ต่างมิติ

เรื่อง : กฎแห่งแรงดึงดูด > ทำไม /เมื่อไร จึงจะใช้ได้ผล หรือใช้ไม่ได้ผล

•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•

ตอนนี้ ประสบการณ์ของพวกคุณ สามารถเปลี่ยนแปลงความเชื่อต่างๆของพวกคุณได้ทุกเมื่อ

ตอนที่ 1
ในปัจจุบัน.. มีบทความมากมายที่กล่าวถึงแนวคิดที่ว่า มนุษย์สามารถสร้างโลกแห่งความเป็นจริงของตัวเองขึ้นมาได้อย่างไร แต่พวกเราขอเตือนว่า มันไม่ใช่ความคิดที่เกิดขึ้นมาเอง ที่เป็นตัวสร้างสรรค์สิ่งต่างๆขึ้นมา แต่มันเป็น “ความเชื่อ” ต่างหาก ซึ่งหมายถึงความเชื่อที่แสดงออกทางความคิดด้วยจิตใจที่ชัดเจน
ดังนั้น เพื่อให้ถูกต้องและชัดเจนมากยิงขึ้น พวกเราจึงอยากกล่าวว่า ในกฎแห่งการดึงดูดนั้น (Law of Attraction) มันเป็นการสมควรมากกว่าที่จะใช้คำว่า “ความเชื่อ” แทนคำว่า “ความคิด” เพราะแม้ว่ากระแสความคิดด้านบวกจะสามารถกระตุ้นให้เกิดความเชื่อใหม่ๆขึ้นมาได้จริงๆก็ตาม แต่ว่าพวกคุณก็ยังจะไม่สามารถสร้างโลกแห่งความเป็นจริงใหม่ขึ้นมาได้ จนกว่าพวกคุณจะเชื่อในความคิดนั้นๆ ซะก่อน เพราะว่าความเชื่อต่างหาก ที่เป็นผู้สร้างโลกแห่งความเป็นจริงนั้นๆขึ้นมา นี่ถึงจะสมเหตุสมผลกว่า
ดังนั้น นอกเหนือจากเรื่องของการใช้คำศัพท์ที่ว่านี้แล้ว จงเข้าใจอีกด้วยว่า กระแสความคิดด้านบวกใดๆ ที่จะสามารถเนรมิตอะไรออกมาได้ ก็ต่อเมื่อมันสอดคล้องกลมกลืนกันกับความเชื่อของพวกคุณเองเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้าในความเชื่อหลักของพวกคุณ พวกคุณมีความเชื่อว่า พวกคุณไม่คู่ควรกับความสมบูรณ์พูนสุข หรือลึกๆในจิตใจของพวกคุณแล้ว พวกคุณเชื่อว่าการสั่งสมความมั่งคั่ง หรือสะสมสมบัติพัสถานทั้งหลาย คือสิ่งที่ผิดละก็ พวกคุณก็จะไม่สามารถเนรมิตความมั่งคั่งขึ้นมาจากเพียงแค่คิดถึงมันเฉยๆได้เลย

และถ้าพวกคุณเชื่อว่าเงินทองคือรากเหง้าของความชั่วร้ายทั้งปวงละก็ ‘Law of Attraction ก็จะใช้ไม่ได้ผลกับพวกคุณด้วยเช่นกัน จนกว่าพวกคุณจะเปลี่ยนความเชื่อหลักของตัวเองใหม่เสียก่อน

และหากพวกคุณเชื่อว่า พวกคุณยากจน และมักจะต้องใช้เงินทองอย่างกระเบียดกระเสียนอยู่เสมอ เพื่อที่จะได้เพียงพอต่อการประทังชีวิตไปวันๆละก็ ความเชื่ออันนี้ของพวกคุณนี่แหละ ที่จะไปสร้างประสบการณ์เช่นนั้นขึ้นมาให้กับพวกคุณเอง ดังนั้น ไม่ว่าพวกคุณจะทำงาน 2 อย่างหรือ 3 อย่างก็ตาม แต่ถ้าความเชื่อหลักของพวกคุณถูกสร้างขึ้นมาแบบนั้นแล้วละก็ มันก็จะถูกฉายเข้าไปในความเป็นมิติ และแน่นอน มันก็จะถูกเนรมิตให้ปรากฏออกมาแบบนั้นด้วย แล้วพวกคุณก็จะมีปัญหาติดขัดด้านเศรษฐกิจอยู่เหมือนเดิม

ถ้าพวกคุณเชื่อว่าพวกคุณ “ไม่ฉลาดเลย” สมองพวกคุณก็จะยอมรับความเชื่อแบบนั้นเอาไว้ และพวกคุณก็จะถูกจำกัด ถ้าพวกคุณเชื่อว่าพวกคุณไม่มีเสน่ห์ดึงดูดเลย พวกคุณก็จะฉายภาพแบบนั้นออกมาสู่สายตาของทุกๆคนที่อยู่รอบๆตัวพวกคุณผ่านทางกระแสจิต พวกคุณฉายภาพความเชื่อของพวกคุณออกไปอย่างต่อเนื่อง

ดังนั้น ไม่ว่าพวกคุณจะมองไปในทิศทางไหนบนโลกใบนี้ พวกคุณก็จะพบเจอแต่สิ่งที่พวกมันเนรมิตออกมาให้กับพวกคุณอยู่ตลอดเวลา พวกมันสร้างภาพขึ้นมาจากเงาสะท้อนในความเชื่อของพวกคุณเอง พวกคุณไม่สามารถหลีกหนีความเชื่อของพวกคุณเองไปได้ ….อย่างไรก็ตาม พวกมันก็เป็นวิธีที่พวกคุณใช้ในการสร้างประสบการณ์ของพวกคุณเอง

ในทางกลับกัน ถ้าพวกคุณเชื่อว่าคนอื่นๆล้วนมีเจตนาดีต่อพวกคุณทั้งสิ้น และจะปฏิบัติต่อพวกคุณด้วยความสุภาพอ่อนโยน พวกเขาก็จะเป็นดังนั้นเช่นกัน แต่ถ้าพวกคุณเชื่อว่าโลกทั้งโลกต่อต้านพวกคุณอยู่ สิ่งนั้นมันก็จะกลายมาเป็นประสบการณ์ของพวกคุณเอง และถ้าพวกคุณเชื่อว่า ร่างกายของพวกคุณจะต้องแก่ และจะเริ่มร่วงโรยเมื่ออายุ 40 ปี มันก็จะเป็นดังนั้นด้วย.. พวกคุณเข้าใจ ”ความหมายที่แท้จริงๆ” ของพวกเราหรือไม่ ?

ที่พวกคุณมีการดำรงอยู่แบบกายภาพนี้ ก็เพื่อที่จะมาเรียนรู้และเข้าใจให้ได้ว่าในแง่ของพลังงาน สิ่งที่พวกคุณเชื่อ ที่พวกคุณแสดงออกมาในรูปแบบของความรู้สึก, กระแสความคิด และอารมณ์ต่างๆนั้น มันคือต้นตอของทุกๆประสบการณ์ของพวกคุณเอง

ณ.ช่วงเวลานี้ ..ตอนนี้ ประสบการณ์ของพวกคุณ สามารถเปลี่ยนแปลงความเชื่อต่างๆของพวกคุณได้ และเปลี่ยนได้ทุกเมื่อ พวกคุณสามารถควบคุม “การเลือกที่จะเชื่อ” ของตัวเองได้ และกุญแจสำคัญก็คือการสร้าง “ความเชื่อ” ขึ้นมาใน Mer-Ka-Na ของ “ตัวตนรวม” ของตัวคุณเองผ่านการเลือกอย่างมีสติ-สัมปชัญญะ และต้องไม่ใช่โปรแกรมอย่างไร้สติสัมปชัญญะ (Mer-Ka-Na เป็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับจิตหรือจิตสำนึก – ผู้แปล)

•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•

พวกคุณสามารถมีได้ในสิ่งที่พวกคุณต้องการ และ “ เงินไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย !..แต่มันคือพลังงาน “

ตอนที่ 2

คราวนี้ เราจะมากล่าวถึงแนวความคิดนี้ในแบบหลากมิติกัน คุณลองย้อนคิดซิว่า กี่ภพชาติแล้วที่พวกคุณเคยเกิดเป็นพระหรือนักบวช ที่พวกคุณเคยให้สัตย์ปฏิญาณอย่างเคร่งครัดว่าจะไม่ครอบครองสิ่งใดเลยอย่างเด็ดขาด และพวกคุณได้ปฏิเสธโลกแห่งวัตถุไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งมีความยึดมั่นอย่างเหนียวแน่นอยู่กับความเชื่อที่ว่า “เงิน คือรากเหง้าของความชั่วร้ายทั้งปวง”

แต่ทุกภพทุกชาติ ล้วนมีอยู่และเป็นอยู่พร้อมๆกันหมดในนิรันดร์กาลแห่ง”ปัจจุบันขณะนี้” ส่วนในภพชาตินี้ พวกคุณกำลังจดจ่ออยู่กับการสร้างโลกแห่งความเป็นจริงของพวกคุณอยู่ และพวกคุณมีความปรารถนาความมั่งคั่งสมบูรณ์ เพราะพวกคุณตระหนักว่า เงินไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย แต่มันเป็นเพียงแค่พลังงาน และมันก็สามารถที่จะถูกใช้ไป เพื่อก่อให้เกิดสิ่งต่างๆที่ดีๆได้อย่างมากมายอีกด้วย

แต่ถึงแม้ว่า พวกคุณจะอ่านหนังสือทุกเล่ม และอ่านบทความทุกๆบทความที่เกี่ยวกับความคิดบวก ว่าจะไปจุดประกายให้ ‘Law of Attraction’ ทำงานได้อย่างไรมาแล้วก็ตาม แต่พวกคุณก็ยังคงไม่สามารถนำความมั่งคั่งมาสู่ตัวเองได้

ซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะว่า พวกคุณมีจำนวนชาติภพในความเป็นหลากมิตินี้ที่หนักไปทางด้านใดด้านหนึ่งอยู่ก็ได้ เช่น ถ้าพวกคุณมีจำนวนชาติภพอยู่ 12 ชาติภพติดๆกัน ที่ในปัจจุบันขณะของแต่ละชาติภพนั้นๆ กำลังหลีกหนีและปฏิเสธสิ่งที่พวกเขาเองเชื่อว่ามันเป็นเรื่องของวัตถุธาตุอยู่ แต่มีอยู่เพียงชาติภพเดียวเท่านั้นที่กำลังพยายามสร้างความมั่งคั่งสมบูรณ์ขึ้นมา แล้วพวกคุณคิดว่าความพยายามของฝ่ายไหนจะมีพลังงานมากกว่ากัน ?

พวกคุณมีความสามารถที่จะทำให้จิตแห่งปัจจุบันขณะใน Mer-Ka-Na เปลี่ยนแปลง ในสิ่งที่ดูเหมือนว่าเป็นอดีตและสร้างความปรารถนาและความเชื่อร่วมที่สอดคล้องต้องกันขึ้นมาได้ และที่รักทั้งหลาย “ เงินไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย! มันคือพลังงาน “
และในกระบวนทัศน์แบบใหม่นี้ พวกคุณจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะสร้างสรรค์ด้วยความรักอย่างมีความรับผิดชอบ พวกคุณสามารถมีได้ในสิ่งที่พวกคุณต้องการ พวกคุณสามารถมีได้ในสิ่งที่พวกคุณปรารถนา แต่ความเชื่อของพวกคุณในความเป็นหลากมิติ (ของหลายๆภพชาติของพวกเราเอง) ต้องสอดคล้องต้องกันด้วย มันไม่ใช่แค่เพียง “ร้องขอแล้วรอรับ ” แต่มันต้องถูกฉายภาพไปยังจิตเดียวกันที่คมชัด และจิตใจนั้นก็อยู่เหนือสมอง เพราะว่าจิตใจมีความเป็นหลากมิติ

•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•

คุณต้องจัดการกับบทเรียนที่คุณได้เลือกไว้เสียก่อน..มิฉนั้น มันจะเกิดขึ้นซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น จนกว่าคุณจะยอมเผชิญหน้ากับมัน

ตอนที่ 3

ในตอนนี้ คุณสมบัติที่เป็นสิ่งมีชีวิตในความหลากมิติของมนุษย์ เป็นหัวใจสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจในเรื่องกลไกการทำงานของ “กฎแห่งการดึงดูด” (Law of Attraction) ของพวกคุณ ซึ่งกุญแจสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับความเข้าใจในเรื่องความเป็นหลากมิติของพวกคุณเองก็คือ “ตัวตนอันสูงส่งกว่าของพวกคุณ” (your Higher-Self) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพวกคุณเอง ที่ดำรงอยู่เหนือโลกทางกายภาพ และเป็นส่วนที่ทำหน้าที่ “เขียนบทชีวิต” ให้แก่พวกคุณให้ต้องเจอะเจอกับปัญหาอุปสรรคบางอย่างในชีวิต เพื่อให้เกิดการเจริญเติบโต…และปัญหาอุปสรรคเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจที่จะหลบเลี่ยงหรือกำจัดมันออกไปให้พ้นๆได้ซะด้วยซิ

ในทางกลับกัน แท้ที่จริงแล้ว พวกมันคือวิชาที่จำเป็นต้องเรียน ซึ่งอยู่ในหลักสูตรการเรียนการสอนของ “มหาวิทยาลัยแห่งโลกใบนี้” ที่พวกคุณเองนั่นแหละ ที่เป็นผู้เลือกมันเอาไว้ เพื่อที่จะสำเร็จและขึ้นไปสู่ชั้นที่สูงส่งดีงามกว่าต่อไป และพวกคุณก็ไม่สามารถที่จะกระโดดข้ามชั้นเรียนเหล่านี้ไปได้ หรือกระโดดข้ามสารพันปัญหาอุปสรรคที่เข้ามาในชีวิตของพวกคุณได้ นั่นก็เพราะว่าพวกคุณได้ลงทะเบียนเรียนเอาไว้แล้ว และพวกมันก็เป็นส่วนหนึ่งของ ‘Law of Attraction ที่มาจากจิตสำนึกที่สูงกว่า (จาก Higher Self – ผู้แปล) ที่ไม่อาจผลักใสพวกมันออกไปได้ด้วย ดังนั้น นี่จึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ผู้คนที่มีความคิดแบบทวิภาวะ มีความพยายามที่จะขจัดสิ่งที่ดูเหมือนเป็นปัญหาอุปสรรคออกไปให้หมด ซึ่งดูจะเป็นการขัดขืนกฎแห่งการดึงดูดอย่างนั้นแหละ
พวกคุณอาจพบว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดกับการที่ใช้วิธี “คิดในแง่บวก” ไปซะทุกเรื่อง ที่ดูเหมือนมันไม่ประสบผลสำเร็จแต่อย่างใดเลย และนั่นเป็นเพราะว่า ณ ขณะนั้นๆ ในเรื่องนั้น ๆ …มันมีบทเรียนที่พวกคุณจะต้องเผชิญหน้ากับมันเสียก่อน กับสิ่งที่พวกคุณดึงดูดพวกมันมาจากจิตสำนึกที่สูงกว่าและสมองมาสู่พวกคุณเอง ซึ่งมันจะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น จนกว่าพวกคุณจะยอมเผชิญหน้ากับมัน และจนกว่าพวกมันจะได้รับการจัดการให้เสร็จสิ้นไป… และในความเป็นทวิภาวะของพวกคุณ ก็ไม่อาจที่จะหลีกเลี่ยงมันได้ด้วย เพราะมันจะจบสิ้นลงได้… ก็ต่อเมื่อพวกคุณสามารถควบคุมมันได้แล้วเท่านั้น

•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•

“เจตน์จำนงค์ & ความมุ่งมั่น และ สมาธิ” จะต้องทำงานร่วมกันเป็นทีมกับ “ การกระทำ ”..จึงจะจัดได้ว่าเป็นความสมบูรณ์แบบ

ตอนที่ 4
การยอมรับปัญหาอุปสรรค (Accepting the Challenge)
แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงที่ว่า ความรู้และความเชื่อทั้งหลายของพวกคุณนั้น ได้ก่อให้เกิดโลกแห่งความเป็นจริงที่พวกคุณมีประสบการณ์อยู่ในระบบทวิภาวะนี้ แต่ตัวตนด้านที่สูงส่งกว่าของพวกคุณ ก็คือผู้ที่แต่งเติมและสร้างสรรค์ความท้าทายต่างๆให้พวกคุณได้เผชิญอย่างใคร่ครวญและระมัดระวัง เพราะมันมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่อยู่ ซึ่งไม่ว่าพวกคุณจะเชื่อจริงๆหรือไม่ก็ตาม แต่พวกคุณก็คือผู้ที่เขียนบททดสอบต่างๆสำหรับตัวพวกคุณขึ้นมาเอง

ดังนั้น แม้ว่า “การคิดในแง่บวก” จะเป็นคลื่นความถี่ที่เป็นกุญแจสำคัญอันหนึ่ง แต่วัตถุประสงค์ของการคิดในแง่บวกนั้น มีขึ้นก็เพื่อช่วยให้พวกคุณสามารถเข้าถึงบทเรียนชีวิตของพวกคุณเองได้ ไม่ใช่ให้ใช้เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงกระบวนการเรียนรู้ซะเอง เพราะพวกคุณไม่สามารถละเลยหรือขจัดบทเรียนต่างๆ ที่พวกคุณเป็นผู้เขียนสคริปต์ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนาตัวคุณเองออกไปได้ และเป็นเพราะ สิ่งต่างๆที่พวกคุณได้เลือกไว้แล้วนั้น ส่วนใหญ่อยู่นอกเหนือ และเกินขีดความสามารถของสมองแห่งอัตตา (ego-brain) ที่อยู่ในระบบทวิภาวะนี้ จะกำจัดหรือเคลียร์มันออกไปได้

ฉนั้น พวกคุณจึงต้องเผชิญหน้ากับพวกมันก่อน เพราะในความศักดิ์สิทธิ์ของพวกคุณที่มาจากมุมมองที่สูงกว่าของพวกคุณเอง ต้องการให้มันเป็นเช่นนั้น และพวกคุณก็เป็นผู้เขียนบทแห่งความท้าทายเหล่านี้ขึ้นมาเอง และพวกเราขอยืนยันกับพวกคุณว่า มันไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้นและควรค่า มากไปกว่าความต้องการที่จะวิวัฒน์, และปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่าของพวกคุณ ด้วยการทำให้มันเป็นจริงขึ้นมา ซึ่งนั่นก็คือภารกิจทั้งหมดในแต่ละภพชาติของพวกคุณอย่างแท้จริง

