เรื่อง : กฎแห่งแรงดึงดูด > ทำไม /เมื่อไร จึงจะใช้ได้ผล หรือใช้ไม่ได้ผล
•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
ตอนนี้ ประสบการณ์ของพวกคุณ สามารถเปลี่ยนแปลงความเชื่อต่างๆของพวกคุณได้ทุกเมื่อ
และถ้าพวกคุณเชื่อว่าเงินทองคือรากเหง้าของความชั่วร้ายทั้งปวงละก็ ‘Law of Attraction ก็จะใช้ไม่ได้ผลกับพวกคุณด้วยเช่นกัน จนกว่าพวกคุณจะเปลี่ยนความเชื่อหลักของตัวเองใหม่เสียก่อน
และหากพวกคุณเชื่อว่า พวกคุณยากจน และมักจะต้องใช้เงินทองอย่างกระเบียดกระเสียนอยู่เสมอ เพื่อที่จะได้เพียงพอต่อการประทังชีวิตไปวันๆละก็ ความเชื่ออันนี้ของพวกคุณนี่แหละ ที่จะไปสร้างประสบการณ์เช่นนั้นขึ้นมาให้กับพวกคุณเอง ดังนั้น ไม่ว่าพวกคุณจะทำงาน 2 อย่างหรือ 3 อย่างก็ตาม แต่ถ้าความเชื่อหลักของพวกคุณถูกสร้างขึ้นมาแบบนั้นแล้วละก็ มันก็จะถูกฉายเข้าไปในความเป็นมิติ และแน่นอน มันก็จะถูกเนรมิตให้ปรากฏออกมาแบบนั้นด้วย แล้วพวกคุณก็จะมีปัญหาติดขัดด้านเศรษฐกิจอยู่เหมือนเดิม
ถ้าพวกคุณเชื่อว่าพวกคุณ “ไม่ฉลาดเลย” สมองพวกคุณก็จะยอมรับความเชื่อแบบนั้นเอาไว้ และพวกคุณก็จะถูกจำกัด ถ้าพวกคุณเชื่อว่าพวกคุณไม่มีเสน่ห์ดึงดูดเลย พวกคุณก็จะฉายภาพแบบนั้นออกมาสู่สายตาของทุกๆคนที่อยู่รอบๆตัวพวกคุณผ่านทางกระแสจิต พวกคุณฉายภาพความเชื่อของพวกคุณออกไปอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น ไม่ว่าพวกคุณจะมองไปในทิศทางไหนบนโลกใบนี้ พวกคุณก็จะพบเจอแต่สิ่งที่พวกมันเนรมิตออกมาให้กับพวกคุณอยู่ตลอดเวลา พวกมันสร้างภาพขึ้นมาจากเงาสะท้อนในความเชื่อของพวกคุณเอง พวกคุณไม่สามารถหลีกหนีความเชื่อของพวกคุณเองไปได้ ….อย่างไรก็ตาม พวกมันก็เป็นวิธีที่พวกคุณใช้ในการสร้างประสบการณ์ของพวกคุณเอง
ที่พวกคุณมีการดำรงอยู่แบบกายภาพนี้ ก็เพื่อที่จะมาเรียนรู้และเข้าใจให้ได้ว่าในแง่ของพลังงาน สิ่งที่พวกคุณเชื่อ ที่พวกคุณแสดงออกมาในรูปแบบของความรู้สึก, กระแสความคิด และอารมณ์ต่างๆนั้น มันคือต้นตอของทุกๆประสบการณ์ของพวกคุณเอง
ณ.ช่วงเวลานี้ ..ตอนนี้ ประสบการณ์ของพวกคุณ สามารถเปลี่ยนแปลงความเชื่อต่างๆของพวกคุณได้ และเปลี่ยนได้ทุกเมื่อ พวกคุณสามารถควบคุม “การเลือกที่จะเชื่อ” ของตัวเองได้ และกุญแจสำคัญก็คือการสร้าง “ความเชื่อ” ขึ้นมาใน Mer-Ka-Na ของ “ตัวตนรวม” ของตัวคุณเองผ่านการเลือกอย่างมีสติ-สัมปชัญญะ และต้องไม่ใช่โปรแกรมอย่างไร้สติสัมปชัญญะ (Mer-Ka-Na เป็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับจิตหรือจิตสำนึก – ผู้แปล)
•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
พวกคุณสามารถมีได้ในสิ่งที่พวกคุณต้องการ และ “ เงินไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย !..แต่มันคือพลังงาน “
คราวนี้ เราจะมากล่าวถึงแนวความคิดนี้ในแบบหลากมิติกัน คุณลองย้อนคิดซิว่า กี่ภพชาติแล้วที่พวกคุณเคยเกิดเป็นพระหรือนักบวช ที่พวกคุณเคยให้สัตย์ปฏิญาณอย่างเคร่งครัดว่าจะไม่ครอบครองสิ่งใดเลยอย่างเด็ดขาด และพวกคุณได้ปฏิเสธโลกแห่งวัตถุไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งมีความยึดมั่นอย่างเหนียวแน่นอยู่กับความเชื่อที่ว่า “เงิน คือรากเหง้าของความชั่วร้ายทั้งปวง”
แต่ทุกภพทุกชาติ ล้วนมีอยู่และเป็นอยู่พร้อมๆกันหมดในนิรันดร์กาลแห่ง”ปัจจุบันขณะนี้” ส่วนในภพชาตินี้ พวกคุณกำลังจดจ่ออยู่กับการสร้างโลกแห่งความเป็นจริงของพวกคุณอยู่ และพวกคุณมีความปรารถนาความมั่งคั่งสมบูรณ์ เพราะพวกคุณตระหนักว่า เงินไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย แต่มันเป็นเพียงแค่พลังงาน และมันก็สามารถที่จะถูกใช้ไป เพื่อก่อให้เกิดสิ่งต่างๆที่ดีๆได้อย่างมากมายอีกด้วย
แต่ถึงแม้ว่า พวกคุณจะอ่านหนังสือทุกเล่ม และอ่านบทความทุกๆบทความที่เกี่ยวกับความคิดบวก ว่าจะไปจุดประกายให้ ‘Law of Attraction’ ทำงานได้อย่างไรมาแล้วก็ตาม แต่พวกคุณก็ยังคงไม่สามารถนำความมั่งคั่งมาสู่ตัวเองได้
ซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะว่า พวกคุณมีจำนวนชาติภพในความเป็นหลากมิตินี้ที่หนักไปทางด้านใดด้านหนึ่งอยู่ก็ได้ เช่น ถ้าพวกคุณมีจำนวนชาติภพอยู่ 12 ชาติภพติดๆกัน ที่ในปัจจุบันขณะของแต่ละชาติภพนั้นๆ กำลังหลีกหนีและปฏิเสธสิ่งที่พวกเขาเองเชื่อว่ามันเป็นเรื่องของวัตถุธาตุอยู่ แต่มีอยู่เพียงชาติภพเดียวเท่านั้นที่กำลังพยายามสร้างความมั่งคั่งสมบูรณ์ขึ้นมา แล้วพวกคุณคิดว่าความพยายามของฝ่ายไหนจะมีพลังงานมากกว่ากัน ?
