Dimension

Dimension หมายถึง การวัดระยะจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง
การจะเข้าใจมิติที่สูงขึ้นไป จำเป็นต้องเข้าใจสิ่งที่เราคุ้นเคยกันดีอยู่แล้วก่อนครับ

มิติที่ 0: คือ จุด (ไม่มีระยะ)

มิติที่ 1: หมายถึง เส้น (จากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง) มิติที่ 1 คือ เส้นความยาวระหว่างจุด 2 จุด ไม่มีสิ่งอื่นๆใด นอกจากเส้นตรง แต่การแปรเปลี่ยนไปคือ การเพิ่มเส้นอีก 1 เส้น จะกลายเป็น มิติที่ 2 ตัวอย่าง เช่น รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ลักษณะแบน ต่อมาเราเพิ่มเส้นเพื่อให้เกิดความลึกจะเห็นสี่เหลี่ยมจัตุรัสกลายเป็นรูปทรงกล่องทันทีเป็นรูปแบบ

มิติที่ 2: หมายถึง เส้นสองเส้น (นึกถึงรูปตัว Y) (จากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง แต่มีตัวเลือก 2 ทาง) หรือ นึกถึงกระดาษ บางมากๆ 1 แผ่น ที่ไม่มีความหนา

มิติที่ 3: หมายถึง เส้นสองเส้น (รูปตัว Y) แต่ตัว Y นี้อยู่บนกระดาษ และเราสามารถพับกระดาษให้หัวตัว Y มาชนกัน ทำให้ระยะที่เคยวัดจากตัว Y ปกติเปลี่ยนไป นึกถึงมดที่เดินอยู่บนขาตัว Y ด้านซ้าย แล้วพอพับกระดาษมาชน ก็สามารถไปยังขาตัว Y ด้านขวาได้ทันที หรือนึกถึง ตัวเรา ที่อาศัยอยู่ในโลกที่มีความกว้าง ยาว สูง เป็นรูปทรงแสดงถึงปริมาตร

มิติที่ 4: หมายถึง เวลา (ไอน์สไตน์ เป็นคนที่นำเสนอแนวคิดนี้ว่า สถานที่และเวลา มีลักษณะเหมือนกัน คือ เป็น กาลอวกาศ หรือ Space-time สถานที่ ไม่อาจแยกจากเวลาได้ และเวลาก็เป็นสิ่งสัมพัทธ์ โดยวัตถุใดๆยิ่งเคลื่อนที่เร็วเท่าไหร่ เวลายิ่งเดินช้าลงเท่านั้น และเมื่อเราเข้าใจว่า เวลาเป็นเหมือนระยะอย่างหนึ่งแล้ว เราจะมองได้ว่า การที่เรานั้น เดินทางจากจุดที่เราเป็นเด็ก จนถึงจุดที่เราแก่ได้นั้น เป็นเหมือนเส้นตรงเส้นหนึ่ง เพราะฉะนั้น ระยะของมิติที่ 4 คือ การเดินทางของเวลา จากอดีต มาปัจจุบันนั่นเอง มนุษย์อยู่ในสภาพแวดล้อมที่มองเห็นได้แบบมี 4 มิติ (+ด้วยเวลา) และต้องเข้าใจว่าเวลาคือ สิ่งพูนพันกับระบบอารยธรรมมนุษย์ ซึ่งมีข้อแตกต่างจาก เวลาที่เกิดขึ้นในอารยธรรมอื่นของจักรวาล อธิบายง่ายๆ ก็คือมิติที่ 4 คือกล่องอีกใบที่ซ่อนซ้อนอยู่ในกล่องเดิมนั้นเอง แต่กล่องทั้งสองมีความสัมพันธ์ผ่านมิติที่ 4 ที่เพิ่มเข้ามา…เวลาเป็นมิติที่ 4 และสภาวะที่ไม่มีเวลาอยู่

คำอธิบายในเรื่อง 4 มิติเพิ่มเติม คือ เวลามีคุณสมบัติควบคุมสสารทั้งหมด ณ จุดใดก็ตาม พร้อมไปกับ 3 มิติ ทำให้เรารู้ตำแหน่งของวัตถุในเวลาเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อแสดง ความลึกซึ้งของเหตุการณ์ ตำแหน่งทั้งหมดในจักรวาลได้ (ตั้งแต่ใต้พื้นโลก ในมหาสมุทร จนสุดขอบจักรวาล) ซึ่งสามารถอธิบายการมีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นๆหรือสิ่งอื่นๆ ที่ประจักษ์ได้ในทางวิทยาศาสตร์และสังเกตการณ์ได้ด้วยสายตาการมองเห็นแบบปกติทั่วไป

ก่อนที่จะเกิดบิ๊กแบงก์มันไม่มีเวลา ก็เพราะว่ามันเป็นสภาวะที่ไม่มีอดีตและอนาคต มีแต่ปัจจุบัน มันเป็นสภาวะที่เริ่มต้นมาก็เป็นแบบนั้น และเป็นอยู่อย่างนั้น ไม่มีการเปลี่ยนแปลง จนเกิดบิ๊กแบงก์ จึงมีเวลาเกิดขึ้น มีอดีตและอนาคตเกิดขึ้น นี่คือคำอธิบายของสภาวะที่ไม่มีเวลาอยู่

ส่วนความเป็นมิติที่ 4 คงต้องทำความเข้าใจเรื่อง 2 มิติ และ 5 มิติ
จักรวาลของเราเป็นจักรวาล 4 มิติ เราเห็นหรือรู้จักสิ่งต่างๆ ในรูปลักษณ์ 3 มิติ และเราอาศัยอยู่ในเวลา แต่มองไม่เห็นเวลา ถ้ารูปลักษณ์ของจักรวาลเราเป็น 2 มิติ มีแค่ กว้าง x ยาว เราก็จะเห็นทุกสิ่งแบนๆ ดวงดาวแบนๆ มนุษย์แบนๆ สัตว์แบนๆ ต้นไม้แบนๆ ไม่มีความลึก และถ้าเราอยู่ในจักรวาล 5 มิติ หรืออยู่ในมิติที่ 5 เราจะมองเห็นเวลาด้วย