ดังนั้น การทำสมาธิ หรือ การจินตนาการถึงความสำเร็จลุล่วงของเป้าหมายที่ต้องการแค่เพียงอย่างเดียวนั้น มันยังไม่เป็นการพอเพียง หากพวกคุณยังไม่ได้ทำตามเสียงจากภายใน ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนที่ผุดขึ้นมาจากการทำสมาธิและจากจินตนาการของพวกคุณ และ “เจตน์จำนงค์”, “ความมุ่งมั่น” และ “สมาธิ” จะต้องทำงานร่วมกันเป็นทีมกับ “การกระทำ” ได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วย

ส่วนการบรรลุถึง “ความสมบูรณ์แบบอันไร้ที่ติ” (impeccability) และการได้บรรลุถึง “การรู้แจ้ง” (enlightenment) ได้ในที่สุดนั้น มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกคุณจะหลุดออกไปอยู่ในสภาวะที่เปี่ยมไปด้วยความปิติสุข ที่ไร้ความจำได้หมายรู้ (ไร้ซึ่งสัญญา- ผู้แปล) โดยฉับพลันทันที หรือหลุดออกไปอยู่ในสภาวะนิพพานอันไกลโพ้นใดๆ ตามที่บางศาสนาได้บอกเป็นนัยๆเอาไว้แต่ประการใดไม่

•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•

คุณจะมีโอกาสเอาชนะสิ่งที่เรียกว่า “พรหมลิขิต” และสามารถพิชิตอุปสรรค เพื่อเนรมิตความปรารถนาของคุณเองให้กลายเป็นจริงได้

ตอนที่ 5

ท่านคุรุทั้งหลาย พวกเราจะบอกพวกคุณว่า ตอนนี้พวกคุณก็กำลังอยู่ในส่วนหนึ่งของสภาวะนิพพานอยู่ อย่างที่พวกคุณเคยอยู่มาตลอด และก็จะอยู่ตลอดไปด้วย เพียงแต่พวกคุณจะต้องค้นหามันจากภายในของพวกคุณเองให้เจอเท่านั้นเอง

ซึ่งอันที่จริง..มันจะมีวัฏจักรแห่งสภาวะอารมณ์ของพวกคุณ ที่เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษย์ มันจะมีบ้างในบางเวลาที่พวกคุณจะรู้สึกไม่ยินดียินร้ายกับอะไรหรือรู้สึกหดหู่ซึมเซา ซึ่งสาเหตุมันก็ไม่ได้มาจากแค่ปัญหาที่พวกคุณกำลังเผชิญหน้าอยู่เท่านั้น แต่แรงดึงดูดบางอย่างในทางดาราศาสตร์ ก็สามารถเป็นสาเหตุของความสิ้นหวังดังกล่าวนี้ได้ด้วย พวกคุณต้องเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ซึ่งพวกคุณก็มีความสามารถที่จะฟันฝ่าพวกมันไปได้ด้วย

ดังนั้น จงรับรู้ไว้ว่า “นิพพาน” (Nirvana) ในภาษาของพวกคุณ คือสิ่งที่จะบรรลุได้ด้วยเจตนคติที่จะทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ ไม่ใช่ด้วยการหลีกเลี่ยง /ด้วยการละเลยหรือด้วยการหลบหนี แต่จะบรรลุได้ด้วยการเผชิญหน้ากับสภาวะของโลกแห่งความเป็นจริงที่อยู่รอบๆตัวพวกคุณอย่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ

และถึงแม้การที่จะมีอำนาจเหนือความเป็นทวิภาวะกับประสบการณ์ที่ได้รับจากโลกใบนี้ได้นั้น เป็นเรื่องที่ยาก แต่มันคือสัจธรรมอันยิ่งใหญ่ และเป็นสัจธรรมอันสูงสุดของทวิภาวะเลยทีเดียว ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่มักจะถูกเข้าใจผิดกันอยู่เสมอๆด้วย

การศึกษาและเรียนรู้ชีวิต จำเป็นต้องมีการปฏิบัติ พวกคุณไม่สามารถที่จะแค่ซุกตำราไว้ใต้หมอนแล้วนอนหนุนมันเฉยๆ แต่พวกคุณจะต้องอ่านมันด้วย และต้องทำความเข้าใจมันไปทีละหน้า ทีละหน้า ทีละขณะ ทีละขณะ แล้วจากนั้นพวกคุณถึงจะเข้าใจและยอมรับได้อย่างเต็มภาคภูมิว่าชีวิตของพวกคุณคือโครงสร้างของสิ่งที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นอย่างหนึ่งจากแผนที่พวกคุณได้วางเอาไว้เพื่อพัฒนาการทางจิตวิญญาณของพวกคุณเอง ซึ่งนี่แหละคือสัจธรรมที่ยิ่งใหญ่ซะยิ่งกว่าอย่างหนึ่ง
พวกคุณเห็นไหมว่า เมื่อพวกคุณยอมรับสัจจธรรมขั้นสูงนี้ได้แล้ว พวกคุณก็จะมีโอกาสเอาชนะมันได้ในสิ่งที่พวกคุณเรียกว่า “พรหมลิขิต หรือ ชะตากรรม” (destiny) ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว มันก็คือสถานการณ์ต่างๆที่พวกคุณได้วางแผนเอาไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วเพื่อใช้เป็นบทเรียนชีวิตของพวกคุณเองนั่นเอง และที่รักทั้งหลาย เจ้า “พรหมลิขิต หรือ ชะตากรรม” ตามศัพท์ของพวกคุณที่พวกคุณเขียนกันขึ้นมาเองอันนั่นแหละ ที่จะช่วยให้พวกคุณทั้งได้เผชิญหน้ากับปัญหาอุปสรรคต่างๆ และได้เนรมิตความปรารถนาของพวกคุณเองให้กลายเป็นจริง แต่ต้องไม่ใช่เป็นเพราะพวกคุณประท้วงในสิ่งที่พวกคุณไม่ชอบนะ
เพราะว่าการที่จะพบแสงสว่างแห่งความปรารถนาของพวกคุณได้ พวกคุณจะต้องจุดเพลิงปรารถนาขึ้นมาเสียก่อนเพื่อปลดปล่อยมันออกมาจากป้อมปราการที่กักขังมันเอาไว้อย่างแน่นหนา ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดก็คือการยอมรับปัญหาอุปสรรคที่จะมาช่วยขัดเกลาตัวเองอันนั้นด้วยการใช้ชีวิตของพวกคุณเองให้เป็นแบบอย่างแห่งแสงสว่างแทนที่จะไปต่อต้านความมืดมิดที่ยังคงอยู่บนโลก 3d นี้ เพราะว่านั่นก็เท่ากับว่าพวกคุณเลือกที่จะแยกตัวเองให้พ้นขาดจากมัน

•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•

การเผชิญหน้าอย่างกล้าหาญและสมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ จะช่วยให้ชีวิตคุณ เจริญเติบโตขึ้นได้อย่างมีความหมายที่แท้จริง

ตอนที่ 6 : การยอมรับ (Acceptance)
ท่านคุรุทั้งหลาย ด้วยการยอมรับว่าพวกคุณมาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อมาเผชิญหน้ากับความท้าทายต่างๆ พวกคุณจึงจะสามารถสร้างสรรค์พลังงานที่จำเป็นสำหรับการเผชิญหน้ากับพวกมันได้อย่างแข็งแกร่งมากขึ้น เพราะเมื่อใดที่พวกคุณยอมรับมันได้แล้ว ความเป็นจริงที่ว่า การมีชีวิตนั้นเป็นทุกข์ ก็จะไม่ทำให้พวกคุณกลัวได้อีกต่อไป แต่มันจะเป็นแรงจูงใจให้นักรบแห่งจิตวิญญาณเข้าสู่การแก้ปัญหาแทน
ปัญหาใหญ่ที่สุดของพวกคุณที่มีต่อการยอมรับความเป็นเจ้าของของการกระทำของตัวเองและต่อการยอมรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง ต้นตอของมันมาจากความต้องการที่จะหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดอันเกิดจากผลของการกระทำนั้นๆนั่นเอง แต่พวกเราจะบอกพวกคุณว่า… การแก้ปัญหาโดยการเผชิญหน้าอย่างกล้าหาญและสมบูรณ์แบบไร้ที่ติต่างหาก ที่จะช่วยและเกื้อกูลให้ชีวิตของพวกคุณเจริญเติบโตขึ้นได้อย่างมีความหมายที่แท้จริง
การเผชิญหน้ากับปัญหาคือที่สุดของความโชคดีโดยบังเอิญ เพราะมันคือตัวแบ่งแยกระหว่างความสำเร็จและความล้มเหลว หรือถ้าจะกล่าวให้ดีกว่านี้ก็คือ แบ่งแยกระหว่างการเจริญเติบโตและการซบเซาลง เพราะว่าปัญหาทั้งหลายเหล่านี้จะบีบให้พวกคุณต้องใช้ความพยายามจนถึงที่สุดเพื่อแก้ไขพวกมัน และจะไปเสริมสร้างความกล้าหาญและภูมิปัญญาภายในให้กับเหล่าผู้แสวงหาหนทางอันสมบูรณ์แบบไร้ที่ติมันเป็นไปโดยไม่มีเงื่อนไข
และสถานการณ์แห่งความยากลำบากและปัญหาอุปสรรคที่ตึงเครียดทั้งหลายนั่นแหละ ที่จะทำให้พวกคุณมีการพัฒนาทางด้านจิตใจและด้านจิตวิญญาณสูงขึ้น เพราะว่ามันต้องอาศัยความเจ็บปวดที่เกิดจากการที่ต้องเผชิญหน้าและที่ต้องแก้ไขปัญหาชีวิต และ “โจทย์” ทั้งหลายเหล่านั้น จึงจะทำให้พวกคุณได้เรียนรู้ถึงความหมายที่ยิ่งใหญ่กว่า “วิทยาศาสตร์แห่งความรัก” ได้

ดวงใจที่รักทั้งหลาย ความเป็นจริงที่ตรงไปตรงมา นั่นก็คือความสำเร็จครั้งที่เจ็บปวดที่สุดของพวกคุณบางส่วนเท่านั้น ซึ่งอันที่จริงแล้ว มันก็คือพัฒนาการครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกคุณนั่นเอง ที่จะสามารถเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อพวกคุณตกอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยุ่งยากเท่านั้น

พวกคุณจะมีความพยายามมากที่สุด และยอมเผยความสามารถออกมาให้เห็นมากที่สุด ก็ต่อเมื่อพวกคุณกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ “ไม่สะดวกสบาย” เท่านั้น เช่น ในช่วงเวลาที่กำลังรู้สึกงุนงง, ช่วงเวลาที่ไม่น่าพึงพอใจ หรือแม้แต่ในช่วงเวลาที่กำลังเจ็บปวดรวดร้าว และสิ้นหวังด้วย เพราะในช่วงดังกล่าวนั้น ความไม่สะดวกสบายของพวกคุณจะผลักดันและกระตุ้นให้พวกคุณหลุดออกมาจากที่คุมขังอันจำกัดและดิ้นรนแสวงหาวิถีชีวิตที่ดีกว่า ที่น่าพึงพอใจมากกว่า และที่เป็นด้านจิตวิญญาณมากกว่าได้

•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•

พวกคุณกำลังจะได้ค้นพบบุคลิกลักษณะที่ยิ่งใหญ่กว่าของตนเอง

ตอนที่ 7 : ความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ คือสภาวะแห่งคุณงามความดี
(Impeccability – The State of Grace)
>> แล้วความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติคืออะไร ? เมื่อพวกเราให้นิยามของคำว่า “ความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ” (impeccability) ว่า.. มันก็คือง่ายๆ เพียงแค่ “พยายามทำให้ดีที่สุดอยู่เสมอ” เท่านั้น มันก็ไม่ได้หมายความว่า พวกเรากำลังจะไปลดคุณค่าของความหมายของคำๆนี้ให้น้อยลงเลยแม้แต่น้อย เพราะการที่จะตั้งมั่นอยู่ในความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติให้อยู่ได้ตลอดนั้น …..
}{= ยิ่งขอบเขตของสติปัญญา และความตระหนักรู้ของพวกคุณขยายออกไปมากขึ้นเท่าไหร่พวกคุณก็จะต้องยิ่งใช้ความพยายามมากขึ้นไปด้วยเท่านั้น และ
}{= ยิ่งความตระหนักรู้ของพวกคุณมีมากขึ้นเท่าไหร่ พวกคุณก็จะยิ่ง “รู้” มากขึ้นเท่านั้นด้วย และ
}{= ยิ่งพวกคุณรู้มากขึ้นเท่าไหร่ พวกคุณก็จะยิ่งมีความรับผิดชอบต่อชีวิตมากขึ้นเท่านั้นด้วยเช่นเดียวกัน
พวกคุณกำลังอยู่ในกระบวนการพัฒนาระดับความสั่นสะเทือนของการตระหนักรู้ของตัวเองอยู่ เพื่อให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณของพวกคุณเองอย่างมีสติสัมปชัญญะ
[] = พวกคุณกำลังจะกลายเป็นสิ่งที่จิตวิญญาณของพวกคุณเป็น
[] = พวกคุณกำลังจะค้นพบบุคลิกลักษณะที่ยิ่งใหญ่กว่าของตนเอง ที่รักทั้งหลาย….. ที่พวกคุณมีพัฒนาการทางด้านจิตวิญญาณได้นั่นก็เพราะว่าพวกคุณได้เริ่มต้นแสวงหาความเจริญก้าวหน้าแล้ว และเพราะว่าพวกคุณกำลังลงมือกระทำอยู่ และกำลังฝึกฝนปฏิบัติเพื่อให้บรรลุถึงความสำเร็จนั้นอยู่นั่นเอง
<> ความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ เกี่ยวข้องกับการขยายตัวของความเป็นตัวตนของพวกคุณเองให้เข้าไปสู่วิวัฒนาการอย่างสุขุมรอบคอบ
<> ความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ จะทำให้พวกคุณอยู่ในสภาวะแห่งคุณงามความดี
>< แต่..… การมีความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติก็ไม่อาจอนุมานได้ว่าพวกคุณได้บรรลุการรู้แจ้งแล้ว หรือได้เรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกคุณจำเป็นจะต้องเรียนรู้จนหมดสิ้นแล้ว
>< แต่...มันหมายความว่าพวกคุณได้อยู่บนทางสายเอกเส้นนั้นแล้ว ซึ่งเป็นเส้นทางที่ถูกต้องที่จะนำพวกคุณไปสู่การรู้แจ้งได้ต่างหากเล่า

•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•

ความศักดิ์สิทธิ์ของพวกคุณเอง จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในลักษณะของโชคช่วยในสถานการณ์ที่กำลังย่ำแย่ได้อย่างทันท่วงที

ตอนที่ 8 :
>> ดังนั้น พวกเราจึงจะขอให้คำจำกัดความของคำว่า “ความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ” ไว้ในสองระดับชั้น หรือ สองระยะ ดังนี้ :-
: 1). ความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติแบบมีเงื่อนไข (Conditional Impeccability) :

ความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติในระดับนี้ คือ ความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติสำหรับรูปธรรมชีวิตที่ยังมีพัฒนาการไม่สูงมากนัก แต่ก็กำลังฝึกฝนปฏิบัติเพื่อการรู้แจ้งอยู่ กำลังทำดีที่สุดอยู่ กำลังใช้ความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่ เพื่อทำในสิ่งที่ถูกต้องอยู่ แม้ว่าอาจจะยังมีความไม่รู้ และยังมีความเข้าใจผิด เพราะความไร้เดียงสาอยู่บ้างก็ตาม

ซึ่งพวกเราหมายความว่า นั่นก็เพราะพวกคุณเชื่อจริงๆจังๆว่า สิ่งที่พวกคุณกำลังทำอยู่นั้น มันคือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว แม้ว่ามันจะไม่ใช่ความจริงอันสิ้นสุด หรือความจริงที่สมบูรณ์แบบก็ตาม แต่พวกคุณทุกคนต้องผ่านระยะนี้ด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งในระยะนี้ ถ้าพวกคุณทำอะไรผิดพลาดไป มันก็คือความผิดพลาดแบบซื่อๆ เพราะว่าพวกคุณเชื่อจริงๆว่าพวกคุณกำลังทำในสิ่งที่พวกคุณรู้สึกว่ามันถูกต้องอยู่

: 2) ความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติแบบผู้รู้ผู้ตื่น (Mastery Impeccability) :
ความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติในระยะนี้ เป็นของจิตวิญญาณที่กำลังมีประสบการณ์ในร่างมนุษย์ ที่เป็นผู้รู้ผู้ตื่นแล้ว เป็นผู้ที่มีพัฒนาการทางด้านจิตวิญญาณสูงมากแล้ว และเป็นผู้ที่ยึดมั่นในสัจจะของตนเอง พวกเขาจะไม่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นภายในระหว่างสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นหนทางที่ถูกต้อง กับสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่
ซึ่งทั้งสองระยะนี้จะไปกระตุ้นให้เกิดสิ่งที่พวกคุณอาจเรียกว่า “สภาวะแห่งกุศลผลบุญที่ถูกเร่งขึ้น “ ซึ่งเป็นความช่วยเหลือจากความศักดิ์สิทธิ์ของตัวคุณเอง เพื่อช่วยให้สถานการณ์ต่างๆเกิดผลสำเร็จขึ้นเมื่อคุณกำลังพยายามทำอย่างสุดความสามารถของคุณอยู่

มันอาจถูกเข้าใจว่าเป็นความช่วยเหลือจาก “เทพผู้พิทักษ์” (Guardian Angel) ก็ได้ เพราะว่าในหลายๆกรณี มันก็คือความช่วยเหลือจากเทพผู้พิทักษ์จริงๆนั่นแหละ เพราะว่าความศักดิ์สิทธิ์ของพวกคุณเอง จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในลักษณะของโชคช่วยในสถานการณ์ที่กำลังย่ำแย่ได้อย่างทันท่วงที

ซึ่งหากพวกเราจะให้คำจำกัดความของคำที่ศาสนาของพวกคุณเรียกกันว่า “บาป” ใหม่นั้นมันก็จะไม่ได้หมายถึงเรื่องที่ขึ้นอยู่กับศีลหรือข้อบัญญัติทางศาสนา(commandments) แต่อย่างใด แต่มันจะหมายถึง “การไม่นำความรู้มาใช้ให้เป็นประโยชน์” มากกว่า ที่เป็นการกระทำที่พวกคุณก็ “รู้” ว่ามันไม่ถูกต้อง หรือการกระทำที่ขัดแย้งกับความเชื่อสูงสุดของตัวคุณเอง