•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
คุณต้องจัดการกับบทเรียนที่คุณได้เลือกไว้เสียก่อน..มิฉนั้น มันจะเกิดขึ้นซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น จนกว่าคุณจะยอมเผชิญหน้ากับมัน
ตอนที่ 3
ในตอนนี้ คุณสมบัติที่เป็นสิ่งมีชีวิตในความหลากมิติของมนุษย์ เป็นหัวใจสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจในเรื่องกลไกการทำงานของ “กฎแห่งการดึงดูด” (Law of Attraction) ของพวกคุณ ซึ่งกุญแจสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับความเข้าใจในเรื่องความเป็นหลากมิติของพวกคุณเองก็คือ “ตัวตนอันสูงส่งกว่าของพวกคุณ” (your Higher-Self) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพวกคุณเอง ที่ดำรงอยู่เหนือโลกทางกายภาพ และเป็นส่วนที่ทำหน้าที่ “เขียนบทชีวิต” ให้แก่พวกคุณให้ต้องเจอะเจอกับปัญหาอุปสรรคบางอย่างในชีวิต เพื่อให้เกิดการเจริญเติบโต…และปัญหาอุปสรรคเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจที่จะหลบเลี่ยงหรือกำจัดมันออกไปให้พ้นๆได้ซะด้วยซิ
•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
“เจตน์จำนงค์ & ความมุ่งมั่น และ สมาธิ” จะต้องทำงานร่วมกันเป็นทีมกับ “ การกระทำ ”..จึงจะจัดได้ว่าเป็นความสมบูรณ์แบบ
การยอมรับปัญหาอุปสรรค (Accepting the Challenge)
ดังนั้น แม้ว่า “การคิดในแง่บวก” จะเป็นคลื่นความถี่ที่เป็นกุญแจสำคัญอันหนึ่ง แต่วัตถุประสงค์ของการคิดในแง่บวกนั้น มีขึ้นก็เพื่อช่วยให้พวกคุณสามารถเข้าถึงบทเรียนชีวิตของพวกคุณเองได้ ไม่ใช่ให้ใช้เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงกระบวนการเรียนรู้ซะเอง เพราะพวกคุณไม่สามารถละเลยหรือขจัดบทเรียนต่างๆ ที่พวกคุณเป็นผู้เขียนสคริปต์ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนาตัวคุณเองออกไปได้ และเป็นเพราะ สิ่งต่างๆที่พวกคุณได้เลือกไว้แล้วนั้น ส่วนใหญ่อยู่นอกเหนือ และเกินขีดความสามารถของสมองแห่งอัตตา (ego-brain) ที่อยู่ในระบบทวิภาวะนี้ จะกำจัดหรือเคลียร์มันออกไปได้
ฉนั้น พวกคุณจึงต้องเผชิญหน้ากับพวกมันก่อน เพราะในความศักดิ์สิทธิ์ของพวกคุณที่มาจากมุมมองที่สูงกว่าของพวกคุณเอง ต้องการให้มันเป็นเช่นนั้น และพวกคุณก็เป็นผู้เขียนบทแห่งความท้าทายเหล่านี้ขึ้นมาเอง และพวกเราขอยืนยันกับพวกคุณว่า มันไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้นและควรค่า มากไปกว่าความต้องการที่จะวิวัฒน์, และปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่าของพวกคุณ ด้วยการทำให้มันเป็นจริงขึ้นมา ซึ่งนั่นก็คือภารกิจทั้งหมดในแต่ละภพชาติของพวกคุณอย่างแท้จริง
ดังนั้น การทำสมาธิ หรือ การจินตนาการถึงความสำเร็จลุล่วงของเป้าหมายที่ต้องการแค่เพียงอย่างเดียวนั้น มันยังไม่เป็นการพอเพียง หากพวกคุณยังไม่ได้ทำตามเสียงจากภายใน ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนที่ผุดขึ้นมาจากการทำสมาธิและจากจินตนาการของพวกคุณ และ “เจตน์จำนงค์”, “ความมุ่งมั่น” และ “สมาธิ” จะต้องทำงานร่วมกันเป็นทีมกับ “การกระทำ” ได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วย
ส่วนการบรรลุถึง “ความสมบูรณ์แบบอันไร้ที่ติ” (impeccability) และการได้บรรลุถึง “การรู้แจ้ง” (enlightenment) ได้ในที่สุดนั้น มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกคุณจะหลุดออกไปอยู่ในสภาวะที่เปี่ยมไปด้วยความปิติสุข ที่ไร้ความจำได้หมายรู้ (ไร้ซึ่งสัญญา- ผู้แปล) โดยฉับพลันทันที หรือหลุดออกไปอยู่ในสภาวะนิพพานอันไกลโพ้นใดๆ ตามที่บางศาสนาได้บอกเป็นนัยๆเอาไว้แต่ประการใดไม่
•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
คุณจะมีโอกาสเอาชนะสิ่งที่เรียกว่า “พรหมลิขิต” และสามารถพิชิตอุปสรรค เพื่อเนรมิตความปรารถนาของคุณเองให้กลายเป็นจริงได้
ตอนที่ 5
ท่านคุรุทั้งหลาย พวกเราจะบอกพวกคุณว่า ตอนนี้พวกคุณก็กำลังอยู่ในส่วนหนึ่งของสภาวะนิพพานอยู่ อย่างที่พวกคุณเคยอยู่มาตลอด และก็จะอยู่ตลอดไปด้วย เพียงแต่พวกคุณจะต้องค้นหามันจากภายในของพวกคุณเองให้เจอเท่านั้นเอง
ซึ่งอันที่จริง..มันจะมีวัฏจักรแห่งสภาวะอารมณ์ของพวกคุณ ที่เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษย์ มันจะมีบ้างในบางเวลาที่พวกคุณจะรู้สึกไม่ยินดียินร้ายกับอะไรหรือรู้สึกหดหู่ซึมเซา ซึ่งสาเหตุมันก็ไม่ได้มาจากแค่ปัญหาที่พวกคุณกำลังเผชิญหน้าอยู่เท่านั้น แต่แรงดึงดูดบางอย่างในทางดาราศาสตร์ ก็สามารถเป็นสาเหตุของความสิ้นหวังดังกล่าวนี้ได้ด้วย พวกคุณต้องเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ซึ่งพวกคุณก็มีความสามารถที่จะฟันฝ่าพวกมันไปได้ด้วย
ดังนั้น จงรับรู้ไว้ว่า “นิพพาน” (Nirvana) ในภาษาของพวกคุณ คือสิ่งที่จะบรรลุได้ด้วยเจตนคติที่จะทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ ไม่ใช่ด้วยการหลีกเลี่ยง /ด้วยการละเลยหรือด้วยการหลบหนี แต่จะบรรลุได้ด้วยการเผชิญหน้ากับสภาวะของโลกแห่งความเป็นจริงที่อยู่รอบๆตัวพวกคุณอย่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ
และถึงแม้การที่จะมีอำนาจเหนือความเป็นทวิภาวะกับประสบการณ์ที่ได้รับจากโลกใบนี้ได้นั้น เป็นเรื่องที่ยาก แต่มันคือสัจธรรมอันยิ่งใหญ่ และเป็นสัจธรรมอันสูงสุดของทวิภาวะเลยทีเดียว ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่มักจะถูกเข้าใจผิดกันอยู่เสมอๆด้วย
•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
การเผชิญหน้าอย่างกล้าหาญและสมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ จะช่วยให้ชีวิตคุณ เจริญเติบโตขึ้นได้อย่างมีความหมายที่แท้จริง
ดวงใจที่รักทั้งหลาย ความเป็นจริงที่ตรงไปตรงมา นั่นก็คือความสำเร็จครั้งที่เจ็บปวดที่สุดของพวกคุณบางส่วนเท่านั้น ซึ่งอันที่จริงแล้ว มันก็คือพัฒนาการครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกคุณนั่นเอง ที่จะสามารถเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อพวกคุณตกอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยุ่งยากเท่านั้น
พวกคุณจะมีความพยายามมากที่สุด และยอมเผยความสามารถออกมาให้เห็นมากที่สุด ก็ต่อเมื่อพวกคุณกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ “ไม่สะดวกสบาย” เท่านั้น เช่น ในช่วงเวลาที่กำลังรู้สึกงุนงง, ช่วงเวลาที่ไม่น่าพึงพอใจ หรือแม้แต่ในช่วงเวลาที่กำลังเจ็บปวดรวดร้าว และสิ้นหวังด้วย เพราะในช่วงดังกล่าวนั้น ความไม่สะดวกสบายของพวกคุณจะผลักดันและกระตุ้นให้พวกคุณหลุดออกมาจากที่คุมขังอันจำกัดและดิ้นรนแสวงหาวิถีชีวิตที่ดีกว่า ที่น่าพึงพอใจมากกว่า และที่เป็นด้านจิตวิญญาณมากกว่าได้
•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
พวกคุณกำลังจะได้ค้นพบบุคลิกลักษณะที่ยิ่งใหญ่กว่าของตนเอง
(Impeccability – The State of Grace)
}{= ยิ่งขอบเขตของสติปัญญา และความตระหนักรู้ของพวกคุณขยายออกไปมากขึ้นเท่าไหร่พวกคุณก็จะต้องยิ่งใช้ความพยายามมากขึ้นไปด้วยเท่านั้น และ
}{= ยิ่งความตระหนักรู้ของพวกคุณมีมากขึ้นเท่าไหร่ พวกคุณก็จะยิ่ง “รู้” มากขึ้นเท่านั้นด้วย และ
}{= ยิ่งพวกคุณรู้มากขึ้นเท่าไหร่ พวกคุณก็จะยิ่งมีความรับผิดชอบต่อชีวิตมากขึ้นเท่านั้นด้วยเช่นเดียวกัน
[] = พวกคุณกำลังจะกลายเป็นสิ่งที่จิตวิญญาณของพวกคุณเป็น
[] = พวกคุณกำลังจะค้นพบบุคลิกลักษณะที่ยิ่งใหญ่กว่าของตนเอง ที่รักทั้งหลาย….. ที่พวกคุณมีพัฒนาการทางด้านจิตวิญญาณได้นั่นก็เพราะว่าพวกคุณได้เริ่มต้นแสวงหาความเจริญก้าวหน้าแล้ว และเพราะว่าพวกคุณกำลังลงมือกระทำอยู่ และกำลังฝึกฝนปฏิบัติเพื่อให้บรรลุถึงความสำเร็จนั้นอยู่นั่นเอง
<> ความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ จะทำให้พวกคุณอยู่ในสภาวะแห่งคุณงามความดี
>< แต่..… การมีความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติก็ไม่อาจอนุมานได้ว่าพวกคุณได้บรรลุการรู้แจ้งแล้ว หรือได้เรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกคุณจำเป็นจะต้องเรียนรู้จนหมดสิ้นแล้ว
