถนนพยายามกำจัดคำคุณศัพท์เชิงลบออกจากคำศัพท์ของคุณพกตัวเองราวกับว่าคุณกำลังมีวันที่วิเศษ
หากคุณสามารถอุทิศเวลาเพียงห้านาทีในแต่ละวันของคุณเพื่อพิจารณาฝึกฝนอย่างซาบซึ้งคุณสามารถปรับปรุงความคิดโดยรวมของคุณได้อย่างมาก
เก็บสมุดบันทึกสำหรับแบบฝึกหัดนี้และเขียนห้าสิ่งที่คุณชื่นชมเกี่ยวกับวันของคุณ คุณสามารถรวมสิ่งที่ทำให้คุณรู้สึกมีความสุขหรือรู้สึกขอบคุณที่มีชีวิตอยู่
ตัวอย่างเช่นคุณอาจสังเกตการสนทนาที่ยอดเยี่ยมกับสมาชิกในครอบครัวสิ่งที่สวยงามที่คุณสังเกตเห็นในโลกธรรมชาติหรือความสำเร็จที่คุณสนุกกับการทำงาน
คุณอาจประหลาดใจกับกิจกรรมง่ายๆนี้ที่ทรงพลัง มันสามารถเปลี่ยนอารมณ์ไม่ดีไปสู่ความสงบและมองโลกในแง่ดี
คลิกที่นี่เพื่ออ่าน 100 สิ่งที่ต้องขอบคุณสำหรับวันนี้!
คนที่เป็นลบส่วนใหญ่อาศัยอยู่กับอีกเท้าหนึ่งในอดีตในอนาคตโดยอาศัยความเสียใจอย่างต่อเนื่องและกังวลเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ของปัญหาใหม่
หนึ่งในกุญแจสำคัญในการพัฒนาความคิดในเชิงบวกคือการหันความสนใจของคุณไปสู่ปัจจุบัน; กระตุ้นให้ตัวเองสัมผัสกับความแตกต่างเล็กน้อยของชีวิตที่น่าทึ่งของคุณ เมื่อคุณเริ่มทำสิ่งนี้จะกลายเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างมากที่จะได้แบ่งปันความรักกับสัตว์เลี้ยงเดินเล่นกลางแดดหรือเลื่อนไปมาใต้ผ้าปูที่นอนนุ่ม ๆ
หลายคนพบว่าการฝึกสติเป็นการช่วยเพิ่มความสามารถในการเพลิดเพลินกับของขวัญดังนั้นคุณอาจเริ่มด้วยการจัดสรรเวลาเพื่อมุ่งเน้นไปที่การหายใจและล้างจิตใจของคุณ
นี่คือวิธีการมุ่งเน้นไปที่ปัจจุบัน
เป็นการยากที่จะอยู่ในเชิงบวกหากคุณถูกรายล้อมไปด้วยคนที่บ่นติชมและวิจารณ์สิ่งที่เลวร้ายที่สุดในทุกสถานการณ์
ทัศนคติเชิงลบเหล่านี้ติดเชื้ออย่างไม่น่าเชื่อและผู้ที่มุ่งมั่นที่จะรักษาความคิดประเภทนี้อาจเยาะเย้ยคุณสำหรับความพยายามของคุณที่จะมีความคิดในเชิงบวกมากขึ้น
ดังนั้นการเลือกเพื่อนของคุณอย่างชาญฉลาดและจงใจใช้เวลากับคนที่มีพลังกระตือรือร้นมองโลกในแง่ดีและให้การสนับสนุน
การพบปะกับผู้คนเหล่านี้จะทำให้จิตใจของคุณกระปรี้กระเปร่าและให้คุณค่ามากมายแก่คุณ
รับ 5 เคล็ดลับดีๆในการดึงดูดผู้คนในเชิงบวกในชีวิตของคุณที่นี่!
ไม่ว่าคุณต้องการอะไรในชีวิตลองนึกภาพตัวเองเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย อย่าอนุญาตให้คุณจินตนาการถึงความล้มเหลวความอับอายความหวาดกลัวหรือความสับสน สร้างภาพที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับความสำเร็จความสุขและความสุขของคุณ
วิธีหนึ่งในการลดแนวโน้มที่จะจินตนาการถึงสิ่งที่แย่ที่สุดคือเตือนตัวเองว่าคุณสามารถรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้
ด้วยเวลาและความพยายามเพียงพอความยากลำบากความเครียดหรือเศร้าใด ๆ สามารถเปลี่ยนเป็นประสบการณ์การเรียนรู้ในเชิงบวกที่ช่วยให้ประสบความสำเร็จมากขึ้นในอนาคต
การส่งความสุขให้กับผู้อื่นเป็นอีกก้าวสำคัญในการก้าวสู่ความคิดเชิงบวกอย่างแท้จริง เมื่อคุณเป็นคนดีปฏิกิริยาของพวกเขาสร้างวงข้อเสนอแนะที่ส่งเสริมความรู้สึกที่ดีในตัวคุณ ดังนั้นสิ่งนี้จึงสนับสนุนให้คุณแบ่งปันความเป็นบวกกับผู้อื่นมากขึ้น
คุณไม่จำเป็นต้องทำอะไรที่น่าทึ่งเพื่อรวมการฝึกฝนนี้เข้ากับชีวิตของคุณ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณชมคนที่เครดิตครบกำหนด
ตัวอย่างเช่นคุณอาจบอกน้องสาวของคุณว่าเธอดูน่ารักในชุดใหม่ของเธอขอบคุณเพื่อนร่วมงานของคุณที่ช่วยคุณทำโปรเจคที่ยากลำบากนั้นเตือนคู่สมรสของคุณด้วยเหตุผลข้อหนึ่งว่าทำไมคุณตกหลุมรักหรือแสดงความยินดีกับใครสักคน
ท่าทางเล็กน้อยเหล่านี้ทั้งหมดทำให้ผู้คนรู้สึกดีและตอบสนองเป้าหมายที่ครอบคลุมของคุณในการเป็นคนที่ดีขึ้น
ต้องการความคิด? คลิกที่นี่เพื่ออ่านรายการความเมตตากรุณา 20 รายการที่คุณสามารถทำได้วันนี้!
สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจว่าการแบ่งปันความเป็นบวกกับผู้อื่นไม่ได้หมายความว่าคุณควรอุทิศทรัพยากรทั้งหมดให้กับการแสวงหาความเสียสละ การเป็นคนที่มีความสุขและประสบความสำเร็จนั้นเกี่ยวข้องกับความมุ่งมั่นในการตอบสนองความต้องการของคุณ
เป็นไปไม่ได้ที่จะอยู่ในเชิงบวกหากคุณเหนื่อยล้าและหมดแรง ดังนั้นอย่ารู้สึกผิดที่จะต้องปิดคำเชิญทางสังคมเมื่อคุณต้องการชาร์จแบตเตอรี่ใหม่
สุดท้ายให้แน่ใจว่าทุกวันในชีวิตของคุณเกี่ยวข้องกับความเมตตาต่อตัวคุณอย่างน้อยหนึ่งครั้ง (ที่นี่มี 64 ความคิด) ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมอาหารที่สมเหตุสมผลการฟังเพลงที่ชื่นชอบการอ่านหนังสือที่ดี การตระหนักว่าคุณสมควรได้รับความรักและการเอาใจใส่เป็นส่วนสำคัญของความคิดเชิงบวก
พัฒนาความคิดเชิงบวกด้วยการสะกดจิตด้วยตนเอง
ตามที่อธิบายไว้ในบทความนี้ความคิดในเชิงบวกสามารถเปลี่ยนวิธีการที่คุณอาศัยอยู่ทั้งหมด หากคุณต้องการนำชีวิตที่มีความสุขและประสบความสำเร็จมากขึ้นคลิกที่นี่เพื่อเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับวิธีเปลี่ยนทัศนคติของคุณโดยใช้การสะกดจิต
การสะกดจิตนี้สามารถช่วยคุณ:
ตระหนักว่าคุณสามารถประสบความสำเร็จในชีวิตและไม่มีเหตุผลที่จะลบ
เป็นนิสัยของการคิดเชิงบวกเกี่ยวกับทุกสถานการณ์ที่คุณเผชิญ
ตระหนักดีว่าทัศนคติในเชิงบวกสามารถเปลี่ยนแปลงวิธีรับมือกับความท้าทาย
เปลี่ยนมุมมองเชิงลบต่อชีวิตให้ดี
•••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
หากไร้ระเบียบ อิสรภาพก็เกิดขึ้นไม่ได้ #สองสภาวะนี้ต้องคู่กัน ถ้าเธอไม่สามารถนำระเบียบมาสู่ชีวิต เธอก็ไม่มีอิสรภาพ
สภาวะทั้งสองนั้นไม่อาจแยกออกจากกันได้ ถ้าบอกว่า
‘ฉันจะทำแต่สิ่งที่ฉันชอบ มากินอาหารเมื่อฉันอยากมา เข้าห้องเรียนเมื่อฉันอยากเข้า’ เธอก็ก่อความไร้ระเบียบ เธอต้องคำนึงถึงความต้องการของคนอื่นๆด้วย เพื่อให้สิ่งต่างๆเป็นไปอย่างราบรื่น เธอต้องมาตรงเวลา เช้านี้ถ้าฉันมาสายสิบนาที ฉันก็ทำให้พวกเธอต้องรอคอย ฉะนั้นฉันต้องคิดถึงคนอื่นๆ ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา ฉันต้องสุภาพ คิดถึงหัวอกคนอื่น และด้วยความเห็นอกเห็นใจ ด้วยการใคร่ครวญอย่างรอบคอบด้วยการสังเกตเต็มที่ต่อทั้งสรรพสิ่งภายนอกและภายในจิตใจ ระเบียบก็เกิดขึ้น เมื่อมีระเบียบ อิสรภาพก็เกิดขึ้น”
••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
มังกรสวรรค์ ปราณแห่งความมั่งคั่ง
มนุษย์ ..ใช้อำนาจลึกลับจากสัตว์ในโลกทิพย์ “Astral Plane” ซึ่งรูปแบบของการเกิดขึ้นของสัตว์เทพนั้น จากคำบอกเล่าเชื่อว่า สัตว์เทพเหล่านี้คือพาหนะของจิตวิญญาณอันสูงส่ง หรือเป็นภาคหนึ่งของเทพเจ้าธรรมชาติ ผู้ดูแลควบคุมธาตุทั้งปวง
ธาตุทั้งปวงหล่อหลอมเกิดปราณ
ปราณนั้นหล่อเลี้ยงพลังชีวิต
พลังชีวิตหล่อเลี้ยงจิต ดวงจิตนี้เป็นนายของฐานกาย
ชีวิตจึงก่อเกิดและดำเนินไปตามวิถี
ความธรรมดาของโลก ๓ มิตินี้ เกิดจากกฏแห่งจักรวาลขั้นสัมบูรณ์ระหว่างกาลเวลาที่เป็นมิติระนาบเดียว กับปราณที่หลั่งไหลในทิศทางเดียวกันกับ “ปราณสุริยะ” หรือปราณแห่งความอุดมแห่งจักรวาล
บ้างก็เรียกว่า “พลังจักรวาล” “Universal Force” แห่งฐานพลังงานขั้นพื้นฐาน แต่ก็มีผู้รู้ที่มีความสามารถ และอำนาจจิตที่จะเรียนรู้ พัฒนาความสามารถด้านจิต ตีความ วิชาเหนือโลกเหล่านี้ผ่านดวงดาว แหล่งอำนวยความทรงจำเรื่องภพชาติของเขา แท้จริงนี้ชีวิตของมนุษย์นั้นถูกวางรากฐานมาเพื่อเรียนรู้ในสิ่งที่ประทับลงดวงจิต
เพื่อพัฒนาแถบสนามแม่เหล็กของระบบสุริยจักรวาล เพราะเมื่อเราตายไปกายเนื้อที่เหลือจะถูกส่งยังไกอา (ธรณี)
คงเหลือแต่ความสามารถทางจิต ที่ถูกเชื่อมโยงเข้ากับกระแสธารแห่งจักรวาลผ่านไฟฟ้าที่เกิดจากความคิด
ซึ่งถูกวางรากฐานเป็นรูปทรงของสัตว์ต่างๆ ที่มีทิพยอำนาจในโลกทิพย์ (โลกแห่งปราณ)
ดังนั้นปราชญ์ ผู้รู้ เมื่อสัมผัสปราณฟ้า ดิน หยิน หยาง จักรวาล ได้แล้ว เห็นพ้องว่าเรื่องเหล่านี้คือความจริง ไม่ได้โกหก โลเล หรือเกิดจากการอุปทานขึ้นมา ได้ทำการตั้งสำนัก และบ่มเพาะฐานกระแสปราณนั้น เกิดเป็นสำนักต่างๆ มากมาย ดังที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ว่า มีศาสตร์ ฮวงจุ้ย พลังงาน และสมาธิต่างๆ มากมาย อันเป็นผลผลิตที่ก่อเกิดจากปราณจักรวาลนี้
ความสามารถพวกนี้พูดไปก็เป็นเรื่องเว่อร์วังอลังการ ไม่ต่างจาก X-men
#ฐานปราณที่เกิดจากความคิด ยึดติด ห่วงหาอาลัยอาวรณ์นั้น มันยังคงตรึงจิตวิญญาณเราไว้ไม่ให้ไปรวมกับแสงอันโอภาสของจักรวาล กล่าวคือ ตายไปคุณก็เป็น “ผีเร่ร่อน” อยู่กับไห กับโอ่ง เมืองเก่า สนามรบ ฯลฯ น่าสงสารเป็นที่สุด
ซึ่งในฐานปราณอันอุดมที่เรียกมาใช้ในการสร้างความมั่งคั่ง เห็นจะเป็นฐาน “#ปราณมังกร” ซึ่งก็น่าแปลกนะว่ามังกรนั้น มีทั้งวัฒนธรรมตะวันตก และตะวันออก บ้านเราก็เห็นจะเป็นพญานาค ผู้ดูแล และเก็บปราณอันอุดม เคยดูหนังเรื่องฮอปบิท หรือแฮรีพอตเตอร์ไหม เราจะเห็นสัตว์เทพพวกนี้ดูแลสมบัติต่างๆ มากมาย ….ส่วนใหญ่ผู้คนที่โง่ ๆ โลภๆ จะไม่ได้ครอบครองสมบัติที่เฝ้าด้วยปราณมังกรนะ คิดดูสิ ในโลกกายภาพพวกอยากมี อยากได้ อยากเป็น โลภๆ
ก็โดนปราณมังกรสังหารไปตายอนาถหลายธุรกิจนะ
เป็นอาหารอันโอชะ ขยายความ โอชะ [ADJ] delicious, See also: tasty, yummy, ambrosial, delectable, scrumptious, toothsome, Syn. โอชา, อร่อย
, Example: เหล่าแมลงวันพากันบินลงไปกินอาหารอันโอชะที่อยู่บนพื้นดิน,
Thai definition: มีรสดี โอชะ โดยเฉพาะธุรกิจที่อ้างว่า ทำแล้วรวยเว่อร์ มีรถ ไปเที่ยวหรู ดูเหอะหากปราณเจ้าของตกเมื่อไหร่ เสร็จทุกราย! กลายเป็นอาหารมือหลักของปราณมังกรไปทุกราย เมื่อธุรกิจนั้นจากไป ก็รอผู้มีคุณธรรมบารมีถึงควรมาสืบต่อ หรือสร้างความชอบธรรมจากกองขี้เถ้านั้น ให้กลายเป็นเหมืองทอง !!!!