•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•

การที่จะบรรลุเป้าหมายของการเจริญเติบโตด้านจิตวิญญาณได้นั้น คุณต้องเข้าไปยัง “สวนแห่งภูมิปัญญาอันศักดิ์สิทธิ์” แห่งนี้

ตอนที่ 9 : ภูมิปัญญาสถิตย์อยู่ภายใน (Wisdom Is Within)

>> พวกคุณทุกคนอยากมีภูมิปัญญาที่มากขึ้นกว่าที่มีอยู่เดิม ก็จงค้นหา !! แล้วพวกคุณจะพบมัน คุรุทั้งหลาย…. พวกคุณจะพบว่า “ มันได้ถูกซ่อนไว้ข้างในตัวของพวกคุณเอง “ และมันเป็นเรื่องน่าเศร้ามาก ที่มันมักจะเป็นที่สุดท้ายที่พวกคุณจะมองหามัน เพราะมันต้องอาศัยการฝึกฝนและปฏิบัติ

พวกคุณรู้ไหมว่า การเชื่อมโยงอันศักดิ์สิทธิ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์นั้นอยู่ภายในสิ่งที่นักวิชาการของพวกคุณเรียกกันว่า “จิตใต้สำนึก” ซึ่งแม้แต่คัมภีร์ทางศาสนาของพวกคุณเอง ก็ยังบอกเลยว่า พระเจ้าอยู่ภายในตัวของพวกคุณ และยังบอกอีกว่าพวกคุณคือประกายแห่งพระเจ้า

จิตใต้สำนึก หรือสิ่งที่พวกคุณเรียกกันว่า “สมองส่วนหลัง” (back brain) นั้นคือส่วนที่เป็นพระเจ้าของพวกคุณเอง มันคือส่วนที่ยิ่งใหญ่กว่าของพวกคุณเอง (your greater self) ที่บรรจุ” ความรู้แห่งสรรพสิ่งทั้งปวง” (All That Is) เอาไว้ และมันคือส่วนที่เก็บ “ บันทึกแห่งฟ้า “ (Akashic Records) ซึ่งเป็นความทรงจำทั้งหมดของจิตวิญญาณของพวกคุณเอาไว้ เพราะว่า…..” จิตใต้สำนึก ก็คือจิตใจแห่งพระเจ้าที่อยู่ภายในตัวของพวกคุณ “

ดังนั้น การที่จะบรรลุเป้าหมายของการเจริญเติบโตด้านจิตวิญญาณได้จึงจะต้องเข้าไปยัง “สวนแห่งภูมิปัญญาอันศักดิ์สิทธิ์” (Sacred Garden of Wisdom) นี้ และการที่จะเข้าไปในสวนแห่งภูมิปัญญาอันศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ก็ต้องทำจิตใจแห่งอัตตา (ego mind) ให้เงียบสงบลงซะก่อน และนั่นจึงทำให้วิธีการทำสมาธิถูกใช้เป็นประตูทางเข้าเสมอมา

การทำสมาธิ คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้…. “เสียงบรรยายแห่งอัตตาตัวตน “… เงียบสงบลง …และจะทำให้พวกคุณสามารถได้ยิน…. “เสียงจากจิตวิญญาณอันศักดิ์ศิทธิ์” ..(Voice of the Divine Soul) ได้ และพวกเราจะขอพูดซ้ำอีกครั้งว่า มันจำเป็นต้องมีความเพียรพยายาม และมันก็ไม่มีทางลัดใดๆทั้งสิ้น เพราะการบรรลุถึงความเป็นพระเจ้า (God-ness) ให้ได้อีกครั้งหนึ่งนั้น คือเป้าหมายของพวกคุณทุกคนในการดำรงอยู่บนระนาบแห่งความเป็นขั้วนี้ พวกคุณเกิดมาเพื่อที่จะเป็นสิ่งที่พวกคุณน่าจะเป็น นั่นก็คือ เป็นผู้ที่มีการตระหนักรู้คนหนึ่ง เป็นภาคหนึ่งของพระเจ้าในมิติทางกายภาพ และเป็นภาคหนึ่งของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในความเป็นอยู่มีอยู่ (Beingness)

•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•

เมื่อพวกคุณได้เห็นคุณค่าของเวลาที่ชีวิตให้มาแล้ว พวกคุณก็จะสามารถใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด “ เพื่อที่จะทำวันนี้ให้ดีที่สุด “

ตอนที่ 11 : จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด (Seize the Day)

>> ท่านคุรุทั้งหลาย พวกคุณจะยังไม่สามารถอยู่ในสถานะของผู้มีคุณงามความดีที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติได้ จนกว่าพวกคุณจะเห็นคุณค่าของตัวเองอย่างแท้จริงซะก่อน และด้วยเหตุนี้ พวกคุณจึงจะยังไม่ถูกกระตุ้นให้เห็นคุณค่าของเวลาของตัวเอง และใช้มันอย่างเหมาะสมที่สุดอย่างแท้จริงได้

เพราะหากพวกคุณยังไม่รู้จักเห็นคุณค่าของเวลาที่ชีวิตให้มาแล้ว พวกคุณก็จะยังไม่สามารถใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด เพื่อทำให้ดีที่สุดได้ “Carpe Diem” ที่มีความหมายว่า “Seize the day “(ทำวันนี้ให้ดีที่สุด) และมันก็เป็นคำพูดที่เหมาะสมดี (Carpe Diem เป็นภาษาละตินเป็นวลีหนึ่งจากบทกวีของ Horace นักกวีชาวโรมยุค 65 ปีก่อนคริสตกาล – ผู้แปล)

พวกคุณต้องไขว่คว้าทุกช่วงขณะเอาไว้ ! ซึ่งก็ยังมีพวกคุณเป็นจำนวนมาก ที่แม้ว่าจะมีเจตนาดีก็ตาม แต่ก็ปล่อยให้ตัวเองถูกกล่อมให้หลับใหล และจมอยู่แต่ในความพึงพอใจของระยะใดระยะหนึ่งหรือในสภาวะใดสภาวะหนึ่งของเส้นทางชีวิตที่พวกคุณได้เลือกมาแล้ว

พวกคุณหลายคนก็สูญเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ หรือใช้เวลาไม่คุ้มค่า และสิ้นเปลืองภพชาติ ภพชาติแล้วภพชาติเล่า ไปโดยเปล่าประโยชน์ สิ่งที่พวกคุณไม่ยอมเผชิญหน้า สิ่งที่พวกคุณไม่ยอมแก้ไขในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งหรือในภพชาติใดภพชาติหนึ่งนั้นมันก็จะผุดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง แล้วพวกคุณก็จะต้องเจอกับมันซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกว่าพวกคุณจะแก้ไขมันได้สำเร็จ และนั่นก็คือสัจธรรมอันยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งเลยทีเดียวท่านคุรุทั้งหลาย

การรู้จักใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ในโลกแห่งทวิภาวะนี้ เป็นสิ่งสำคัญมาก และนั่นแหละคือภาระหน้าที่อันซับซ้อนอย่างหนึ่ง เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากพวกคุณจะแสวงหาความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติและมันก็มีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องรักตนเองด้วย

เพราะตราบใดที่พวกคุณยังมองไม่เห็นคุณค่าของตัวเองได้อย่างแท้จริงแล้ว พวกคุณก็จะยังมองไม่เห็นคุณค่าของชีวิตและคุณค่าของเวลาของตัวเองได้อย่างแท้จริงด้วย ซึ่งต้องรอจนกว่าพวกคุณจะมองเห็นคุณค่าของเวลาของตนเองได้จริงๆแล้วโน่นแหละ พวกคุณจึงจะไม่ถูกเคี่ยวเข็ญให้ใช้มันไปให้มากที่สุดได้มันเป็นธรรมชาติ

การฝึกฝน คือเครื่องมือพื้นฐานในการแก้ไขปัญหาชีวิต หากปราศจากการฝึกฝนแล้ว มันก็ยากที่พวกคุณจะมีแรงผลักดันที่จำเป็นต่อการหันมาใส่ใจเพื่อลงมือแก้ไขปัญหาของตัวเอง หรือพูดง่ายๆว่า พวกคุณอาจจะกลายเป็นคนที่เฉยชา…ไม่มีความกระตือรือร้น ชะล่าใจ หรือ เกียจคร้านไปเลยก็ได้ บน “บันไดของการเลื่อนระดับขึ้น” (Ladder of Ascension) นี้ พวกคุณอาจจะไต่ขึ้นไปก็ได้ หยุดอยู่กับที่ก็ได้ หรือจะไต่ลงมาก็ได้ด้วย

โลกทางกายภาพในมิติที่ 3 นี้ มันมีกฎอยู่ว่า พลังงานที่อยู่ในระดับสูงๆจะลดระดับลงมาตามธรรมชาติ เมื่อมันอยู่ในสภาวะที่ไม่มีการเคลื่อนไหว และในระนาบทางกายภาพนี้ ตามกฎธรรมชาติแล้ว การอยู่ในสภาวะนิ่งๆสบายๆจึงเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าการเคลื่อนที่ขึ้นไปด้านบน มันเป็นเหตุและผลที่ชัดเจน

“กฎแห่งความรัก” (Law of Love) ซึ่งเป็นกฎที่คอยผลักดันให้ทุกจิตวิญญาณก้าวไปสู่การมีจิตสำนึกที่สูงกว่า และมันจำเป็นจะต้องอาศัยความไม่หยุดนิ่ง (dynamics) … ซึ่งนั่นก็คือ…การลงมือทำ! นั่นเอง
และความเกียจคร้านนั้น.. มันเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของพวกคุณ เพราะการลงมือทำ มันหมายถึงการว่ายทวนกระแสน้ำ….เพราะฉนั้นแล้ว…..จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด! ..

•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
จงใช้เวลาเพื่อทบทวนตัวเองในแบบหลากมิติ และมุ่งมั่นเพื่อที่จะค้นหาว่า ยังมีสิ่งใดหลงเหลือให้ต้องชำระสะสางอยู่อีกหรือไม่
ตอนที่ 12 : ความเป็นระเบียบอย่างสมบูรณ์แบบ (Perfect Order)
>> พวกคุณบางคนพูดและรู้สึกว่า “ทุกๆสิ่งมันเป็นไปอย่างที่มันควรจะเป็นแล้ว ทุกๆอย่างมันเป็นระเบียบอย่างสมบูรณ์แบบดีอยู่แล้ว ” แต่ว่า..ท่านคุรุทั้งหลาย..ตรงนั้นมันยังมีข้อขัดแย้งอยู่นะ ซึ่งก็เหมือนกับหน้าไพ่ที่ไม่ว่าพวกคุณจะมองจากด้านบนหรือด้านล่างของมัน มันก็จะมีด้านที่กลับหัวอยู่เสมอนั่นแหละ พวกคุณเข้าใจหรือไม่ ? คือจากมุมมองของมิติที่สูงกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นระเบียบอย่างสมบูรณ์แบบดีอยู่แล้ว แต่จากมุมมองของมนุษย์โลกที่อยู่ในทวิภาวะนี้ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย!
เพราะถ้ามันเป็นอย่างนั้นได้ มันก็ไม่ต้องมีบทเรียนอะไรแล้วสินะ มันก็ไม่ต้องมีสิ่งที่พวกคุณเรียกกันว่า “การเวียนว่ายตายเกิด” กันแล้ว มนุษย์แต่ละคน จะต้องมองไปรอบๆตัวและรู้ว่าสภาพความทุกข์ของมนุษย์ที่เป็นอยู่บนโลกใบนี้ มันช่างห่างไกลจากความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติเสียจริงๆ …และแน่นอน…ว่ามันจะไม่เป็นไปอย่างที่มันควรจะเป็น จนกว่าพวกคุณจะทำให้มันเป็นซะก่อน!
พลังงานที่ยังไม่ได้สะสางทั้งหมดจะต้องถูกเปลี่ยนสภาพไปให้หมดซะก่อน ก่อนที่พวกคุณจะก้าวเข้าไปสู่ความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติได้ เพราะตราบใดที่พวกมันยังไม่รับการเผชิญหน้า มันก็จะโผล่ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่า จนกว่าพวกคุณจะยินยอมที่จะเผชิญหน้ากับมันและทำให้มันสูญสลายหายไป!
พวกเรากล่าวถึงเรื่องนี้อย่างไม่มีการตัดสินชี้ถูกผิดใดๆ พวกเราแค่ชี้ทางให้พวกคุณ เพื่อช่วยเหลือพวกคุณเท่านั้น เพราะสักวันหนึ่ง ทุกปัญหาก็จะต้องได้รับการเผชิญหน้าอยู่แล้ว ยิ่งพวกคุณก้าวหน้าขึ้นไปมากเท่าไร พวกคุณก็จะยิ่งเก็บกวาดเศษเล็กเศษน้อยชิ้นสุดท้ายที่ยังหลงเหลืออยู่ของปัญหาที่ยังไม่ได้ถูกสะสางได้ยากมากขึ้นเท่านั้นด้วย เพราะพวกมันมักจะถูกซ่อนเร้นไว้อย่างมิดชิดเสมอๆ ซึ่งพลังงานที่ยังไม่ได้รับการสะสางหรือปัญหาสุดท้ายเหล่านี้ก็จะกลายเป็นสิ่งที่มีขั้ว และถูกขับไล่ออกไปจากขอบเขตความนึกคิดของพวกคุณ แล้วมันก็จะถูกลืมและตกค้างอยู่ต่อไปอีกหลายภพชาติ
ดวงใจอันเป็นที่รักทั้งหลาย…. จงใช้เวลาเพื่อทบทวนตนเองในแบบหลากมิติ อันเป็นคุณลักษณะแห่ง Mer-Ka-Na เถิด (Mer-Ka-Na เป็นอะไรที่เกี่ยวกับจิต หรือจิตใต้สำนึกครับ – ผู้แปล) และโปรดมุ่งมั่นค้นหาว่ายังมีสิ่งใดเหลืออยู่ ให้ต้องชำระสะสางอีกหรือไม่เถิด
•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
แม้แสงสว่างอันเจิดจ้าของคุณจะไปดึงดูดสิ่งที่มีขั้วตรงกันข้ามกันให้เข้ามามากยิ่งขึ้น..แต่คุณก็สามารถจัดการกับมันได้

ตอนที่ 13 : ฟิสิกส์แห่งความเป็นขั้ว – กฎแห่งการดึงดูดสิ่งที่ตรงกันข้าม

>>ท่านคุรุทั้งหลาย …
::- ยิ่งพวกคุณเข้าไปใกล้แสงสว่างมากขึ้นเท่าใดพวกคุณก็จะยิ่งดึงดูดความมืดให้เข้ามาหาได้มากขึ้นเท่านั้นด้วย” แสงสว่างย่อมดึงดูดแมลงให้เข้ามาหาเสมอ! และ
::- ยิ่งพวกคุณก้าวหน้ามากขึ้นเท่าไร พวกคุณก็จะยิ่งดึงดูดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ให้เข้ามาหาได้มากขึ้นเท่านั้นด้วย และมันก็ยิ่งจะต้องใช้สติปัญญาเพื่อแก้ไขปัญหามากขึ้นตามไปด้วย

และด้วยเหตุนี้ คุณลักษณะความเป็นขั้วของ “กฎแห่งการดึงดูดสิ่งที่ตรงกันข้าม” (Law of Opposite Attraction) จึงเข้ามามีบทบาทด้วย แต่ถ้าพวกคุณอยู่ในสภาวะของการอุเบกขาได้สิ่งที่เกิดขึ้นก็จะเป็นแค่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเท่านั้น เพราะว่า “พลังงานบวกล้วนๆ จะมีแรงดึงดูดด้านแม่เหล็กต่อพลังงานลบมากที่สุด”

ดังนั้น ยิ่งแสงสว่างของพวกคุณเจิดจ้ามากขึ้นเท่าไหร่แรงดึงดูดสิ่งที่มีขั้วตรงกันข้ามกัน ก็จะยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้นด้วย แต่พวกคุณก็สามารถที่จะจัดการกับมันได้ เพียงแต่พวกคุณจะต้องมีแสงสว่าง มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความเข้มแข็ง และมีการฝึกฝนปฏิบัติเพื่อเบี่ยงเบนมันออกไปเท่านั้น ดังนั้น การจัดการกับคำสบประมาท, กับพลังงานอันรุนแรงของความริษยา,กับความเกลียดชังและความโกรธ ก็คือปริศนาชิ้นสำคัญสู่การบรรลุความเป็นผู้รู้ผู้ตื่นที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ

พวกคุณจะมีวิธีจัดการกับสิ่งนี้ได้อย่างไร ? … ก็เพียงแค่อย่าไปถือสาหาความ (Don’t take anything personally)’ ซึ่งบางทีการพูดมันก็ง่ายกว่าการทำ แต่มันก็เป็นเรื่องจริงทีเดียว

ในคัมภีร์ไบเบิ้ลของพวกคุณ ก็มีกล่าวถึงเรื่องของการหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้ตบเอาไว้ด้วย …
(“ผู้ใดตบแก้มท่านข้างหนึ่ง จงหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้เขาตบด้วย” (ลก 6:29) – ผู้แปล)

แล้วมันหมายความว่าอย่างไร? มันไม่ได้หมายถึง การที่พวกคุณสามารถยกโทษให้กับคนที่เหยียบเท้าของพวกคุณได้หรอกนะ เพราะจริงๆแล้ว มันหมายความว่า “จงยืนหยัดอยู่ในสัจธรรมของตัวคุณเอง” แล้วมันก็หมายถึงว่า พวกคุณจะต้องไม่ไปเหยียบเท้าใครเข้าให้ด้วยนะ ไม่ว่าจะด้วยเจตนาหรือไม่ก็ตาม นี่พวกคุณเข้าใจไหม ?