>< แต่...มันหมายความว่าพวกคุณได้อยู่บนทางสายเอกเส้นนั้นแล้ว ซึ่งเป็นเส้นทางที่ถูกต้องที่จะนำพวกคุณไปสู่การรู้แจ้งได้ต่างหากเล่า
•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
ความศักดิ์สิทธิ์ของพวกคุณเอง จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในลักษณะของโชคช่วยในสถานการณ์ที่กำลังย่ำแย่ได้อย่างทันท่วงที
: 1). ความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติแบบมีเงื่อนไข (Conditional Impeccability) :
ความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติในระดับนี้ คือ ความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติสำหรับรูปธรรมชีวิตที่ยังมีพัฒนาการไม่สูงมากนัก แต่ก็กำลังฝึกฝนปฏิบัติเพื่อการรู้แจ้งอยู่ กำลังทำดีที่สุดอยู่ กำลังใช้ความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่ เพื่อทำในสิ่งที่ถูกต้องอยู่ แม้ว่าอาจจะยังมีความไม่รู้ และยังมีความเข้าใจผิด เพราะความไร้เดียงสาอยู่บ้างก็ตาม
ซึ่งพวกเราหมายความว่า นั่นก็เพราะพวกคุณเชื่อจริงๆจังๆว่า สิ่งที่พวกคุณกำลังทำอยู่นั้น มันคือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว แม้ว่ามันจะไม่ใช่ความจริงอันสิ้นสุด หรือความจริงที่สมบูรณ์แบบก็ตาม แต่พวกคุณทุกคนต้องผ่านระยะนี้ด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งในระยะนี้ ถ้าพวกคุณทำอะไรผิดพลาดไป มันก็คือความผิดพลาดแบบซื่อๆ เพราะว่าพวกคุณเชื่อจริงๆว่าพวกคุณกำลังทำในสิ่งที่พวกคุณรู้สึกว่ามันถูกต้องอยู่
มันอาจถูกเข้าใจว่าเป็นความช่วยเหลือจาก “เทพผู้พิทักษ์” (Guardian Angel) ก็ได้ เพราะว่าในหลายๆกรณี มันก็คือความช่วยเหลือจากเทพผู้พิทักษ์จริงๆนั่นแหละ เพราะว่าความศักดิ์สิทธิ์ของพวกคุณเอง จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในลักษณะของโชคช่วยในสถานการณ์ที่กำลังย่ำแย่ได้อย่างทันท่วงที
ซึ่งหากพวกเราจะให้คำจำกัดความของคำที่ศาสนาของพวกคุณเรียกกันว่า “บาป” ใหม่นั้นมันก็จะไม่ได้หมายถึงเรื่องที่ขึ้นอยู่กับศีลหรือข้อบัญญัติทางศาสนา(commandments) แต่อย่างใด แต่มันจะหมายถึง “การไม่นำความรู้มาใช้ให้เป็นประโยชน์” มากกว่า ที่เป็นการกระทำที่พวกคุณก็ “รู้” ว่ามันไม่ถูกต้อง หรือการกระทำที่ขัดแย้งกับความเชื่อสูงสุดของตัวคุณเอง
•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
การที่จะบรรลุเป้าหมายของการเจริญเติบโตด้านจิตวิญญาณได้นั้น คุณต้องเข้าไปยัง “สวนแห่งภูมิปัญญาอันศักดิ์สิทธิ์” แห่งนี้
ตอนที่ 9 : ภูมิปัญญาสถิตย์อยู่ภายใน (Wisdom Is Within)
>> พวกคุณทุกคนอยากมีภูมิปัญญาที่มากขึ้นกว่าที่มีอยู่เดิม ก็จงค้นหา !! แล้วพวกคุณจะพบมัน คุรุทั้งหลาย…. พวกคุณจะพบว่า “ มันได้ถูกซ่อนไว้ข้างในตัวของพวกคุณเอง “ และมันเป็นเรื่องน่าเศร้ามาก ที่มันมักจะเป็นที่สุดท้ายที่พวกคุณจะมองหามัน เพราะมันต้องอาศัยการฝึกฝนและปฏิบัติ
พวกคุณรู้ไหมว่า การเชื่อมโยงอันศักดิ์สิทธิ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์นั้นอยู่ภายในสิ่งที่นักวิชาการของพวกคุณเรียกกันว่า “จิตใต้สำนึก” ซึ่งแม้แต่คัมภีร์ทางศาสนาของพวกคุณเอง ก็ยังบอกเลยว่า พระเจ้าอยู่ภายในตัวของพวกคุณ และยังบอกอีกว่าพวกคุณคือประกายแห่งพระเจ้า
จิตใต้สำนึก หรือสิ่งที่พวกคุณเรียกกันว่า “สมองส่วนหลัง” (back brain) นั้นคือส่วนที่เป็นพระเจ้าของพวกคุณเอง มันคือส่วนที่ยิ่งใหญ่กว่าของพวกคุณเอง (your greater self) ที่บรรจุ” ความรู้แห่งสรรพสิ่งทั้งปวง” (All That Is) เอาไว้ และมันคือส่วนที่เก็บ “ บันทึกแห่งฟ้า “ (Akashic Records) ซึ่งเป็นความทรงจำทั้งหมดของจิตวิญญาณของพวกคุณเอาไว้ เพราะว่า…..” จิตใต้สำนึก ก็คือจิตใจแห่งพระเจ้าที่อยู่ภายในตัวของพวกคุณ “
ดังนั้น การที่จะบรรลุเป้าหมายของการเจริญเติบโตด้านจิตวิญญาณได้จึงจะต้องเข้าไปยัง “สวนแห่งภูมิปัญญาอันศักดิ์สิทธิ์” (Sacred Garden of Wisdom) นี้ และการที่จะเข้าไปในสวนแห่งภูมิปัญญาอันศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ก็ต้องทำจิตใจแห่งอัตตา (ego mind) ให้เงียบสงบลงซะก่อน และนั่นจึงทำให้วิธีการทำสมาธิถูกใช้เป็นประตูทางเข้าเสมอมา
•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
เมื่อพวกคุณได้เห็นคุณค่าของเวลาที่ชีวิตให้มาแล้ว พวกคุณก็จะสามารถใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด “ เพื่อที่จะทำวันนี้ให้ดีที่สุด “
>> ท่านคุรุทั้งหลาย พวกคุณจะยังไม่สามารถอยู่ในสถานะของผู้มีคุณงามความดีที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติได้ จนกว่าพวกคุณจะเห็นคุณค่าของตัวเองอย่างแท้จริงซะก่อน และด้วยเหตุนี้ พวกคุณจึงจะยังไม่ถูกกระตุ้นให้เห็นคุณค่าของเวลาของตัวเอง และใช้มันอย่างเหมาะสมที่สุดอย่างแท้จริงได้
เพราะหากพวกคุณยังไม่รู้จักเห็นคุณค่าของเวลาที่ชีวิตให้มาแล้ว พวกคุณก็จะยังไม่สามารถใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด เพื่อทำให้ดีที่สุดได้ “Carpe Diem” ที่มีความหมายว่า “Seize the day “(ทำวันนี้ให้ดีที่สุด) และมันก็เป็นคำพูดที่เหมาะสมดี (Carpe Diem เป็นภาษาละตินเป็นวลีหนึ่งจากบทกวีของ Horace นักกวีชาวโรมยุค 65 ปีก่อนคริสตกาล – ผู้แปล)
พวกคุณต้องไขว่คว้าทุกช่วงขณะเอาไว้ ! ซึ่งก็ยังมีพวกคุณเป็นจำนวนมาก ที่แม้ว่าจะมีเจตนาดีก็ตาม แต่ก็ปล่อยให้ตัวเองถูกกล่อมให้หลับใหล และจมอยู่แต่ในความพึงพอใจของระยะใดระยะหนึ่งหรือในสภาวะใดสภาวะหนึ่งของเส้นทางชีวิตที่พวกคุณได้เลือกมาแล้ว
พวกคุณหลายคนก็สูญเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ หรือใช้เวลาไม่คุ้มค่า และสิ้นเปลืองภพชาติ ภพชาติแล้วภพชาติเล่า ไปโดยเปล่าประโยชน์ สิ่งที่พวกคุณไม่ยอมเผชิญหน้า สิ่งที่พวกคุณไม่ยอมแก้ไขในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งหรือในภพชาติใดภพชาติหนึ่งนั้นมันก็จะผุดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง แล้วพวกคุณก็จะต้องเจอกับมันซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกว่าพวกคุณจะแก้ไขมันได้สำเร็จ และนั่นก็คือสัจธรรมอันยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งเลยทีเดียวท่านคุรุทั้งหลาย
เพราะตราบใดที่พวกคุณยังมองไม่เห็นคุณค่าของตัวเองได้อย่างแท้จริงแล้ว พวกคุณก็จะยังมองไม่เห็นคุณค่าของชีวิตและคุณค่าของเวลาของตัวเองได้อย่างแท้จริงด้วย ซึ่งต้องรอจนกว่าพวกคุณจะมองเห็นคุณค่าของเวลาของตนเองได้จริงๆแล้วโน่นแหละ พวกคุณจึงจะไม่ถูกเคี่ยวเข็ญให้ใช้มันไปให้มากที่สุดได้มันเป็นธรรมชาติ
การฝึกฝน คือเครื่องมือพื้นฐานในการแก้ไขปัญหาชีวิต หากปราศจากการฝึกฝนแล้ว มันก็ยากที่พวกคุณจะมีแรงผลักดันที่จำเป็นต่อการหันมาใส่ใจเพื่อลงมือแก้ไขปัญหาของตัวเอง หรือพูดง่ายๆว่า พวกคุณอาจจะกลายเป็นคนที่เฉยชา…ไม่มีความกระตือรือร้น ชะล่าใจ หรือ เกียจคร้านไปเลยก็ได้ บน “บันไดของการเลื่อนระดับขึ้น” (Ladder of Ascension) นี้ พวกคุณอาจจะไต่ขึ้นไปก็ได้ หยุดอยู่กับที่ก็ได้ หรือจะไต่ลงมาก็ได้ด้วย
โลกทางกายภาพในมิติที่ 3 นี้ มันมีกฎอยู่ว่า พลังงานที่อยู่ในระดับสูงๆจะลดระดับลงมาตามธรรมชาติ เมื่อมันอยู่ในสภาวะที่ไม่มีการเคลื่อนไหว และในระนาบทางกายภาพนี้ ตามกฎธรรมชาติแล้ว การอยู่ในสภาวะนิ่งๆสบายๆจึงเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าการเคลื่อนที่ขึ้นไปด้านบน มันเป็นเหตุและผลที่ชัดเจน
“กฎแห่งความรัก” (Law of Love) ซึ่งเป็นกฎที่คอยผลักดันให้ทุกจิตวิญญาณก้าวไปสู่การมีจิตสำนึกที่สูงกว่า และมันจำเป็นจะต้องอาศัยความไม่หยุดนิ่ง (dynamics) … ซึ่งนั่นก็คือ…การลงมือทำ! นั่นเอง
และความเกียจคร้านนั้น.. มันเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของพวกคุณ เพราะการลงมือทำ มันหมายถึงการว่ายทวนกระแสน้ำ….เพราะฉนั้นแล้ว…..จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด! ..