ว่ากันว่า กระแสปราณสัตว์เทพ หรือสัตว์เทวะนั้น เกิดจากหางปราณของผู้บำเพ็ญที่ละสังขาร หรือจากโลกนี้ไปแล้ว ยังคงเป็นพลังสถิตของปราณสัตว์เพื่อแยกออกมาสั่งสมบารมี และสร้างภพชาติในการบำเพ็ญต่อยอด ไม่ว่าดวงจิตของคุรุท่านนั้นจะเข้าสู่มหานิวรธ์สังสารวัฏในมหาวาระ พุทธเกษตรใด ตราบยังไม่เข้าสู่มหาปรินิพาน หรือการเข้าสู่สภาวะเที่ยงแท้สูงสุด หางปราณที่เกิดจากการสั่งสมบารมียังคงสร้างมหาบารมีก่อเกิด สั่งสมในสังสารวัฏไม่สิ้นสุด
ดังที่เราจะเห็นพระเกจิอาจารย์มีสัตว์เทวะของตนเพื่อสามารถถอดจิต หรือสร้าง Astral Projection ให้คายวิบากออกจากกายเนื้อ มาในรูปแบบของ “สัตว์” ชนิดต่างๆ เพื่อบำเพ็ญในเศษซากความทรงจำของบุคคลที่ยังเหลือบนโลก “คุณธรรม” และ “ความดี” นั้นนอกจากจะถูกถอดรูปนามเดิมออกมาเป็นสัตว์เทวะแล้ว ยังสามารถถอดออกมาเป็นวัตถุ เช่น อาวุธเทวะ ได้อีกมากมาย
สิ่งเหล่านี้เป็นความลี้ลับ ส่วนปราณมังกรนั้นก็ไม่แตกต่าง หรือจะแตกต่างก็แล้วแต่ “ธาตุรู้” ของปราณนั้น ๆ ส่วนใหญ่กระแสปราณนี้จะถูกใช้ในการสร้างความมั่งคั่ง และเจริญรุ่งเรืองให้สถานที่ เป็นกระแสปราณที่เข้าไปปลุกสนามพลังงานของทุกสถานที่ให้เจริญรุ่งเรือง
ตลอดจนให้ประสบความสำเร็จทางด้านการประกอบธุรกิจขนาดใหญ่ เป็นฐานของ อำนาจ บารมี และความมั่งมีในโลกมนุษย์
แน่นนอนว่าปราณนั้นประกอบด้วยอาภรณ์แห่งปราณคือ “คุณธรรม” และ “ความกตัญญู” เป็นที่ตั้ง ยิ่งเป็นปราณจากสัตว์เทพตะวันออกแล้ว เรื่องทั้งสองนี้จะขาดไม่ได้เลย หากขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป คุณจะไม่มีทางประสบความสำเร็จโดยการดึงสนามพลังงานปราณสายนี้เลย เพราะปราณมังกรนั้นเดิมทีก็มีหน้าที่ดูแลสมบัติ ปกป้องคุณธรรมของเทพเจ้า ตำหนัก สถานที่ที่ประกอบด้วยคุณงามความดีทั้ง ๑๐ ทิศ
ส่วนวิธีการทำลายปราณก็เป็นการกระทำในทิศตรงกันข้ามเช่น โลภ เห็นแก่ตัว เอาเปรียบผู้อื่น มากด้วยกามตัณหา หรือการกระทำด้วยวจีทุริต พร่ำบ่น การใส่ร้ายป้ายสีผู้มีคุณธรรม ฯลฯ (คิดเอาเองละกัน โดยรวมมีประมาณนี้)

นอกจากปราณมังกรที่สร้างความอุดมสมบูรณ์ให้สถานที่ ที่ถูกจัดวางธาตุให้สมดุลกับธารแห่งปราณจักรวาลวาลแล้ว หมอ หรือนักสมุนไพรบางท่านยังให้ปราณมังกรนี้เสกเข้าไปในยาเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ผู้ที่ตกยาก เกิดเป็นยาที่มีคุณสมบัติทิพย์ หรือใ้ช้เสกสรรค์น้ำมนต์ ส่วนธาตุกายสิทธิ์ที่สามารถดึงหรือเชิญปราณสายนี้เข้ามาเหนจะเป็น “ทองคำ” ทว่าต้องประกอบด้วยคุณธรรมความดีงามที่บริสุทธิ์

เราสามารถเข้าไปรับกระแสปราณ (ไฟต้นกำเนิด) นี้จากพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นทองคำ หรือ ประกอบด้วยทองคำเป็นต้น นอกจากนี้ปราณมังกรยังเป็นตัวแทนของหยาง พลังงานเพศชาย (ผู้หญิงเก่งๆ หลายคนมีปราณสายนี้ นอกจากเธอจะร่ำรวยแล้ว ยังน่ายำเกรง ไปที่ไหนผู้ชายก็กุมไข่เลยทีเดียว ล่อเล่นนะ ฮิๆๆ ส่วนฝ่ายชายหากไม่ยอมรับคุณธรรมขั้นนี้ชีวิตจะค่อยๆ ตกต่ำ และกลายเป็นบัลลังก์มังกรแทน พูดสุภาพๆ ก็เป็นทาสรักในเรือนเบี้ยนะแหละนาย ทำอะไรไม่ขึ้นอีกแล้วเจ้าข้า)
เพราะมังกรเป็นตัวแทนของปราณจักรพรรดิ์ ผู้เป็นใหญ่ในสายปราณทั้งปวง (ทางโลกนะ) รับใช้ปราณทางธรรมให้มีความสัมฤทธิ์ทางโลก ๓ มิติมีส่วนสำคัญในการเผยแผ่ศาสนา หรือสร้างอัครมหาสถานของศาสนาให้เป็นแหล่งสวมทับของปราณในทุก ๆ มิติ นอกจากนี้ยังมีการเชื่อมต่อพลังงานของปราณมังกรธาตน้ำ และไม้ผ่านหยก และไข่มุก ที่สามารถอัญเชิญปราณธาตุทองอีกด้วย
จะกล่าวไปมนุษย์ก็มีส่วนที่สัมพันธ์กับ นาค นู้ด เนค สเนค naga อันแปลว่าผู้เปล่าเปลือย
ส่วนที่เป็นวุธาภัณฑ์ของความเปลือยเปล่านี้ เห็นจะเป็นคุณธรรม ความดีงาม ความกตัญญู บุญกุศล บารมี และ “ปราณเทวะ” นั่นก็มาจากสัตว์เทพ ที่ผูกวิถี จิตตาวตารที่จะดึงกระแสหลัก รอง นั้นเข้าสู่มหาธารแห่งจักรวาล เข้าสู่ทำเนียบแห่งการบำเพ็ญในแต่ละสายองค์ธรรมบารมี ที่ตนนั้นได้สร้างสมมา (จักรๆ วงศ์ หน่อยนะ)
และหนึ่งในปราณหลักอันเที่ยงแท้ ยอดเยี่ยมในยุทธจักรและจิตจักรวาล หนึ่งเดียวเห็นจะมีแค่ “ปราณมังกร” เท่านั้น
โม้เพลินขออภัย ผิดพลาดประการใดขออภัย เขียนไปตามอารมณ์
•••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
The Seven Spiritual Laws of Success
…7 กฏด้านจิตวิญญาณเพื่อความสำเร็จ…
.
.
เรามักจะคิดว่า ความสำเร็จทางโลก และ เรื่องทางจิตวิญญาณ นั้นเป็นเรื่องที่อยู่ตรงข้ามกัน แต่ที่จริงแล้ว ทั้งสองอย่างเป็นสิ่งที่อยู่ร่วมกันได้
.
.
The Seven Spiritual Laws of Success คือ หนังสือของ
ดีพัค โชปรา ซึ่งผสมผสานเรื่องราวของจิตวิญญาณแบบโลกตะวันออก และความสำเร็จแบบโลกตะวันตกเข้าด้วยกัน กับกฏทางจิตวิญญาณ 7 ข้อที่จะนำมาซึ่งความสุขและความสำเร็จในชีวิต
.
.
1. กฏการเข้าถึงพลังของจิตวิญญาณในตัวคุณ จิตเดิมแท้ของคุณเป็นอิสระ ไม่ขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอก มีศักยภาพอันบริสุทธิ์ ยิ่งใหญ่ และทุกคนสามารถเข้าถึงพลังงานอันยิ่งใหญ่นี้ได้ด้วยฝึกสมาธิ การฝึกอยู่กับตัวเองอย่างเงียบๆ ไม่ตัดสินใคร การเข้าถึงจิตวิญญาณของตนเองโดยแท้
.
2.กฏของการให้ จักรวาลดำรงอยู่ด้วยการหมุนเวียนของการให้และการรับ คุณต้องเรียนรู้ที่จะมอบสิ่งดีๆ ให้กับผู้คน และเปิดรับสิ่งต่างๆ ที่จักรวาลมอบให้คุณด้วยความสำนึกรู้คุณ
.
3.กฏของการกระทำ ทุกการกระทำของคุณจะทำให้เกิดพลังงานที่ย้อนกลับมาหาคุณ ดังนั้น คุณจึงต้องเลือกการกระทำทุกอย่างของคุณอย่างมีสติ รู้ตัว ทั่วพร้อม และรับผิดชอบต่อการกระทำ ของตนเอง ไม่กล่าวโทษหรือโยนความผิดให้ผู้อื่น
.
4.กฏของความพยายามให้น้อยที่สุด ทุกอย่างเป็นธรรมชาติ ต้นไม้เติบโตเป็นธรรมชาติ ปลาว่ายน้ำเป็นธรรมชาติ ธรรมชาติทำสิ่งต่างๆ โดยไร้ความพยายามและความกังวล คุณเองก็ต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับผู้คนและสถานการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาสู่ชีวิตคุณในแบบที่มันเป็นโดยไม่ต่อต้าน และไม่ปกป้องว่าความคิดของคุณถูกต้อง เพียงผู้เดียว
.