•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
พวกคุณต่างก็มีโอกาสที่จะอยู่ใน ”ความสมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ “ ได้ทุกๆวัน
ตอนที่ 14 :
>> การยืนหยัดอยู่ในความถูกต้องของตัวเองคือ การแสดงออกอย่างสันติ มันคือการแสดงออกถึงความมีเมตตากรุณาต่อการรุกราน ที่จะช่วยรักษาคุณงามความดี และความสง่างามของทั้งสองฝ่ายเอาไว้ และมันก็จะส่งพลังงานที่รุกรานเข้ามากลับคืนไปยังต้นตอของมันได้โดยปราศจากความอาฆาตพยาบาท จะมีแต่ความรัก
และในท่ามกลางความขัดแย้ง พวกคุณแต่ละคนก็ยังมีโอกาสที่จะยืนอยู่ใน “ความสมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ” ได้เสมอ …เพราะ -:- พวกคุณสามารถจัดการกับปัญหาข้อขัดแย้งนั้นได้ โดยไม่ต้องเข้าไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งของมัน พวกคุณเข้าใจไหม ? และ -:- พวกคุณสามารถรับมือกับมัน และ เผชิญหน้ากับมันได้โดยไม่ต้องเข้าไปมีอารมณ์ร่วมกับมันได้ “ ด้วยการทำตัวเป็นผู้สังเกตการณ์ “ ก็พอ
ถึงมันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มันก็เป็นวิถีแห่งคุรุ เพราะการที่พวกคุณ ‘ไม่ไปถือสาหาความ (Don’t take anything personally)’ นั้น ก็เท่ากับว่าพวกคุณวางเฉยต่อการตอบสนองกับอารมณ์เหล่านั้นแล้ว
พวกคุณแต่ละคนมีโอกาสที่จะอยู่ใน ความสมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ ได้ทุกๆวัน เพราะว่าในสถานการณ์ใดก็ตาม ที่พวกคุณสามารถตระหนักรู้ถึงความล้มเหลวของตัวเอง, หรือความขัดแย้งของตัวเอง และกับความถูกต้องเหมาะสมได้ นั่นแหละ!! คือวันที่พวกคุณอยู่ในความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติและแน่นอนว่ามันก็เป็นการเดินทางอย่างหนึ่ง เพราะมันก็เหมือนกับการที่พวกคุณ ยืนหยัดอยู่บนความเป็นจริงของตัวเองและพยายามที่จะยอมรับในความเป็นจริงของผู้อื่นด้วยเช่นกัน เพราะพวกคุณก็กำลังอยู่ในความถูกต้องเหมาะสมแล้วด้วยเช่นกัน
การที่จะบรรลุและเข้าถึงสภาวะจิตใจแห่งพระเจ้าได้ ก็ด้วยการผ่านคลื่นความสั่นสะเทือนของ Mer-Ka-Na คริสตัลไลน์ที่อยู่ภายในคลื่นความคิดแบบคริสตัลเท่านั้น เพราะกระแสความคิดแบบคริสตัลไลน์ จะอยู่เหนืออารมณ์ อยู่เหนือความรู้สึกหยุมหยิม มันจะสำเร็จลงได้ด้วยการวางอุเบกขา และมันคือ ทะเลสาบคริสตัลแห่งซัมบาลา (crystalline lake of Shamballa) มันคือนิพพานที่แท้จริง ที่เรียบเนียนราวกับกระจกที่ปราศจากคลื่นใดๆมาบิดเบือนภาพสะท้อนของมัน
•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
หากพวกคุณไม่ยอมเรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีตของตัวเอง พวกคุณก็จะเป็นผู้ที่กำหนดโชคชะตาที่ซ้ำๆซากๆเช่นนั้นอีกให้กับตัวเอง

ตอนที่ 15 :

สวัสดีท่านคุรุและ ที่รักทั้งหลาย ….มันมีวิทยาศาสตร์อยู่เบื้องหลัง “กฎแห่งการดึงดูด” (Law of Attraction) และวิทยาศาสตร์นั้นก็คือ “กฎแห่งความเชื่อ” (Law of Belief) และกฎแห่งความเชื่อ คือ กฎที่คอยจัดการกับสิ่งที่พวกคุณสร้างขึ้นมาในชีวิตของพวกคุณ ซึ่งภายในกฎแห่งความเชื่อนี้ ประกอบไปด้วยภาคผนวกของ “โจทย์” ต่างๆ ที่พวกคุณได้วางแผนไว้และทำข้อตกลงไว้กับตัวเอง เพื่อการเติบโตทางด้านจิตวิญญาณของพวกคุณเอง

แน่นอนว่า บทเรียนทั้งหลายที่พวกคุณเองเป็นผู้จัดเตรียมไว้นี้จะสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้ก็ด้วยการเผชิญหน้ากับมัน ด้วยการมุมานะฝึกฝนและปฏิบัติเท่านั้น เพราะฉะนั้น มันจึงมีความสำคัญยิ่งที่พวกคุณจะต้องระลึกไว้อยู่เสมอว่า “ ชีวิตของพวกคุณไม่เคยเป็นไปตามยถากรรมเลย “ พวกคุณไม่เคยถูกปล่อยให้ต้องเผชิญกับโชคชะตาที่ไม่สามารถอธิบายได้อย่างสิ้นหวัง เหมือนเรือที่หลงทางอยู่กลางทะเลเลย
ท่านคุรุทั้งหลาย ไม่มีสาเหตุใดเลย ที่จะสามารถควบคุมพวกคุณได้ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ทางจิตใจ หรือเหตุการณ์ทางกายก็ตาม เพราะ เมื่อใดที่มนุษย์อย่างพวกคุณมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงศักยภาพอันมหาศาลของสมองของตัวเอง ที่เก็บบันทึกความเชื่ออันหลากหลายที่สรุปรวบยอดมาจากประสบการณ์ของตัวเองแล้ว พวกคุณก็จะเข้าใจว่าพวกคุณมีทางเลือกอยู่มากมายก่ายกองนับอนันต์
แต่สำหรับพวกคุณหลายคน ที่ยึดติดอยู่แต่กับความเชื่อเก่าๆ และความเชื่อที่มีข้อจำกัดเหล่านั้น พวกคุณก็จะจมปลักอยู่แต่ในวัฏจักรของการสนองตอบในแบบที่ได้ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วก็วนไปวนมาอยู่อย่างนั้น… ซึ่งการตอบสนองที่ว่านี้ก็รวมถึงการมีแนวโน้มที่จะปิดกั้นวิธีการแก้ปัญหาวิธีใหม่ๆด้วย ตลอดจนถึงการปฏิเสธความคิดที่ดีกว่าด้วย
ในกรณีนี้ หมายความว่า หากพวกคุณไม่ยอมเรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีตของตัวเองพวกคุณก็จะเป็นผู้ที่กำหนดโชคชะตาที่ซ้ำๆซากๆเช่นนั้นให้กับตัวเองอีก และแน่นอนว่า พวกคุณก็จะต้องวนเวียนอยู่ในวงจรที่ซ้ำๆซากๆนั้นต่อไปจนกว่าพวกคุณจะเรียนรู้ให้ได้ซะก่อนว่าวิธีการทำงานของกระบวนการที่จะเข้าให้ถึง “จิตใจอันศักดิ์สิทธิ์/จิตใจแห่งพระเจ้า”(Divine Mind) นั้นเป็นอย่างไร นั่นแหละ…จึงจะเป็นความเป็นจริงสำหรับมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม
•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
สิ่งที่เรียกว่า’กรรม’นั้น มันไม่ใช่“หนี้”ที่ใครต้องชดใช้ให้กับใครอื่น แต่เป็นหนี้ที่ต้องชดใช้ให้กับตัวเองเพื่อให้ตัวเองสมดุล
ตอนที่ 16 : พวกคุณจะต้องกล้าท้าทายตนเองเพื่อปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระ
(You must challenge yourself to break free)
>> กฎ 3 ข้อ (Three Laws) ซึ่งภายใต้กฎแห่งการดึงดูดนี้ มันมีกระบวนการย่อยๆที่แตกต่างกันอยู่ 3 กระบวนการ ซึ่งทั้ง 3 กระบวนการนี้ ก็จะมีเงื่อนไขแห่งการบรรลุผลที่แตกต่างกันอยู้่อย่างชัดเจน ซึ่งพวกเราจะขอให้คำจำกัดความ ของคุณลักษณะหลักๆของแต่ละกฎไว้ดังนี้ :
:::- กฎของการดึงดูด (The Law of Attraction ) : ความคิดทั้งหลายมีคลื่นความถี่ของตัวมันเอง และจะดึงดูดคลื่นความถี่ที่เหมือนกันเข้ามาหามัน
:::- กฎแห่งความเชื่อ (The Law ofBelief) : การรู้แบบไม่มีข้อสงสัยเลย พวกคุณจะสามารถเนรมิตได้ก็เฉพาะสิ่งที่พวกคุณเชื่อว่ามันเป็นไปได้เท่านั้น :::- กฎแห่งการสร้างสรรค์อย่างมีสติสัมปชัญญะ (The Law of Conscious Creation) : ความสามารถในการเนรมิตสิ่งที่ปรารถนา &เหตุการณ์ต่างๆออกมาด้วยความตั้งใจ และอย่างมีสติสัมปชัญญะผ่านทางจิตที่เป็นหลากมิติในสนามพลังงาน Mer-Ka-Na. (ปล. Mar-Ka-Na คือระบบกายแห่งแสงสว่างของเรา – ผู้แปล) โจทย์ที่อยู่ในพันธะสัญญาทางจิตวิญญาณ (Soul Contract Set-Ups)

ดังนั้น พวกเราจึงขอย้ำให้ชัดๆลงไปอีกครั้งว่า ความเชื่อทั้งหลายของพวกคุณเองนั่นแหละ ที่ถูกฉายออกมาแล้วไปสร้างโลกแห่งความเป็นจริงส่วนตัวและส่วนรวมของพวกคุณเองขึ้นมา อย่างที่พวกเราได้สนทนากันไปแล้ว

ซึ่งในหัวข้อของข้อความก่อนหน้านี้ มันมีบทละครที่ถูกวางแผนเอาไว้แล้ว โดยตัวตนที่สูงส่งกว่าของพวกคุณเอง ตัวตนด้านที่เป็นจิตอันศักดิ์สิทธิ์/จิตแห่งพระเจ้าในตัวพวกคุณเอง ซึ่งบทละครเหล่านี้อาจเรียกได้ว่า คือ “โจทย์” หรือ ข้อตกลงทางจิตวิญญาณที่พวกคุณ ตัวคุณเอง ได้เลือกเอาไว้ เพื่อใช้เป็นบทเรียนสำหรับการเจริญเติบโตด้านจิตวิญญาณของพวกคุณเอง เพื่อช่วยให้พวกคุณมีสติปัญญาเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น

พร้อมกันนี้พวกเรายังมีสิ่งที่อยากจะเตือนความจำของพวกคุณอยู่อีก พวกเราอยากจะบอกพวกคุณอีกด้วยว่า สิ่งที่พวกคุณเรียกกันว่า “กรรม” นั้นในความหมายที่สูงส่งกว่าแล้ว มันไม่ใช่ “หนี้” ที่ใครคนหนึ่ง จะต้องไปชดใช้ให้กับใครอีกคนหนึ่งเลย แต่มันคือการเป็นหนี้ตัวเอง ที่จะต้องชดใช้ให้กับตัวเอง เพื่อเป็นการทำให้ความศักดิ์สิทธิ์/พระเจ้าในตัวเองเกิดความสมดุลขึ้น

พวกเราขอยืนกรานอีกด้วยว่า ถ้าจุดประสงค์หรือเป้าหมายในโลกแห่ง 3 มิตินี้ของพวกคุณมีความขัดแย้งกับจุดประสงค์หรือเป้าหมายของตัวตนที่สูงส่งกว่าของพวกคุณเองละก็ ส่วนใหญ่แล้วมันก็จะไม่สามารถถูกเนรมิตให้เป็นจริงขึ้นมาได้ เว้นเสียแต่ว่ามันจะถูกเลือกมา เพื่อเป็นบทเรียนสำหรับพัฒนาการทางด้านจิตวิญญาณของพวกคุณเองเท่านั้น

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าใครคนหนึ่งปรารถนาความมั่งคั่ง แต่ความมั่งคั่งนั้นจะถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดๆ หรือจะไปยับยั้งกระบวนการเจริญเติบโตทางด้านจิตวิญญาณ ตัวตนที่สูงส่งกว่าของคนๆนั้น ก็อาจจะปฏิเสธไม่ให้ความปรารถนานั้นถูกเนรมิตออกมาได้ ซึ่งในบางกรณี มนุษย์ผู้ที่มีทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่จำเป็นต้องมีในโลกแห่งวัตถุธาตุ ในมิติที่ 3 นี้แล้ว มักจะไม่ค่อยมีแรงกระตุ้นให้แสวงหาความก้าวหน้ามากนัก

ที่รักทั้งหลาย เมื่อใดที่พวกคุณพบว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในข้อจำกัดของประสบการณ์ใดก็ตามที่ทำให้เกิดความไม่สะดวกสบายขึ้นหรือเป็นสิ่งที่พวกคุณไม่ชื่นชอบ พวกคุณก็ควรเข้าใจไว้ด้วยว่า พวกคุณเองนั่นแหละ ที่เป็นคนสร้างสิ่งที่ดูคล้ายกับว่าเป็นปัญหานั้นๆขึ้นมา

เพราะฉะนั้นแล้ว… สิ่งที่อยู่ภายใต้ข้อเท็จจริงอันนี้ และภายใต้ระบบทวิภาวะนี้ มันจะต้องมีอยู่ในสถานการณ์ต่างๆร่วมกับกาลเวลาในแบบที่เป็นเส้นตรง เพื่อให้พวกคุณต้องเผชิญหน้าอยู่อย่างแน่นอน

•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
ไม่ใช่แค่ ‘เปลี่ยนวิธีการคิด ‘ แต่คุณต้อง ‘ เปลี่ยนความเชื่อ ‘ในสิ่งที่คุณคาดหวังด้วย ..ความสัมฤทธิ์ผลจึงจะบังเกิดขึ้น

ตอน 17

>> ดังนั้น ไม่ว่าคนๆนั้นจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม แต่ทุกๆสถานการณ์ และทุกๆการกระทำที่เป็นผลลัพธ์ที่มาจากมัน ไม่ว่ามันจะถูกตัดสินว่าดีหรือเลวร้ายขนาดไหนก็ตาม สิ่งเหล่านั้นก็คือสิ่งที่คนๆนั้นสร้างขึ้นมาด้วยตัวของเขาเองอย่างแท้จริง

ตัวอย่างเช่น ถ้าในสถานการณ์รุนแรงอย่างหนึ่ง ที่มีการกระทำผิดเกิดขึ้นจริงและผู้กระทำผิดคนนั้น ก็ถูกตัดสินให้จำคุกตามสมควรแก่ความผิดแล้ว การกระทำเหล่านั้นก็จะต้องได้รับการเผชิญหน้าและถูกมีประสบการณ์ในสถานการณ์ที่เป็นรูปแบบที่เป็นทวิภาวะ…

ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ผู้ต้องหาที่ถูกตัดสินนี้ จะไม่สามารถหลบเลี่ยงมันไปได้ง่ายๆเลย เพราะพวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับความเป็นทวิภาวะ ที่พวกเขาได้สร้างมันขึ้นมา

ในเส้นเวลาแบบเป็นเส้นตรงนี้ มันมี “กฎแห่งเหตุและผล”(Law of Cause and Effect) อยู่ในโลก 3 มิตินี้ ที่จะต้องเล่นกันให้จบเกมส์ ในเรื่องของความรับผิดชอบ ไม่ใช่จะมีเฉพาะต่อการกระทำของตัวเองเท่านั้น แต่ต้องมีความรับผิดชอบต่อความเชื่อของพวกคุณเองด้วย เพราะนั่นเป็นกุญแจสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับกระบวนการเจริญเติบโตทางจิตวิญญาณของพวกคุณเอง ในการมาเรียนรู้บทเรียนบนโลกใบนี้

ซึ่งถึงแม้ว่าคุณจะยอมรับในความเป็นเจ้าของ ด้วยการรับผิดชอบต่อการกระทำ และความเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดก็ตาม แต่การที่จะเปลี่ยนสภาวะแวดล้อมของพวกคุณเองได้นั้น ก็ต่อเมื่อ คุณต้องเผชิญหน้ากับพวกมัน

มนุษย์ที่รักทั้งหลาย พวกคุณจะต้องเข้าใจว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกคุณพยายามหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบต่อการกระทำของพวกคุณเอง ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว พวกคุณก็มักจะทำแบบนั้น โดยการพยายามโยนความรับผิดชอบอันนั้น หรือความผิดอันนั้น ให้กับผู้อื่น หรือกลุ่มอื่น หรือ สาเหตุอื่นไป

แต่ทว่า ในกระบวนการปัดความรับผิดชอบในความผิดออกไปนั้น ก็เท่ากับว่าพวกคุณได้โยนพลังอำนาจของตัวคุณเองทิ้งไปโดยไม่รู้ตัว และเท่ากับว่าพวกคุณได้ละเลยต่อสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของความผิดอันนั้นไป ซึ่งก็จะทำให้สิทธิ์นั้น ย้อนกลับมา ‘สร้างตัวมันขึ้นมาใหม่อีกครั้ง’ได้

เช่นเดียวกับที่พวกเราได้เคยอธิบายเอาไว้แล้ว ในตอนที่ 2 ของบทสนทนาในเรื่องนี้ว่า สิ่งที่ทำให้พวกคุณส่วนใหญ่มีความยากลำบาก ในการที่จะยินยอมกับการรับผิดชอบต่อพฤติกรรมของตัวเอง นั้น ก็คือ ความต้องการที่จะหลบเลี่ยงความเจ็บปวดและความรู้สึกผิดที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการกระทำต่างๆเหล่านั้น มันจึงทำให้พวกคุณไม่ชอบที่จะยอมรับความผิดพลาดของตัวเองในสถานการณ์ที่ไม่ค่อยชัดเจน หรือในหลายๆสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการความขาดแคลน และในด้านสัมพันธภาพที่ไม่ดีทั้งหลาย

ดังนั้น….​​มันไม่ใช่เพียงแค่ “ เปลี่ยนวิธีการคิด “ อย่างมีสติสัมปชัญญะของพวกคุณเองเท่านั้น แต่พวกคุณจะต้อง “เปลี่ยนความเชื่อ “ เกี่ยวกับสิ่งที่พวกคุณคาดหวังทั้งหลายเหล่านั้นออกไปเสียก่อนอีกด้วย….จากนั้น จึงกระทำไปตามความเชื่อนั้นๆ

•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
เมื่อคุณเข้าใจได้ถ่องแท้ว่า ความเชื่อของคุณคือผู้สร้างโลกแห่งความเป็นจริงของคุณเองขึ้นมา คุณก็จะไม่ต้องเจอกับเหตุการณ์ซ้ำๆอีก
ตอนที่ 18 : การโปรแกรมอย่างไม่รู้ตัว (Unconscious Programming)

>> พวกคุณสร้างโลกแห่งความเป็นจริงของตนเองขึ้นมาจากความเชื่อที่พวกคุณเลือกที่จะเชื่อเกี่ยวกับตัวคุณเองและโลกที่อยู่รายล้อมรอบตัวพวกคุณ ซึ่งในบางขณะ หากพวกคุณไม่เลือกความเชื่อของตัวเองอย่างรอบคอบ และอย่างมีสติแล้ว พวกคุณก็จะถูกโปรแกรมโดยไม่รู้ตัว พวกคุณจะซึมซับเอาความเชื่อเหล่านั้นเข้าไป ไม่ว่าจะมาจากวัฒนธรรม จากโรงเรียน และสิ่งที่อยู่รอบๆตัวพวกคุณในมิติที่ 3 แห่งนี้ อย่างไม่มีเหตุผล

ดังนั้น …ไหนๆพวกคุณก็จะต้องรับผิดชอบและมีคำตอบให้กับทุกๆการกระทำของตัวเองอยู่แล้วใช่ไหม ? แล้วทำไมพวกคุณจึงไม่สมควรที่จะมีคำถามให้กับทุกๆความเชื่อของตัวเองหละ ?