หมายถึงว่า เราจะมองเห็นตั้งแต่จุดเริ่มต้นไปจนถึงจุดจบของสิ่งนั้น เห็นทุกส่วนของอดีต และอนาคตของสิ่งนั้น เห็นต้นไม้ตั้งแต่เกิดจนถึงตาย เห็นคนตั้งแต่เกิดจนถึงตาย ดังนั้นความเป็น 4 มิติ ก็คือ นอกจากเราจะอยู่ในจักรวาลรูปลักษณ์ 3 มิติ แล้ว เรายังอาศัยอยู่ในกาลเวลาด้วย นี่คือความหมายของเวลาเป็นมิติที่ 4

มิติที่ 5: หมายถึง โอกาส โดย ถ้าเราเข้าใจมิติที่ 4 ว่า เวลา มีลักษณะเป็น เส้น ที่ลากจากอดีต มาสู่ อนาคต และเราเข้าใจว่า มิติที่ 2 คือ ตัว Y นั้น มิติที่ 5 เป็นความคิดที่เป็นไปได้ที่จะเกิดขึ้นในโลกแห่งมิติที่น่าตกตลึงขึ้น ถ้าเราสามารถมองเห็นถึงมิติที่ห้า เราจะเห็นภาพแตกต่างกันเล็กน้อยระหว่างสิ่งที่เคยเห็นและสิ่งที่ เห็นขึ้นใหม่ แต่เราสามารถวัดความคล้ายคลึงกันได้ ในความแตกต่างอาจมีปัจจัยอื่นๆอีก เช่น ขนาด จำนวน สีแสง กรณีนี้ให้สังเกตกล่องสี่เหลี่ยมจัตุรัส ถูกนำมาทับซ้อนกัน เพิ่มขึ้นในทำนองเดียวกันเส้นสีแดงถูกเชื่อมโยงเพิ่มขึ้นด้วย สามารถจินตนาการถึงการมองเห็นวัตถุที่อยู่ข้างหน้า มีจำนวนมากขึ้นแล อาจทับซ้อนอย่างหลากเพราะมีปัจจัย ของเวลาเข้ามาเป็นตัวแปร นั่นหมายความว่ากาลเวลาในอวกาศ ที่เกิดขึ้นด้วยแรงโน้มถ่วงมีผลต่อมิติที่แตกต่าง

***อนึ่งความซ้ำกันหรือความเหมือนกัน เช่น การดำรงอยู่ของจักรวาลแบบคู่ขนาน อาจดูเหมือนเป็นเรื่องที่ปรุงแต่งโดยนักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ และอาจจะไม่ค่อยเกี่ยว ข้องกับฟิสิกส์ทฤษฎีสมัยใหม่ แต่ความคิดที่ว่าเราอาศัยอยู่ในเครือข่ายจักรวาล (Multiverse) ซึ่งประกอบด้วยจักรวาลคู่ขนานที่ไม่มีที่สิ้นสุด นับแต่นั้นมาถือว่ามีความเป็น ไปได้ทางวิทยาศาสตร์ แม้ว่าจะยังคงเป็นเรื่องของการถกเถียงกันอย่างเข้มข้นระหว่างนักฟิสิกส์ที่กำลังค้นหาวิธีทดสอบทฤษฎี เรื่องมิติที่ 4 นี้ ถ้าจะพูดกันง่ายๆเลยก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่าง สเปส กับ สเปส และสเปสกับเวลา ยกตัวอย่างเช่น วัตถุ หนึ่ง เปลี่ยนตำแหน่ง เมื่อเวลาผ่านไป ทำให้ตำแหน่งแรก เกิดที่ว่าง ส่วนตำแหน่งที่สองมีวัตถุอยู่แทน มิติที่ 4 พูดถึง สถานที่และเวลา

มิติที่ 5 ก็หมายความว่า เราในปัจจุบันนี้ อาจจะเดินทางไปยัง ขา Y ด้านซ้าย หรือ ขา Y ด้านขวา ก็ได้ หมายความว่า ตัวเราในปัจจุบัน จะเป็นอะไรในอนาคตก็ได้ เช่น ในตอนที่เราเป็นเด็ก เราอาจจะฝัน ว่า อยากจะเป็น นักบินอวกาศ หรือ หมอ หรือ พ่อค้า หรือ ชาวนา ก็ได้ มิติที่ 5 พูดถึงโลกอีกหนึ่งใบ ที่ทับซ้อนอยู่กับโลกของเราอยู่ ไม่ใช่โลกคู่ขนาน แต่เป็นอีกหนึ่งความเป็นไปได้ของโลก ที่จะเกิดขึ้น จากความเป็นไปได้ทั้งหมด ที่มีค้นกำเนิดเดียวกัน