ตอนที่ 13 : ฟิสิกส์แห่งความเป็นขั้ว – กฎแห่งการดึงดูดสิ่งที่ตรงกันข้าม
>>ท่านคุรุทั้งหลาย …
::- ยิ่งพวกคุณเข้าไปใกล้แสงสว่างมากขึ้นเท่าใดพวกคุณก็จะยิ่งดึงดูดความมืดให้เข้ามาหาได้มากขึ้นเท่านั้นด้วย” แสงสว่างย่อมดึงดูดแมลงให้เข้ามาหาเสมอ! และ
::- ยิ่งพวกคุณก้าวหน้ามากขึ้นเท่าไร พวกคุณก็จะยิ่งดึงดูดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ให้เข้ามาหาได้มากขึ้นเท่านั้นด้วย และมันก็ยิ่งจะต้องใช้สติปัญญาเพื่อแก้ไขปัญหามากขึ้นตามไปด้วย
และด้วยเหตุนี้ คุณลักษณะความเป็นขั้วของ “กฎแห่งการดึงดูดสิ่งที่ตรงกันข้าม” (Law of Opposite Attraction) จึงเข้ามามีบทบาทด้วย แต่ถ้าพวกคุณอยู่ในสภาวะของการอุเบกขาได้สิ่งที่เกิดขึ้นก็จะเป็นแค่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเท่านั้น เพราะว่า “พลังงานบวกล้วนๆ จะมีแรงดึงดูดด้านแม่เหล็กต่อพลังงานลบมากที่สุด”
ดังนั้น ยิ่งแสงสว่างของพวกคุณเจิดจ้ามากขึ้นเท่าไหร่แรงดึงดูดสิ่งที่มีขั้วตรงกันข้ามกัน ก็จะยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้นด้วย แต่พวกคุณก็สามารถที่จะจัดการกับมันได้ เพียงแต่พวกคุณจะต้องมีแสงสว่าง มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความเข้มแข็ง และมีการฝึกฝนปฏิบัติเพื่อเบี่ยงเบนมันออกไปเท่านั้น ดังนั้น การจัดการกับคำสบประมาท, กับพลังงานอันรุนแรงของความริษยา,กับความเกลียดชังและความโกรธ ก็คือปริศนาชิ้นสำคัญสู่การบรรลุความเป็นผู้รู้ผู้ตื่นที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ
พวกคุณจะมีวิธีจัดการกับสิ่งนี้ได้อย่างไร ? … ก็เพียงแค่อย่าไปถือสาหาความ (Don’t take anything personally)’ ซึ่งบางทีการพูดมันก็ง่ายกว่าการทำ แต่มันก็เป็นเรื่องจริงทีเดียว
ในคัมภีร์ไบเบิ้ลของพวกคุณ ก็มีกล่าวถึงเรื่องของการหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้ตบเอาไว้ด้วย …
(“ผู้ใดตบแก้มท่านข้างหนึ่ง จงหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้เขาตบด้วย” (ลก 6:29) – ผู้แปล)
แล้วมันหมายความว่าอย่างไร? มันไม่ได้หมายถึง การที่พวกคุณสามารถยกโทษให้กับคนที่เหยียบเท้าของพวกคุณได้หรอกนะ เพราะจริงๆแล้ว มันหมายความว่า “จงยืนหยัดอยู่ในสัจธรรมของตัวคุณเอง” แล้วมันก็หมายถึงว่า พวกคุณจะต้องไม่ไปเหยียบเท้าใครเข้าให้ด้วยนะ ไม่ว่าจะด้วยเจตนาหรือไม่ก็ตาม นี่พวกคุณเข้าใจไหม ?
พวกคุณแต่ละคนมีโอกาสที่จะอยู่ใน ความสมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ ได้ทุกๆวัน เพราะว่าในสถานการณ์ใดก็ตาม ที่พวกคุณสามารถตระหนักรู้ถึงความล้มเหลวของตัวเอง, หรือความขัดแย้งของตัวเอง และกับความถูกต้องเหมาะสมได้ นั่นแหละ!! คือวันที่พวกคุณอยู่ในความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติและแน่นอนว่ามันก็เป็นการเดินทางอย่างหนึ่ง เพราะมันก็เหมือนกับการที่พวกคุณ ยืนหยัดอยู่บนความเป็นจริงของตัวเองและพยายามที่จะยอมรับในความเป็นจริงของผู้อื่นด้วยเช่นกัน เพราะพวกคุณก็กำลังอยู่ในความถูกต้องเหมาะสมแล้วด้วยเช่นกัน
ตอนที่ 15 :
สวัสดีท่านคุรุและ ที่รักทั้งหลาย ….มันมีวิทยาศาสตร์อยู่เบื้องหลัง “กฎแห่งการดึงดูด” (Law of Attraction) และวิทยาศาสตร์นั้นก็คือ “กฎแห่งความเชื่อ” (Law of Belief) และกฎแห่งความเชื่อ คือ กฎที่คอยจัดการกับสิ่งที่พวกคุณสร้างขึ้นมาในชีวิตของพวกคุณ ซึ่งภายในกฎแห่งความเชื่อนี้ ประกอบไปด้วยภาคผนวกของ “โจทย์” ต่างๆ ที่พวกคุณได้วางแผนไว้และทำข้อตกลงไว้กับตัวเอง เพื่อการเติบโตทางด้านจิตวิญญาณของพวกคุณเอง
(You must challenge yourself to break free)
ดังนั้น พวกเราจึงขอย้ำให้ชัดๆลงไปอีกครั้งว่า ความเชื่อทั้งหลายของพวกคุณเองนั่นแหละ ที่ถูกฉายออกมาแล้วไปสร้างโลกแห่งความเป็นจริงส่วนตัวและส่วนรวมของพวกคุณเองขึ้นมา อย่างที่พวกเราได้สนทนากันไปแล้ว
ซึ่งในหัวข้อของข้อความก่อนหน้านี้ มันมีบทละครที่ถูกวางแผนเอาไว้แล้ว โดยตัวตนที่สูงส่งกว่าของพวกคุณเอง ตัวตนด้านที่เป็นจิตอันศักดิ์สิทธิ์/จิตแห่งพระเจ้าในตัวพวกคุณเอง ซึ่งบทละครเหล่านี้อาจเรียกได้ว่า คือ “โจทย์” หรือ ข้อตกลงทางจิตวิญญาณที่พวกคุณ ตัวคุณเอง ได้เลือกเอาไว้ เพื่อใช้เป็นบทเรียนสำหรับการเจริญเติบโตด้านจิตวิญญาณของพวกคุณเอง เพื่อช่วยให้พวกคุณมีสติปัญญาเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น
พวกเราขอยืนกรานอีกด้วยว่า ถ้าจุดประสงค์หรือเป้าหมายในโลกแห่ง 3 มิตินี้ของพวกคุณมีความขัดแย้งกับจุดประสงค์หรือเป้าหมายของตัวตนที่สูงส่งกว่าของพวกคุณเองละก็ ส่วนใหญ่แล้วมันก็จะไม่สามารถถูกเนรมิตให้เป็นจริงขึ้นมาได้ เว้นเสียแต่ว่ามันจะถูกเลือกมา เพื่อเป็นบทเรียนสำหรับพัฒนาการทางด้านจิตวิญญาณของพวกคุณเองเท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าใครคนหนึ่งปรารถนาความมั่งคั่ง แต่ความมั่งคั่งนั้นจะถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดๆ หรือจะไปยับยั้งกระบวนการเจริญเติบโตทางด้านจิตวิญญาณ ตัวตนที่สูงส่งกว่าของคนๆนั้น ก็อาจจะปฏิเสธไม่ให้ความปรารถนานั้นถูกเนรมิตออกมาได้ ซึ่งในบางกรณี มนุษย์ผู้ที่มีทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่จำเป็นต้องมีในโลกแห่งวัตถุธาตุ ในมิติที่ 3 นี้แล้ว มักจะไม่ค่อยมีแรงกระตุ้นให้แสวงหาความก้าวหน้ามากนัก
ที่รักทั้งหลาย เมื่อใดที่พวกคุณพบว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในข้อจำกัดของประสบการณ์ใดก็ตามที่ทำให้เกิดความไม่สะดวกสบายขึ้นหรือเป็นสิ่งที่พวกคุณไม่ชื่นชอบ พวกคุณก็ควรเข้าใจไว้ด้วยว่า พวกคุณเองนั่นแหละ ที่เป็นคนสร้างสิ่งที่ดูคล้ายกับว่าเป็นปัญหานั้นๆขึ้นมา
เพราะฉะนั้นแล้ว… สิ่งที่อยู่ภายใต้ข้อเท็จจริงอันนี้ และภายใต้ระบบทวิภาวะนี้ มันจะต้องมีอยู่ในสถานการณ์ต่างๆร่วมกับกาลเวลาในแบบที่เป็นเส้นตรง เพื่อให้พวกคุณต้องเผชิญหน้าอยู่อย่างแน่นอน
ตอน 17