เพราะ ไม่ว่าพวกคุณจะกำหนดคำนิยามของตัวคุณเองและของโลกที่อยู่รอบๆตัวพวกคุณ ให้มันเป็นอย่างไรก็ตาม มันก็จะไปสร้างความเชื่อของพวกคุณให้เป็นไปตามนั้นด้วย และ ความเชื่อเหล่านั้นนั่นแหละ ที่จะสร้างโลกแห่งความเป็นจริงของพวกคุณเองขึ้นมา

แต่หากเมื่อใดที่พวกคุณเข้าใจได้อย่างถ่องแท้แล้วว่า ความเชื่อของพวกคุณเองคือผู้ที่สร้างโลกแห่งความเป็นจริงของพวกคุณเองขึ้นมา …. เมื่อนั้นและก็แค่เมื่อนั้นเท่านั้น…พวกคุณก็จะไม่ตกเป็นเหยื่อของเหตุการณ์ต่างๆที่พวกคุณจะต้องพบเจออีกต่อไป ​

ซึ่งมันจะสัมฤทธิ์ผลได้นั้น ก็ต่อเมื่อพวกคุณได้เรียนรู้กลไกและวิธีการทำงานต่างๆของมัน และโปรแกรมของความเชื่ออันนั้น ให้ไปลบล้างและไปแทนที่ความเชื่อเดิมๆที่ผิดๆทั้งหลายได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้วเท่านั้น

และวงจรหรือกระบวนการที่จะเรียกได้ว่าครบถ้วนและสมบูรณ์แบบตามกฎทั้ง 3 ข้อนั้น ขึ้นอยู่กับการทำงานทั้ง 3 ขั้นตอน อันได้แก่ ….
:- การยอมรับเป็นเจ้าของ (own),
:- การเปลี่ยนแปลง(change),
:- การลงมือกระทำ (action)
อีกทั้งความรู้สึกนึกคิดจะต้องสอดคล้องไปกับความเชื่อและการกระทำด้วย !ดังนั้น พวกเราจึงขออุทิศเวลาส่วนที่เหลือในการบรรยายนี้ ให้กับเรื่องของ “การสร้างสรรค์อย่างมีสติสัมปชัญญะ”(conscious creation) และ ……
จงจำเอาไว้ว่า พวกคุณมีระดับพัฒนาการมากพอที่จะสร้างสรรค์อย่างมีสติสัมปชัญญะได้แล้ว
•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปซักเท่าไหร่เลย หากยังเชื่อว่าชีวิตในวันนี้ของคุณเป็นผลมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวัยเด็กหรืออดีตชาติ
ตอนที่ 19 : ชีวิตของพวกคุณไม่ได้เป็นไปตามยถากรรม และ
ลองเปลี่ยนความเชื่อในปัจจุบันของพวกคุณดูสิ แล้วชีวิตของพวกคุณจะเปลี่ยนไป>>ชีวิตของพวกคุณไม่ได้เป็นไปตามยถากรรม แต่ที่น่าสนใจคือ พวกคุณกลับเข้าใจผิด ว่ามันเป็นเช่นนั้น นั่นเป็นเพราะความเชื่อใช่ไหม ? ขอให้คุณลองใช้เวลาไตร่ตรองดู และนี่ล่ะคือ กฎแห่งความเชื่อห หากพวกคุณเชื่อว่าสถานการณ์ต่างๆทำให้พวกคุณต้องติดกับดักแล้วละก็ มันก็จะเป็นเช่นนั้นจริงๆ และมันก็จะเป็นเช่นนั้นไปเรื่อยๆจนกว่าพวกคุณจะเปลี่ยนความเชื่อหลักอันนั้นของพวกคุณได้เสียก่อน
:- พวกคุณคือผู้สร้างที่กำลังเรียนรู้วิธีที่จะเป็นผู้ร่วมสร้างอยู่
:- พวกคุณมาอยู่ที่นี่เพื่อที่จะเรียนรู้ว่า พวกคุณสามารถที่จะสร้างสรรค์สิ่งต่างๆขึ้นมาได้ และ
:- พวกคุณก็กำลังสร้างอยู่แล้วด้วย เพราะหนึ่งในเหตุผลสำคัญของการมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นทวิภาวะแห่งนี้ของพวกคุณ ก็เพื่อมาเรียนรู้วิธีที่จะสร้างสรรค์อย่างมีความรับผิดชอบ และอย่างมีสติสัมปชัญญะ ซึ่งผู้เชียวชาญคนสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อยู่ ก็มักจะเป็น “ด็อกเตอร์เหตุและผล”(Dr.Cause & Effect) และด็อคเตอร์คนนี้แหละ ที่มักจะมาเยี่ยมไข้ที่บ้านเสมอๆ !

พวกคุณหว่านพืชอะไรไป ก็จะได้เก็บเกี่ยวผลผลิตอันนั้นมา และถึงแม้ว่าผลผลิตที่เก็บเกี่ยวมานั้นจะเป็นความไม่สะดวกสบาย และไม่เป็นผลดีเลยก็ตาม แต่มันก็คือวิธีการที่จะทำให้พวกคุณได้พิจารณาว่า อะไรที่ทำให้พวกคุณต้องได้รับผลแบบนั้น

ดังนั้น เพื่อยุติสถานการณ์ต่างๆที่มีสาเหตุมาจากภาวะแห่งจิตของเราเอง มันจึงจำเป็นต้องอาศัยการฝึกฝนและปฏิบัติ เพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ซึ่งกุญแจสำคัญก็คือ ความเชื่อ ของพวกคุณเองอีกนั่นแหละ

แต่มันจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือแตกต่างไปซักเท่าไหร่เลย หากพวกคุณยังเชื่ออยู่ว่าชีวิตในปัจจุบันนี้ของพวกคุณเป็นผลสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับพวกคุณแล้วตั้งแต่ในวัยเด็ก หรือเป็นผลสืบเนื่องมาจากอดีตชาติของพวกคุณเอง ซึ่งพวกคุณรู้สึกว่าทั้งวัยเด็กและอดีตชาตินั้นมันอยู่นอกเหนือการควบคุมของพวกคุณ

เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตของพวกคุณ และ ประสบการณ์ต่างๆของพวกคุณ ล้วนเป็นผลสืบเนื่องมาจากความเชื่อในปัจจุบันของพวกคุณเองทั้งสิ้น ลองเปลี่ยนความเชื่อในปัจจุบันของพวกคุณดูสิ แล้วชีวิตของพวกคุณจะเปลี่ยนไป และไม่เพียงแต่ชีวิตในปัจจุบันของพวกคุณเท่านั้นนะ แต่จะรวมถึงอดีต และอนาคตของพวกคุณอีกด้วยที่จะเปลี่ยนไปด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งนั่นก็คือ พลังอำนาจในการสร้างสรรค์ของความเชื่อ
ท่านคุรุทั้งหลาย ไม่ว่าพวกคุณจะมีระดับแสงสว่างอยู่ในสัดส่วนมากน้อยเพียงใดก็ตาม และไม่ว่าพวกคุณจะกำลังสร้างสรรค์ด้วยความไม่รู้ตัวอยู่ หรือกำลังเนรมิตอย่างมีสติสัมปชัญญะอยู่ก็ตาม พวกคุณก็ไม่อาจหลีกหนีจากความเชื่อของพวกคุณเองไปได้ เพราะว่ามันคือตัวเร่งปฏิกิริยาสำหรับการสร้างสรรค์ประสบการณ์ของพวกคุณ
•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
กระบวนการสร้างสรรค์จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อคุณมีคุณสมบัติของความเป็นคริสตัลไลน์ ที่มีสนามพลังออร่าที่สมดุลและเหมาะสม
ตอนที่ 20 : กระบวนการต่างๆของสมองและจิตใจ (Processes of Brain and Mind)
>> ท่านคุรุทั้งหลาย เหตุผลที่หนังสือและเทคนิคการสอนเชิงการตลาดส่วนใหญ่ที่เกี่ยวกับวิธีการเนรมิตสิ่งต่างๆให้กลายมาเป็นความจริงนั้น มันใช้ไม่ค่อยได้ผลสักเท่าไหร่นั้น เป็นเพราะว่าพวกเขาขาดความเข้าใจในเรื่องของจิตใจในระดับลึก ที่มีผลต่อสมองในโลก 3 มิตินี้ และส่วนใหญ่แล้ว พวกเขาก็จะเน้นหนักไปทางด้านการเนรมิตเรื่องเงินๆทองๆซะมากกว่า ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็จะมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่ถูกเนรมิตออกมาให้เห็นได้จริงๆ และนั่นก็คือยอดขายจากการจำหน่ายหนังสือนั่นเอง
มันมีอยู่หลายแง่มุม ทีไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นตัวหนังสือได้ เพราะมันมีความแตกต่างทางภาษาอยู่มากมาย และต่อให้พวกคุณเปิดใจแล้วก็ตาม แต่พวกคุณก็จะต้องมีสนามพลังออร่าที่สมดุลและเหมาะสมด้วย เพื่อที่จะให้มันมีคุณลักษณะของความเป็นคริสตัลไลน์ กระบวนการสร้างสรรค์จึงจะเกิดขึ้นได้
ซึ่งองค์ประกอบสำคัญๆ ด้านวิวัฒนาการที่จะทำให้สามารถเข้าถึงกฎแห่งการสร้างสรรค์ได้ ได้แก่ :
1: – สมองต้องถูกตั้งโปรแกรมให้มีการพัฒนา และให้ขยายความรู้เข้าไปสู่ ความเชื่อ มากขึ้น
2: – ปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากการควบคุมของอัตตา หรือความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ให้ไปสู่ความเป็นพระเจ้า หรือการมีสภาวะจิตใจของจิตสำนึกที่สูงส่งกว่า
3: – บำรุงรักษาสนามพลังแม่เหล็กไฟฟ้าให้สมดุลอยู่เสมอ
4: – กระตุ้นคุณลักษณะของความเป็นคริสตัลไลน์ในระบบกายแห่งแสงสว่าง หรือ Mer-Ka-Na ของต่อมพิทูอิทารี ต่อมไพนีล และต่อมไธมัส ให้ทำงานขึ้นมา
5: – รักษาความสมดุล & ความกระจ่างใสของจิตใจเอาไว้อยู่เสมอ
มันเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ที่พวกคุณจะต้องเข้าใจว่า สมองในมิติที่ 3 นี้ของพวกคุณซึ่งก็คือด้านที่เป็นอัตตาตัวตน ที่รวมอยู่ในร่างกายแบบ 3 มิตินี้ของพวกคุณนี้ ได้ถูกตั้งโปรแกรมมา ‘เพื่อการอยู่รอด’
และรหัสแห่งการเอาตัวรอด ก็เป็นรหัสโปรแกรมขึ้นมาตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อที่จะนำไปสู่สัญญาณเตือนภัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อควรระวังทั้งหลาย ที่มักจะปรากฎออกมาในรูปแบบของความกลัวและความลังเลสงสัยที่สมองส่วนหน้า ซึ่งเป็นด้านของอัตตาตัวตน ที่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อควบคุมจิตสำนึกแบบ 3 มิติของพวกคุณให้สามารถเลื่อนไหลไปตามกระแสแห่งกาลเวลาแบบที่เป็นเส้นตรงนี้ได้ เพื่อที่จะทำให้พวกคุณอยู่รอดได้ ในระนาบแห่งกายภาพนี้
ฉนั้น….ความท้าทาย ในเรื่องนี้ ก็คือ การก้าวข้ามขอบเขตของจิตสำนึกในมิติที่ 3 นี้ไปให้ได้ ซึ่งพวกคุณจะต้องก้าวข้ามจิตสำนึกแห่งอัตตาตัวตนนี้ไปให้ได้ แล้วเลื่อนขึ้นไปสู่จิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์/จิตแห่งพระเจ้าที่อยู่ภายใน “ศูนย์รวมอำนาจแห่งจิตวิญญาณ” (Seat of the Soul) ซึ่งเป็นประตูทางเข้าไปสู่จิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์/จิตแห่งพระเจ้า
สมอง นั้นอยู่ในมิติที่ 3 …ส่วน จิต เป็นสิ่งที่อยู่ในมิติที่สูงกว่า และภายใน จิต ที่สูงกว่านี้ก็คือ ความศักดิ์สิทธิ์ของพวกคุณเอง สมองจะมีการปฏิบัติการในแบบ 3 มิติ ซึ่งถ้าจะพูดให้ถูกละก็ การโปรแกรมแบบ 3 มิติ อิทธิพลของมันจะอยู่ในสนามแห่งความเป็นทวิภาวะนี้อยู่มาก มันจะมีการปฏิบัติการ ที่อยู่ในกรอบแนวคิดที่มีข้อจำกัดมากกว่า จิต ดังนั้น…การที่จะขยายเข้าไปสู่ จิต ให้ได้นั้น… พวกคุณจะต้องมุ่งมั่นในการปฏิบัติด้วยการออกมาจากกรอบที่จำกัดนั้น เพื่อที่จะได้ใช้พลังความสามารถในการสร้างสรรค์ที่แท้จริงของพวกคุณเองได้
•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
ทุกสิ่งจะเป็นจริงขึ้นมาได้ ก็ต่อเมื่อ คุณได้วางคำว่า ‘ สักวันหนึ่ง…ฉันจะ.. ?? ’ของคุณไว้ที่ ‘ ปัจจุบันขณะ ’
ตอนที่ 21 : จงมีความชัดเจนต่อจุดมุ่งหมายต่างๆของพวกคุณ (Clarity in Your Objectives)
>> ความสำคัญของคำอธิบายที่ชัดเจนเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างสรรค์ มนุษย์โลกอย่างพวกคุณมักจะเริ่มต้นตั้งความปรารถนาของตัวเองไปที่ไม่สมบูรณ์แบบ ด้วยการตั้งขึ้นมาแบบลอยๆว่า “สักวัน ฉันจะ.????. ” ซึ่งนั่น ก็เหมือนกับการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ไม่สมบูรณ์แบบขึ้นมาซักโปรแกรมหนึ่งยังไงยังั้น…. แล้วมันไม่เห็นต้องประหลาดใจใช่ไหม…. ที่มันจะไม่เกิดอะไรขึ้นเลย?
=:= สักวันหนึ่งฉันจะเดินทาง
=:= สักวันหนึ่งฉันจะร่ำรวย
=:= สักวันหนึ่งฉันจะทำความฝันของฉันให้เป็นจริง…
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่กลายเป็นเพียงแค่ “อาจจะ” เฉยๆเท่านั้น ซึ่งเหมือนว่า สิ่งเหล่านั้นมันอยู่ที่ไหนสักแห่งหนึ่งที่มันอยู่แสนไกลดังนั้น สิ่งที่พวกคุณเพียรพยายามที่จะสร้างสรรค์ขึ้นมาทั้งหลาย จึงยังอยู่ในที่ๆแสนไกลตามไปด้วยเสมอ เพราะคำว่า “สักวันหนึ่ง” ที่พวกคุณตั้งโปรแกรมเอาไว้นั้น… พวกคุณไม่ได้วางมันไว้ที่ ปัจจุบันขณะ

มันก็ถูกต้องที่ว่า ความฝัน คือ ส่วนแรก แต่มันต้องชัดเจนรัดกุมและตามมาด้วยการกระทำทั้งหลายที่ชัดเจนอีกด้วย

สมองของพวกคุณมีสองซีก ซีกหนึ่งเกี่ยวโยงกับสติปัญญา อีกซีกหนึ่งเกี่ยวข้องกับความรู้สึก สมองทำงานได้โดยอาศัยการกระตุ้น และการเร้าด้านชีวเคมีทั้งหลาย การโปรแกรมความคิดอย่างเข้มข้น & ชัดเจน คือส่วนที่สำคัญที่สุดในอันที่จะทำให้มันกลายเป็น ความเชื่อ ได้

พวกคุณเห็นไหมว่า สมองของพวกคุณคือคอมพิวเตอร์ที่มีชีวิตแบบ 3 มิติเครื่องหนึ่ง มันจะทำงานจากคำสั่งที่ถูกระบุอย่างชัดเจนเท่านั้น มันจะไม่ทำงานกับคำสั่งว่า ‘น่าจะ’ หรือ ‘ได้ไหม ?

ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีผู้หนึ่งผู้ใดถูกทำให้อยู่ในสภาวะของการถูกสะกดจิตลึกๆ และถูกถามว่า ….”จิตของฉันสามารถรักษาโรคในร่างกายนี้ได้ไหม ?” … คำตอบก็อาจจะเป็นว่า “ได้สิ” แต่ว่านี่ก็เป็นคำตอบในเชิงที่ประจักษ์ชัด ต่อคำถามที่ว่า ‘จิตจะสามารถรักษาร่างกายเนื้อได้หรือไม่ ‘ เท่านั้น มันจึงยังไม่ใช่เป็นการเข้าไปสู่การรักษาเยียวยาอยู่ดี

•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
ความเกียจคร้าน ไม่สามารถทำให้คุณบรรลุเป้าหมายแห่งคุณธรรมอันสูงสุดของคุณได้
ตอนที่ 22 : หนทางแห่งคุณธรรม (The Noble Path)
>> ทุกๆความรู้สึกนึกคิดจะผลิตเอนไซม์ชีวเคมีออกมา ซึ่งเอนไซม์นั้นๆจะทำงานทั้งในระดับกายภาพและไม่ใช่กายภาพ ที่มีความสอดคล้องกับสิ่งที่ได้โปรแกรมเอาไว้ ซึ่งเป็น หนึ่งในข้อยกเว้นของแนวคิดที่ว่า ‘ร้องขอและจะได้รับ’ นั่นก็คือ หากการร้องขอนั้น ไม่ได้ถูกสื่อสารออกมาจากภายในและไม่สอดคล้องกับจิตใจอันสูงส่งกว่าแล้วละก็ มันอาจจะได้ผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ฉนั้น มนุษย์คนใดที่อยู่บนหนทางนี้ และมีภาวะจิตที่สูงมากระดับหนึ่งแล้ว อาจสามารถละความอยากขั้นหยาบๆและรุนแรงซึ่งเป็นอุปสรรคในการกีดขวางการพัฒนาการของพวกเขาได้เป็นอย่างดี และบรรดาผู้ที่มีสภาวะแห่งความดีงามไม่ว่าจะอยู่ในระดับหนึ่งระดับใดก็ตาม พวกเขาจึงมีการกลั่นกรองเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว เพื่อทำให้ทุกเป้าหมายของพวกเขานั้น มีความคุ้มค่า เพราะ เป้าหมายแห่งคุณธรรมอันสูงสุดของพวกเขา..
:- เพื่อมาเรียนรู้ความลี้ลับของชีวิต และ
:- เพื่อเพิ่มพูนสติปัญญา และ
:- เพื่อเป็นผู้ตื่นรู้แต่การที่จะบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ได้นั้น..พวกคุณจะต้องยอมรับเอาความกดดันและความเครียดบางอย่างที่จำเป็นต้องใช้ความพยายามอย่างมากไปด้วย ซึ่งมันจำเป็นต้องอาศัยการฝึกฝนและปฏิบัติและต้องมีความตั้งใจจริงด้วย

หากพวกคุณเกียจคร้าน พวกคุณก็จะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ พวกคุณจะต้องยอมรับเอาภารกิจอันหนักหน่วงนั้น มันถึงจะสำเร็จลุล่วงไปได้

ดังนั้น.. การพยายามที่จะสร้างชีวิตโดยปราศจากปัญหาอุปสรรคใดๆนั้น จึงเป็นการขัดแย้งกับวัตถุประสงค์แห่งการเรียนรู้ของชีวิตอย่างสิ้นเชิง เพราะเป้าหมายทั้งหลาย ย่อมมีความท้าทายอยู่ด้วยเสมอ …เพราะฉะนั้นแล้ว… ท่านคุรุทั้งหลาย จงอย่าไปวางแผนชีวิตไว้ว่าจะต้องปราศจากปัญหาอุปสรรคใดๆเลย

•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
สมองส่วนใหญ่อีก 90% ของคุณ ยังไม่ได้ถูกใช้งาน,ยังไม่ได้ถูกกระตุ้นและได้ถูกตั้งโปรแกรมให้หยุดกิจกรรมต่างๆเอาไว้ชั่วคราวอีกด้วย
ตอนที่ 23 : จิตคือ ผู้สร้าง (Mind is the Builder)

>> จิตคือผู้สร้าง และพลังแห่งเจตนาที่มุ่งมั่นจดจ่อ เป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการทำงานขึ้น ยิ่งพวกคุณมีความรับผิดชอบอย่างเหมาะสมมากพอเท่าไหร่ ความถี่ของพวกคุณก็จะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นเท่านั้นด้วย การเรียนรู้ที่จะตั้งโปรแกรมให้กับสมองเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง สมองคือคอมพิวเตอร์ชีวภาพ ที่มีฟิลเตอร์แบบ 3 มิติ และมีโปรแกรมต่างๆแบบ 3 มิติ ติดตัวมาตั้งแต่เกิด และการตั้งโปรแกรมสมองของพวกคุณ ก็จะมาจากสิ่งที่พวกเราจะเรียกว่า “การปลูกฝังเชิงสังคม-วัฒนธรรม” (socio-cultural indoctrinations) แต่หากพวกคุณไปเกิดในวิหารของทิเบต (Tibetan Monastery) ก็จะได้รับการยกเว้น

การตั้งโปรแกรมโดยสังคมส่วนใหญ่ จะสั่งสอนให้พวกคุณยอมรับมุมมองอันคับแคบมากๆเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ และศักยภาพของมนุษย์ พวกคุณได้ถูกสอนให้เชื่อแต่เพียงในสิ่งที่พวกคุณสามารถสัมผัสได้ด้วยอายตนะทั้ง 5 ซึ่งได้แก่ การเห็น การได้ยิน การลิ้มรส การได้กลิ่น และการสัมผัสเท่านั้น

ที่รักทั้งหลาย จงรู้ไว้ว่า โลกแห่งวัตถุธาตุทางกายภาพ ที่พวกคุณมองเห็นอยู่รอบๆตัวพวกคุณนี้คือมายาการ ที่พวกคุณแปลความหมายและฉายภาพของมันออกมาจากความรู้สึกของพวกคุณเองทั้งสิ้น

มันถูกรับรู้ด้วยตา แล้วถูกส่งผ่านจักษุประสาทไปยังสมอง แล้วสิ่งที่ได้รับรู้มา ก็จะไปกระตุ้นเซลล์ประสาททั้งหลายที่อยู่ในสมองจากนั้นก็จะมีการตอบสนองอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ผ่านทางปฏิกิริยาชีวเคมีซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่เกี่ยวข้องกับความร้อนโดยธรรมชาติ

เพราะโดยทั่วไปแล้ว พวกคุณจะเชื่อในสิ่งที่พวกคุณมองเห็น ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส หรือได้ยิน ดังนั้น พวกคุณจึงจะยอมรับมัน พวกคุณเชื่อว่ามันเป็นความจริงแล้วพวกคุณก็ตัดสินลงไปว่าชอบใจหรือไม่ชอบใจ จากนั้น สมอง ก็จะปลดปล่อยเซลล์ประสาททั้งหลายที่ขึ้นอยู่กับความชอบหรือไม่ชอบเหล่านั้น ให้ออกมาทำงาน

นี่เป็นวิธีการทำงานของโลกแห่งความเป็นจริงของพวกคุณและเป็นวิธีการดึงดูดของพวกคุณ โดยในเริ่มแรก พวกคุณจะถูกดึงดูดโดยคนที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจ เช่น มีเสียงที่ไพเราะ และมีกลิ่นกายที่หอม ! พวกคุณใช้ความรู้สึกทางกายภาพของพวกคุณเป็นตัวบอกว่าใช่หรือไม่ใช่

ในทำนองเดียวกัน สมองก็จะเกิดความคิดขึ้นว่า จะยอมรับ หรือปฏิเสธสิ่งเหล่านั้นดี ก็ขึ้นอยู่กับว่าตัวแปรต่างๆได้ถูกตั้งโปรแกรมไว้อย่างไร เพราะในความเป็นจริงแล้ว สมองไม่อาจแยกแยะความแตกต่างระหว่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง กับเหตุการณ์ที่เป็นแค่สภาวะทางจิตใดๆได้เลย เช่น ความฝัน เป็นต้น ดังนั้น ในด้านของจิตใจที่เป็นความหลากมิติแล้ว ทั้งสองอย่างนี้ จึงไม่แตกต่างกัน

และถึงแม้สมองของมนุษย์จะมีความสามารถในการรับรู้ข้อมูลและความถี่ต่างๆจากขอบเขตที่อยู่เหนือมิติที่ 3 ขึ้นไปได้ก็ตาม แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ ก็จะตั้งโปรแกรมให้มันปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่นอกเหนือขอบเขตคลื่นความถี่ของมิติที่ 3 เพื่อให้สอดคล้องกับอายตนะรับความรู้สึกของตัวเองอยู่ดี ดังนั้น คอมพิวเตอร์สมองเครื่องนี้ จึงรับรู้ได้เฉพาะแต่สิ่งที่พวกคุณอนุญาตให้มันรับรู้ได้เท่านั้น
การตั้งโปรแกรมตามกรอบแนวคิดที่คับแคบแบบนั้น จะทำให้มีเพียงบางส่วนของสมองของพวกคุณเท่านั้น ที่จะถูกกระตุ้น นั่นก็คือ สมองซีกขวาและซีกซ้ายของสมองส่วนหน้าด้านบน (upper cerebrum) และบางส่วนของสมองส่วนหลังด้านล่าง (lower cerebellum) ซึ่งรวมกันแล้ว จะครอบคลุมกิจกรรมการทำงานเพียงแค่ 10-12 % ของสมองเท่านั้นเอง กระบวนการและกิจกรรมการทำงานของสมองส่วนหน้าทั้งสองซีก ที่จัดอยู่ในส่วนของสมองส่วนนอก (neocortex) นี้จะทำหน้าที่หลัก อยู่แต่ในขอบเขตของมิติทางกายภาพเท่านั้น
Note :
ซีรีบรัม (cerebrum) สมองส่วนหน้าหรือสมองใหญ่ แบ่งเป็น 2 ซีก โดยสมองใหญ่ซีกซ้ายจะควบคุมร่างกายซีกขวา สมองใหญ่ซีกขวาจะควบคุมร่างกายซีกซ้าย นอกจากนี้สมองส่วนเซรีบรัมยังแบ่งเป็น 5 พลู เพื่อควบคุมการทำหน้าที่เฉพาะเจาะจงในส่วนต่างๆ อันได้แก่การควบคุมเกี่ยวกับความคิด ความจำ เชาว์ปัญญา
สมองชั้นนอก (The Neocortex) สมองส่วนที่ 3 และเป็นระดับความคิดซับซ้อนสูงสุด นั่นคือ สมองชั้นนอก (neocortex) เป็นสมองระดับสูงสุดในการจัดลำดับความซับซ้อนของสมอง ทำหน้าที่เกี่ยวกับคำสั่งที่สลับซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งเกี่ยวกับการอ่าน การวางแผน การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการทำการตัดสินใจ ซึ่งเป็นสมองส่วนที่ทุกคนจะต้องใช้มากที่สุด ในการศึกษาหาความรู้ และที่นี่คือคลังเก็บข้อมูลที่เราจะนำความรู้มาใช้ ในการคิดสิ่งต่างๆ
ส่วนสมองส่วนใหญ่อีก 90% ของพวกคุณ ยังไม่ได้ถูกใช้งาน ยังไม่ได้รับการกระตุ้นและได้ถูกตั้งโปรแกรมให้หยุดกิจกรรมต่างๆเอาไว้ชั่วคราว นั่นเป็นเพราะว่า ความคิดใดๆก็ตาม ที่ไม่สอดคล้องกับโปรแกรมความนึกคิดอันคับแคบทั้งหลายที่วัฒนธรรมหรือหลักศาสนาของพวกคุณได้ตั้งโปรแกรมเอาไว้ให้พวกคุณก็จะปฏิเสธพวกมันทันทีโดยอัตโนมัติ
•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
นี่ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นได้แบบปุปปัปหรือจากการเจิมหน้าผากนะ..แต่มันจะเกิดจากการเริ่มสำรวจตัวเองด้วยความจริงใจ
ตอนที่ 24 : การขยายขอบเขตความเชื่อของพวกคุณ (Expanding Your Belief Horizons)
>> หนึ่งในเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้ “กฎแห่งการดึงดูด” (Law of Attraction) นี้ใช้ไม่ได้ผลสำหรับพวกคุณนั่นก็คือ “ความเชื่ออันจำกัด เพราะโปรแกรมความคิดที่จำกัด” นั่นเอง เพราะฉะนั้น การมีจิตใจที่คับแคบแบบนั้นจึงทำให้ความเป็นไปได้อันยิ่งใหญ่ ของอะไรก็ตามที่อยู่นอกเหนือช่วงคลื่นความถี่แคบๆ ที่สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของร่างกายในมิติที่ 3 นี้ของพวกคุณ ถูกปิดกั้นไปซะหมด
และเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว
:- ทำอย่างไร ? จึงจะทำให้สมองของพวกคุณขยายขอบเขตการทำงานออกไปได้ ?
:- ทำอย่างไร ? จึงจะเปิดใจของพวกคุณออกมาได้อย่างไร ? และ…
:- ทำอย่างไร ? พวกคุณจึงจะตั้งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ของพวกคุณใหม่ได้ ?
คำตอบนั้นง่ายมาก….แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่หนักหนาสากรรจ์เหลือเกิน สำหรับพวกคุณหลายๆคนที่จะทำมันให้ได้ นั่นก็คือ “ ลงมือกระทำ “ โดยการตรวจสอบและเรียนรู้ และมีความตั้งใจจริงอย่างแน่วแน่ที่จะเปิดใจตัวเองออกมาให้ได้ และเมื่อได้ตั้งความปรารถนาอย่างมั่นคงที่จะขยายขอบเขตการทำงานของสมองออกไปดังที่ว่านี้ มันก็จะไปดึงดูดคลื่นความถี่ของความนึกคิดอันทรงพลังอำนาจเข้ามา และจะทำให้เกิดการขยายขอบเขตเพิ่มมากขึ้น
หลังจากนั้น ทุกๆครั้งที่พวกคุณเปิดใจรับแนวคิดใดๆ ที่อยู่นอกเหนือขอบเขตของสิ่งต่างๆที่พวกคุณได้เคยยอมรับมาก่อนแล้ว (คือ..แนวคิดใหม่หรือแนวคิดที่เข้ามาเพิ่มเติมข้อมูลที่คุณได้เคยรับมาแล้ว =ผู้แปล )….แนวคิดอันนั้น ก็จะไปกระตุ้นส่วนอื่นๆของสมองของพวกคุณให้มีการใช้งานเกิดขึ้นอย่างมีวัตถุประสงค์ทันที

ทุกๆครั้งที่พวกคุณทำเช่นนั้นแนวคิดที่เปิดกว้างอันนั้น ก็จะทำหน้าที่เป็นพาหะช่วยนำพาขอบเขตความเชื่อของพวกคุณให้ขยายกว้างออกไปอีก และจะทำให้การคิดแบบใช้เหตุใช้ผลในระดับเอกภพซึ่งสูงส่งกว่าเกิดขึ้นได้ และหากกระบวนการนั้น ถูกกระทำซ้ำๆหลายๆครั้งอย่างจริงจังและจริงใจแล้ว มันก็จะไปดึงดูดแนวคิดใหม่ๆให้เข้ามาอีก จากการเรียนรู้และจากการทำสมาธิ

ในขณะเดียวกัน วงจรนี้ก็จะไปกระตุ้นส่วนอื่นๆในสมองของพวกคุณให้ขยายตัวออกไปมากยิ่งขึ้น และจะไปตั้งโปรแกรมใหม่ๆ และการยอมรับข้อมูลใหม่ๆให้เกิดขึ้นด้วยจิตใจที่ใสสะอาดแห่ง Mer-Ka-Na

เมื่อ​​พวกคุณหมดข้อกังขา……
::- พวกคุณก็จะรู้ และ
::- พวกคุณเชื่อ …แล้ว
::- มันก็จะกลายเป็นกฎที่เป็นจริงเสมอไป …และจากความเชื่อที่เปิดกว้างจากใจของพวกคุณนี้ พวกคุณก็จะได้เริ่มก้าวสู่ขั้นตอนการสร้างสรรค์ชะตาชีวิตของพวกคุณเอง
แล้วทำอย่างไร ? พวกคุณจึงจะสามารถขยายขอบเขตการทำงานของสมองของพวกคุณ และเปิดประตูสู่จิตอันศักดิ์สิทธิ์/จิตแห่งพระเจ้าได้ล่ะ ?มันไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ด้วยการปิ๊งแว๊บขึ้นมาเองแบบปุบปับหรอกนะ และมันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้เพราะเพียงแค่ได้เจิมหน้าผากด้วย เพราะหนทางอันศักดิ์สิทธิ์ที่จะสามารถทอดไปยังสิ่งที่พวกคุณอาจเรียกกันว่า “การรู้แจ้ง” (Enlightenment) นั้น มันจะต้องอาศัยขั้นตอนแห่งความตั้งใจอยู่หลายขั้นตอนด้วยกัน

ซึ่งก็มีนักอภิปรัชญาหลายคน ที่ต้องการเปิดหนังสือแห่งความรู้ขึ้นมาและต้องการที่จะกระโดดข้ามไปทีเดียวไปยังบทสุดท้ายเลย ซึ่งการกระทำเช่นนั้น มันไม่ถูกต้อง จึงใช้ไม่ได้ผล เพราะที่ถูกต้อง คือ ต้องเริ่มต้นด้วยการสำรวจดูตัวเองซะก่อน แล้วค่อยๆตรวจสอบอย่างระมัดระวังว่า สิ่งไหนได้ผล สิ่งไหนไม่ได้ผลสำหรับตัวคุณเอง

ด้วยวิธีการนี้ เท่ากับพวกคุณได้ยินยอมให้แนวความคิดที่สดใหม่ได้ขยายกว้างมากขึ้น และปล่อยให้จิตอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นคลื่นความนึกคิดที่มีความถี่สูงกว่า สามารถผ่านเข้ามาในสมองได้ ….จากนั้นพวกคุณก็จัดการพินิจพิเคราะห์มัน ด้วยการเผชิญหน้ากับแนวความคิดใหม่ๆโดยการยอมรับมันไว้ และปล่อยให้มันได้แสดงออกมา แล้วค่อยๆพัฒนาและขับเคลื่อนมันไปด้วยอารมณ์ที่สุขุมคัมภีรภาพ ซึ่งจะทำให้ข้อมูลใหม่ๆเหล่านั้น กลายไปเป็นความรู้และภูมิปัญญาต่อไป