มิติที่ 6: หมายถึง เราสามารถพับ ให้ขา Y ด้านบน (หรือตัวเราตอนแก่) มาเจอกับ ขา Y ด้านล่าง คือ เราตอนเด็กได้ ซึ่งก็หมายความว่า ถ้าเราพบมิติที่ 6 ในทางปฏิบัติ จริงๆ ได้เมื่อไหร่ เราจะย้อนเวลาไปยังอดีต หรือ เดินทางไปยังอนาคตได้อย่างรวดเร็วทันทีทันใด (คือ เมื่อเราพับ space-time ได้หรือเมื่อเราพบโดราเอมอน เอ๊ย ไทม์แมชชีน นั่นเอง) สำหรับมิติที่ 6 นี่นึกถึงหนังได้หลายเรื่องเลย แต่ที่เจ๋งหน่อย ก็คือ Man in Black ภาคล่าสุด ที่มีผู้ชายอยู่คนหนึ่ง จำชื่อไม่ได้แล้ว ที่พอถอดหมวกออกมา มีหัวกลวงๆสีฟ้า และมีความสามารถพิเศษคือ สามารถเข้าออกมิติที่ 6 ได้อย่างอิสระ และมีตอนหนึ่งในหนัง ที่บอกว่า ชาย คนนี้ สามารถอยู่ได้ทั้งใน อดีต ปัจจุบัน และอนาคตพร้อมๆกัน และสามารถมองเห็นความเป็นไปได้ของอนาคตทุกรูปแบบ ซึ่งตอนดูหนังก็ยังงงๆครับ เพิ่งมาเข้าใจตอนดูคลิปอธิบายเรื่องมิตินี้ เจ๋งมากๆครับ มิติที่ 6 คือการมองเห็นภาพรวมทั้งจักรวาลที่เกิดขึ้น เราจะเห็นระนาบของโลก และสามารถเปรียบเทียบและตั้งตำแหน่งจักรวาลทั้งหมด ที่เป็นไปได้ซึ่ง เริ่มต้นด้วยเงื่อนไขเริ่มต้น เช่นเดียวกับการเกิด Big Bang ในทางทฤษฎีถ้าเราสามารถเข้าควบคุมเชื่อมโยงสัมผัสมิติที่หกได้ เราสามารถเดินทาง ย้อนกลับไปในอดีตหรือเดิน ทาง สู่อนาคตได้เพราะกาลเวลาในอวกาศเชื่อมโยงถึงกันอย่างผูกพัน มิติที่ 6 พูดถึง มิติในแนว ระนาบทั้งหมดที่เกิดขึ้น โลกทั้งหมดที่มีความเป็นไปได้ ณ ตอนนั้น ที่มีจุดเริ่มต้น จากจุดเดียวกัน ไม่ใช่อดีต หรืออนาคต แต่คือ โลกปัจจุบัน ในแบบต่างๆ

มิติที่ 7: จะเข้าใจมิติที่ 7 ได้ ต้องเข้าใจจุดของมิติที่ 7 ก่อน คือ การที่เรามองสิ่งที่ใหญ่มากๆ อย่าง จักรวาลทั้งจักรวาล เป็นเหมือนจุดๆหนึ่ง ซึ่งจุดนี้ รวมความเป็นได้ของจักรวาลของเราที่ควรจะเป็นทั้งหมด ตั้งแต่ตอนเกิดบิ๊กแบก จนถึง จุดจบของจักรวาลที่เป็นไปได้ทุกรูปแบบ ซึ่งจุดนี้ ก็หมายถึง อนันต์ นั่นเอง ทีนี้ องค์ประกอบอีกอย่างของมิติที่ 7 ก็คือต้องมีอีก จุด (อนันต์) อีกจุดหนึ่ง ซึ่งแตกต่างจากจุดแรกโดยสิ้นเชิง หรือ พูดให้เข้าใจง่ายๆว่า เป็นอีกจักรวาลหนึ่ง ที่มีความแตกต่างจากจักรวาลของเราโดยสิ้นเชิง คือ แตกต่างทั้ง จุดกำเนิดจักรวาลนี้ และโอกาสการเกิดจุดจบของจักรวาลนี้ทุกรูปแบบ แน่นอนว่า รวมถึงกฏฟิสิกส์ต่างๆในจักรวาลนี้ก็แตกต่างจากเราด้วย ทีนี้เส้นเชื่อมจุดสองจุดนี้ ก็เหมือนกับว่า เราสามารถเดินทางจากจุด (อนันต์) หรือ จักรวาลของเรา ไปยังอีกจุดอนันต์หนึ่ง (อีกจักรวาลหนึ่ง) ได้นั่นเอง คุณสามารถเข้าถึงโลกแห่งมิติ ที่เป็นไปได้ซึ่งเริ่มต้นด้วยเงื่อนไขเริ่มต้นที่แตกต่างกัน ณ ที่ใดก็ได้ ในขณะที่ในมิติที่ห้าอและมิติที่หกอมีเงื่อนไขเริ่มต้ มีการกระทำ ณ จุดเดียวกันและต่อมาจึงแตกต่างกัน และที่นี่ทุกอย่างแตกต่างจากจุดเริ่มต้นของเวลามาก การขยายความของมิติที่เจ็ดอาจคล้ายอภินิหา ในการลอยล่องไปในกาลเวลาของ อวกาศตามอำเภอใจและได้พบเจอรายละเอียดของจักรวาลมากขึ้น ซึ่งเป็นการเพิ่มความลึกซึ้งทั้งอดีตและอนาคตมากขึ้น มิติที่ 7 จะพูดถึง อีกจักรวาลหนึ่ง ที่มีจุดเริ่มต้นที่ต่างกันออกไป โลกที่มีความเป็นไปได้ที่หลากหลาย มากยิ่งขึ้นไปอีก

มิติที่ 8: คือ แทนที่จะมี จุดอนันต์ แค่ 2 จุด (หรือ 2 จักรวาลนั่นเอง สมมุติว่าเป็นจักรวาล A และ B) ก็มีจุดอนันต์ เพิ่มมาอีก 1 จุด (อีก 1 จักรวาล สมมุติว่าเป็น จักรวาล C ที่แตกต่างจากอีก 2 จักรวาลแรกโดยสิ้นเชิง) และเราก็สามารถเลือกที่จะเดินทางได้ว่า จากจักรวาล A ของเรา  จะเดินทางไปยัง จักรวาล B หรือ จักรวาล C ก็ได้ ทำให้เราเห็นจักรวาลของจักรวาลเป็นมุมมองที่เป็นไปได้ จากแต่ละแห่ง โดยเริ่มต้นด้วยเงื่อนไขเริ่มต้นที่แตกต่างกันและเห็นกิ่งก้านแยกออกอนันต์ เป็นการเห็นอย่าง ไม่รู้จุดจบไม่มีขอบเขตและยังลงลึกในรายละเอียดมากขึ้นมากขึ้น อาจเป็นข้อพิสูจน์ที่สำคัญว่าทั้งหมดไม่ได้มีเพียงเอกภพเดียว มิติที่ 8 พูดถึง มิติในแนวลึก อดีต ปัจจุบัน อนาคต มิติต่างๆ ทั้งแนวระนาบ แล้วแนวลึก ตัดผ่านกัน โลกทุกใบ และทุกเวลาถูกเชื่อมต่อกัน ในมิตินี้ คุณจะเดินทางไปที่ไหน เมื่อไหร่ก็ได้ ไม่มีขีดจำกัดเรื่องของเวลามาเกี่ยวข้อง