>> ดังนั้น ไม่ว่าคนๆนั้นจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม แต่ทุกๆสถานการณ์ และทุกๆการกระทำที่เป็นผลลัพธ์ที่มาจากมัน ไม่ว่ามันจะถูกตัดสินว่าดีหรือเลวร้ายขนาดไหนก็ตาม สิ่งเหล่านั้นก็คือสิ่งที่คนๆนั้นสร้างขึ้นมาด้วยตัวของเขาเองอย่างแท้จริง
ตัวอย่างเช่น ถ้าในสถานการณ์รุนแรงอย่างหนึ่ง ที่มีการกระทำผิดเกิดขึ้นจริงและผู้กระทำผิดคนนั้น ก็ถูกตัดสินให้จำคุกตามสมควรแก่ความผิดแล้ว การกระทำเหล่านั้นก็จะต้องได้รับการเผชิญหน้าและถูกมีประสบการณ์ในสถานการณ์ที่เป็นรูปแบบที่เป็นทวิภาวะ…
ในเส้นเวลาแบบเป็นเส้นตรงนี้ มันมี “กฎแห่งเหตุและผล”(Law of Cause and Effect) อยู่ในโลก 3 มิตินี้ ที่จะต้องเล่นกันให้จบเกมส์ ในเรื่องของความรับผิดชอบ ไม่ใช่จะมีเฉพาะต่อการกระทำของตัวเองเท่านั้น แต่ต้องมีความรับผิดชอบต่อความเชื่อของพวกคุณเองด้วย เพราะนั่นเป็นกุญแจสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับกระบวนการเจริญเติบโตทางจิตวิญญาณของพวกคุณเอง ในการมาเรียนรู้บทเรียนบนโลกใบนี้
ซึ่งถึงแม้ว่าคุณจะยอมรับในความเป็นเจ้าของ ด้วยการรับผิดชอบต่อการกระทำ และความเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดก็ตาม แต่การที่จะเปลี่ยนสภาวะแวดล้อมของพวกคุณเองได้นั้น ก็ต่อเมื่อ คุณต้องเผชิญหน้ากับพวกมัน
มนุษย์ที่รักทั้งหลาย พวกคุณจะต้องเข้าใจว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกคุณพยายามหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบต่อการกระทำของพวกคุณเอง ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว พวกคุณก็มักจะทำแบบนั้น โดยการพยายามโยนความรับผิดชอบอันนั้น หรือความผิดอันนั้น ให้กับผู้อื่น หรือกลุ่มอื่น หรือ สาเหตุอื่นไป
แต่ทว่า ในกระบวนการปัดความรับผิดชอบในความผิดออกไปนั้น ก็เท่ากับว่าพวกคุณได้โยนพลังอำนาจของตัวคุณเองทิ้งไปโดยไม่รู้ตัว และเท่ากับว่าพวกคุณได้ละเลยต่อสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของความผิดอันนั้นไป ซึ่งก็จะทำให้สิทธิ์นั้น ย้อนกลับมา ‘สร้างตัวมันขึ้นมาใหม่อีกครั้ง’ได้
เช่นเดียวกับที่พวกเราได้เคยอธิบายเอาไว้แล้ว ในตอนที่ 2 ของบทสนทนาในเรื่องนี้ว่า สิ่งที่ทำให้พวกคุณส่วนใหญ่มีความยากลำบาก ในการที่จะยินยอมกับการรับผิดชอบต่อพฤติกรรมของตัวเอง นั้น ก็คือ ความต้องการที่จะหลบเลี่ยงความเจ็บปวดและความรู้สึกผิดที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการกระทำต่างๆเหล่านั้น มันจึงทำให้พวกคุณไม่ชอบที่จะยอมรับความผิดพลาดของตัวเองในสถานการณ์ที่ไม่ค่อยชัดเจน หรือในหลายๆสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการความขาดแคลน และในด้านสัมพันธภาพที่ไม่ดีทั้งหลาย
ดังนั้น….มันไม่ใช่เพียงแค่ “ เปลี่ยนวิธีการคิด “ อย่างมีสติสัมปชัญญะของพวกคุณเองเท่านั้น แต่พวกคุณจะต้อง “เปลี่ยนความเชื่อ “ เกี่ยวกับสิ่งที่พวกคุณคาดหวังทั้งหลายเหล่านั้นออกไปเสียก่อนอีกด้วย….จากนั้น จึงกระทำไปตามความเชื่อนั้นๆ
>> พวกคุณสร้างโลกแห่งความเป็นจริงของตนเองขึ้นมาจากความเชื่อที่พวกคุณเลือกที่จะเชื่อเกี่ยวกับตัวคุณเองและโลกที่อยู่รายล้อมรอบตัวพวกคุณ ซึ่งในบางขณะ หากพวกคุณไม่เลือกความเชื่อของตัวเองอย่างรอบคอบ และอย่างมีสติแล้ว พวกคุณก็จะถูกโปรแกรมโดยไม่รู้ตัว พวกคุณจะซึมซับเอาความเชื่อเหล่านั้นเข้าไป ไม่ว่าจะมาจากวัฒนธรรม จากโรงเรียน และสิ่งที่อยู่รอบๆตัวพวกคุณในมิติที่ 3 แห่งนี้ อย่างไม่มีเหตุผล
ดังนั้น …ไหนๆพวกคุณก็จะต้องรับผิดชอบและมีคำตอบให้กับทุกๆการกระทำของตัวเองอยู่แล้วใช่ไหม ? แล้วทำไมพวกคุณจึงไม่สมควรที่จะมีคำถามให้กับทุกๆความเชื่อของตัวเองหละ ?
เพราะ ไม่ว่าพวกคุณจะกำหนดคำนิยามของตัวคุณเองและของโลกที่อยู่รอบๆตัวพวกคุณ ให้มันเป็นอย่างไรก็ตาม มันก็จะไปสร้างความเชื่อของพวกคุณให้เป็นไปตามนั้นด้วย และ ความเชื่อเหล่านั้นนั่นแหละ ที่จะสร้างโลกแห่งความเป็นจริงของพวกคุณเองขึ้นมา
แต่หากเมื่อใดที่พวกคุณเข้าใจได้อย่างถ่องแท้แล้วว่า ความเชื่อของพวกคุณเองคือผู้ที่สร้างโลกแห่งความเป็นจริงของพวกคุณเองขึ้นมา …. เมื่อนั้นและก็แค่เมื่อนั้นเท่านั้น…พวกคุณก็จะไม่ตกเป็นเหยื่อของเหตุการณ์ต่างๆที่พวกคุณจะต้องพบเจออีกต่อไป
ซึ่งมันจะสัมฤทธิ์ผลได้นั้น ก็ต่อเมื่อพวกคุณได้เรียนรู้กลไกและวิธีการทำงานต่างๆของมัน และโปรแกรมของความเชื่ออันนั้น ให้ไปลบล้างและไปแทนที่ความเชื่อเดิมๆที่ผิดๆทั้งหลายได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้วเท่านั้น
:- การยอมรับเป็นเจ้าของ (own),
:- การเปลี่ยนแปลง(change),
:- การลงมือกระทำ (action)
อีกทั้งความรู้สึกนึกคิดจะต้องสอดคล้องไปกับความเชื่อและการกระทำด้วย !ดังนั้น พวกเราจึงขออุทิศเวลาส่วนที่เหลือในการบรรยายนี้ ให้กับเรื่องของ “การสร้างสรรค์อย่างมีสติสัมปชัญญะ”(conscious creation) และ ……
จงจำเอาไว้ว่า พวกคุณมีระดับพัฒนาการมากพอที่จะสร้างสรรค์อย่างมีสติสัมปชัญญะได้แล้ว
ลองเปลี่ยนความเชื่อในปัจจุบันของพวกคุณดูสิ แล้วชีวิตของพวกคุณจะเปลี่ยนไป>>ชีวิตของพวกคุณไม่ได้เป็นไปตามยถากรรม แต่ที่น่าสนใจคือ พวกคุณกลับเข้าใจผิด ว่ามันเป็นเช่นนั้น นั่นเป็นเพราะความเชื่อใช่ไหม ? ขอให้คุณลองใช้เวลาไตร่ตรองดู และนี่ล่ะคือ กฎแห่งความเชื่อห หากพวกคุณเชื่อว่าสถานการณ์ต่างๆทำให้พวกคุณต้องติดกับดักแล้วละก็ มันก็จะเป็นเช่นนั้นจริงๆ และมันก็จะเป็นเช่นนั้นไปเรื่อยๆจนกว่าพวกคุณจะเปลี่ยนความเชื่อหลักอันนั้นของพวกคุณได้เสียก่อน
:- พวกคุณมาอยู่ที่นี่เพื่อที่จะเรียนรู้ว่า พวกคุณสามารถที่จะสร้างสรรค์สิ่งต่างๆขึ้นมาได้ และ
:- พวกคุณก็กำลังสร้างอยู่แล้วด้วย เพราะหนึ่งในเหตุผลสำคัญของการมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นทวิภาวะแห่งนี้ของพวกคุณ ก็เพื่อมาเรียนรู้วิธีที่จะสร้างสรรค์อย่างมีความรับผิดชอบ และอย่างมีสติสัมปชัญญะ ซึ่งผู้เชียวชาญคนสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อยู่ ก็มักจะเป็น “ด็อกเตอร์เหตุและผล”(Dr.Cause & Effect) และด็อคเตอร์คนนี้แหละ ที่มักจะมาเยี่ยมไข้ที่บ้านเสมอๆ !