•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
เมื่อคุณลังเลสงสัย คุณก็จะไม่เชื่อ และนั่นคืออุปสรรคที่ขวางกั้นการเนรมิตความปรารถนาของพวกคุณให้กลายเป็นจริง
ตอนที่ 25 : กระแสไฟฟ้าสถิตในสนามพลังออร่า (The Static in the Field)
>> ปัญหาของผู้คนส่วนใหญ่ ที่ทำให้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลง ความเชื่อ ของพวกเขาได้ ก็คือ …
การไปยอมรับ กับการตั้งโปรแกรมแบบ 3 มิติ ของสมองอย่างมืดบอด ดังนั้น แม้ว่าพวกคุณจะสามารถคิดบวกได้ หรือคิดถึงการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางบวกได้ แต่หากในจิตใจลึกๆของพวกคุณยังมีความลังเลอยู่ ว่ามันจะเกิดขึ้นได้จริงหรือ แล้วมันก็จะไม่เกิดขึ้นความลังเลสงสัย เป็นอุปสรรคอย่างหนึ่ง ที่ขวางกั้นการเนรมิตความปรารถนาของพวกคุณให้กลายเป็นจริง เพราะหากพวกคุณลังเล พวกคุณก็จะไม่เชื่อ ความลังเลสงสัยที่อยู่ในสมอง จะทำให้เกิดปฏิกิริยาชีวเคมีอย่างหนึ่งขึ้น มันจะไปกระตุ้นสารตัวนำเซลล์ประสาทในสมองตัวหนึ่ง ที่ไหลจากต่อมพิทูอิตารี ไปยังต่อมไพนีล และจะไปบล็อคทางออกเอาไว้ไม่ให้เปิดออกได้
และที่ ความลังเลสงสัย มันเกิดขึ้นมาได้ ก็เพราะพวกคุณไม่เชื่อนั่นเอง ก็อย่างที่พวกเราได้เคยกล่าวเอาไว้แล้วว่า การตั้งโปรแกรมด้านการเอาตัวรอดของสมองแห่งอัตตาตัวตนนั้น ได้ใช้ ความกลัว ในระบบทวิภาวะเป็นระบบเตือนภัย ซึ่ง คุณสมบัติในความเป็นทวิภาวะอันนั้น มันเหมือนเป็นดาบสองคมเพราะว่า ความกลัว นั้น นอกจากจะทำหน้าที่ในบริบทนั้นแล้ว มันยังสามารถนำไปสู่อารมณ์ด้านลบต่างๆได้มากมายอีกด้วย เช่น ความหดหู่ ,ความสงสัย, ความเกลียดชัง, ความอิจฉาริษยา และการดูถูกตนเอง เป็นต้น
ซึ่งอาการต่าง ๆ เหล่านี้ ล้วนมีรากเหง้ามาจากคุณสมบัติด้านลบของ ความกลัว ทั้งสิ้น และ ความกลัว นี้เอง ที่จะไปสร้างกระแสไฟฟ้าสถิตย์ให้เกิดขึ้นในสนามพลังออร่าและจะนำไปสู่การรั่วไหลของสนามพลังออร่าต่อไป อย่างที่ได้มีการสอนเอาไว้แล้วใน Metatronic Keys ว่า ออร่าของมนุษย์จะต้องสมบูรณ์ครบถ้วนเพื่อที่จะขยายไปสู่ Mer-Ka-Na ให้ได้ เพราะสนามพลังงานที่มีรอยแยก หรือแตกร้าวจะไม่สามารถปฏิบัติการได้อย่างเหมาะสมในกฎแห่งการสร้างสรรค์แม้แต่น้อย
•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
เครื่องมือที่ใช้ในการเนรมิต คือ.. “ความปรารถนา + จินตนาการถึงภาพ + อารมณ์ ”
ตอนที่ 26 : กระบวนการทางชีวเคมี (Bio-Chemical Process)

>> กระแสความคิด และ จินตภาพทั้งหลายอันเกิดจาก ความเชื่อ (the belief thought-images) ที่อยู่รอบๆตัวพวกคุณนั้น มันคือ สิ่งที่ถูกพวกคุณร่วมกันสร้างขึ้นมาในสนามพลังงานมวลรวมของมนุษยชาติทั้งหมด โดยมีความเห็นพ้องต้องกันในระดับมหัพภาค พวกมันถูกฉายออกมาอย่างเป็นเอกเทศน์ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับระดับค่าของแสงสว่างของพวกคุณเอง แล้วพวกมันก็จะเนรมิตเข้าไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพของพวกคุณ

เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางกายภาพกระบวนการหนึ่งอยู่ นั่นก็คือเมื่อคลื่นความถี่ของกระแสความคิดทั้งหลาย ถูกรับเข้ามาในรูปแบบของรหัสดิจิตอลแล้ว สารชีวเคมีภายในสมองก็จะถูกขับเคลื่อนในทันที ตัวเร่งปฏิกิริยาทางจิตทั้งหลาย ถูกเชื่อมต่ออยู่กับต่อมไพเนียล ซึ่งต่อมไพเนียลจะได้รับพวกมันเข้ามา ในลักษณะของ “ แสงสว่างที่เข้ารหัสจีโอเอาไว้ ” โดยผ่านทางกระบวนการถ่ายทอด (geo-coded light transmissions)

ฉนั้น…ทุกๆจินตภาพ และทุกกระแสความคิด จะถูกแปลความหมายและถูกคัดสรรตามคุณลักษณะเฉพาะตัวในด้านพลังงานของพวกมัน ซึ่งหลังจากที่ต่อมไพเนียลรับพวกมันเข้ามาแล้ว พวกมันก็จะต้องถูกกรองผ่านตัวแปรแห่งความเชื่อที่ถูกติดตั้งโปรแกรมเอาไว้ แล้วสมองของพวกคุณก็จะเป็นผู้คัดกรองและกำหนด ว่าสิ่งไหนจริงหรือไม่จริง สิ่งไหนเชื่อได้ หรือเชื่อไม่ได้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับระดับปริมาณของแสงสว่าง ที่ถูกตั้งโปรแกรมเอาไว้ในสมองของพวกคุณ

จากนั้นผลิตภัณฑ์ที่เป็นสารชีวเคมีทั้งหลาย ก็จะถูกผลิตขึ้นมาโดยใช้ส่วนผสมแห่งการยอมรับ หรือส่วนผสมแห่งการปฏิเสธดังกล่าวเหล่านั้น แล้วสารชีวเคมีเหล่านี้ ก็จะทำหน้าที่ไปเปิด หรือ ปิด ประตูทางเข้าไปสู่จิตใจที่สูงส่งกว่าต่อไป

สารชีวเคมีเหล่านี้ จะถูกส่งไปในรูปของเซลล์ประสาทที่ถูกเข้ารหัสไว้แล้ว และนี่คือกลไกการขนส่ง “พลังงานแห่งกระแสความคิด” ซึ่งบรรจุไปด้วยข้อมูลที่จำเป็นทั้งหมด ที่ถูกจัดไว้อย่างเป็นระบบ
เพื่อใช้ในการแปลความหมาย ว่ากระแสความคิดหรือจินตภาพนั้นๆจะถูกเปลี่ยนให้กลายมาเป็นความจริงทางกายภาพหรือไม่ ? และกระแสความคิดใดที่สอดคล้องต้องกันกับความเชื่อ มันก็จะเคลื่อนผ่านเข้าไปผลิตจินตภาพขึ้นมาใหม่อีกครั้งภายในสมองของพวกคุณ และภายในทุกๆเส้นใยประสาททั่วทั้งร่างกายเนื้อของพวกคุณด้วยซึ่งสิ่งนี้ก็จะกลายไปเป็นตัวจุดประกายเบื้องต้น สำหรับการสร้างโลกแห่งความเป็นจริงใบใหม่ขึ้นมา ต่อมไพเนียลจะรับสัญญาณเป็นคลื่นความถี่แห่งแสงสว่าง ซึ่งทุกๆกระแสความคิด และทุกๆจินตภาพก็จะมีคลื่นความถี่แห่งแสงสว่างที่ถูกเข้ารหัสเอาไว้เฉพาะตัว ที่ขึ้นอยู่กับรูปแบบคลื่นความสั่นสะเทือนของมันเองอยู่แล้ว……..ส่วนขั้นตอนถัดไป ก็คือ“ การตั้งเจตนาด้วยจิตใจที่ใสสะอาด” พลังของความตั้งใจจะถูกขับเคลื่อนและเร่งให้เร็วขึ้นโดยอารมณ์และความรู้สึก และเมื่อขั้นตอนนี้ได้เสร็จสิ้นลง ร่างกายเนื้อก็จะปลดปล่อย “วัตถุประสงค์อันนั้น” ซึ่งจะอยู่ในรูปแบบของรหัสดิจิตอลไปให้กับกายละเอียด ซึ่งกายละเอียดที่ว่านี้ก็คือ สนามพลังออร่าที่สมบูรณ์ซึ่งอยู่ในลักษณะ “กึ่งของแข็ง” และอัดแน่นไปด้วยรหัสแห่งแสงสว่างและถูกฉายออกมา และถูกเร่งให้เร็วขึ้นจากระบบจักระ ออร่านั้นจะต้องสมบูรณ์ไม่เสียหายและจะต้องเป็นวงจร 13-20-33 ที่เหมาะสมและเข้าถึงได้แล้วด้วยเท่านั้นจากนั้นมันก็จะผ่าน Mer-Ki-Va ไปยัง Mer-Ka-Va และไปสู่สนามพลังงาน Mer-Ka-Na ต่อไป
และทุกๆอย่างจะถูกขับเคลื่อนไปด้วยเจตนาที่มีความชัดเจนและความเข้มข้น จากสิ่งที่พวกคุณได้ถ่ายทอดลงไปในเบื้องหลังความนึกคิดของความปรารถนา หรือ เป้าหมาย ซึ่งเป็นตัวกำหนดในสิ่งที่ต้องการเนรมิตออกมา
เมื่อพวกคุณได้เรียนรู้กลไกต่างๆของการสร้างอย่างมีสติสัมปชัญญะแล้ว พวกคุณก็จำเป็นจะต้องใช้เครื่องจักรกลแห่ง “ความปรารถนา “ อันนี้ร่วมกับการใช้การ “ จินตนาการถึงภาพ ” และใช้ “อารมณ์” เพื่อทำให้กระบวนการเนรมิตออกมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพนี้ สำเร็จเสร็จสิ้นลงได้
•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
“ เมื่อใดที่ความกลัวได้รับความรู้แล้ว มันก็จะถูกเรียกว่า ‘การรู้แจ้ง’ “
ตอนที่ 27 : กฎของการสร้างสรรค์อย่างมีสติสัมปชัญญะ (The Law of Conscious Creation)
>> ไม่มีวัตถุธาตุทางกายภาพหรือประสบการณ์ใดในชีวิตของพวกคุณเลยที่พวกคุณไม่ได้เป็นผู้สร้างมันขึ้นมาเอง ซึ่งเรื่องนี้หมายรวมถึงรูปลักษณ์ทางกายภาพ นั่นก็คือร่างกายเนื้อของพวกคุณนั่นเอง ท่านคุรุทั้งหลาย ไม่มีสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับภาพลักษณ์ทางกายภาพของพวกคุณที่พวกคุณไม่ได้เป็นผู้สร้างมันขึ้นมาเองเลย
แต่หากพวกคุณสามารถที่จะมองเห็นตัวเองในชาติภพอื่นๆได้ พวกคุณก็อาจจะประหลาดใจว่า ทำไมพวกคุณถึงได้สร้างให้กายเนื้อของพวกคุณมีคุณลักษณะต่างๆที่คล้ายคลึงกันหลายภพหลายชาติเหลือเกิน ::= เมื่อใดที่พวกคุณมีสติปัญญาอันศักดิ์สิทธิ์แล้ว พวกคุณก็จะสามารถสร้างอาณาจักรต่างๆได้อย่างไม่จำกัด ::= เมื่อใดที่พวกคุณมีความรู้แล้ว มันก็ไม่มีอะไรที่จะต้องไปเกรงกลัวอีกเลย เพราะว่าเมื่อถึงตอนนั้นแล้ว มันก็จะไม่มีสิ่งใด, ไม่มีเหตุปัจจัยใด, ไม่มีกฎเกณฑ์อันใด, ไม่มีความเข้าใจใดๆ ที่จะมาคุกคาม หรือกดขี่ หรือ ข่มขู่พวกคุณได้อีกต่อไปแล้ว เพราะ “ เมื่อใดที่ความกลัวได้รับความรู้แล้ว มันก็จะถูกเรียกว่า ‘การรู้แจ้ง’ “
โดยธรรมชาติแล้ว พวกคุณจะมีช่วงจังหวะของการดำรงอยู่ในมิติทางกายภาพ และในมิติที่ไม่ใช่กายภาพ ซึ่งเป็นสภาวะทั้งที่อยู่ในยามตื่นและยามหลับของพวกคุณ ความฝัน ทั้งหลาย เป็นหนึ่งในวิธีการบำบัดรักษาโรคตามธรรมชาติที่ยอดเยี่ยมที่สุดของพวกคุณ และเป็นทรัพย์อันมีค่า ที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อโลกแห่งความเป็นจริงและจักรวาลทั้งภายในและภายนอกของพวกคุณ ซึ่งจิตสำนึกปกติของพวกคุณ จะได้ประโยชน์จากการเดินทางเข้าไปเที่ยวและพักอยู่ในอาณาเขตแห่งความเป็นจริงทั้งหลายที่ไม่ใช่มิติทางกายภาพในระยะสั้นๆ ในยามที่พวกคุณนอนหลับ
ส่วนสิ่งที่เรียกว่า จิตสำนึกในยามหลับ ของพวกคุณก็จะได้ประโยชน์จากการเดินทางเข้าไปเที่ยวในโลกของวัตถุธาตุทางกายภาพยามตื่นบ่อยๆด้วยเช่นเดียวกัน แต่พวกเราขอบอกพวกคุณว่า ภาพที่พวกคุณเห็นในภาวะทั้งสองนั้น (ยามตื่นและยามหลับ/ผู้แปล) มันมีพื้นฐานมาจากการตีความของสมองพวกคุณที่มีต่อสนามคลื่นความถี่ดิจิตอลของหน่วยแห่งจิตสำนึกหลักทั้งหลาย ซึ่งจริงๆแล้ว คลื่นความถี่ที่สมองของพวกคุณรับมา จะเป็นรหัสดิจิตอล ซึ่งก็คือสัญลักษณ์รูปแบบหนึ่งของพลังงานคริสตัลไลน์ (คล้ายๆกันกับสิ่งที่พวกคุณอาจจะเรียกว่า X’s และ O’s), ที่พวกคุณจะตีความ และแปลความหมายออกมาเป็นภาพและอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ
มันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับพวกคุณ ที่จะยอมรับว่า… พวกคุณคือคนที่สร้างความฝันทั้งหลายของพวกคุณขึ้นมาเอง แต่มันยากสำหรับพวกคุณ ที่จะยอมรับว่า… พวกคุณคือคนที่สร้างโลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพของพวกคุณขึ้นมาเอง แต่พวกคุณก็สร้างทั้งสองอย่างนั้นขึ้นมาเองจริงๆนั่นแหละ และพวกคุณก็เป็นคนกำหนดเองด้วยว่า ทั้งสองอย่างนั้นอย่างไหนคือความจริง และอย่างไหนไม่ใช่ความจริง
•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
ความรู้ที่คุณยอมเชื่อ จะกลายไปเป็นโลกแห่งความเป็นจริงได้ ก็ต่อเมื่อต่อมไพเนียลเปิดประตูให้มันเข้าไปสู่จิตอันศักดิ์สิทธิ์ก่อน
ตอนที่ 28 : ต่อมไพเนียล (pineal gland)

>> ต่อมไพเนียล มีรูปทรงคล้ายๆผลของต้นโอ๊ค และมีลายนูนๆตะปุ่มตะป่ำเหมือนลูกสน (เป็นรูปกรวย) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีมาหลายยุคหลายสมัยแล้ว ว่ามันคือตัวกลางที่เชื่อมต่อระหว่างมิติที่สูงกว่ากับมิติทางกายภาพ จึงอาจกล่าวได้ว่า มันคือประตูเชื่อมต่อระหว่างความมีอัตตาตัวตน หรือสมอง กับจิตอันศักดิ์สิทธิ์/จิตแห่งพระเจ้า

ซึ่งมันถูกนักอภิปรัชญาหลายๆคน เช่น Descartes และ Edgar Cayce ตั้งชื่อให้ว่าเป็น “ศูนย์รวมอำนาจแห่งจิตวิญญาณ” (Seat of the Soul) ซึ่งภาพของต่อมไพเนียลนี้ ได้ปรากฎอยู่ในอักขรภาพ เฮียโรกลิฟฟิก ของอียิปต์ และของอาณาจักรบาบิโลเนียโบราณหลายต่อหลายภาพ ซึ่งมันได้ถูกวางไว้บนยอดของไม้คฑาแห่งความรู้ของเทพโอซิริส (Osiris) ทั้งที่จริงๆแล้ว ไม้คฑาแห่งเทพโอซิริส มีงูเห่าสองตัวพันกันเป็นเกลียวอยู่ด้วย และหัวงูทั้งสองก็ชูอยู่คู่กันที่บนยอดของคฑาที่มี “ลูกสน” ซึ่งหมายถึงต่อมไพเนียล อยู่นั่นเอง