มิติที่ 9: นี่ยิ่งมันส์ เพราะนอกจากเราจะสามารถเดินทางข้ามจักรวาลไปยังอีกจักรวาลหนึ่งได้แล้ว เรายังสามารถพับ ให้จักรวาลทั้ง สองจักรวาล หรือ 3 จักรวาล มาอยู่ในจุดเดียวกัน ทำให้เราวาปจากจักรวาลหนึ่งไปยังอีกจักรวาลหนึ่งได้ทันที ตอนนี้ผมนึกถึง การ์ตูน เรื่อง โจโจ ล่าข้ามศวรรตษ ภาคที่แล้วมากๆ (ภาค สตีล บอล รัน) ที่สแตนด์ของประธานาธิบดี สามารถ ย้าย เข้าออก ยังมิติของจักรวาลอื่น ที่คล้ายกับมิติของเราได้ เป็นอนันต์ และสามารถเปลี่ยนตัวเองที่กำลังจะตาย โดยการมอบสแตนด์ของตนเอง ให้กับคนที่เหมือนกับตนเองแต่อยู่ในมิติอื่น หรือจักรวาลอื่นนั่นเอง ได้ไม่จำกัด สรุปว่า สแตนด์ของประธานาธิบดีในเรื่องนี้ สามารถเข้าออกมิติที่ 9 ได้อย่างอิสระนั่นเองครับ เราสามารถเห็นและเปรียบเทียบประวัติจักรวาลทั้งหมด ที่ดำรงอยู่ในอดีตและอนาคตอย่างพิศวง เป็นไปได้ที่จะเริ่มจากกฎทางฟิสิกส์และเงื่อนไขเริ่มต้นที่แตกต่างกัน ในธรรมชาติของจักรวาลโดยไม่ละทิ้งสิ่งใดๆ

มิติที่ 10 : มีจุดอนันต์ จำนวนมากมายไม่สิ้นสุด และเราสามารถเดินทางไปยังจุดอนันต์ใดๆก็ได้ เพราะจุดอนันต์ทั้งหมดรวมลงมาเป็นจุดเดียว มิติที่ 10 คือขั้นสุดท้าย เรามาถึงจุดที่ทุกอย่างเป็นไปได้และเป็นไปได้ ครอบคลุมถึงที่มาแห่งจักรวาลทั้งปวง สิ่งที่นอกเหนือจากนี้ไม่มีอะไรที่สามารถจินตนาการได้โดย เรามนุษย์ที่ต่ำต้อย

ในปัจจุบัน มิติต่างๆ แผ่ขยายออกไปอย่างไร้จุดสิ้นสุด อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ความเป็นไปได้ต่างๆมากมาย ที่ถูกบรรจบเข้าด้วยกัน ทั้งมิติแนวราบ และแนวลึก ไม่มีข้อจำกัดอีกต่อไป

………………………………………

เรื่องราวของมิติที่ 4 ก็คือเวลาในแต่ละโลก ซึ่งสิ่งเหล่านี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้เป็นพันปีแล้ว แต่ในทางวิทยาศาสตร์ ทฤษฎีสัมพันธภาพพบว่า เวลาของแต่ละที่ไม่เหมือนกัน สถานที่ใดมีมวลสารที่มีความหนาแน่นสูง สถานที่นั้นเวลาจะเคลื่อนที่ช้า

พอเราตรวจดูโครงสร้างของโลก สวรรค์ และนรก ตำแหน่งของนรกอยู่แถว ๆ หลุมดำตรงกลางกาแล็กซีพอดี

อย่างสุริยะจักรวาล ค่อนไปทางด้านล่าง ก็มีหลุมดำขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง แล้วมีหลุมย่อย ๆ ออกไป ซึ่งเกือบจะซ้อนกับลักษณะของนรก แล้วในหลุมดำยังมีมวลสารที่มีความหนาแน่นมาก ขนาดแสงหลุดผ่านออกมาไม่ได้

ดังนั้น เวลาในนั้นจึงเคลื่อนที่ช้ามาก ซึ่งสอดคล้องกับเวลาในมหานรกที่เคลื่อนที่ช้ามากเช่นเดียวกัน แต่นี่เป็นการอธิบายพอให้เข้าใจเท่านั้น เพราะจริง ๆ แล้วยังมีภพซ้อนภพ มีมิติต่าง ๆ ที่ยิ่งกว่ามิติที่ 4 ซ้อนอยู่อีก เราอย่าไปคิดอะไรแบบ 3 มิติ ตามความคุ้นเคยเดิมของเราเท่านั้น

เป็นเรื่องที่น่าแปลกว่า ยิ่งวิทยาศาสตร์ก้าวหน้ามากขึ้น ก็ยิ่งพิสูจน์ความถูกต้องของพุทธศาสตร์ ได้ชัดเจนมากขึ้นไปอีก เพียงแต่การพิสูจน์ทางด้านวิทยาศาสตร์นั้น ยังเปรียบเสมือนเด็กอนุบาลที่ก้าวเดินเตาะแตะ คือ ยังไม่ค่อยรู้อะไรชัดเจนมากนัก
ในขณะที่ทางด้านพุทธศาสตร์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้แจ้งไปเรียบร้อยแล้ว
ดังนั้น ถ้าใครอยากทันสมัย ก็ต้องหันมาศึกษาพุทธศาสตร์ ตั้งใจเจริญภาวนา ได้ไปรู้ไปเห็นด้วยตนเองเมื่อใด เราก็จะแจ่มแจ้งเอง
พวกเรามีบุญมาก เพราะได้เกิดมาเป็นชาวพุทธ ได้นับถือ พระพุทธศาสนา เราจึงต้องตั้งใจหมั่นศึกษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วลงมือปฏิบัติให้คุ้มกับความมีบุญของเราทุกคน