5.ความมุ่งมั่นและความปรารถนาที่ถูกใส่เข้าไปในสนามพลังงานของศักยภาพบริสุทธิ์จะนำไปสู่พลังที่ไร้ขีดจำกัด ในช่วงที่จิตเป็นสมาธิ ก่อนที่คุณจะกลับคืนสู่ปัจจุบันให้ใส่ความมุ่งมาดปรารถนา ลงไป จินตภาพในสิ่งที่คุณต้องการ
.
6.การปล่อยวาง การไม่ยึดติดกับสิ่งต่างๆ และเปิดตัวเองสู่ความไม่แน่นอนของชีวิตจะทำให้คุณเป็นอิสระ หลังจากที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้แล้ว คุณก็ไม่ควรที่จะเครียดและกังวลกับมันมากไป
.
7.คุณทุกคนล้วนแต่มีสิ่งพิเศษที่ทำให้คุณแตกต่างไปจากผู้อื่น และหน้าที่ของคุณก็คือการค้นหาตัวตนของคุณให้เจอว่า คุณจะรับใช้เพื่อนมนุษย์ได้ดีที่สุดด้วยวิธีใด
.
The Seven Spiritual Laws of Success (1994) – Deepak Chopra
7 กฏด้านจิตวิญญาณเพื่อความสำเร็จ’
••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
เมื่อรู้เสร็จแล้วก็ต้องละ ……เมื่อละเสร็จก็ต้องทิ้ง
เมื่อทิ้งเสร็จแล้วก็ต้องปล่อย .เมื่อปล่อยเสร็จแล้ว มันจึงถึงความไม่มีอะไร….?….ที่จะต้องไปวางอะไร??
•••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
ตานภายนอกกับตานภายใน …
“ตานไม่ใช่พลังชีพมนุษย์ มีแหล่งกำเนิดมาจากภายนอกร่างกาย” เมื่อเราจะฝึกตาน ก็ต้องรับตานจากภายนอก ตานเป็นคำรวมๆ มีหลายแบบหลายชนิด จะต้องเลือกใช้ให้ดี หากเลือกตานไม่ดีมาฝึกก็อาจกลายเป็นลัทธิมารได้
ตานที่ถูกต้องตามหลักเต๋าอย่างหนึ่งคือ “ตานธาตุทอง” แต่ผู้บำเพ็ญเต๋าอาจเลือกใช้ตานชนิดอื่น ธาตุอื่นก็ได้ ก็มีเช่นกัน ดังที่กล่าวมาแล้ว ผู้บำเพ็ญเต๋าแบบปรมาจารย์จะต้องบำเพ็ญจาก “ความว่าง” ตามหลักเต๋าคือ “ว่างก่อเกิดมี”
เมื่อภายในของท่านว่างเปล่าเหมือนไร้พลัง พลังงานบางอย่างจะเข้ามาสะสมภายในและก่อตัว กำเนิดเป็น “จินตาน” นี่เรียกว่า “ว่างก่อเกิดมี” ถือว่าสำเร็จขั้นแรก เมื่อมีจินตานแล้ว สามารถจะใช้พลังจากจินตานออกมาได้เช่น จินตานหัวใจกระบี่ เมื่อใช้ออกจะมีพลังเหมือนกระบี่มีอานุภาพในการตัด, แบ่งแยกสิ่งต่างๆ
ผู้บำเพ็ญเต๋าจะไม่ใช้พลังชี่แต่จะใช้พลังตาน เพื่อเก็บพลังชี่ไว้หล่อเลี้ยงร่างกาย ชี่ภาษาจีนหรือคิในภาษาญี่ปุ่น จะต้องเก็บรักษาไว้หล่อเลี้ยงร่างกาย แล้วใช้พลังจากตานแทน ภายหลังผู้บำเพ็ญขาดความรู้เรื่องตาน ทำให้มีผู้บำเพ็ญหันไปใช้พลังจากชี่หรือคิ แทนพลังตาน ผลคือ ร่างกายก็จะทรุดโทรมลงไป สูญเสียสุขภาพในภายหลัง
ผู้บำเพ็ญเต๋าแบบปรมาจารย์จะต้องสะสมตานจากภายนอก เมื่อได้รับตานชนิดนั้นๆ มากพอแล้วก็จะก่อกำเนิดเป็น “จินตาน” จินตานมีหลายแบบ หลายลักษณะ
เช่น จินตานหัวใจกระบี่, จินตานดวงแก้วมณี ฯลฯ
ผู้บำเพ็ญหากมีตาทิพย์จะมองเห็นพลังงานสีดำคล้ายจักรวาลหมุนอยู่ และรู้สึกว่างเปล่าไร้พลัง นี่คือ “เต๋าขั้นว่างเปล่า” ก่อนที่จะก่อตัว ก่อเกิดเป็นจินตาน พลังงานสีดำคล้ายจักรวาลจะหมุนแล้วดูดพลังตานเข้ามาไว้ในร่างกายตามจักระบางจักระ เช่น ท้องน้อย, หน้าอก ฯลฯ
แล้วสะสมพลังงานที่จักระนั้นๆ จากนั้น จะก่อตัว ก่อกำเนิดเป็นจินตานลักษณะต่างๆ แตกต่างกันไป แต่ละสำนักแต่ละลัทธิมีจินตานไม่เหมือนกันได้ จินตานเป็นแหล่งพลังในร่างของเรา และส่งผลให้เรามีพลังที่ต่างจากมนุษย์ แต่ตราบใดที่เรายังมีความเป็นมนุษย์เหลืออยู่
เราจะยังไม่เป็นเซียนอย่างแท้จริง เราจะถูกบีบคั้นอย่างหนักจนความเป็นมนุษย์ดับสลายหายหมดสิ้นไปเหลือแต่ความเป็นเทพเซียน เรียกว่า “การกำเนิดใหม่” หากขั้นตอนนี้ผิดพลาด สอบไม่ผ่าน เราจะไม่สำเร็จเทพเซียน แต่อาจกลายเป็นอย่างอื่น เช่น มารหรือปีศาจได้ เพราะสูญเสียความเป็นมนุษย์หมดสิ้นแล้วนั่นเอง เมื่อสำเร็จเทพเซียนแล้วย่อมมีความคิด, จิตใจ, อารมณ์ ฯลฯ ต่างไปจากเดิม เพราะไม่ใช่มนุษย์แล้ว ทำให้อาจอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้ยากครับ
ผู้รับจินตานจากคุรุ ต้องมีจิตตรงต่อคุรุ ไม่เช่นนั้นพลังจะผิดเพี้ยนครับ
••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
พุทธศาสนานิกายเร้นลับหรือวัชรยานจีน
ต้นกำเนิดพุทธศาสนาแบบเร้นลับ(密宗)นี้ สามารถสืบสาวย้อนไปถึงยุคอินเดียโบราณ อย่างที่ทราบกันดี เวทมนตร์และเครื่องรางนั้นมีอยู่ในอถรรพเวท หนึ่งในจตุรเวทซึ่งได้พัฒนาอย่างมากในศาสนาพราหมณ์ยุคหลัง เรื่องเหล่านี้มีมาก่อนพุทธศาสนาจะถือกำเนิดขึ้นมาและได้เป็นศาสนาสำคัญในอินเดีย และในที่สุด พุทธศาสนาก็ได้รวมเอาเวทมนตร์ต่างๆผนวกเอาไว้ด้วย และพัฒนาจนถึงขีดสุดในรูปแบบของพุทธศาสนา
อย่างไรก็ตาม พุทธศาสนาในยุคแรกได้ห้ามการใช้ธารณีและเครื่องรางอาถรรพ์ต่างๆโดยเห็นว่าจะนำความเสื่อมเสียมาให้ แต่ในทางกลับกัน มนตราและธารณีได้ปรากฏในคัมภีร์มหายานมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคัมภีร์สำคัญอย่างสัทธรรมปุณฑรีกสูตร《妙法蓮華經》 อวตังสกสูตร《華嚴經》 และปรัชญาปารมิตาสูตร《般若波羅蜜多經》 แสดงให้เห็นว่าแนวคิดของนิกายเร้นลับ รหัสยลัทธิได้แสดงตัวให้เห็นเด่นชัดในกระแสพระพุทธศาสนา ทุกครั้งที่พุทธศาสนามหายานได้แสดงตัวให้เห็นเด่นชัด แต่ทุกครั้งมหายานได้พัฒนาไป ศาสนาพราหมณ์ก็ได้เปลี่ยนรูปตัวเองสู่ศาสนาฮินดู ซึ่งค่อยๆกลืนพุทธศาสนาไปอย่างช้าๆ ประมาณพุทธศตวรรษที่11 พุทธศาสนารหัสยลัทธินี้ได้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ว่าแม้รหัสยลัทธิกลุ่มต่างๆจะมีหลักการแนวคิดเดียวกัน แต่ไม่เคยรวมกันได้เลย กล่าวได้ว้า ในอินเดียแม้จะเป็นแหล่งกำเนิดพุทธศาสนาแบบเร้นลับ แต่ไม่เคยเลยที่จะรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ในที่สุดก็ถูกความเชื่อแบบฮินดูกลืนหมดสิ้นไปไม่เหลือ เพราะความไร้เอกภาพของตนเอง
แต่ในจีนนั้นประวัติศาสตร์พุทธศาสนาแบบเร้นลับรหัสยลัทธินี้ได้เริ่มต้นขึ้นในสมัยราชวงศ์ถัง ด้วยการมาถึงของภิกษุอินเดียชื่อ ศุภกรสิงหะ (พ.ศ.1259) วัชรโพธิ และ อโมฆวัชระ(พ.ศ.1263) ก่อนหน้านั้น20ปี ได้มีภิกษุจีนผู้จาริกไปศึกษาพุทธศาสนาที่อินเดียมาก่อน ได้บอกเล่าว่าในอินเดียนั้นจริงๆแล้วมีนิกายหลักเพียงสองนิกาย คือ มาธยมกะ และ โยคาจาร(หรือ วิญญาณวาท) ส่วนนิกายอื่นๆรวมทั้งนิกายเร้นลับนี้ได้แตกสายกระซ่านกระเซ็นเป็นส่วนหนึ่งของนิกายหลัก และล้วนมีความแตกต่างกันมาก จนไม่สามารถรวมตัวกันขึ้นมาได้ คงแต่เพียงแอบแฝงอยู่ในนิกายหลักเท่านั้นเอง แม้จนกระทั่งศุภกรสิงหะและวัชรโพธิที่จาริกมายังจีนอีก20ปีต่อมา ก็ไม่สนใจในหลักการของอีกฝ่ายหนึ่งเลย แสดงให้เห็นความแตกแยกของนิกายเร้นลับในอินเดีย
แต่อย่างไรก็ตาม ก่อนการมาถึงของศุภกรสิงหะ และ วัชรโพธิ นั้น ได้มีการแปลพระสูตรต่างๆที่มีส่วนของรหัสยลัทธิของนิกายเร้นลับนี้แฝงอยู่ในพุทธศาสนามาก่อนแล้ว โดยนักแปลสำคัญก่อนหน้าราชวงศ์ถังคือ ศรีมิตร(พ.ศ.860-860) พุทธภัทร(พ.ศ.951-972) กุมารชีพ(พ.ศ.944-956) โพธิรุจิ(พ.ศ.1051-1078) ชญาณคุปต์(พ.ศ.1103-1143) คัมภีร์นิกายเร้นลับได้ถูกแปล96พระสูตร(ในวงเล็บคือระยะเวลาในการแปล) มีพระสูตร35พระสูตร ที่มีธารณีประกอบด้วยและมีอรรถกถา4คัมภีร์ แต่ไม่ได้ระบุว่าคัมภีร์เหล่านี้เป็นของนิกายเร้นลับ เพียงแต่ระบุว่าเป็นคัมภีร์ของมหายานและหีนยานเท่านั้น
ในจีนนั้น พุทธศาสนาแบบรหัสยลัทธินี้อาจกล่าวได้ว่าไม่มีช่วงใดเจริญเฟื่องฟูเท่าช่วงราชวงศ์ถัง เมื่อศุภกรสิงหะและวัชรโพธิได้จาริกมาถึงจีน ปรากฏว่ามีพระสูตรของนิกายเร้นลับถึง612พระสูตรใน961ผูก และในนิกายอื่นก็ยังมีคัมภีร์ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับนิกายเร้นลับเป็นจำนวนมาก คัมภีร์เหล่านี้ถูกแปลเป็นภาษาจีนเกือบหมดสิ้นก่อนช่วงกลางราชวงศ์ถัง แต่ว่าแม้จะปรากฏร่วมอยู่กับนิกายอื่นๆที่มีมาก่อนแล้วในจีน นิกายเร้นลับกลับไม่มีองค์กรเฉพาะของตนเอง จึงเสื่อมไปในเวลาไม่นาน โดยได้เกิดลัทธิใหม่ที่มีรูปแบบแตกต่างออกไปมากในรูปรหัสยลัทธิ ที่มาพร้อมกับอิทธิพลทางการเมืองของมองโกล คือ ลัทธิลามะ
จากหนังสือ ชินงอน รหัสลับแห่งธรรมที่แท้
แปลและเรียบเรียงโดย ภูริธัช ธิตเมโธ, ศักดิ์ชัย กิตติชโย
••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