พวกคุณหว่านพืชอะไรไป ก็จะได้เก็บเกี่ยวผลผลิตอันนั้นมา และถึงแม้ว่าผลผลิตที่เก็บเกี่ยวมานั้นจะเป็นความไม่สะดวกสบาย และไม่เป็นผลดีเลยก็ตาม แต่มันก็คือวิธีการที่จะทำให้พวกคุณได้พิจารณาว่า อะไรที่ทำให้พวกคุณต้องได้รับผลแบบนั้น
ดังนั้น เพื่อยุติสถานการณ์ต่างๆที่มีสาเหตุมาจากภาวะแห่งจิตของเราเอง มันจึงจำเป็นต้องอาศัยการฝึกฝนและปฏิบัติ เพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ซึ่งกุญแจสำคัญก็คือ ความเชื่อ ของพวกคุณเองอีกนั่นแหละ
แต่มันจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือแตกต่างไปซักเท่าไหร่เลย หากพวกคุณยังเชื่ออยู่ว่าชีวิตในปัจจุบันนี้ของพวกคุณเป็นผลสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับพวกคุณแล้วตั้งแต่ในวัยเด็ก หรือเป็นผลสืบเนื่องมาจากอดีตชาติของพวกคุณเอง ซึ่งพวกคุณรู้สึกว่าทั้งวัยเด็กและอดีตชาตินั้นมันอยู่นอกเหนือการควบคุมของพวกคุณ
2: – ปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากการควบคุมของอัตตา หรือความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ให้ไปสู่ความเป็นพระเจ้า หรือการมีสภาวะจิตใจของจิตสำนึกที่สูงส่งกว่า
3: – บำรุงรักษาสนามพลังแม่เหล็กไฟฟ้าให้สมดุลอยู่เสมอ
4: – กระตุ้นคุณลักษณะของความเป็นคริสตัลไลน์ในระบบกายแห่งแสงสว่าง หรือ Mer-Ka-Na ของต่อมพิทูอิทารี ต่อมไพนีล และต่อมไธมัส ให้ทำงานขึ้นมา
5: – รักษาความสมดุล & ความกระจ่างใสของจิตใจเอาไว้อยู่เสมอ
=:= สักวันหนึ่งฉันจะร่ำรวย
=:= สักวันหนึ่งฉันจะทำความฝันของฉันให้เป็นจริง…
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่กลายเป็นเพียงแค่ “อาจจะ” เฉยๆเท่านั้น ซึ่งเหมือนว่า สิ่งเหล่านั้นมันอยู่ที่ไหนสักแห่งหนึ่งที่มันอยู่แสนไกลดังนั้น สิ่งที่พวกคุณเพียรพยายามที่จะสร้างสรรค์ขึ้นมาทั้งหลาย จึงยังอยู่ในที่ๆแสนไกลตามไปด้วยเสมอ เพราะคำว่า “สักวันหนึ่ง” ที่พวกคุณตั้งโปรแกรมเอาไว้นั้น… พวกคุณไม่ได้วางมันไว้ที่ ปัจจุบันขณะ
มันก็ถูกต้องที่ว่า ความฝัน คือ ส่วนแรก แต่มันต้องชัดเจนรัดกุมและตามมาด้วยการกระทำทั้งหลายที่ชัดเจนอีกด้วย
สมองของพวกคุณมีสองซีก ซีกหนึ่งเกี่ยวโยงกับสติปัญญา อีกซีกหนึ่งเกี่ยวข้องกับความรู้สึก สมองทำงานได้โดยอาศัยการกระตุ้น และการเร้าด้านชีวเคมีทั้งหลาย การโปรแกรมความคิดอย่างเข้มข้น & ชัดเจน คือส่วนที่สำคัญที่สุดในอันที่จะทำให้มันกลายเป็น ความเชื่อ ได้
พวกคุณเห็นไหมว่า สมองของพวกคุณคือคอมพิวเตอร์ที่มีชีวิตแบบ 3 มิติเครื่องหนึ่ง มันจะทำงานจากคำสั่งที่ถูกระบุอย่างชัดเจนเท่านั้น มันจะไม่ทำงานกับคำสั่งว่า ‘น่าจะ’ หรือ ‘ได้ไหม ?‘
ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีผู้หนึ่งผู้ใดถูกทำให้อยู่ในสภาวะของการถูกสะกดจิตลึกๆ และถูกถามว่า ….”จิตของฉันสามารถรักษาโรคในร่างกายนี้ได้ไหม ?” … คำตอบก็อาจจะเป็นว่า “ได้สิ” แต่ว่านี่ก็เป็นคำตอบในเชิงที่ประจักษ์ชัด ต่อคำถามที่ว่า ‘จิตจะสามารถรักษาร่างกายเนื้อได้หรือไม่ ‘ เท่านั้น มันจึงยังไม่ใช่เป็นการเข้าไปสู่การรักษาเยียวยาอยู่ดี
:- เพื่อมาเรียนรู้ความลี้ลับของชีวิต และ
:- เพื่อเพิ่มพูนสติปัญญา และ
:- เพื่อเป็นผู้ตื่นรู้แต่การที่จะบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ได้นั้น..พวกคุณจะต้องยอมรับเอาความกดดันและความเครียดบางอย่างที่จำเป็นต้องใช้ความพยายามอย่างมากไปด้วย ซึ่งมันจำเป็นต้องอาศัยการฝึกฝนและปฏิบัติและต้องมีความตั้งใจจริงด้วย
หากพวกคุณเกียจคร้าน พวกคุณก็จะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ พวกคุณจะต้องยอมรับเอาภารกิจอันหนักหน่วงนั้น มันถึงจะสำเร็จลุล่วงไปได้
ดังนั้น.. การพยายามที่จะสร้างชีวิตโดยปราศจากปัญหาอุปสรรคใดๆนั้น จึงเป็นการขัดแย้งกับวัตถุประสงค์แห่งการเรียนรู้ของชีวิตอย่างสิ้นเชิง เพราะเป้าหมายทั้งหลาย ย่อมมีความท้าทายอยู่ด้วยเสมอ …เพราะฉะนั้นแล้ว… ท่านคุรุทั้งหลาย จงอย่าไปวางแผนชีวิตไว้ว่าจะต้องปราศจากปัญหาอุปสรรคใดๆเลย
>> จิตคือผู้สร้าง และพลังแห่งเจตนาที่มุ่งมั่นจดจ่อ เป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการทำงานขึ้น ยิ่งพวกคุณมีความรับผิดชอบอย่างเหมาะสมมากพอเท่าไหร่ ความถี่ของพวกคุณก็จะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นเท่านั้นด้วย การเรียนรู้ที่จะตั้งโปรแกรมให้กับสมองเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง สมองคือคอมพิวเตอร์ชีวภาพ ที่มีฟิลเตอร์แบบ 3 มิติ และมีโปรแกรมต่างๆแบบ 3 มิติ ติดตัวมาตั้งแต่เกิด และการตั้งโปรแกรมสมองของพวกคุณ ก็จะมาจากสิ่งที่พวกเราจะเรียกว่า “การปลูกฝังเชิงสังคม-วัฒนธรรม” (socio-cultural indoctrinations) แต่หากพวกคุณไปเกิดในวิหารของทิเบต (Tibetan Monastery) ก็จะได้รับการยกเว้น
การตั้งโปรแกรมโดยสังคมส่วนใหญ่ จะสั่งสอนให้พวกคุณยอมรับมุมมองอันคับแคบมากๆเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ และศักยภาพของมนุษย์ พวกคุณได้ถูกสอนให้เชื่อแต่เพียงในสิ่งที่พวกคุณสามารถสัมผัสได้ด้วยอายตนะทั้ง 5 ซึ่งได้แก่ การเห็น การได้ยิน การลิ้มรส การได้กลิ่น และการสัมผัสเท่านั้น
ที่รักทั้งหลาย จงรู้ไว้ว่า โลกแห่งวัตถุธาตุทางกายภาพ ที่พวกคุณมองเห็นอยู่รอบๆตัวพวกคุณนี้คือมายาการ ที่พวกคุณแปลความหมายและฉายภาพของมันออกมาจากความรู้สึกของพวกคุณเองทั้งสิ้น
มันถูกรับรู้ด้วยตา แล้วถูกส่งผ่านจักษุประสาทไปยังสมอง แล้วสิ่งที่ได้รับรู้มา ก็จะไปกระตุ้นเซลล์ประสาททั้งหลายที่อยู่ในสมองจากนั้นก็จะมีการตอบสนองอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ผ่านทางปฏิกิริยาชีวเคมีซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่เกี่ยวข้องกับความร้อนโดยธรรมชาติ
เพราะโดยทั่วไปแล้ว พวกคุณจะเชื่อในสิ่งที่พวกคุณมองเห็น ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส หรือได้ยิน ดังนั้น พวกคุณจึงจะยอมรับมัน พวกคุณเชื่อว่ามันเป็นความจริงแล้วพวกคุณก็ตัดสินลงไปว่าชอบใจหรือไม่ชอบใจ จากนั้น สมอง ก็จะปลดปล่อยเซลล์ประสาททั้งหลายที่ขึ้นอยู่กับความชอบหรือไม่ชอบเหล่านั้น ให้ออกมาทำงาน
นี่เป็นวิธีการทำงานของโลกแห่งความเป็นจริงของพวกคุณและเป็นวิธีการดึงดูดของพวกคุณ โดยในเริ่มแรก พวกคุณจะถูกดึงดูดโดยคนที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจ เช่น มีเสียงที่ไพเราะ และมีกลิ่นกายที่หอม ! พวกคุณใช้ความรู้สึกทางกายภาพของพวกคุณเป็นตัวบอกว่าใช่หรือไม่ใช่
ในทำนองเดียวกัน สมองก็จะเกิดความคิดขึ้นว่า จะยอมรับ หรือปฏิเสธสิ่งเหล่านั้นดี ก็ขึ้นอยู่กับว่าตัวแปรต่างๆได้ถูกตั้งโปรแกรมไว้อย่างไร เพราะในความเป็นจริงแล้ว สมองไม่อาจแยกแยะความแตกต่างระหว่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง กับเหตุการณ์ที่เป็นแค่สภาวะทางจิตใดๆได้เลย เช่น ความฝัน เป็นต้น ดังนั้น ในด้านของจิตใจที่เป็นความหลากมิติแล้ว ทั้งสองอย่างนี้ จึงไม่แตกต่างกัน
และเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว
:- ทำอย่างไร ? จึงจะทำให้สมองของพวกคุณขยายขอบเขตการทำงานออกไปได้ ?
:- ทำอย่างไร ? จึงจะเปิดใจของพวกคุณออกมาได้อย่างไร ? และ…
:- ทำอย่างไร ? พวกคุณจึงจะตั้งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ของพวกคุณใหม่ได้ ?