เวลาใน โลกมนุษย์ มีค่ามากที่สุดใน 3 โลก
ดังที่ได้อธิบายไปแล้วว่า เวลาในแต่ละภพภูมินั้นไม่เท่ากัน เพราะฉะนั้น เวลาที่มีค่าที่สุดน่าจะเป็นเวลาในโลกมนุษย์ใช่หรือไม่
ในสวรรค์เป็นช่วงเวลาเสวยผลบุญ ส่วนนรกเป็นช่วงเวลา เสวยผลบาป หากไปเกิดเป็นสัตว์นรก ก็หมดโอกาสทำบุญ ทำอะไร ไม่ได้เพราะโดนเขาจับเฉือนอยู่อย่างนั้นตลอดเวลา ได้แต่เสวยผลบาป จนกว่าบาปนั้นจะหมดไป
แต่สถานที่ประกอบเหตุ คือ โลกมนุษย์ เสมือนตลาดกลางค้าบุญค้าบาป เกิดมาเป็นมนุษย์ได้กายมนุษย์หยาบนั้นมีค่ามาก พอมีกายหยาบแล้วจะทำอะไรมันจะส่งผลแรง
กายเทวดา หรือกายสัตว์นรกนั้นเป็นกายละเอียด เป็นกายที่ใช้เพื่อเสวยผล แต่มนุษย์ได้กายหยาบเพื่อไปประกอบบุญ อานิสงส์
ผลบุญเกิดเป็นล้านเท่า แต่ถ้านำกายหยาบไปทำบาป ผิดศีลผิดธรรม ผลบาปก็เกิดตามมาเป็นล้านเท่าเช่นเดียวกัน
ดังที่เราเคยได้ฟังคำเปรียบว่า
“หากไปฆ่าวัวตัวหนึ่ง จะต้องเกิดเป็นวัว
ถูกเขาฆ่านับจำนวนชาติด้วยเส้นขน”
…เคยได้ยินไหม
ความจริงมันยิ่งกว่านั้นมากนัก เพราะพอตกมหานรกแล้ว ต้องโดนฆ่ามากยิ่งกว่าจำนวนเส้นขนอีกเป็นล้านเท่า
ดังนั้น เมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์ได้กายหยาบ มิหนำซํ้ายังได้มาเกิดในยุคที่มีพระพุทธศาสนา ได้เกิดมาเป็นชาวพุทธด้วยแล้ว ถ้าใครพลาดไปทำบาป ตายไปตกนรกแล้วจะยิ่งรู้สึกช้ำใจมากขึ้นไปอีกว่า
“…เราหนอเรา อุตส่าห์เกิดเป็นคน ได้มาพบพระพุทธศาสนา
ทำไมเราไม่ใช้โอกาสทำ…ความดีให้ได้บุญมหาศาล
รู้ทั้งรู้เรายังไปทำ…บาปอย่างนี้น่าเสียใจมาก”
ส่วนใครได้ทำบุญทำกุศลก็จะรู้สึกชื่นใจ เอาบุญต่อบุญ พอทำบุญทำกุศล ก็ได้ ไปเกิดเป็นเทวดานางฟ้า ระหว่างที่ยังไม่หมดกิเลส ด้วยบุญนั้นพอจะลงมาเกิดอีก ก็จะลงมาเกิดในยุคที่มีพระพุทธศาสนาอยู่
ต่อไปนี้ให้อธิษฐานเลยว่า ขอให้เกิดมาแล้วมีโอกาสได้พบพระพุทธศาสนาอีก มีโอกาสได้ศึกษาพระธรรมคำสอน และเป็นคนดี ได้สร้างบุญสร้างกุศล ได้เอาบุญต่อบุญอีก เราก็จะได้สร้างบุญมากขึ้น ๆ มีอุปกรณ์ในการสร้างบารมีที่พร้อมขึ้น มีชาติตระกูลดี มี ร่างกายแข็งแรง หน้าตาดี อุปนิสัยดี สติปัญญาเฉลียวฉลาด เพื่อนฝูง หมู่ญาติดีหมด
อย่างนี้แล้วเราก็มีโอกาสได้ทำบุญมากขึ้น ๆ กิเลสจะ ค่อย ๆ หลุดออกจากใจ เหลือน้อยลงตามลำดับ
ดังนั้น เมื่อมีโอกาสวิเศษสุดอยู่กับตนเองอย่างนี้แล้ว ไม่ควรพลาด บาปกรรมอกุศลเราต้องไม่ทำเด็ดขาด ตั้งใจทำความดีทุกชนิด อย่างเต็มที่ แล้วตั้งใจเจริญสมาธิภาวนา สรุปคือ “ละชั่ว ทำดี ทำใจให้ผ่องใส” นี่คือหัวใจของพระพุทธศาสนา เป็นหัวใจหลักใน การดำเนินชีวิตของเราทุกคน
ความรู้ในทางพระพุทธศาสนา มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องของมิติ และภพภูมิต่าง ๆ มากมายทีเดียว ที่สำคัญยังตอกย้ำได้อีกว่า ยิ่ง วิทยาศาสตร์ค้นพบสิ่งต่าง ๆ มากมายในปัจจุบัน ก็ยิ่งพิสูจน์ให้เห็น ชัดเจนว่า สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสนั้นเป็นจริงตลอดกาล
เรียกว่า ธรรมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็น
“อกาลิโก” คือ “ทันสมัยตลอดกาล”