มีคำกล่าวว่าตันตระใช้กิเลสเป็นโพธิ ในที่นี้หมายถึงเมื่อกิเลสฝ่ายอุกศล ของเราปรากฏภาวะออกมาและเกิดความขัดแย้งกับกิเลสฝ่ายกุศล ตันตระจะไม่เบือนหน้าหนี แต่จะเข้าไปบริหารจัดการ ทั้งสองฝ่ายจนถึงที่สุด หากฝ่ายอกุศล มีกำลังมากกว่าตันตระจะไม่ปฏิเสธแต่จะส่งผู้ปฏิบัติเข้าไปทำความเข้าใจกับภาวะให้แจ่มแจ้งแทงตลอดด้วยอุบายอันแบบยลลึกซึ้งพิสดาร
ความจริงในการปฏิบัติธรรมพวกเราล้วนใช้กิเลสเป็นพลังขับเคลื่อนการบำเพ็ญอยู่แล้ว หากเราไม่ใช้กิเลสก็ย่อมไม่มีอะไรปฏิบัติธรรม ในความหมายนี้อาจกล่าวได้ว่า
กิเลสคือโพธินั้นเป็นสากล ปฏิบัติธรรมจึงไม่ต้องกลัวกิเลส
••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
ตำนานกำเนิดพุทธศาสนาและเนื้อนาบุญ …
พุทธศาสนาแห่งพระสมณโคดมนี้มีบุพกรรมทำร่วมกันมากับพระศรีอาร์ฯ ดังจะเล่าเป็นตำนานดังต่อไปนี้ จะกล่าวถึงครั้งอดีตชาติที่พระสมณโคดมสับเปลี่ยนดอกบัวกับพระศรีอาร์ฯ ส่งผลให้ “ลำดับการปกครองธรรมกาลเปลี่ยนแปลง” กล่าวคือ พระสมณโคดมจะปกครองธรรมกาลก่อนพระศรีอาร์ฯ แล้วให้พระศรีอาร์ฯ ทำกิจ “ปิดกัป” เป็นองค์สุดท้าย เพื่อใช้บารมีที่มีอยู่มากนั้นเคลียร์ล้างกัปและภารกิจที่คั่งค้างทั้งหมดแห่งพระพุทธเจ้าทั้งห้าพระองค์ ในครานั้นเอง ทวยเทพและพระโพธิสัตว์มากมายก็ร่วมใจกันมาช่วยเหลือพระศรีอาร์ฯ เพราะกิจชำระล้างกัปนั้น ก็ยากและมากมายนัก “ดังนี้ พระสมณโคดมจึงสรรเสริญและเล่าเรื่องของพระศรีอาร์ฯ ไว้โดยมาก” และนี่จึงเป็นเหตุว่าทำไมชาวไทยพุทธจึงรอพระศรีอาร์ฯ ซึ่งพระสมณโคดมนั้นเมื่อกำเนิดได้ชูนิ้วขึ้นหนึ่งนิ้ว (ภายหลังมีคนแปลความผิดว่ามีท่านคนเดียวที่เป็นพุทธะ แท้แล้วไม่จริง เพราะพุทธะนั้นกำเนิดได้ไม่จำกัดและใครก็สามารถกลับคืนสู่พุทธะได้เพราะล้วนมาจากพุทธะเช่นกัน) ความหมายอันแท้จริงคือ “อีกหนึ่งพุทธกาล ก็จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า” แต่เพราะบุพกรรมที่พระศรีอาร์ฯ ได้ร่วมมากับพระสมณโคดมนั้นเอง ภาคอวตารหนึ่งของท่านจึงได้เกิดมาเป็น “พราหมณ์อัญญาโกญทัญญะ” และได้ให้คำทำนายผิดว่า “เจ้าชายจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในชาตินี้” เรื่องร้อนไปถึงสวรรค์ สวรรค์ทราบว่ายังไม่ถึงวาระจริงๆ แต่เทพไม่อาจขวางพระโพธิสัตว์ได้ สวรรค์จึงได้ส่ง “พญามาราธิราชลงมาขวางแทน” พญามารนั้นเป็นเทวดาชั้นหก จะไม่ทำสิ่งที่ผิดแน่นอนถ้าทำสิ่งผิด ก็คงอยู่สวรรค์ไม่ได้ พญามารมาขวางเจ้าชายสิทธัตถะไว้แล้วกล่าวว่า “โปรดรออีกหน่อยเถิด ท่านจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ” ซึ่งเป็นความจริง แม้ว่าพญามารจะเป็นมารแต่เขาไม่ได้โกหก ตามบุญกรรมแล้วเจ้าชายสิทธัตถะจะต้องเกิดมาเป็นพระเจ้าจักรพรรดิในชาตินั้นจริงๆ (แต่ใจของท่านไม่ต้องการ)
กำเนิด “เนื้อนาบุญแห่งโลก”
แท้จริงแล้ว ใครก็เป็นเนื้อนาบุญได้ไม่ใช่มีแต่พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ ด้วย “สัจธรรมนั้นเป็นสากล” ไม่ใช่ถูกแค่บางคนคนเดียว แล้วคนอื่นๆ ไม่ถูก ไม่ใช่ ไม่ได้ แบบนั้นจะเป็นสัจธรรมสากลได้อย่างไร? แล้วความจริงอันเป็นสากลในเรื่อง “เนื้อนาบุญเป็นเช่นใดเล่า?” คำตอบคือ “โลกนี้มีวาระและกรรมของมัน ที่จะต้องมีสงคราม” แต่เพราะบุพกรรมของพระศรีอาร์ฯ และพระสมณโคดมที่ได้สับเปลี่ยนดอกบัวกันไว้ส่งผลให้ “พระสมณโคดมต้องลงมาเป็นเนื้อนาบุญของโลก เพื่อช่วยโลกให้พ้นสงคราม” ด้วยบุพกรรมนั้นเอง พระสมณโคดมแทนที่จะทำสงครามโลกแล้วกลายเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ “ก็ไม่” ท่านกลายเป็นพระกลายเป็นเนื้อนาบุญของโลกจริงๆ และส่งผลให้โลก “พ้นจากสงครามอย่างแท้จริง” สิ่งนี้ แม้แต่ฝรั่งมังค่า ก็รู้หมดแล้วว่าพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งสันติและมีเพื่อ “สยบสงครามอย่างแท้จริง” เพราะทวยเทพในศาสนาอื่นๆ นั้นจะ “ทำตามบุญกรรม อันกำหนดไว้เป็นชะตาโลกอย่างตรงไปตรงมา” ทวยเทพหรือแม้แต่พญามารนั้นมิได้ทำผิดตามอำเภอใจตัวเอง ส่วนเจ้าชายสิทธัตถะที่ไม่ยอมรับบุญเป็นพระเจ้าจักรพรรดินั้นก็ไม่ได้ทำผิดอะไร เพียงแต่ต่างออกไปเพราะต่างจากเทพ เพราะท่านเป็นพระโพธิสัตว์ที่มาโปรดสัตว์โลกในฐานะเนื้อนาบุญ นั่นเอง
เนื้อนาบุญคืออะไร?
เนื้อนาบุญคือ “คนที่อยู่เหนือบุญ ไม่รับบุญนั้นเพื่อให้คนอื่นมารับแทนได้” เช่น เจ้าชายสิทธัตถะมีบุญจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิแล้วไม่รับกลับไปเป็นสมณะแทน ผู้ที่สนับสนุนท่านในฐานะ “องค์อุปถัมภ์” ก็จะได้อานิสงค์ไปแทนคือจะได้เกิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิแทน ในกระบวนการนี้ไม่เป็นไปตามบุญกรรมตามธรรมชาติเดิมจัดสรรแต่ไม่ผิดอะไร “เพราะมนุษย์มีทางเลือกตามเจตจำนงเสรีของตนเอง” ครั้งนั้นเอง พญามารเคลื่อนย้ายจักรวาลและซาตานลูซิเฟอร์ก็ถูกส่งลงมาสู่โลก เพื่ือทำกิจสำคัญนี้ เพราะการฝืนธรรมชาติฝืนกรรมนั้น ทวยเทพปกติไม่อาจทำได้ จะทำได้นั้น จะต้องใช้วิชามารเคลื่อนย้ายจักรวาลย้ายบุญกรรมแลกเปลี่ยนกันในคนสองคนแล้ว “จัดสรรใหม่” ในขณะที่พระเจ้าจะทรงล้างโลกด้วยสงครามตาม “บุพกรรมของสัตว์โลก” อย่างตรงไปตรงมา พระองค์ก็ทรงเมตตาจึงได้ส่งลูซิเฟอร์ลงมายังโลก ลูซิเฟอร์นั้นครองโลกแล้วก็ไม่อยากถูกกวาดล้าง เขาจึงทำสิ่งที่ “ฝืนธรรมชาติ ฝืนกฏแห่งกรรม” มากมาย แต่นั่นก็ทำให้สงครามโลกเบาลง เช่นนี้ อเมริกาจึงบูชาซาตานและสร้างโบสถ์ซาตานด้วย เพื่อช่วยโลกให้รอดพ้นจากบุพกรรมนี้ สุดท้ายนี้ จงจำไว้ว่า “ใครก็เป็นเนื้อนาบุญได้” ถ้าเขาไม่อยากเสวยผลบุญนั้น เราเข้าไปสนับสนุนเขาให้เขาไม่ต้องกระทำ ละเว้นการกระทำไป เราก็จะกระทำแทน เสวยผลบุญแทนเขาได้ เช่น ถ้าผู้เขียนมีบุญจะได้คู่ครองที่ดี ร่ำรวยมีอำนาจมากมาย แต่ผู้เขียนไม่เอา จะบำเพ็ญเนกขัมบารมีแทน ใครที่มาสนับสนุนค้ำจุนก็จะได้อานิสงค์นั้น (ซึ่งปัจจุบันน้องสาวดูแลครอบครัว ก็ได้สามีเป็นฝรั่งรวยมากเป็นอานิสงค์ในชาตินี้) ผู้เขียนเองอุปถัมภ์คนๆ หนึ่ง เขามีบุญจะได้เป็นพ่อค้าแต่เขาไม่เอา สุดท้าย ผู้เขียนที่ไม่มีบุญจะได้เป็นพ่อค้าก็ได้เป็น
•••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
ธรรมชาติจัดสรรให้เราเป็นอะไร? …
ธรรมชาติสร้างสรรค์คนแต่ละคนไม่เหมือนกัน เราทุกคนเมื่อเกิดปัญญาแจ้งจะรู้ตัวเองว่าธรรมชาติสร้างสรรค์ให้เป็นอะไร? หากเราไม่รู้แจ้ง ไม่มีสติเข้าใจตัวเราเอง เราก็อาจจะกลายเป็นคนที่เคว้งคว้าง ค้นหาตัวตนที่เราอยากจะเป็น อยากจะเป็นนั่น อยากจะเป็นนี่ บางคนก็อุปโลกน์ตัวเองให้เป็น บางคนร่วมมือกับซาตาน เพื่อให้ซาตานช่วยทำให้ตัวเองได้เป็น ฯลฯ ถามว่าแล้วเราจะรู้ได้อย่างไรละว่าธรรมชาติสร้างเรามาให้เป็นอะไร? ไม่ยากครับ เราลองมาสำรวจตัวเองกันก็ได้ เพราะก่อนเราเกิดนั้นเราเองได้เลือกแผนก่อนมาเกิดแล้ว ดังนี้
๑ เพศ
บางคนวางแผนมาเกิดเป็นเพศหญิงเพราะเขาต้องการเป็น “ภาคสนับสนุน” ครับ เหมือนนางแก้วอะไรแบบนี้ แต่พอลงมาเกิดแล้ว ก็หลงทาง คิดว่าตัวเองเป็นผู้นำไป แทนที่จะหาผู้นำที่ดีแล้วตัวเองก็ทำหน้าที่ภาคสนับสนุน กลับตั้งตัวเอง อุปโลกน์ตัวเอง หลงตัวเองว่าเป็นผู้นำเสียเอง แบบนี้พบได้มากเช่นกัน เพราะหลงทาง บ้างก็เกิด “อคติกับเพศชาย” เพราะมีสามีไม่ดี หรือถูกสามีทิ้งต้องเป็นหม้าย บางคนมีปมด้อยในใจเลยอยากเหนือผู้ชาย บางคนเก็บกดจากการต้องอยู่ในระบบ เลยอยากเด่น อยากแหกคอก เป็นผู้นำ จนทรยศต่อแผนของตัวเอง
๒ หน้าที่การงาน
“หน้าที่การงานปัจจุบันของเรานี่ละ บ่งบอกได้ดีว่าเราวางแผนมาทำอะไรในโลก?” และธรรมชาติต้องการสร้างให้เราเป็นอะไร? ไม่ต้องไปคิดหาคำตอบเอง ไม่ต้องไปดูคำตอบจากใคร ไม่ต้องไปเอาอย่างใครเขามานะครับ ก็ให้สำรวจดูหน้าที่การงานของเราปัจจุบัน มีหน้าที่ทำอะไร “ก็จงทำซะ” แค่นี้ละครับ ง่ายๆ แต่ถ้าไม่มีหน้าที่อะไร ก็แสดงว่าไม่มีหน้าที่ทางโลกครับ เมื่อไม่มีหน้าที่ทางโลก ก็ให้ลองดู “หน้าที่ทางธรรม” เห็นไหม เราเริ่มคลำทางมาถูกแล้ว เริ่มจับทางได้แล้ว ค่อยๆ พิจารณาสำรวจตัวเองแบบนี้ แล้วจะเข้าใจแผนที่เราลงมาเกิดในโลกครับ
๓ มันฝืนๆ หรือมันเข้าท่าแฮะ?