ทุกๆครั้งที่พวกคุณทำเช่นนั้นแนวคิดที่เปิดกว้างอันนั้น ก็จะทำหน้าที่เป็นพาหะช่วยนำพาขอบเขตความเชื่อของพวกคุณให้ขยายกว้างออกไปอีก และจะทำให้การคิดแบบใช้เหตุใช้ผลในระดับเอกภพซึ่งสูงส่งกว่าเกิดขึ้นได้ และหากกระบวนการนั้น ถูกกระทำซ้ำๆหลายๆครั้งอย่างจริงจังและจริงใจแล้ว มันก็จะไปดึงดูดแนวคิดใหม่ๆให้เข้ามาอีก จากการเรียนรู้และจากการทำสมาธิ
ในขณะเดียวกัน วงจรนี้ก็จะไปกระตุ้นส่วนอื่นๆในสมองของพวกคุณให้ขยายตัวออกไปมากยิ่งขึ้น และจะไปตั้งโปรแกรมใหม่ๆ และการยอมรับข้อมูลใหม่ๆให้เกิดขึ้นด้วยจิตใจที่ใสสะอาดแห่ง Mer-Ka-Na
::- พวกคุณก็จะรู้ และ
::- พวกคุณเชื่อ …แล้ว
::- มันก็จะกลายเป็นกฎที่เป็นจริงเสมอไป …และจากความเชื่อที่เปิดกว้างจากใจของพวกคุณนี้ พวกคุณก็จะได้เริ่มก้าวสู่ขั้นตอนการสร้างสรรค์ชะตาชีวิตของพวกคุณเอง
แล้วทำอย่างไร ? พวกคุณจึงจะสามารถขยายขอบเขตการทำงานของสมองของพวกคุณ และเปิดประตูสู่จิตอันศักดิ์สิทธิ์/จิตแห่งพระเจ้าได้ล่ะ ?มันไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ด้วยการปิ๊งแว๊บขึ้นมาเองแบบปุบปับหรอกนะ และมันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้เพราะเพียงแค่ได้เจิมหน้าผากด้วย เพราะหนทางอันศักดิ์สิทธิ์ที่จะสามารถทอดไปยังสิ่งที่พวกคุณอาจเรียกกันว่า “การรู้แจ้ง” (Enlightenment) นั้น มันจะต้องอาศัยขั้นตอนแห่งความตั้งใจอยู่หลายขั้นตอนด้วยกัน
ซึ่งก็มีนักอภิปรัชญาหลายคน ที่ต้องการเปิดหนังสือแห่งความรู้ขึ้นมาและต้องการที่จะกระโดดข้ามไปทีเดียวไปยังบทสุดท้ายเลย ซึ่งการกระทำเช่นนั้น มันไม่ถูกต้อง จึงใช้ไม่ได้ผล เพราะที่ถูกต้อง คือ ต้องเริ่มต้นด้วยการสำรวจดูตัวเองซะก่อน แล้วค่อยๆตรวจสอบอย่างระมัดระวังว่า สิ่งไหนได้ผล สิ่งไหนไม่ได้ผลสำหรับตัวคุณเอง
ด้วยวิธีการนี้ เท่ากับพวกคุณได้ยินยอมให้แนวความคิดที่สดใหม่ได้ขยายกว้างมากขึ้น และปล่อยให้จิตอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นคลื่นความนึกคิดที่มีความถี่สูงกว่า สามารถผ่านเข้ามาในสมองได้ ….จากนั้นพวกคุณก็จัดการพินิจพิเคราะห์มัน ด้วยการเผชิญหน้ากับแนวความคิดใหม่ๆโดยการยอมรับมันไว้ และปล่อยให้มันได้แสดงออกมา แล้วค่อยๆพัฒนาและขับเคลื่อนมันไปด้วยอารมณ์ที่สุขุมคัมภีรภาพ ซึ่งจะทำให้ข้อมูลใหม่ๆเหล่านั้น กลายไปเป็นความรู้และภูมิปัญญาต่อไป
การไปยอมรับ กับการตั้งโปรแกรมแบบ 3 มิติ ของสมองอย่างมืดบอด ดังนั้น แม้ว่าพวกคุณจะสามารถคิดบวกได้ หรือคิดถึงการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางบวกได้ แต่หากในจิตใจลึกๆของพวกคุณยังมีความลังเลอยู่ ว่ามันจะเกิดขึ้นได้จริงหรือ แล้วมันก็จะไม่เกิดขึ้นความลังเลสงสัย เป็นอุปสรรคอย่างหนึ่ง ที่ขวางกั้นการเนรมิตความปรารถนาของพวกคุณให้กลายเป็นจริง เพราะหากพวกคุณลังเล พวกคุณก็จะไม่เชื่อ ความลังเลสงสัยที่อยู่ในสมอง จะทำให้เกิดปฏิกิริยาชีวเคมีอย่างหนึ่งขึ้น มันจะไปกระตุ้นสารตัวนำเซลล์ประสาทในสมองตัวหนึ่ง ที่ไหลจากต่อมพิทูอิตารี ไปยังต่อมไพนีล และจะไปบล็อคทางออกเอาไว้ไม่ให้เปิดออกได้
>> กระแสความคิด และ จินตภาพทั้งหลายอันเกิดจาก ความเชื่อ (the belief thought-images) ที่อยู่รอบๆตัวพวกคุณนั้น มันคือ สิ่งที่ถูกพวกคุณร่วมกันสร้างขึ้นมาในสนามพลังงานมวลรวมของมนุษยชาติทั้งหมด โดยมีความเห็นพ้องต้องกันในระดับมหัพภาค พวกมันถูกฉายออกมาอย่างเป็นเอกเทศน์ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับระดับค่าของแสงสว่างของพวกคุณเอง แล้วพวกมันก็จะเนรมิตเข้าไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพของพวกคุณ
เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางกายภาพกระบวนการหนึ่งอยู่ นั่นก็คือเมื่อคลื่นความถี่ของกระแสความคิดทั้งหลาย ถูกรับเข้ามาในรูปแบบของรหัสดิจิตอลแล้ว สารชีวเคมีภายในสมองก็จะถูกขับเคลื่อนในทันที ตัวเร่งปฏิกิริยาทางจิตทั้งหลาย ถูกเชื่อมต่ออยู่กับต่อมไพเนียล ซึ่งต่อมไพเนียลจะได้รับพวกมันเข้ามา ในลักษณะของ “ แสงสว่างที่เข้ารหัสจีโอเอาไว้ ” โดยผ่านทางกระบวนการถ่ายทอด (geo-coded light transmissions)
ฉนั้น…ทุกๆจินตภาพ และทุกกระแสความคิด จะถูกแปลความหมายและถูกคัดสรรตามคุณลักษณะเฉพาะตัวในด้านพลังงานของพวกมัน ซึ่งหลังจากที่ต่อมไพเนียลรับพวกมันเข้ามาแล้ว พวกมันก็จะต้องถูกกรองผ่านตัวแปรแห่งความเชื่อที่ถูกติดตั้งโปรแกรมเอาไว้ แล้วสมองของพวกคุณก็จะเป็นผู้คัดกรองและกำหนด ว่าสิ่งไหนจริงหรือไม่จริง สิ่งไหนเชื่อได้ หรือเชื่อไม่ได้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับระดับปริมาณของแสงสว่าง ที่ถูกตั้งโปรแกรมเอาไว้ในสมองของพวกคุณ
จากนั้นผลิตภัณฑ์ที่เป็นสารชีวเคมีทั้งหลาย ก็จะถูกผลิตขึ้นมาโดยใช้ส่วนผสมแห่งการยอมรับ หรือส่วนผสมแห่งการปฏิเสธดังกล่าวเหล่านั้น แล้วสารชีวเคมีเหล่านี้ ก็จะทำหน้าที่ไปเปิด หรือ ปิด ประตูทางเข้าไปสู่จิตใจที่สูงส่งกว่าต่อไป
เพื่อใช้ในการแปลความหมาย ว่ากระแสความคิดหรือจินตภาพนั้นๆจะถูกเปลี่ยนให้กลายมาเป็นความจริงทางกายภาพหรือไม่ ? และกระแสความคิดใดที่สอดคล้องต้องกันกับความเชื่อ มันก็จะเคลื่อนผ่านเข้าไปผลิตจินตภาพขึ้นมาใหม่อีกครั้งภายในสมองของพวกคุณ และภายในทุกๆเส้นใยประสาททั่วทั้งร่างกายเนื้อของพวกคุณด้วยซึ่งสิ่งนี้ก็จะกลายไปเป็นตัวจุดประกายเบื้องต้น สำหรับการสร้างโลกแห่งความเป็นจริงใบใหม่ขึ้นมา ต่อมไพเนียลจะรับสัญญาณเป็นคลื่นความถี่แห่งแสงสว่าง ซึ่งทุกๆกระแสความคิด และทุกๆจินตภาพก็จะมีคลื่นความถี่แห่งแสงสว่างที่ถูกเข้ารหัสเอาไว้เฉพาะตัว ที่ขึ้นอยู่กับรูปแบบคลื่นความสั่นสะเทือนของมันเองอยู่แล้ว……..ส่วนขั้นตอนถัดไป ก็คือ“ การตั้งเจตนาด้วยจิตใจที่ใสสะอาด” พลังของความตั้งใจจะถูกขับเคลื่อนและเร่งให้เร็วขึ้นโดยอารมณ์และความรู้สึก และเมื่อขั้นตอนนี้ได้เสร็จสิ้นลง ร่างกายเนื้อก็จะปลดปล่อย “วัตถุประสงค์อันนั้น” ซึ่งจะอยู่ในรูปแบบของรหัสดิจิตอลไปให้กับกายละเอียด ซึ่งกายละเอียดที่ว่านี้ก็คือ สนามพลังออร่าที่สมบูรณ์ซึ่งอยู่ในลักษณะ “กึ่งของแข็ง” และอัดแน่นไปด้วยรหัสแห่งแสงสว่างและถูกฉายออกมา และถูกเร่งให้เร็วขึ้นจากระบบจักระ ออร่านั้นจะต้องสมบูรณ์ไม่เสียหายและจะต้องเป็นวงจร 13-20-33 ที่เหมาะสมและเข้าถึงได้แล้วด้วยเท่านั้นจากนั้นมันก็จะผ่าน Mer-Ki-Va ไปยัง Mer-Ka-Va และไปสู่สนามพลังงาน Mer-Ka-Na ต่อไป