จุดเด่นประการหนึ่งของพระพุทธศาสนาคือ เป็นศาสนาที่เน้นความจริงและการพิสูจน์ไม่ได้เน้นที่ความเชื่อ พระพุทธเจ้าเผยแผ่ธรรมโดยบอกว่ายังไม่ต้องเชื่อให้ตั้งใจปฏิบัติพิสูจน์จนรู้แจ้งเห็นจริงด้วยตนเองก่อนแล้วจึงเชื่อ นอกจากนี้พระองค์ไม่ได้ผูกขาดความรู้ไว้ที่พระองค์เพียงผู้เดียวคนอื่นต้องฟังแล้วเชื่ออย่างเดียว
แล้วมีผู้ที่ตั้งใจปฎิบัติธรรมตามคำสอนของพระองค์จนไปรู้ไปเห็นด้วยตัวเองเป็นพยานยืนยันว่าสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนนั้นเป็นจริง นรกสวรรค์มีจริง บุญบาปมีจริง พระนิพพานมีจริง และขอออกบวชเป็นพระภิกษุประพฤติปฎิบัติธรรมจนตลอดชีวิตนับ 100,000 นับ 1,000,000 คน บางท่านเป็นพระมหากษัตริย์มาก่อนเช่นพระมหากัปปินะ พระภัททิยะเป็นต้น บางท่านเป็นมหาเศรษฐี บางท่านเป็นอัครเสนาบดี บางท่าน เคยเป็นนักบวชผู้นำของศาสนาอื่นมาก่อน
ไม่มีเหตุผลเลยที่บุคคลเหล่านี้จะร่วมกันหลอกลวงเรา ถ้าคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่เป็นความจริง เขาจะสละทรัพย์สินยศศักดิ์ตำแหน่งความสะดวกสบายทางโลกมาบวชทำไม

ดังนั้นขอให้เราภูมิใจในความมีโชคที่ได้เกิดมาเป็นชาวพุทธแล้วตั้งใจประพฤติปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อพิสูจน์ความจริงด้วยตัวของเราเองเถิด

………………………………………

การเดินทางของเวลา
ย้อนรอยอดีต การระลึกชาติ การเดินทางที่ไวกว่าแสง

“ย้อนอดีต” ในทางพระพุทธศาสนา
ในทางพระพุทธศาสนาสามารถไปในภพอดีตและอนาคตได้ แต่ไปคนละวิธีกับทางวิทยาศาสตร์ ในทางวิทยาศาสตร์นั้น พยายามเดินทางข้ามเวลาไปด้วย “วัตถุ” แต่ ในทางพระพุทธศาสนานั้นไปด้วย “จิตใจ”

ทางพระพุทธศาสนา การย้อนไปดูอดีตชาติตนเอง เรียกว่า “ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ” คือ มีญาณหยั่งรู้การไปเกิดมาเกิดของตนเองในอดีต บางคนสามารถระลึกไปได้ร้อยชาติล้านชาติก็มี ยกตัวอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสามารถระลึกชาติได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด

การระลึกชาติเพื่อดูการไปเกิดมาเกิดของบุคคลทั้งหลาย หรือสรรพสัตว์ทั้งหลาย เรียกว่า “จุตูปปาตญาณ” พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมในวันวิสาขบูชา ยามต้นพระองค์ทรงบรรลุ“ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ” คือ ระลึกชาติตนเอง ยามสอง