งู หมายถึง พลังกุณฑาลิณี ที่จะพุ่งขึ้นด้านบน ไปสู่ต่อมไพเนียล บนเศียรของรูปปั้นพระพุทธรูป & พระศิวะของพวกคุณ ก็มีลายเกลียวเกศาที่รูปร่างคล้ายๆต่อมไพเนียลนี้ด้วย และแม้แต่ที่ส่วนบนของธง Vatican ก็มีภาพสัญลักษณ์ของต่อมไพเนียล ที่เป็นรูปลูกสนนี้ด้วย ซึ่งนั่นย่อมแสดงว่า ความสำคัญของมัน ได้ถูกยอมรับและเป็นที่รู้จักกันมานานแล้ว และพวกเราอยากจะบอกพวกคุณว่า ในกระบวนการเลื่อนระดับขึ้นนี้ ต่อมไพเนียลแห่งยุคพลังงานคริสตัลไลน์นี้ กำลังถูกเพิ่มพลังอำนาจให้มากยิ่งขึ้นอีก
::+ ต่อมไพเนียล คือตัวกลางที่ทำหน้าที่เปลี่ยน “การรับรู้” ให้กลายไปเป็นสิ่งที่ถูกเนรมิตออกมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพ ::+ ต่อมไพเนียล จะทำงานร่วมกับต่อมพิทูอิทารี เพื่อเป็นสะพาน หรือเป็นประตูเชื่อมต่อระหว่างโลกกายภาพและโลกที่ไม่ใช่ทางกายภาพ หรือระหว่างสมองและจิตใจ ความรู้ใดๆก็ตามที่พวกคุณยอมเชื่อ จะกลายไปเป็นโลกแห่งความเป็นจริงได้ ก็ต่อเมื่อต่อมไพเนียลเปิดประตูให้มันเข้าไปสู่จิตอันศักดิ์สิทธิ์ก่อนเท่านั้น
::+ ต่อมไพเนียลจะแปลสัญญาณคลื่นความถี่ของ กระแสความคิด ให้ไปเป็นกระแสไฟฟ้าชีวเคมีของคลื่นความร้อนชนิดหนึ่ง แล้วส่งไปทั่วทั้งร่างกายของพวกคุณ จากการเปิดมันออกไปสู่จิตใจ แล้วสมองของพวกคุณก็จะแปลง กระแสความคิด ทั้งหลาย ที่พวกคุณสร้างขึ้นมาให้ไปเป็นสารชีวเคมีนับพันๆชนิดในทุกๆวินาที แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกๆกระแสความคิด ที่อยู่ในสมองแบบพื้นๆนี้จะสามารถเข้าไปถึงจิตใจที่สูงส่งกว่าได้เสมอไปหรอกนะ แต่ก็อย่างที่พวกเราได้บอกไปแล้วว่า ระบบของต่อมไร้ท่อของพวกคุณกำลังถูกกระตุ้นให้เข้าไปสู่พลังงานคริสตัลไลน์แห่งกระบวนการเลื่อนระดับขึ้นอยู่
::+ ต่อมไพเนียล, ต่อมพิทูอิทารี และต่อมไฮโปธาลามัส มีหน้าที่พิเศษเฉพาะเหมือนเป็นแท่งคริสตัลสำหรับการรับและถ่ายทอดสัญญาณแล้วเชื่อมต่อไปยังสนามพลังงาน Mer-Ka-Na ทั้งในส่วนของสสารและปฏิสสาร ทั้งในมิติทางกายภาพและมิติที่ไม่ใช่กายภาพภาย ด้วยวงจรที่สอดคล้องกลมกลืมของการเชื่อมต่ออันศักดิ์สิทธิ์ (Harmonic Cycle of Divine interface) ฉนั้น….มันจึงเป็นการดีที่จะเรียนรู้วิธีการกระตุ้นกระบวนการนี้ในฐานะที่มันเป็นภูมิปัญญาส่วนที่สลับซับซ้อนของสภาวะ Mer-Ka-Na
•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
ร่างกายมนุษย์เป็นอุปกรณ์ชิ้นหนึ่ง ที่สามารถใช้เพื่อการเข้าถึงพลังงานอันศักดิ์สิทธิ์ที่มหัศจรรย์และเหนือธรรมดานี้ได้
ตอนที่ 29 : จิตอันศักดิ์สิทธิ์ (Divine Mind)
>> ภูมิปัญญาศักดิ์สิทธิ์มาจากจิตอันศักดิ์สิทธิ์ และเมื่อพวกคุณยอมให้จิตใจสามารถอยู่เหนืออัตตาตัวตนได้แล้ว พวกคุณจะบรรลุถึงซึ่งภูมิปัญญาแห่งการสร้างสรรค์แบบพระเจ้า ภูมิปัญญานี้เป็นความรู้ที่บริสุทธิ์ ที่จะทำให้พวกคุณเข้าถึงซึ่ง กฎแห่งการสร้างสรรค์ ได้ เมื่อพวกคุณเข้าถึงแล้ว จงรู้ถึงสิ่งที่พวกคุณต้องการจะสร้าง และลงมือกระทำเพื่อสิ่งนั้นต่อไป
ร่างกายของมนุษย์เป็นอุปกรณ์ชิ้นหนึ่ง ที่สามารถนำไปใช้เพื่อการเข้าถึงพลังงานอันศักดิ์สิทธิ์ที่มหัศจรรย์และเหนือธรรมดานี้ได้ แต่มันก็มีกฎบางข้อที่ถูกกำหนดไว้สำหรับการเข้าถึงความศักดิ์สิทธิ์นี้อยู่ นั่นก็คือ เมื่อร่างกายถูกปรับจนเหมาะสมดีแล้ว พวกคุณจึงจะได้รับภูมิปัญญานั้นได้ และเมื่อออร่าถูกรักษาให้คงความสมดุลไว้ดีแล้ว จึงจะสามารถได้มาซึ่งระบบ Mer-Ka-Na ได้ แล้วประตูไปสู่ “กฎแห่งการสร้างสรรค์” ไปสู่ “กฎแห่งความเชื่อ” และไปสู่ “กฎแห่งการดึงดูด” จึงจะเปิดออกมา ดังนั้น เพื่อที่จะให้สิ่งนั้นๆ เกิดขึ้น ระบบทั้งหมดจะต้องมีการทำงานที่เป็นไปอย่างลงตัวและสมดุล
แต่หากพวกคุณเอาแต่ใช้ร่างกายเนื้อของตัวเองเพื่อสร้างความพึงพอใจในทางกายภาพให้กับตนเองแทนที่จะใช้เพื่อเป็นเครื่องมือ สำหรับการบรรลุให้ถึงซึ่งความศักดิ์สิทธิ์แล้วละก็…พวกคุณก็จะได้เก็บเกี่ยวแต่สิ่งที่พวกคุณหว่านเอาไว้เท่านั้น (you reap what you sow)
•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
การสร้างสรรค์อย่างมีสติสัมปชัญญะคือชะตาชีวิตของคุณ ที่จะทำให้คุณสามารถเนรมิตโลกของคุณ ให้ได้ดั่งใจได้จริงๆ
ตอน 30 (จบ) :- ปิดท้าย (Closing)

>> พวกคุณเป็นนายผู้มีอำนาจอยู่เหนือทุกๆประสบการณ์เสมอ แม้ในยามที่พวกคุณถูกทอดทิ้งให้อยู่ในสภาวะที่ดูเหมือนสิ้นหวังอย่างสุดแสนก็ตาม แต่พวกคุณเองนั่นแหละที่เป็นผู้เขียนบทละครของประสบการณ์นั้นๆขึ้นมาเองทุกบท ทุกตอน

แต่หากว่าพวกคุณรู้จักใช้ความพยายามในการมุ่งมั่นค้นหาและใช้ภูมิปัญญาให้เกิดประโยชน์ โดยการยอมเป็นผู้รับผิดชอบแล้ว แล้วคิดใคร่ครวญถึงสถานการณ์นั้นๆของพวกคุณ และหมั่นตรวจสอบว่า “กฎ” ข้อไหนที่กำลังมีผลต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้อยู่ พวกคุณก็จะกลายเป็นคุรุผู้เฉลียวฉลาดที่สามารถกำหนดทิศทางให้กับพลังงานของตัวเองได้อย่างมีปัญญา และสามารถผลิตแต่กระแสความคิดที่มีคุณค่าและควรค่าแก่การทำให้กลายมาเป็นความจริง

ความคิดหนึ่งจะดึงดูดความคิดอื่นๆให้เข้ามาหา พลังบวกจะดึงดูดพลังบวกที่มากยิ่งขึ้นเข้ามา ความคิดที่ชาญฉลาดอย่างหนึ่งจะดึงดูดความคิดที่ชาญฉลาดอื่นๆเข้ามา

ในทำนองเดียวกัน…หากพวกคุณอยู่ในสภาวะสงสารตัวเองหดหู่ซึมเซา และรู้สึกดูถูกตัวเอง พวกคุณก็กำลังดึงดูดสิ่งเหล่านี้ให้เข้ามาหาตัวเองมากขึ้นๆอยู่ และนั่นแหละคือ กฎแห่งการดึงดูด ล่ะ

นั่นแหละคือมนุษย์ผู้เป็นมาสเตอร์ที่มีความตระหนักรู้ ฉนั้น พวกคุณเพียงแค่ค่อยๆพัฒนามันขึ้นโดยการค้นหา กฎแห่งการสร้างสรรค์ ที่อยู่ภายในตนเองอย่างมีสติสัมปชัญญะให้พบ ซึ่งมันก็คือการค้นพบในสิ่งที่ถูกบัญญัติเอาไว้เป็นวิทยาศาสตร์แล้วอย่างหนึ่งโดยแท้ และมันเป็นเรื่องของการนำไปใช้, นำมาการวิเคราะห์ตนเองเพื่อการทดลองให้เกิดประสบการณ์
ท่านคุรุทั้งหลาย อย่างที่บอกไปแล้วว่า พวกคุณคือจิตวิญญาณที่มีพลังอำนาจที่กำลังมีประสบการณ์อยู่ในร่างมนุษย์ จริงๆแล้วพวกคุณคือรูปธรรมชีวิตที่สวยสดงดงามอันทรงพลังอำนาจ มีความฉลาดเฉลียว และมี ความรัก หากเมื่อใดที่พวกคุณค้นพบได้แบบนั้นแล้ว พวกคุณก็จะกลายเป็นผู้จัดการความรู้สึกนึกคิดของตนเอง แล้วจากนั้น พวกคุณก็จะสามารถแก้ปัญหาของพวกคุณได้ในทุกสถานการณ์
ในสนามพลังงาน Mer-Ka-Na พวกคุณจะสามารถใช้ กฎแห่งการดึงดูด, กฎแห่งความเชื่อ และกฎแห่งการสร้าง ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งกฎเหล่านี้ ก็คือศักยภาพแห่งพระเจ้าที่อยู่ภายในพวกคุณทุกๆคน และพวกมันก็คือผู้ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนรูปแบบ และการปฏิรูปขึ้นได้ในสิ่งที่พวกคุณอยากจะสร้างขึ้นมา ตามความปรารถนาของพวกคุณ พวกคุณสามารถเนรมิตโลกของพวกคุณให้ได้ดั่งใจได้จริงๆ และถ้าทำเช่นนั้นแล้ว พวกคุณก็จะได้มีประสบการณ์ กับสิ่งที่เรียกว่า อาณาจักรแห่งสรวงสวรรค์
การสร้างสรรค์อย่างมีสติสัมปชัญญะคือชะตาชีวิตของพวกคุณ และพวกคุณทุกๆคน ก็สามารถที่จะทำให้ชีวิตของตัวเองมีประสบการณ์อันล้ำเลอค่าได้ตามความปรารถนาอย่างมีความรับผิดชอบของตัวเอง
ฉันคือเมตาตรอนและฉันได้มาแบ่งปันสัจจะเหล่านี้ให้กับพวกคุณ
พวกคุณคือผู้อันเป็นที่รักยิ่ง …
มันเป็นเช่นนั้น… และจะเป็นเช่นนั้นเสมอ…
(จบ )
•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•

ความลับแห่งความสำเร็จ และการบรรลุผล

คุณเคยสงสัยบ้างไหมว่าทำไมคนบางคนจึงมีความเฉลียวฉลาด หรือมีพรสวรรค์ หรือโชคดีกว่าคนอื่นๆ และประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยมในวงการที่เขาเลือกมากกว่าคนอื่นๆ ในขณะที่คนอื่นๆยังคงดิ้นรนต่อสู้ และล้มเหลว และยังไปไม่ถึงไหนเลย

ไม่ว่าจะเป็นในด้านของจิตวิญญาณ ด้านกีฬา ด้านธุรกิจ ด้านการเมือง ด้านวิทยาศาสตร์ ด้านศิลปะ ด้านดนตรี ด้านการศึกษา และชีวิตส่วนตัว

คำถามคือ “มีอะไรที่พวกเขารู้ แต่คุณไม่รู้บ้าง”“มีอะไรที่พวกเขามี แต่คุณไม่มีบ้าง” “อะไรคือความลับที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของพวกเขา” “อะไรคือความลับที่พวกเขาต่างก็มีเหมือนๆกัน”

ความลับอย่างแรก ก็คือ พวกเขาต่างก็รู้ว่า
พวกเขาคือจิตวิญญาณ/จิตสำนึกที่ควบคุมหรือสั่งการกายเนื้อของพวกเขาอยู่ ไม่ใช่เป็นอะไรอย่างอื่นเลย พวกเขาคือ”นาย” แต่ร่างกายเนื้อนี้คือ”บ่าว”

ความลับอย่างที่สอง คือ พวกเขารู้ว่า “ความคิด/จินตนาการ” ที่พวกเขาคิดหรือจินตนาการหรือพินิจพิจารณาอยู่ในหัวของพวกเขานั้น มันคือ “ความจริง” และมันคือ”สาเหตุ” พวกเขารู้ว่าโลกทั้งโลก เอกภพทั้งเอกภพล้วนเป็นแค่มายา หรือเป็น”โลกแห่งผลกระทบ” มันคือเอกภพแห่งจิตนั่นเอง

ทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏให้เห็นดั่งว่ามันเป็นของแข็งและเป็นความจริง แต่มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย! พวกเขารู้ว่าโลกทั้งโลกคือโลกแห่งจินตนาการ ซึ่งปรากฏให้เห็นประหนึ่งว่ามันเป็นของจริงและเป็นสิ่งที่มีตัวตนจับต้องได้จริงพวกเขาสามารถบงการเอกภพแห่งมายานี้ได้ด้วยใจของพวกเขาเองโดยไม่ต้องใช้ความพยายาม แต่ก็ประสบผลสำเร็จได้

ความลับอย่างที่สาม คือ พวกเขาสามารถที่จะกำหนดให้กระแสความคิดใดๆของพวกเขาคงอยู่ได้เป็นระยะเวลานานๆ นานกว่าที่คุณจะจินตนาการได้ หรือคุณอาจจะรู้จักกันในนามของ”การจดจ่อ” หรือ”การมีสมาธิ” นั่นเอง ตรงไหนบนร่างกายเนื้อ คือจุดที่ต้องจดจ่อ มันก็คือจุดตรงกลางหน้าผากระหว่างคิ้วทั้งสองข้างนั่นเอง ซึ่งบางคนอาจจะเรียกมันว่าตรง “จักระที่ 6” หรือตรง “ตาที่ 3”

ถ้าคุณฝึกฝนและหมั่นจดจ่อความคิดของคุณไว้ที่ตรงจุดนี้ ในทุกๆอิริยาบถของคุณ พอผ่านไปได้สักระยะหนึ่งแล้ว ความอัศจรรย์ก็จะบังเกิด โยคีเรียกสภาวะนี้ว่า สภาวะของ “จิตเหนือสำนึก” หรือบางทีก็เรียกว่าเกิด “สมาธิ” หรือนักจิตวิทยาอาจจะเรียกว่า สภาวะที่จิตสำนึกรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจิตใต้สำนึก แล้วอะไรจะเกิดขึ้นหละ ทำไมสภาวะนั้นจึงมีความพิเศษนัก ก็เพราะว่ามันคือที่ที่คุณเข้าถึง”พลังอำนาจ” และ “ภูมิปัญญา” ของเอกภพ นี่คือความลับที่ว่าทำไมปุถุชนคนธรรมดาบางคนจึงเปลี่ยนมาเป็นยอดมนุษย์ได้

แต่ความลับที่ลึกลงไปกว่านั้นอีก ก็คือ พวกเราทุกคนมีพลังอำนาจเช่นเดียวกันกับคนอื่นๆ เว้นแต่ผู้นั้นจะไม่ตระหนักหรือไม่เข้าใจเกี่ยวกับมันเท่านั้น มันเหมือนเป็นสุดยอดความอัศจรรย์ที่ฝังลึกอยู่ภายในคนเราทุกๆคนและตั้งตารอวันที่จะถูกปลดปล่อยออกมา สำหรับบางคนอาจจะรู้รู้แล้ว แต่ไม่ได้นำไปฝึกฝนปฏิบัติ มันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เพราะหัวใจหลักมันอยู่ที่การฝึกฝนปฏิบัติ

ถ้าคุณปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิต ในด้านกีฬา ในด้านธุรกิจ หรือในด้านจิตวิญญาณคุณสามารถที่จะนำความลับเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของคุณได้ แล้วคุณจะทึ่งกับผลของมัน แต่ความลับทั้งหมดต้องนำไปปฏิบัติ ปฏิบัติ และปฏิบัติเท่านั้น

•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•

“จักรวาลไม่ได้กำลังให้คุณหรือให้โทษเรา ผ่านทางกรรมแต่อย่างใดเลย..เพราะว่าจักรวาลเพียงแต่ตอบสนองต่อพลังงานความสั่นสะเทือนที่เราแผ่ส่งออกมาอยู่ทุกๆขณะจิตเท่านั้นเอง..ดังนั้น จงตั้งสติให้ดีก่อนที่จะแผ่ส่งพลังงานความสั่นสะเทือนใดออกไป”

•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•

วิญญาณ เป็น ตัวรู้
จิตใจ เป็น ตัวสร้าง
ร่างกาย เป็น ตัวประสบ

วัฏจักรจึงสมบูรณ์
เมื่อนั้นวิญญาณจะรู้จักตัวเอง
ผ่านประสบการณ์ของตน

และถ้ามันไม่ชอบสิ่งที่กำลังมีประสบการณ์
(กำลังรู้สึก)
หรืออยากมีประสบการณ์ที่แตกต่างไปจากเดิม
ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม

มันก็เพียงแต่รู้ถึงประสบการณ์ใหม่ของตัวเอง
แล้วก็ “เปลี่ยนใจใหม่”

ตรงตามอักษรนั้นเลย
ไม่นานร่างกายก็จะรับประสบการณ์ใหม่นั้นไว้

แต่วิญญาณจะไม่ครอบงำร่างกายและจิตใจ
ฉันสร้างเธอมาแบบองค์ 3

เธอคือ 3 คุณลักษณ์ในหนึ่งเดียว
ซึ่งถูกสร้างขึ้นตามฉายาลักษณ์ของฉัน

ตัวตน 3 ด้านนี้ ใช่ว่าจะไม่เท่าเทียมกัน
แต่ละด้านต่างมีหน้าที่ของตัวเอง
และก็ไม่มีหน้าที่ไหนยิ่งใหญ่ไปกว่าใคร
หรือนำหน้าใคร
ทั้งหมดต่างประสานเชื่อมร้อยอย่างเท่าเทียม

รู้-สร้าง-ประสบ

อะไรที่เธอรู้
เธอจะสร้าง

อะไรที่เธอสร้าง
เธอจะประสบ

อะไรที่เธอประสบ
เธอจะรู้

นั้นคือเหตุผลว่า ทำไมถึงพูดว่า

ถ้าเธอสามารถทำให้ร่างกาย
มีประสบการณ์บางอย่างได้
(เช่น ความมั่งมี)

ไม่ช้าเธอจะเกิดความรู้สึกนั้น
ในวิญญาณของเธอ
และวิญญาณก็จะรับรู้ตัวเองแบบใหม่
(ซึ่งก็คือ ความมั่งมี)
แล้วก็จะมอบความคิดใหม่ ๆ
ให้แก่จิตใจ

จากความคิดใหม่ๆ นั้นเอง
ที่ประสบการณ์ใหม่ ๆ จะผุดขึ้น
และร่างกายก็จะเริ่มใช้ชีวิตอยู่กับ
ความเป็นจริงใหม่ในฐานะที่เป็นสภาวะจิตถาวร

ร่างกาย-จิตใจ-และวิญญาณของเธอคือหนึ่งเดียว

ด้วยนัยนี้ เธอจึงเป็นจุลจักวาลของฉัน
ฉันผู้เป็นทุกสรรพสิ่ง
คือ ทั้งหมดอันศักดิ์สิทธิ์
คือ ผลลัพธ์และกระบวนการ

ตอนนี้เธอเห็นแล้วว่า
ฉันเป็นอัลฟาและโอเมกา
เป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย
ของสรรพสิ่งได้อย่างไร!

: สนทนากับพระเจ้าฯ เล่ม 1

•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•

 

•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•

 

 

•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•

 

 

•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•

 

•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•