อะไรที่เราทำแล้วมันฝืนๆ มันไม่ใช่ธรรมชาติครับ อะไรที่เราทำแล้วมันง่ายจัง ลื่นไหลจัง เข้าท่าแฮะ อันนี้อาจจะใช่ ใช้คำว่า “อาจจะ” เพราะเราอาจถูกซาตานหลอกก็ได้ ซาตานชอบมาลิขิตชีวิตให้เราได้ “ดั่งใจ” ทำให้แผนที่เราวางไว้ก่อนเกิดว่าเราจะมาทำอะไรในโลกนี้ต้องผิดพลาดไป เมื่อซาตานมาช่วยลิขิตชีวิตเรา อะไรๆ มันก็ง่ายผิดปกติ “และเป็นไปตามใจเราทั้งหมด” ตรงนี้หละ ข้อสังเกตุ อะไรที่เป็นไปตามธรรมชาตินะ มันจะง่ายไหลลื่นแต่ “ขัดใจเรา” อะไรที่ผิดธรรมชาติมันมักตรงใจเราผิดปกติ และอะไรที่ฝืนธรรมชาติ มันก็จะยากไปหมดละครับ
๔ มันจะดูแปลกไม่เหมือนใครเขา
เพราะอะไรครับ? เพราะมันคือ “แผนชีวิตของเราเอง” มันจะเหมือนคนอื่นได้ไง? ฮ่าๆๆ มันก็ต้องดูแปลกๆ จากคนอื่นบ้างเป็นธรรมดา เราจะงงๆ เล็กน้อยว่า “ชีวิตฉันทำไมมันไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขานะ” แรกๆ เราจะ “ยอมรับไม่ได้” เพราะอะไรครับ? เพราะใจเรามันติดอยู่กับสมมุติทางโลกอยู่ก่อน พอเราใช้หนี้ทางโลกหมดแล้ว เราเริ่มเข้าสู่แผนการชีวิตของเราเองแล้ว มันจะเปลี่ยนทางไปเลย ตอนนี้เอง เราจะคิดว่ามันแปลกๆ เราไม่อยากเป็นแบบนี้ แรกๆ เราจะยอมรับไม่ได้ครับ แต่มันจะมีอะไรมากมายจากธรรมชาติที่ยัดเยียดมาให้เรายอมรับครับ
๕ แม้เปลี่ยนสิ่งแวดล้อม ผลก็เหมือนเดิม
ถามว่าทำไมละครับ? อ้าว ก็สิ่งนี้มันขึ้นอยู่กับตัวเรา มันคือ ชะตาชีวิตของเรา มันติดตัวเรา ไม่เกี่ยวกับคนอื่น ไม่ใช่ว่าพอเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมแล้ว ชีวิตเราก็เปลี่ยนไปด้วย อันนั้นไม่ใช่เรื่องแผนการชีวิตที่ธรรมชาติสร้างให้เราเป็นแล้ว อันนั้นมันคือ “อิทธิพลจากสิ่งแวดล้อม” ต่างหาก ถ้ามันคือ “ชีวิตเราจริงๆ” ไม่ว่าจะเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมแค่ไหน ก็หนีไม่พ้นธรรมชาติของชีวิตของเราครับ ชะตาของเราติดตัว เหมือนเราคือมนุษย์ อยู่ที่ไหนก็คือมนุษย์ แต่ถ้าเราเป็นเทพอยู่ที่ไหนมันก็คือเทพอ่ะครับ ต่างกันแค่ สิ่งแวดล้อมจะปรุงแต่งเรื่องราวของเรายังไงก็เท่านั้น
••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
จิตแต่ละระดับจะถูกจำกัดไว้ในระดับของมัน …
จิตมีความเป็นสากลและเลื่อนระดับได้อย่างไม่มีขีดจำกัดก็จริง แต่ในขณะเดียวกันจะมี “โครงข่ายพลังงานของแต่ละระดับ” กั้นไว้อยู่ ทำให้จิตมีระดับเป็นมิติต่างๆ เมื่อจิตอยู่ในระดับมิติที่สาม จะมีการดำรงอยู่แบบหนึ่ง แต่เมื่อเลื่อนระดับไปมิติที่สี่ก็จะมีการดำรงอยู่อีกแบบหนึ่ง ระดับชั้นของจิตวิญญาณช่วยทำให้เกิดความเหมาะสมกับการดำรงอยู่ของจิต แต่ในขณะเดียวกันก็เปิดทางให้จิตเลื่อนระดับได้ด้วยอย่างไม่มีขีดจำกัด เท่าที่จิตนั้นจะสามารถทำได้จริง มิใช่การคิดไปเองหรืออวดโอ้ และเพื่อพิสูจน์ให้จิตนั้นทำได้จริง มิใช่การคิดไปเองหรืออวดโอ้ จำต้องมีกำแพงกั้นแต่ละชั้นของมัน การที่จิตจะเลื่อนระดับจากมิติที่สามไปมิติที่สี่ได้จำต้องก้าวข้ามสิ่งกีดขวางที่มองไม่เห็นก่อน สิ่งกีดขวางเหล่านี้บางคนมองเห็นเป็นการกดขี่เหยียดหยาม, ระบบการปกครอง, ชนชั้น ฯลฯ อันนี้คือ สิ่งที่มองเห็นได้ในภาคสมมุติ ไม่ใช่ภาคพลังงาน เป็นแค่ภูเขาน้ำแข็งส่วนที่ลอยเหนือน้ำนะครับ เอาละ สรุปง่ายๆ ว่าจิตเลื่อนระดับได้ไม่มีขีดจำกัด ก็จริง แต่จะต้องผ่าน “แบบทดสอบ” ในแต่ละระดับที่ขวางกั้นเราไว้ด้วย ไม่ใช่ว่าอยู่ๆ จะมาอวดอ้างว่าใครๆ ก็อยู่ระดับมิติที่สูงๆ ได้ทันที เฉพาะคนที่เลื่อนระดับสำเร็จย่อมได้อยู่ในระดับนั้นๆ ได้ คนที่เลื่อนระดับไปสู่มิติที่ห้าได้ ก็จะอยู่ในมิติที่ห้า คนที่เลื่อนระดับไปไม่ได้ จะบอกว่าได้ ก็ไม่ได้
แม้จิตทุกดวงจะมาจากจิตพระเจ้า แต่ใช่ว่าจิตของเราจะเหมือนกับพระเจ้าในทันที ถั่วงอกไม่เหมือนต้นถั่ว ฉันใดก็ฉันนั้น จิตของเราก็ต้องพัฒนาตัวเอง เลื่อนระดับตัวเอง “ให้ผ่านก่อน” หากผ่านจนถึงระดับจิตพระเจ้าแล้ว ย่อมเป็นจิตพระเจ้า แต่หากยังไม่ผ่าน ก็คือยังไม่ผ่าน ไม่อาจจะโอ้อวดด้วยปรัชญาสวยหรูว่าจิตของเราก็คือจิตพระเจ้าอะไรได้ บางอย่างเป็นหลักการ เป็นทฤษฎี แต่พอทำจริง เราทำได้จริงหรือเปล่า? เราทำได้จริงหรือยัง? ตัวเราอาจมีระดับจิตอยู่แค่มิติที่สาม แต่เราอวดอ้างหลักการ เหมือนว่าเราคือพระเจ้า เรามีพลังไม่จำกัด แบบนี้ ก็ไม่ถูก เราทุกคนจะถูก “จำกัด” และกดข่มเอาไว้ เพื่อให้จิตของเราอยู่ในระดับของเราได้ จิตในมิติที่สามจะทำอะไรก็ได้แค่ระดับมิติที่สาม มันถูกจำกัดพลังเอาไว้ โครงข่ายพลังงานของจักรวาลจะควบคุมให้จิตทั้งหลายอยู่ในระดับของมันอย่างถูกต้อง จิตในระดับมิติที่สามก็ต้องอยู่ในระดับมิติที่สาม แต่เมื่อเลื่อนระดับไปสู่มิติที่สี่ได้ ก็จะได้อยู่ในระดับมิติที่สี่ การดำรงอยู่ของแต่ละมิติย่อมต่างกัน และต้อง “กั้นอาณาเขต” ให้จิตแต่ละระดับไว้ให้อยู่ต่างระดับกันด้วย สิ่งนี้ คุณจะมองไม่เห็นด้วยตา แต่รู้สึกได้ว่ามันมีอะไรบางอย่างจำกัดพวกคุณเอาไว้
•••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
เคล็ดลับการทำ “นาบุญ” ด้วยเนื้อนาบุญ …
ในโพสก่อนได้อธิบายแล้วว่าทุกคนสามารถเป็นเนื้อนาบุญได้ ไม่ใช่มีแต่พระที่เป็นได้ แต่มีเงื่อนไขว่า “เขาคนนั้นต้องสละบุญที่ตนจะได้ในชาตินี้ก่อน” แล้ว คนที่มาอุปถัมภ์อุปัฐาก จึงจะได้รับอานิสงค์เป็น “ตัวแทนรับบุญนั้น” ได้ การที่เราอุปถัมภ์ใครเพื่อให้ได้อานิสงค์เช่นนี้ จึงเรียกว่า “การทำนาบุญ” ลงทุนแล้วได้ผลบุญตามที่เราต้องการในชาตินี้ (แลกกันนั่นเอง) ดังจะอธิบายต่อไปนี้ครับ
๑ จะเลือกนาบุญอย่างไร?
ไม่จำเป็นต้องเลือกพระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์เสมอไป “เพราะคนเรามีบุญทุกคน แต่มีบุญไม่เหมือนกัน” ยกตัวอย่างเช่น ทำบุญกับพระสมณโคดม ท่านอาจเป็น “นาบุญพระจักรพรรดิ” ให้เราได้ เพราะอะไร? เพราะพระสมณโคดมสละบุญที่จะได้เป็นพระจักรพรรดิ แต่ถ้าเราเลือกคนอื่นละได้ไหม? ก็ได้ แต่ได้ผลต่างกันเท่านั้นเอง “ที่นาต่างกันเหมาะปลูกพืชต่างชนิดกัน” จงเลือก “นาที่ใช่”
๒ เลือกนาบุญให้ตรงใจยังไง?