พระองค์ทรงระลึกชาติของสัตว์อื่น เรียกว่า “จุตูปปาตญาณ” ไม่มีที่สิ้นสุด
การระลึกชาติไม่ต้องใช้เวลานาน ก็สามารถระลึกชาติไปล้านชาติได้โดยไม่ต้องใช้เวลาเป็นปี ๆ แต่ใช้เวลาแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น เพราะธรรมะเป็นเรื่องของ “อกาลิโก” คือ “ไม่ถูกจำกัดด้วยกาล”
เปรียบว่า เราจะดาวน์โหลดข้อมูลหนังสือเป็นพันหน้าลง คอมพิวเตอร์ เราไม่จำเป็นต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมง เครื่องที่มี ประสิทธิภาพสูงแค่วินาทีเดียวก็เสร็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงทรง ระลึกชาติเป็นร้อยล้านชาติโดยใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีได้นั่นเอง
อดีต คือ
สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว การระลึกชาติ คือ การไประลึก ดูสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต แต่อนาคตเป็นสิ่งที่ยังไม่เกิด อนาคตไม่ได้เกิดขึ้น สำเร็จรูปเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น เราไม่สามารถจะเดินทางไปดักในอนาคต แล้วล่วงรู้ทั้งหมดว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง แต่สามารถบอก อนาคตได้เป็นกรณีไป เช่น พระบรมโพธิสัตว์ที่สร้างบารมีไว้มากจน บารมีเต็มเปี่ยมแล้ว จะได้รับพุทธพยากรณ์จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ใดพระองค์หนึ่งว่า บุคคลผู้นี้จะตรัสรู้ธรรมเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อใด เป็นต้น
กรณีนี้เป็นความดีที่สั่งสมไว้ยาวนานจนกระทั่งผังชีวิตแน่นอน แล้ว เปรียบเสมือนเราจะซื้อบ้านหลังหนึ่งใช้งบประมาณ 1 ล้านบาท
เราออมเงินไว้ ได้ 999,999 บาทแล้ว จึงกล่าวได้ว่า เราจะซื้อบ้านหลังนี้ได้สำเร็จอย่างแน่นอนเพราะขาดอีกเพียงบาทเดียวเท่านั้น
แต่เราไม่สามารถบอกได้ว่า คนนี้อีก 10 ชาติจะเป็นอย่างไร เพราะขึ้นอยู่กับว่า เขาทำอะไรต่อไป ถ้าเขาทำดี ก็จะได้ดี ถ้าเขาทำบาป ก็จะตกนรก ขึ้นอยู่กับตนเองว่าจะทำสิ่งที่เป็นบุญกุศลหรือเป็นบาปอกุศล นี่คือเรื่องของอนาคต
นิยายวิทยาศาสตร์ที่เราเคยดูกัน บางตอนตัวละครสามารถย้อนเวลาไปอยู่ในอดีตได้ เหมือนทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเกิดขึ้นขณะนั้น แล้วตัวละครก็ลงมือแก้ ไขอดีตให้ส่งผลไปเปลี่ยนแปลงปัจจุบัน แต่ในโลกหน้า ความเป็นจริงไม่ได้เป็นอย่างนั้น
“อดีต คือ สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว”
การระลึกชาติ คือ
การไปดูว่าในอดีตเกิดอะไรขึ้น ไม่ใช่นำตนเองย้อนไปอยู่ในเหตุการณ์นั้น ๆ แล้วเริ่มดำเนินการใหม่โดยไปเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นแล้ว เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นและสำเร็จบริบูรณ์ไปแล้ว เราไม่สามารถแก้ ไขอะไรได้
ดังนั้น “การระลึกชาติ คือ การไปรู้ไปเห็นสิ่งเหล่านี้เท่านั้น”
การระลึกย้อนไปรู้ ไปเห็นในแบบ “ไอน์สไตน์”
ถ้าถามว่า แล้วเราย้อนอดีตไปรู้ ไปเห็นได้อย่างไร ในทาง วิทยาศาสตร์มีการกล่าวถึงเรื่องของ “Time Machine” การระลึกย้อนแล้วนำตนเองไปในอดีตได้เริ่มต้นจาก อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ (Albert Einstein) โดยเขาสร้างทฤษฎีสัมพันธภาพขึ้นมา พบว่า ในเชิงทฤษฎีมีรูหนอนของกาลเวลาอยู่
ปกติเราจะรู้สึกว่า เวลาดำเนินไปเป็นเส้นตรง ไม่ว่าจะเป็น 1 ปีที่แล้ว 3 เดือนที่แล้ว หรือเมื่อวานนี้ เวลาจะค่อย ๆ เคลื่อนไป เป็นเส้นตรง ย้อนไปไม่ได้ แต่จากทฤษฎีสัมพันธภาพพบว่า ทั้งเวลา มวลสาร และแรงโน้มถ่วง ทุกอย่างมีความสัมพันธ์กันหมด เราไม่ได้เคลื่อนเป็นเส้นตรง แม้แต่แสงก็ถูกแรงดึงดูดของมวลสารดึงดูดให้ เป็นเส้นโค้งได้
เพราะฉะนั้น อาจจะกลับกลายเป็นว่า มิติของกาลเวลาและอวกาศนั้นสัมพันธ์กัน เวลากับสถานที่มีความสัมพันธ์กัน ทฤษฎีนี้ทลายกรอบความคุ้นเคยเดิม ๆ ของมนุษย์ที่คุ้นกับเรื่องของ 3 มิติ
คือ มีความกว้าง ความยาว และความสูง เช่น ถ้าเราอยู่ในห้องก็จะบอกได้ว่า ห้องนี้กว้าง ยาว และสูงเท่าไร เรียกว่า “3 มิติ”
ยกตัวอย่าง ถ้าเราจะซื้อที่ดิน ก็ต้องวัดความกว้างและความยาวว่ามีพื้นที่ดินกี่ตารางเมตรหรือกี่ไร่ อย่างนี้เรียกว่า “2 มิติ” แต่ถ้าเราจะขุดดินสร้างสระขนาดความกว้าง 30 ไร่ ลึก 5 เมตร
เราจะคำนวณว่าต้องใช้งบประมาณในการขุดสระนี้เท่าไร เราก็ต้องคูณมิติของความลึกเข้าไปด้วย พื้นที่ขนาด 30 ไร่ เป็น 2 มิติ
พอมีความลึกก็กลายเป็น 3 มิติเป็นต้น อย่างนี้คือรูปแบบของ 2 มิติ และ 3 มิติ ในแบบที่คนทั่วไปคุ้นเคย
ในทางวิทยาศาสตร์ ไอน์สไตน์นำเราไปสู่มิติที่ 4 คือ เรื่องของเวลา เพราะทุกอย่างต้องมีเวลามาเกี่ยวข้อง กาลและอวกาศสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด พอรู้ว่าแสงเดินทางเป็นเส้นโค้ง ก็มีโอกาสจะมาเจอกันที่เก่า แล้วมีจุดรูหนอนของกาลเวลาเชื่อมกัน ถ้าทะลุตรงนี้ลงไปได้ เราก็น่าจะย้อนเวลาไปในอดีตได้นั่นเอง
การย้อนอดีตแบบไอน์สไตน์นั้น ไม่ใช่การขึ้นขี่ยานอวกาศแล้ววิ่งแข่งกับเวลาด้วยความเร็วเหนือแสง แต่เป็นลักษณะของการทะลุไปที่รูหนอนของกาลเวลา แต่ในเชิงของความจริง “ยังไม่เคยมีใครพบปรากฏการณ์การทะลุรูหนอนกาลเวลาได้จริง”
เราพบว่า หากจะย้อนเวลาไปได้ต้องใช้อนุภาคที่เล็กมาก เช่น “โฟตอน” (Photon) หรืออนุภาคของแสง เพราะรูหนอนกาลเวลาไม่เสถียร ถ้ามนุษย์เข้าไปจริง ๆ อาจจะถูกย่อยสลายไปก่อนได้ แต่ถ้าเป็นอนุภาคเล็ก ก็จะมีโอกาสรอดผ่านไปได้
ซึ่งในทางทฤษฎี “แค่มีโอกาสเท่านั้น” ความจริงยังไม่สามารถหาวิธีการทำให้รูหนอนของกาลเวลาเสถียร จนสามารถส่งสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ให้ทะลุผ่านไปได้ สิ่งเหล่านี้ยังเป็นแค่ทฤษฎี จึงมีเพียงการนำมาสร้างภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์ต่าง ๆ มากมาย
ในปัจจุบันเท่านั้น นึกถึงพระอาทิตย์ ก็ไปถึงพระอาทิตย์ได้ทันที
ทางด้านพุทธศาสตร์ เราระลึกชาติได้ โดยไม่ต้องใช้รูหนอนกาลเวลา แต่ใช้จิตของมนุษย์ “นึกถึงพระอาทิตย์ ก็ไปถึง พระอาทิตย์ได้ทันที” แต่จิตที่จะไปถึงได้จริงต้องเป็นจิตที่เป็น สมาธิ ตั้งมั่นจนกระทั่งเกิดญาณทัศนะ ซึ่งในกระบวนการทำงานของ จิตมีความละเอียดอ่อนมาก โดยเรื่องราวที่เกิดขึ้นจะถูกเก็บไว้ในดวงจิตนั่นเอง
ดวงจิตไม่ได้ย้อนเวลาด้วยการอาศัยยานอวกาศวิ่งไปอย่างรวดเร็วเหนือแสงร้อยเท่าพันเท่า แต่เรื่องของดวงจิตเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ คือ ถ้าเป็นของหยาบที่เราคุ้นเคย “ของใหญ่จะอยู่ข้างนอก ของเล็กอยู่ข้างใน” เช่น ตัวเราจะอยู่ในห้องได้ เราต้องเล็กกว่าห้อง เราจึงเข้ามาในห้องได้ “ข้างในเล็ก ข้างนอกใหญ่”
แต่ถ้าเป็นเรื่องของดวงจิตซึ่งเป็นของละเอียด ยิ่งเข้าไปข้างใน จะยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ “ของใหญ่อยู่ในของเล็ก” …แปลกไหม
ในครั้งพุทธกาล มีพระภิกษุรูปหนึ่งเกิดความสงสัยจึงกราบทูลถามพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า “พระพุทธเจ้าค่ะ กายของพระองค์ไม่ได้เล็กลง เมล็ดพันธุ์ผักกาดก็ไม่ได้ใหญ่ขึ้น แล้วทำไมพระองค์ถึงสามารถเดินจงกรมอยู่ในเมล็ดพันธุ์ผักกาดได้”
พระสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้ว่า ถ้ายังปฏิบัติไม่เข้าถึง ไม่ว่าจะอธิบายอย่างไรก็เข้าใจได้ยาก จึงมอบกระจกบานหนึ่งให้แก่พระภิกษุรูปนั้นนำไปส่องพระสถูปเจดีย์ พอพระภิกษุรับกระจกบานนั้น แล้วนำไปส่องก็เห็นพระสถูปเจดีย์ทั้งองค์ปรากฏอยู่ในกระจก
กระจกไม่ได้มีขนาดใหญ่ขึ้น แต่พระสถูปเจดีย์องค์ใหญ่ไปปรากฏอยู่ ในกระจกบานเล็ก ๆ นั้นได้ ถามว่า “พระสถูปเจดีย์นั้นเล็กลงหรือไม่” ตอบว่า “ไม่ได้เล็กลงเลย”
ถ้าเรานำกระจกไปส่องมุมดี ๆ ภูเขาใหญ่ ๆ ทั้งลูกก็เห็นอยู่ในกระจกได้ ภูเขาไม่ได้เล็กลง กระจกก็ไม่ใหญ่ขึ้น ทำไมภูเขาลูกใหญ่โตถึงไปอยู่ในกระจกบานเล็ก ๆ ได้ มันเป็นอย่างนั้นเอง