เราเป็นปุถุชนคนธรรมดา ไม่อาจหยั่งรู้บุญกรรมใครได้ จะเลือกนาบุญที่ให้บุญดั่งใจเราต้องการก็เลือกไม่ถูก “แต่เราทดลองได้” จริงไหม? อันนาบุญนี้จะให้ผลในชาตินี้เลย เขาเรียกว่า “อานิสงค์” คือ ได้อานิสงค์รับไปเลยชาตินี้ ไม่ใช่ผลบุญนะ ขอย้ำ เราทำเพื่อหวังได้อานิสงค์ในชาตินี้ แต่ถ้าจะเอาบุญก็ต้องรอผลไปชาติหน้าโน่น เราต้องทดลองทำบุญให้นาบุญดู แล้วได้ผลยังไง? ก็แค่นั้นเอง
๓ อย่าเลือกนาบุญตามใจชอบ
“ฉันทาคติและอคติ ทำให้เราตัดสินใจผิดพลาดด้วยคติที่เอนเอียงด้วยความรักความชัง” บางคนเราชอบเขามากๆ เลย อยากสนับสนุนเขาแต่ได้อานิสงค์เป็นอะไรที่ไม่ตรงใจเราเลย แบบนี้ก็ไม่ใช่ละ บางคนเราไม่ชอบหน้าหรือไม่ชอบคนแบบนี้เลย แต่สนับสนุนเขาแล้วได้อานิสงค์อย่างที่เราต้องการจริงๆ แบบนี้จะทำไหม? ก็ไม่รู้ละ แล้วแต่คุณ แค่อธิบายให้ดูสองแบบเปรียบเทียบกันเท่านั้นเอง
๔ ไม่เกี่ยวว่าเขาน่าศรัทธาไหม?
ถ้านาย ก. ไม่น่าศรัทธาอะไรเลย แต่เขามีบุญเป็นเนื้อนาบุญที่ให้เราได้อานิสงค์ ตรงตามที่ใจเราอยากได้ในชาตินี้ แต่นาย ข. น่าเลื่อมใสศรัทธามาก แต่เขามีบุญเป็นเนื้อนาบุญให้เราได้อานิสงค์อีกอย่าง “ที่เราไม่อยากได้” เช่น ทำบุญให้พระ แล้วเราก็ตกงาน ต้องมานุ่งขาวห่มขาวเป็นคนทรงคนมีองค์แต่ก็อยู่ได้ มีคนดูแลเราอีกที ลองถามใจดู “ตรงตามใจต้องการในชาตินี้ไหม?” ถ้าไม่ก็เปลี่ยน
๕ บุญเป็นของเฉพาะของใครของมัน
เคยไปซื้อของแล้วไม่ชอบคนขายไหม? แต่เราก็ต้องซื้อจากเขาเพราะคนอื่นไม่มีขาย บุญก็เช่นกัน การทำนาบุญก็เช่นกัน บางครั้งเราเลือกไม่ได้หรอกว่าจะทำกับคนที่ตรงใจเรา อย่างที่เราอยาก อย่างที่เราชอบได้ มันไม่ใช่ “บุญมันของใครของมัน ใครทำใครได้ ใครก็มี” ถ้า นาย ก. มีบุญแบบที่เราอยากได้ เราอยากแลกเปลี่ยนกับเขาอยู่ แล้วเราเกลียดขี้หน้าเขามาก เราไม่แลก ก็อดครับ
••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
ชีวิตคุณถูกลิขิตแบบไหน? …
ในโพสก่อนได้อธิบายแล้วว่าทุกคน “ล้วนถูกลิขิต” ด้วยอะไรบางอย่าง แม้ว่าบางคนจะเหมือนลิขิตชีวิตได้เอง คิดอะไรได้อย่างใจฝัน แต่แท้แล้วไม่ใช่ อีกมิติ มี “ผู้ลิขิตและบงการชีวิตเราอีกที” บางท่านลิขิตชีวิตเราให้ได้ดั่งใจ หลอกให้เราหลงคิดว่าเราลิขิตชีวิตได้เอง ก็มี เอาละ ในบทความนี้จะอธิบายและจำแนกให้เห็นว่าชีวิตของคนเราถูกลิขิตให้เป็นแบบๆ มีแบบไหนบ้าง? ดังต่อไปนี้ครับ
๑ แบบพราหมณ์-พรหมโลก
ชีวิตคุณจะ “สมถะ” ไม่รวยแต่พออยู่ได้ น่าแปลก บางคนไม่ทำงานอยู่แบบคนทรง, คนมีองค์, พราหมณ์ชี, นุ่งขาวห่มขาว ไม่มีเงินใช้แต่กลับอยู่ได้ นี่ละ ที่บ่งบอกว่า “คุณได้รับการดูแลด้วยบางสิ่งที่มองไม่เห็น” แต่เขาลิขิตให้คุณต้องอยู่แบบวรรณะพราหมณ์หรือนักบวช เลยทำงานหาเงินอะไรไม่ได้ไงละครับ บางคนทำงานอยู่ดีๆ ตกงานแล้วชีวิตเปลี่ยนต้องมาอยู่เหมือนพราหมณ์ก็มี
๒ แบบเนื้อนาบุญ-สุขาวดี
ชีวิตคุณจะ “มีคนอุปถัมภ์-ดูแล” โดยต้องละเว้นจากการเสวยบุญบางอย่างเป็น การแลกเปลี่ยน เช่น สละบุญที่จะได้คู่ครองแล้วบำเพ็ญเนกขัมบารมี คุณก็จะได้ คนอุปถัมภ์แล้วคนๆ นั้นจะต้องดูแลการเงินให้คุณ ไม่เช่นนั้น ชีวิตคู่ของเขาจะมีปัญหา ที่เป็นเช่นนี้เพราะเขาไม่มีบุญได้มีคู่ แต่เขามีได้เพราะได้อานิสงค์จากการแลกกับคุณ (คุณสละบุญที่จะมีคู่ให้เขาแทน เขาจึงต้องมาอุปถัมภ์คุณ นั่นเอง)
๓ แบบจอมยุทธ์-เง็กเซียน
ชีวิตคุณจะ “มีอาชีพเล็กๆ อยู่อิสระได้ด้วยตัวเอง” เช่น ค้าขายเล็กน้อยเหมือนคนจีน แต่อีกด้านคุณจะเหมือนจอมยุทธ์ที่มีพลังพิเศษ สามารถทำกิจให้สวรรค์ได้ บางคนทำกิจผ่านการรับใช้ราชสำนัก บางคนทำกิจให้สวรรค์โดยอิสระไม่ขึ้นกับราชสำนัก (เลือกได้สองฝั่ง) แต่ต้องพร้อมตายหรือพร้อมถูกฆ่าตาย เหมือนทหารที่พร้อมพลีชีพเพื่อสวรรค์ในยุคห้องสิน จะได้ไปเกิดในสวรรค์ของเง็กเซียน
๔ แบบมนุษย์-พระเจ้า-จิตจักรวาล
ชีวิตคุณจะ “อยู่แบบมนุษย์ตามคำสอนของคริสตร์” คือ มนุษย์จะไม่มีอาชีพใด เพราะไม่ใช่เทพ (การมีอาชีพและหน้าที่ต่างๆ เป็นเรื่องของเทพ) มีเทคโนโลยีช่วย บางคนมักจะมีสวนและดูแลสวนไป นี่คือหน้าที่ของมนุษย์ที่พระเจ้ามอบให้ มนุษย์สามารถทำได้เพียง “งานศิลปะ” แต่ไม่ใช่อาชีพจริงๆ จังๆ แต่มนุษย์จะอยู่ได้ภายใต้การดูแลของพระเจ้า เราจะมีชีวิตอยู่ได้แม้ไม่มีอาชีพซึ่งพิสูจน์ได้จริง
๕ แบบร่างปอบเปรต-สัมภเวสี
ชีวิตคุณจะ “ยิ่งได้ยิ่งแย่” เหมือนเปรตที่ขอเก่ง ขอแล้วก็ได้ของฟรี มักได้ของฟรี, เงินแจกฟรี ฯลฯ แต่เพราะเปรตนั้นไม่มีบุญจะเสวย เมื่อได้รับแล้วชีวิตกลับแย่ลง กลายเป็นคนอนาถาเหมือนผีเปรต สัมภเวสีบางคนอ้างว่าเป็นเทพกุมารให้หวยคนมากมายเพื่อเลือกเอาร่างคนก็มี พวกผีนั้นจะทำอะไรให้เราเยอะกว่าเทพ เพราะเทพจะทำอะไรเกิน “กฏสวรรค์” ไม่ได้ จึงทำอะไรให้เราได้น้อยกว่าผี
๖ แบบตามฝัน-ลูซิเฟอร์
ชีวิตคุณจะ “ได้อะไรมากมายดั่งใจคิดฝัน” โดยจะมีซาตานลูซิเฟอร์คอยเบิกบุญจากอนาคตของคุณมาให้ใช้จนหมด อนาคตชาติของคุณจะมืดมิด เป็นการเข้าสู่ “วิถีภาคมืด” โดยแท้ แลกกับการได้อะไรมากมายดั่งใจฝันในชาตินี้เลย แต่จะไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์อีกเลย ไม่มีคิวเกิดเลย จนกว่าจะได้รับการโปรดจากพระผู้ไถ่ ที่พระเจ้าส่งมาช่วยเท่านั้น ซึ่งก็ไม่รู้ว่านานเท่าใด และคุณจะได้รับเลือกหรือไม่?
•••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
ชีวิตของคุณถูกลิขิตแบบไหน? …
๑ แบบซาตานลิขิต
ชะตาใครก็ตามที่ถูกลิขิตด้วย “ซาตาน” ทุกอย่างจะได้ “ดังใจ” ไปหมด อยากได้อะไรก็จะได้อย่างนั้น ซาตานจะจัดหามาให้ตามใจเราทุกอย่าง เพื่อให้เราติดหนี้ซาตานมากๆ เมื่อเราต้องจ่ายหนี้ เราก็จะไม่เหลืออะไรเลย เราจะต้องถูกซาตานเอาวิญญาณไปเป็นทาส เมื่อตายลงเราจะไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์อีกเลย จะต้องเป็นทาสซาตานไปตลอดกาล แต่ยามที่เราเป็นมนุษย์ เราจะดูดีเว่อร์มากๆ อยากได้อะไรก็ได้, ร่ำรวยล้นฟ้า, มีอำนาจเหลือเกิน ทำผิดก็ไม่ต้องรับโทษเพราะมีซาตานช่วยให้เราพ้นโทษ ชีวิตเหมือนฝันที่เป็นเพียงมายาจะจบลงเมื่อเราตายฮะ
๒ แบบสุขาวดีลิขิต
ระบบการทำงานของสุขาวดีนั้นจะให้เรา “ทำเพื่อโลกอย่างเต็มที่” แม้เราจะเบิกบุญมามากมายก็ตาม จนเราอาจไม่ได้กลับสวรรค์ก็ไม่เป็นไร นี่แตกต่างจากที่อื่นครับ เขาต้องการให้เราไม่ยึดติดสวรรค์ ไม่ยึดติดในความเป็นเทพ เราต้องพร้อมที่จะอวตารเป็นปีศาจได้ เมื่อเรามาเกิดในโลกแล้วเราจะได้บุญเยอะมาก อาจได้เป็นพระราชาก็ได้ แต่เมื่อตายแล้วเราจะไม่อาจกลับสวรรค์ได้ อาจกลายเป็นปีศาจ เขาเรียกว่าอวตาร เราจะต้องรับทุกข์เวทนาแทนสัตว์เป็นพันๆ ปี จากนั้น สุขาวดีจะส่งอาจารย์มาโปรดเรา เช่น พระกวนอิม มาฉุดช่วยภายหลัง
๓ แบบลิขิตสวรรค์
ชะตาชีวิตที่ถูกลิขิตจากระบบสวรรค์หกชั้นฟ้า จะมี “เทพคุ้มครองดวงชะตา” เป็นตัวตนเบื้องสูงคอยนำทางเรา ทำให้เราเจริญรอยตามท่าน สร้างบุญบารมีตามท่าน จวบจนได้สวรรค์หกชั้นฟ้าเช่นเดียวกันท่าน ชีวิตใครที่ถูกลิขิตด้วยสวรรค์นั้น “มักแย่มากกว่าดี” เพราะอะไร? เพราะสวรรค์จะวางแผนให้คุณรับกรรมในโลกเยอะๆ ก่อน แล้วค่อยมาเสวยบุญบนสวรรค์แทน ดังนั้น ทำดีก็ไม่ได้ดี มีแต่ได้รับกรรมเยอะไปหมด ทว่า นี่คือ แผนการที่ดีที่สุดในการลงมาเกิดในโลกครับ เพราะมนุษย์นั้นถูกสร้างมาให้วิวัฒนาการ ไม่ใช่ถูกสร้างมาให้เสพสุขอะไร
๔ แบบพรหมลิขิต
ชะตาชีวิตของคุณจะถูกลิขิตและวางแผนโดย “พระพรหม” ผู้มีญาณหยั่งรู้อดีตและอนาคตยาวไกลมาก และเพราะท่านมีวิสัยทัศน์ยาวไกลนี้เอง ย่อมทำหน้าที่วางแผนชีวิตให้เราได้ดีแน่นอน หากให้เราทำเอง เราไม่มีญาณหยั่งรู้ไกลขนาดนั้น เราจะคิด “แบบสัตว์เดรัจฉาน” ที่ก้มหน้าหากินไปวันๆ พอเห็นบ้านอยากได้บ้าน ก็จะลิขิตชีวิตตัวเองด้วย “สิ่งเร้าหรือตัวกระตุ้นตรงหน้า” ไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง ไม่ได้มีวิสัยทัศน์อะไรกันละ ดังนั้น การมีพระพรหมมาช่วยลิขิตย่อมดีกว่า พระพรหมจะลิขิตให้เราสมถะ เพื่อจะได้กลับคืนสู่พรหมโลกได้นั่นเอง