สำหรับของละเอียดนั้น ยกตัวอย่าง หากเราอยากจะไปดูให้รู้ว่า ในขณะนี้ดาวดวงอื่นที่ห่างจากโลกไปล้านปีแสงเป็นอย่างไรบ้าง
เราจะสามารถเดินทางไปดาวดวงนั้นได้ด้วยเวลาเพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้น เดินทางไปโดยไม่ต้องใช้ดวงจิตวิ่งไปข้างนอกเลย แต่ใช้การเอาใจหยุดนิ่งเข้าไปที่ศูนย์กลางกาย ดิ่งเข้าไปภายในศูนย์กลางกาย เล็ก ๆ เท่ากับปลายเข็ม พอใจจรดนิ่งเข้าไปตรงกลางจะพบว่า ศูนย์กลางกายเดิมที่เล็กเท่ากับปลายเข็ม มันขยายใหญ่ขึ้นเหมือนกับมีกล้องขยาย
สมมุติว่า จุดเล็ก ๆ ขนาดราว 1 มิลลิเมตรที่ศูนย์กลางกาย พอเอาใจจรดนิ่งแตะที่ศูนย์กลางของจุดนั้น จุดนั้นก็จะขยายวูบขึ้นมา จนมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1 วา พอเอาใจจรดไปที่จุดเล็ก ๆ ที่ศูนย์กลางของดวงนั้นอีก ก็ขยายวูบขึ้นมาอีก เชื่อหรือไม่ว่า เราสามารถดำเนินจิตเข้าไปในกลางของกลางอย่างนี้ได้ ไม่มีที่สิ้นสุดเลย
เราสามารถเดินทางเข้าไปในจุดเล็ก ๆ ไปถึงจุดที่ละเอียดแบบไม่สิ้นสุด ยิ่งเข้ากลางไปเท่าไร ถึงจุดที่เล็กมากเท่าไร จะปรากฏว่า ใจเราจะขยายใหญ่ขึ้นตามลำดับ คลุมไปทั้งโลก คลุมไปทั้งกาแล็กซี คลุมไปทั้งเอกภพนับไม่ถ้วน อยู่ในศูนย์กลางกายที่เล็ก ๆ นั่นแหละ แต่ขยายคลุมทั้งหมด “ของเล็กคลุมของใหญ่”
เพราะฉะนั้น เวลาเราต้องการจะไปดูอะไรให้ดูในตัว ดูตรงศูนย์กลางกายนี้เอง ไม่ได้วิ่งไปดูนอกตัวเลย ถ้าจะไปดูดาวดวงอื่น ก็ดูจรดเข้าไปตรงกลาง จะไปดูอดีตชาติ ก็จรดไปตรงกลาง เรียกว่า เห็นได้หมดเดี๋ยวนั้นเลย นี่คือความมหัศจรรย์ทางจิตที่ว่า
“จิตมนุษย์ลึกล้ำนัก”

………………………………………