๕ แบบพระเจ้าลิขิต
พระเจ้าจะสร้างให้เราเป็น “อะไรบางอย่าง” ตามแต่พระประสงค์ของพระองค์ อันอาจจะแตกต่างไปจากทุกๆ สิ่ง และไม่อยู่ในระบบสมมุติของโลกอะไรเลยก็ได้ครับ เพราะพระเจ้าต้องการจะสร้างให้เราเป็นอะไร พระองค์ย่อมมีอำนาจในการกระทำนั้นเหนือสมมุติทางโลกใดๆ ทุกสิ่ง เมื่อเราถูกพระเจ้าสร้าง เราอาจจะไม่ชอบและปฏิเสธ เราพยายามขัดขืน เพราะมันแปลกประหลาด เหมือนความคิดบ้าๆ ห่ามๆ อะไรไม่รู้ที่ทำให้เรากลายเป็นตัวประหลาดที่เข้ากับระบบสมมุติทางโลก ไม่ได้ เช่น ทำให้เป็นศาสดา ที่ต้องเชื่อมั่นในความประหลาดของเรา
แบบซาตานลิขิตต่างจากแบบพระเจ้าลิขิตอย่างไร? ชัดๆ เลยคือ แบบซาตานลิขิตมักเป็นสิ่งที่ผู้คนยอมรับ และไม่แปลกประหลาดอะไรครับ ตรงข้ามกับแบบพระเจ้าลิขิต เราไม่อาจหยั่งรู้ความคิดของพระเจ้าได้ แต่พระเจ้าก็อยู่เหนือสมมุติทางโลกทุกอย่างและทรงมีพระปัญญาสูงส่งอยู่แล้ว ดังนั้นท่านจะลิขิตให้เราเป็นอะไรที่แปลกไปจากทุกๆ คน ไม่อาจเข้ากับระบบสมมุติทางโลกได้ ด้วยเหตุนี้เอง เราจำต้องเชื่อมั่นและศรัทธาในสิ่งที่ท่านสร้างให้เราเป็น แม้จะถูกผู้คนด่าว่า ประนาม หรือแม้แต่จับไปลงทัณฑ์แบบพระเยซูก็ตาม แต่นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดครับ
เพราะพระเจ้าย่อมทำเพื่อประโยชน์ส่วนรวมเสมอ
••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
ไม่มีมนุษย์คนใดไม่ถูกลิขิตหรอก! …
“ไม่มีมนุษย์คนใดอยู่อย่างปัจเจกเอกเทศแยกขาดจากทุกๆ ตัวตนหลากหลายมิติได้” เพราะไม่มีภาวะอัตตาตัวตนตัวเดียวโดดๆ ตัวๆ ตนๆ ที่แท้จริง มันมีแต่ภาวะ “อนัตตา” ที่ตัวตนหลากหลายมิติเชื่อมโยงกันเป็นหนึ่งจนเหมือนว่าไม่มีตัวตนใดเป็นตัวตนปัจเจกเอกเทศที่แท้จริง ดังนั้น เราไม่อาจที่จะลิขิตชีวิตของเราได้เองด้วยตัวเองเราจริงๆ ทว่า เรา “ถูกลิขิต” โดยไม่รู้ตัวต่างหาก ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราเห็นบ้านหลังใหม่ เราอยากได้ เราถูกล่อด้วยบ้านหลังนั้น ทำให้เราอยากได้มัน และพยายามทำงานมาซื้อมัน เราคิดว่าเราอยากได้ด้วยตัวเอง แท้แล้วไม่ใช่ มันมีเบื้องหลังจาก “หลากหลายมิติ” ที่วางแผนให้มีบ้านให้เราเห็น ที่วางแผนให้เราไปเห็นบ้าน และวางแผนให้เราทำงานเพื่อซื้อบ้าน เก็จไหมฮะ? เราก็หลงคิดไปสิว่า เราอยากได้บ้านด้วยตัวเองจริงๆ เรามีความต้องการด้วยตัวเอง และเราลิขิตชีวิตของเราเอง แท้แล้วไม่ใช่เลย แม้กระทั่งการที่เรา “ถูกบีบให้ไม่มีเงิน” ก็คือ “แผนการของชาวต่างมิติ” เช่นกัน เมื่อเราไม่มีเงิน เราอยากได้เงิน เราคิดว่าความคิดที่อยากได้เงินนี้คือ ความคิดของเราจริงๆ เราคิดเอง และเราลิขิตชีวิตเองได้ว่าเราอยากได้เงิน แท้แล้วไม่ใช่เลย เราถูกหลอกล่อให้ “อยากได้เงิน” เราถูกวางแผน เราถูกจับวางไม่ต่างจากตัวหมาก เราถูกบีบให้ไม่มีเงิน เพื่อที่จะได้อยากได้เงิน
มนุษย์ทุกคนมีภาวะ “ตัวตนหลากหลายมิติ” อยู่ ตัวตนหลากหลายมิติของเรามี “บางตัวตน” เป็นตัวตนเชิงพลังงาน และเป็น “ตัวตนอนาคต” ตัวตนนี้เองจะมุ่งหน้าไปก่อนเรา และทำให้เราเคลื่อนตาม ชีวิตของเราจะเป็นไปอย่างไรก็อยู่ที่ตัวตนอนาคตนี้นำทางไป หากตัวตนอนาคตเป็นตัวตนภาคสว่าง ท้ายที่สุดแล้วชีวิตเราจะสว่างไสว แต่ถ้าตัวตนอนาคตของเราเป็นตัวตนภาคมืด ท้ายที่สุดแล้วชีวิตของเราก็จะมืดมน คนที่ถูกพรหมลิขิต คือ คนที่ถูกตัวตนภาคสว่างคือพรหม ลิขิตชีวิตให้ ส่วนคนที่ไม่เอาพรหมลิขิต ก็อาจเลือกตัวตนอื่นมาทำหน้าที่แทนเท่านั้นเอง แต่ไม่มีใครหรอกที่จะลิขิตชีวิตตัวเองได้แบบปัจเจกเอกเทศ แบบนั้นคือ ไม่เข้าใจภาวะตัวตนหลากหลายมิติแล้วละครับ เพราะตัวตนหลากหลายมิติเหล่านี้ จะเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับเราอยู่เสมอ ราวกับว่าเป็นหยดน้ำในทะเลเดียวกันอย่างแยกไม่ออก เรามองไม่เห็น เราอาจคิดว่าไม่มีใครมาลิขิตชีวิตเราได้ ทว่า มันไม่จริง แม้แต่เวลาที่เรา “เดินผ่านร้านขายของ” เราก็ถูกลิขิตแล้ว เราถูกทำให้เกิด “ความต้องการ” สินค้าต่างๆ เช่น กระเป่าแบรนด์เนม, เสื้อผ้า, รองเท้า สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นไปตามแผนการของตัวตนหลากหลายมิติทั้งสิ้น
ต่างกันแค่ตัวตนแบบใดที่นำทางชีวิตอยู่แค่นั้นเอง
••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
ชีวิตในมิติที่สี่และห้า …
จริงๆ ชายไม่อยากจะบอกว่าชีวิตในมิติที่สี่และห้าเป็นอย่างไร? เพราะเมื่อบอกไปแล้วจะมีคน “ลอกเลียนตาม” โดยความอยาก เมื่อพวกเขาอยากได้เหมือนชาย พวกเขาจะเรียกให้ซาตานมาหา แล้วซาตานก็จะดลบันดาลให้เขาได้รับอะไรคล้ายๆ ชายได้ จนพวกเขาหลงคิดว่าตนได้อย่างชายแล้วทั้งที่ไม่จริง เพราะพวกเขาได้จากซาตานต่างหาก คนพวกนี้มีอยู่จริง และชอบมาแอบอ่านงานของชายโดยไม่มีความเคารพในต้นฉบับจากนั้นก็จะทำตัวแทนที่ชายเสียเอง แต่ชายจำต้องบอกบ้าง เพราะถ้าไม่บอก อาจไม่มีใครอธิบายให้คุณฟัง ดังจะอธิบายต่อไปนี้
๑ คุณได้รับอะไรในแบบมิติที่สี่และห้า
เมื่อคุณอยู่มิติที่สาม คุณอาจได้รับสิ่งที่เป็นวัตถุสิ่งของสามมิติใช่ไหม? แต่เมื่อคุณเลื่อนระดับมาอยู่มิติที่สี่และห้าแล้ว สิ่งที่คุณได้รับจะเปลี่ยนไป มันจะเป็นสิ่งที่มีในมิติที่สี่และห้าครับ เช่น พลังพิเศษ, อาวุธทิพย์, ความรัก, สันติภาพ, เสรีภาพ ฯลฯ หรืออะไรที่จับต้องไม่ได้ทั้งหลาย เพราะสิ่งเหล่านี้มันไม่ใช่ของในมิติที่สามที่จับต้องได้ แต่มันอยู่ในมิติที่เหนือกว่านั้น และคุณจะรับรู้ได้จริงว่า “คุณได้มันแล้ว” บางคนเมื่อได้รับมันแล้วจะมีพลังใจที่ดีมากขึ้น บางคนได้รับแล้วมีความกล้าหาญไม่กลัวตาย ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะมีผลจริงและคุณสัมผัสมันได้จริงครับ
๒ คุณจะได้รับผลกระทบจากมิติที่สี่และห้า
เพราะคุณอยู่ในมิติที่สี่และห้าไง ดังนั้น หากมิติที่สี่และห้ามีอะไรก็ตามที่กระทบคุณได้ คุณจะได้รับผลกระทบจากมันได้ เพราะ “คุณอยู่ในระดับคลื่นความถี่เดียวกัน” เช่น ชายได้รับผลกระทบจากพลังจิตของเทพที่บำเพ็ญบารมี จนชายสะเทือนไม่อาจอยู่เฉยได้ และต้องกระทำอะไรบางอย่าง คลื่นพลังงานบางอย่างอยู่ในระดับมิติที่สูง เช่น พลังแห่งรัก, พลังสันติภาพ, พลังศรัทธา ฯลฯ คลื่นพลังเหล่านี้อยู่ในมิติที่สี่และห้า ส่งผลกระทบต่อคนที่อยู่ในมิติที่สี่และห้าได้ ทำให้เรา “สะเทือนใจ” หรือไม่อาจอยู่เฉยได้ เราจะต้องร้อนบัลลังก์แล้วออกไปทำบางสิ่ง
๓ คุณจะไม่ได้รับผลกระทบจากมิติที่ต่ำกว่า
พลังงานในมิติที่ต่ำกว่า เช่น กิเลสความอยากของมนุษย์, คำเรียกร้องขอของมนุษย์, ตัณหาราคะความใคร่ของมนุษย์ ฯลฯ เหล่านี้อยู่ในมิติที่ต่ำกว่ามิติที่สี่และห้า คุณจะไม่ได้รับผลกระทบจากมันแล้ว เพราะคุณอยู่ในมิติที่สูงกว่าแล้ว “เข้าใจบ่?” ดังนั้น การกระทำอะไรก็ตามของพวกที่อยู่มิติที่ต่ำกว่าคุณนั้น คุณย่อมไม่ได้รับกระทบอะไรเลย เหมือนคุณเลี้ยงปลาในบ่อ ต่อให้บ่อเน่า คุณก็ไม่ได้รับผลกระทบจากน้ำเน่าในบ่อ คุณก็แค่ต้องแก้ไขปัญหาน้ำในบ่อเท่านั้นเอง มนุษย์ที่อยู่ในมิติที่สามหรือต่ำกว่าคุณ ร้องขอด้วยกิเลสก็ไม่อาจกระทบถึงคุณได้
๔ การกระทำของคุณกระทบมิติที่ต่ำกว่าได้
อุปมาเหมือนเซ็ตที่ใหญ่กว่าที่ครอบคลุมเซ็ตที่เล็กกว่าไว้ภายใน เมื่อเราอยู่นอกระบบมิติที่สาม เรากระทำอะไรต่อระบบมิติที่สาม ย่อมเกิดผลกระทบต่อพวกเขาที่อยู่มิติที่สามทั้งระบบ แต่เราจะไม่ได้รับผลกระทบจากมันไปด้วย เพราะเราไม่ใช่ตัวหมากในกระดานของมิติที่สาม มิติที่ต่ำกว่าก็เหมือนกระดานหมากที่คุณสามารถเล่นได้ แต่พวกเขาจะมาเล่นคุณไม่ได้ เพราะคุณอยู่ในระดับที่สูงกว่าพวกเขานั่นเอง คุณอาจสามารถเดินหมากเล่นกับเทพสวรรค์ เช่น องค์เง็กเซียนก็ได้ โดยเอามนุษย์เป็นตัวหมาก และพวกเขาจะได้รับพลังหรือปัญญาจากคุณได้
๕ หน้าที่การงานในมิติที่สาม ล้วนไม่มีอีก
เพราะตัวตนของคุณเหมือน “ว่างเปล่า” หายไปจากมิติที่สามแล้ว ตัวตนของคุณเลื่อนระดับไปอยู่มิติที่สี่และห้าแล้วนั่นเอง ดังนั้น ตำแหน่ง, หน้าที่, การงาน ฯลฯ ในมิติที่สามของคุณ “ย่อมไม่มีอีก” คุณกลายเป็นคนตกงานในมิติที่สาม แต่คุณกลับมีงานทำในมิติที่สี่และห้า อ้าว ก็เพราะคุณไม่ได้อยู่ในมิติที่สาม แต่อยู่ในมิติที่สี่และห้าไง ฮ่าๆๆ แรกๆ คุณอาจไม่ชินกับมันนัก และคนอื่นๆ ในมิติที่สามก็อาจไม่ชิน พวกเขาอาจดูคุณแปลกๆ เพราะคุณแตกต่างจากพวกเขานั่นเอง แต่เชื่อเถอะว่าคุณจะสามารถอยู่ได้ และพวกมิติที่สามจะทำอะไรคุณ ไม่ได้
แต่ต้องหลอกให้พวกมิติต่ำกว่าเชื่อว่าเหนือกว่าคุณ
••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
การเป็น Twinsoul คู่แฝดเป็นประสบการณ์ที่ลึกซึ้งที่ถูกเลือกโดยวิญญาณขั้นสูง ที่อยู่ที่นี่ เพื่อเปลี่ยนลักษณะที่สั่นสะเทือนต่ำของสภาพมนุษย์ให้สูงขึ้นผ่านความรักของพระเจ้า พวกเขาปรากฏบนโลกในลักษณะตรงกันข้ามกับเพศชายและหญิง มีดราม่าและการกดปุ่มมากมายเกิดขึ้นระหว่างทั้งสองขณะที่ขั้วต่างๆ
เล่นออกมาและค่อย ๆ สมดุลกัน เมื่อเวลาผ่านไปความผูกพันระดับจิตวิญญาณนี้ยิ่งลึกลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งไม่มีคำพูดหรือปัญหามิติที่สามเหลืออยู่ระหว่างทั้งสอง
Twinsouls มาที่นี่เพื่อยึดเหนี่ยวความรักที่ไม่มีเงื่อนไขของพระเจ้าซึ่งมีให้สำหรับสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในจักรวาลนี้ ในขณะนี้มีวิญญาณมากมายที่อยู่ที่นี่เพื่อช่วยในการขึ้นสู่สวรรค์ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นTwinsoul
อย่างไรก็ตามสิ่งมีชีวิตทั้งหมดทุกจิตวิญญาณมีลักษณะที่เป็นผู้ชายและผู้หญิงอยู่ภายในตัวพวกเขา แง่มุมเหล่านี้ทำงานร่วมกันเพื่อสร้างความสมดุลให้กับบุคคลในทุกระดับของการดำรงอยู่อย่างละเอียดอ่อนหรือขั้นต้น ในทางกลับกัน Twinsouls ปรากฏเป็นสิ่งมีชีวิตที่ ‘แยกจากกัน’ สองตัวเหตุผลคือการนำขั้วเข้าสู่สมดุลจากด้านนอกสู่ด้านใน พวกเขาทำได้โดยการตระหนักฝึกฝนและดำเนินชีวิตตามความรักของพระเจ้าที่ลึกซึ้งที่สุดที่มีต่อกันโดยใช้ความรักนั้นในการทำงานภายในทั้งหมดและกำจัดสิ่งที่ขัดขวางการเป็นหนึ่งเดียวของพวกเขา งานที่พวกเขาเลือกทำจะเปลี่ยนกลุ่มไปสู่สภาวะการสั่นสะเทือนที่สูงขึ้นซึ่งจำเป็นเพื่อช่วยให้โลกและสิ่งมีชีวิตทั้งหมดขึ้นไป โดยพื้นฐานแล้ว Twinsouls เปลี่ยนการดำรงอยู่ของมนุษย์ไปสู่การดำรงอยู่ของพระเจ้า
Twinsouls ในเวลานี้คุณถูกขอให้ทำงานหนักเป็นพิเศษทั้งในระดับมนุษย์และระดับจิตวิญญาณ  ยึดมั่นในความรักอันศักดิ์สิทธิ์นั่นคือแผนที่ของคุณ จงเชื่อมั่นและก้าวต่อไป พวกคุณบางคนเป็นผู้นำทางและเปิดประตูคนอื่น ๆ เป็นสะพานและหลายคนก็อยู่ข้างหลังเพื่อผลักดันวิญญาณอื่น ๆ ให้ก้าวไปสู่โชคชะตาสูงสุดของพวกเขา คุณแต่ละคนกำลังมีบทบาทสำคัญ คนที่ดูเหมือนอยู่ข้างหน้าได้เลือกที่จะเคลียร์ทางและเปิดประตู
คนที่ถูก “ทิ้ง” เลือกที่จะผลักดันให้คนอื่นก้าวไปข้างหน้า คนที่เป็นสะพานทำให้ทุกคนมั่นใจว่าทุกคนเคลื่อนไหวตามที่ควร ไม่มีใครน้อยหรือมากกว่ากัน แต่ละคนมีบทบาทสำคัญในการขึ้นสู่สวรรค์ของมนุษยชาติ นอกจากนี้อย่ามองย้อนกลับไปอีกต่อไป อดีตหายไปแล้ว ปล่อยสิ่งที่สั่นสะเทือนต่ำจากอดีตทั้งหมดออกไปอย่างสิ้นเชิง มีความสุขกับปัจจุบันของคุณและรู้ว่าคุณกำลังเติบโตเป็น “ความเป็นหนึ่ง” ในขณะที่ผู้ชายและผู้หญิงของคุณเข้ามามีส่วนร่วมกันมากขึ้นภายใน
คุณเคยเป็นและเป็นหนึ่งเดียวกับคู่ศักดิ์สิทธิ์ของคุณเสมอ
•••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
What Is Kundalini ?
มีเพื่อนถามมามากว่า
กุณฑาลินีคืออะไร..?!
มีคำตอบมาให้ครับ
KUNDALINI คือ
พลังบริสุทธิ์ที่มองไม่เห็น แต่มีในร่างกายมนุษย์ และมีภายนอก มันถูกสวมอยู่ในสสารแอสทรัลและอีเธอร์ริงที่มีศูนย์กลางกลวงอยู่ภายในอีกอันหนึ่ง
มนุษย์สามารถรับพลังบริสุทธิ์นี้ได้ ถ้าบุคคลนั้นมีจักระบริสุทธิ์ที่พร้อมรับพลังงานKundalini มีเจ็ด (7) ทรงกลมศูนย์กลางอยู่ภายในรากจักระ
(ในโพรงสุดท้ายของกระดูกสันหลังใกล้กับก้นกบ)
ในมนุษย์ธรรมดาพลังเดียวที่ใช้งานได้คือทรงกลมด้านนอกสุด ส่วนทรงกลมอื่น ๆ กำลังหลับ
เพื่อที่จะนำจักระรูท (ที่ 1) ของคุณไปสู่กิจกรรมเต็มรูปแบบคือการปลุกพลังภายในเหล่านี้และพลังนี้จะกระตุ้นหรือปลุก (กระตุ้น) จักระที่เหลือพลัง kundalini มีอยู่ที่ส่วนล่างของกระดูกสันหลังเหมือน และเข้าสู่ระบบผ่านรูทจักระ พลัง kundalini ไหลผ่าน sushumna เพียงหยดเดียวในคนส่วนใหญ่ แต่เมื่อมันถูกปลุกขึ้นมาได้ มันจะทำให้ภวังกึ่งหลับ ตื่นขึ้นมาเหมือนกระแสน้ำที่กำลังเติบโตกระตุ้นจักระส่งแรงสั่นสะเทือนทำให้พวกมันขยายตัวและเพิ่มความถี่ในการสั่นสะเทือน
เมื่อกุณฑาลินีเพิ่มขึ้นพลังงานของมันจะถูกเปลี่ยนเป็นการสั่นสะเทือนต่างๆซึ่งสอดคล้องกับจักระของแต่ละคน (กล่าวคือต่ำสุดที่รูทจักระและสูงสุดที่จักระมงกุฎ)
ระดับของการทำงานของจักระแต่ละอันจะถูกกำหนดโดยระดับของจิตสำนึก
การรับรู้บุคคลนั้นบรรลุในด้านต่างๆของชีวิตและไม่ว่าพวกเขาจะถูกปิดกั้นโดยความเครียดและ / หรือประสบการณ์ที่ไม่ได้รับการแก้ไข ยิ่งบุคคลมีสติสัมปชัญญะมากเท่าไหร่ จักระของพวกเขาก็จะตื่นตัวและเปิดกว้างมากขึ้น และกุณฑาลินีที่จะสามารถเข้าสู่ร่างกายของพวกเขาได้มากขึ้นและไหลเหมือนแสงของเหลวที่ไหลแรง
การเดินทางของ Kundalini ผ่านศูนย์
1. เมื่อพลังถูกปลุกให้ตื่นขึ้นในบุคคลที่ระดับ “ดาว” มันจะย้ายไปยังจักระศักดิ์สิทธิ์ (ที่ 2) ซึ่งสอดคล้องกับม้ามทางกายภาพและโดยผ่านมันจะทำให้ร่างกายของดาวทั้งดวงมีความสำคัญ
2. จากนั้นมันจะเคลื่อนไปยังจักระ Solar Plexus (ที่ 3) ทำให้มันมีชีวิตชีวาปลุกพลังแห่งความรู้สึกในร่างกายของดวงดาวความไวต่ออิทธิพลทุกประเภท
3. จากนั้นมันจะเคลื่อนไปยังจักระหัวใจ (ที่ 4) ซึ่งเมื่อถูกปลุกจะทำให้บุคคลนั้นมีพลังในการเข้าใจและประสานพลังกับการสั่นสะเทือนของสิ่งมีชีวิตในดวงดาวอื่น ๆ ในแบบที่พวกเขาสามารถเข้าใจความรู้สึกของพวกเขาได้โดยสัญชาตญาณ
4. จากนั้นมันจะย้ายไปที่จักระลำคอ (ที่ 5) ปลุก / เปิดใช้งานมันทำให้คนมีอำนาจในการได้ยินบนระนาบดาว
5. จากนั้นจะเคลื่อนไปยังจักระที่ 6 – สามตาซึ่งเมื่อพัฒนาและตื่นขึ้น (เปิดใช้งาน) จะทำให้เกิดการมองเห็นดวงดาว
6. ในที่สุดเมื่อมันตื่นหรือเปิดใช้งานจักระ Crown – Third Eye (7th) ซึ่งตรงกับส่วนบนของศีรษะมันจะทำให้ร่างกายของดาวสมบูรณ์
คิดว่ากุณฑาลินีเป็น LIQUID FIRE ที่พุ่งผ่านร่างกาย เมื่อได้รับการกระตุ้นจากเจตจำนง
เน้นย้ำความประสงค์ของคุณ เมื่อได้รับการกระตุ้นมันจะหมุนกระดูกสันหลังของคุณเหมือนขดลวดของกระดูก
สัญลักษณ์ที่คุณคุ้นเคยเรียกว่า Caudacus มันเป็นสัญลักษณ์ของ Kundalini Journey ในร่างกายมนุษย์
อย่าลืมว่า Kindalini มีอยู่แล้วในตัวเองของทุกๆคน..
และสามารถรับพลังบริสุทธิ์จากภายนอกได้อีก..
มันขึ้นอยู่กับแต่ละคนจะมีจิตระลึกได้หรือไม่..?!
สรุปสำหรับบางท่านที่ยังไม่เข้าใจลึกซึ้งนัก สิ่งแรกที่ควรทำ และทำได้ง่ายที่สุดคือ เริ่มต้น “การคิดบวก” และ
“การให้อภัย”
••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
•••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
•••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••
••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••••