และทุกๆอย่างจะถูกขับเคลื่อนไปด้วยเจตนาที่มีความชัดเจนและความเข้มข้น จากสิ่งที่พวกคุณได้ถ่ายทอดลงไปในเบื้องหลังความนึกคิดของความปรารถนา หรือ เป้าหมาย ซึ่งเป็นตัวกำหนดในสิ่งที่ต้องการเนรมิตออกมา
>> ต่อมไพเนียล มีรูปทรงคล้ายๆผลของต้นโอ๊ค และมีลายนูนๆตะปุ่มตะป่ำเหมือนลูกสน (เป็นรูปกรวย) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีมาหลายยุคหลายสมัยแล้ว ว่ามันคือตัวกลางที่เชื่อมต่อระหว่างมิติที่สูงกว่ากับมิติทางกายภาพ จึงอาจกล่าวได้ว่า มันคือประตูเชื่อมต่อระหว่างความมีอัตตาตัวตน หรือสมอง กับจิตอันศักดิ์สิทธิ์/จิตแห่งพระเจ้า
ซึ่งมันถูกนักอภิปรัชญาหลายๆคน เช่น Descartes และ Edgar Cayce ตั้งชื่อให้ว่าเป็น “ศูนย์รวมอำนาจแห่งจิตวิญญาณ” (Seat of the Soul) ซึ่งภาพของต่อมไพเนียลนี้ ได้ปรากฎอยู่ในอักขรภาพ เฮียโรกลิฟฟิก ของอียิปต์ และของอาณาจักรบาบิโลเนียโบราณหลายต่อหลายภาพ ซึ่งมันได้ถูกวางไว้บนยอดของไม้คฑาแห่งความรู้ของเทพโอซิริส (Osiris) ทั้งที่จริงๆแล้ว ไม้คฑาแห่งเทพโอซิริส มีงูเห่าสองตัวพันกันเป็นเกลียวอยู่ด้วย และหัวงูทั้งสองก็ชูอยู่คู่กันที่บนยอดของคฑาที่มี “ลูกสน” ซึ่งหมายถึงต่อมไพเนียล อยู่นั่นเอง
>> พวกคุณเป็นนายผู้มีอำนาจอยู่เหนือทุกๆประสบการณ์เสมอ แม้ในยามที่พวกคุณถูกทอดทิ้งให้อยู่ในสภาวะที่ดูเหมือนสิ้นหวังอย่างสุดแสนก็ตาม แต่พวกคุณเองนั่นแหละที่เป็นผู้เขียนบทละครของประสบการณ์นั้นๆขึ้นมาเองทุกบท ทุกตอน
แต่หากว่าพวกคุณรู้จักใช้ความพยายามในการมุ่งมั่นค้นหาและใช้ภูมิปัญญาให้เกิดประโยชน์ โดยการยอมเป็นผู้รับผิดชอบแล้ว แล้วคิดใคร่ครวญถึงสถานการณ์นั้นๆของพวกคุณ และหมั่นตรวจสอบว่า “กฎ” ข้อไหนที่กำลังมีผลต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้อยู่ พวกคุณก็จะกลายเป็นคุรุผู้เฉลียวฉลาดที่สามารถกำหนดทิศทางให้กับพลังงานของตัวเองได้อย่างมีปัญญา และสามารถผลิตแต่กระแสความคิดที่มีคุณค่าและควรค่าแก่การทำให้กลายมาเป็นความจริง
ความคิดหนึ่งจะดึงดูดความคิดอื่นๆให้เข้ามาหา พลังบวกจะดึงดูดพลังบวกที่มากยิ่งขึ้นเข้ามา ความคิดที่ชาญฉลาดอย่างหนึ่งจะดึงดูดความคิดที่ชาญฉลาดอื่นๆเข้ามา
ในทำนองเดียวกัน…หากพวกคุณอยู่ในสภาวะสงสารตัวเองหดหู่ซึมเซา และรู้สึกดูถูกตัวเอง พวกคุณก็กำลังดึงดูดสิ่งเหล่านี้ให้เข้ามาหาตัวเองมากขึ้นๆอยู่ และนั่นแหละคือ กฎแห่งการดึงดูด ล่ะ
พวกคุณคือผู้อันเป็นที่รักยิ่ง …
มันเป็นเช่นนั้น… และจะเป็นเช่นนั้นเสมอ…
ความลับแห่งความสำเร็จ และการบรรลุผล
• คุณเคยสงสัยบ้างไหมว่าทำไมคนบางคนจึงมีความเฉลียวฉลาด หรือมีพรสวรรค์ หรือโชคดีกว่าคนอื่นๆ และประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยมในวงการที่เขาเลือกมากกว่าคนอื่นๆ ในขณะที่คนอื่นๆยังคงดิ้นรนต่อสู้ และล้มเหลว และยังไปไม่ถึงไหนเลย
• ไม่ว่าจะเป็นในด้านของจิตวิญญาณ ด้านกีฬา ด้านธุรกิจ ด้านการเมือง ด้านวิทยาศาสตร์ ด้านศิลปะ ด้านดนตรี ด้านการศึกษา และชีวิตส่วนตัว
• คำถามคือ “มีอะไรที่พวกเขารู้ แต่คุณไม่รู้บ้าง”“มีอะไรที่พวกเขามี แต่คุณไม่มีบ้าง” “อะไรคือความลับที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของพวกเขา” “อะไรคือความลับที่พวกเขาต่างก็มีเหมือนๆกัน”
• ความลับอย่างแรก ก็คือ พวกเขาต่างก็รู้ว่า
พวกเขาคือจิตวิญญาณ/จิตสำนึกที่ควบคุมหรือสั่งการกายเนื้อของพวกเขาอยู่ ไม่ใช่เป็นอะไรอย่างอื่นเลย พวกเขาคือ”นาย” แต่ร่างกายเนื้อนี้คือ”บ่าว”
• ความลับอย่างที่สอง คือ พวกเขารู้ว่า “ความคิด/จินตนาการ” ที่พวกเขาคิดหรือจินตนาการหรือพินิจพิจารณาอยู่ในหัวของพวกเขานั้น มันคือ “ความจริง” และมันคือ”สาเหตุ” พวกเขารู้ว่าโลกทั้งโลก เอกภพทั้งเอกภพล้วนเป็นแค่มายา หรือเป็น”โลกแห่งผลกระทบ” มันคือเอกภพแห่งจิตนั่นเอง
• ทุกสิ่งทุกอย่างปรากฏให้เห็นดั่งว่ามันเป็นของแข็งและเป็นความจริง แต่มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย! พวกเขารู้ว่าโลกทั้งโลกคือโลกแห่งจินตนาการ ซึ่งปรากฏให้เห็นประหนึ่งว่ามันเป็นของจริงและเป็นสิ่งที่มีตัวตนจับต้องได้จริงพวกเขาสามารถบงการเอกภพแห่งมายานี้ได้ด้วยใจของพวกเขาเองโดยไม่ต้องใช้ความพยายาม แต่ก็ประสบผลสำเร็จได้
• ความลับอย่างที่สาม คือ พวกเขาสามารถที่จะกำหนดให้กระแสความคิดใดๆของพวกเขาคงอยู่ได้เป็นระยะเวลานานๆ นานกว่าที่คุณจะจินตนาการได้ หรือคุณอาจจะรู้จักกันในนามของ”การจดจ่อ” หรือ”การมีสมาธิ” นั่นเอง ตรงไหนบนร่างกายเนื้อ คือจุดที่ต้องจดจ่อ มันก็คือจุดตรงกลางหน้าผากระหว่างคิ้วทั้งสองข้างนั่นเอง ซึ่งบางคนอาจจะเรียกมันว่าตรง “จักระที่ 6” หรือตรง “ตาที่ 3”
• ถ้าคุณฝึกฝนและหมั่นจดจ่อความคิดของคุณไว้ที่ตรงจุดนี้ ในทุกๆอิริยาบถของคุณ พอผ่านไปได้สักระยะหนึ่งแล้ว ความอัศจรรย์ก็จะบังเกิด โยคีเรียกสภาวะนี้ว่า สภาวะของ “จิตเหนือสำนึก” หรือบางทีก็เรียกว่าเกิด “สมาธิ” หรือนักจิตวิทยาอาจจะเรียกว่า สภาวะที่จิตสำนึกรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจิตใต้สำนึก แล้วอะไรจะเกิดขึ้นหละ ทำไมสภาวะนั้นจึงมีความพิเศษนัก ก็เพราะว่ามันคือที่ที่คุณเข้าถึง”พลังอำนาจ” และ “ภูมิปัญญา” ของเอกภพ นี่คือความลับที่ว่าทำไมปุถุชนคนธรรมดาบางคนจึงเปลี่ยนมาเป็นยอดมนุษย์ได้
• แต่ความลับที่ลึกลงไปกว่านั้นอีก ก็คือ พวกเราทุกคนมีพลังอำนาจเช่นเดียวกันกับคนอื่นๆ เว้นแต่ผู้นั้นจะไม่ตระหนักหรือไม่เข้าใจเกี่ยวกับมันเท่านั้น มันเหมือนเป็นสุดยอดความอัศจรรย์ที่ฝังลึกอยู่ภายในคนเราทุกๆคนและตั้งตารอวันที่จะถูกปลดปล่อยออกมา สำหรับบางคนอาจจะรู้รู้แล้ว แต่ไม่ได้นำไปฝึกฝนปฏิบัติ มันก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา เพราะหัวใจหลักมันอยู่ที่การฝึกฝนปฏิบัติ
• ถ้าคุณปรารถนาที่จะประสบความสำเร็จในการดำเนินชีวิต ในด้านกีฬา ในด้านธุรกิจ หรือในด้านจิตวิญญาณคุณสามารถที่จะนำความลับเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันของคุณได้ แล้วคุณจะทึ่งกับผลของมัน แต่ความลับทั้งหมดต้องนำไปปฏิบัติ ปฏิบัติ และปฏิบัติเท่านั้น
•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
“จักรวาลไม่ได้กำลังให้คุณหรือให้โทษเรา ผ่านทางกรรมแต่อย่างใดเลย..เพราะว่าจักรวาลเพียงแต่ตอบสนองต่อพลังงานความสั่นสะเทือนที่เราแผ่ส่งออกมาอยู่ทุกๆขณะจิตเท่านั้นเอง..ดังนั้น จงตั้งสติให้ดีก่อนที่จะแผ่ส่งพลังงานความสั่นสะเทือนใดออกไป”
•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
วิญญาณ เป็น ตัวรู้
จิตใจ เป็น ตัวสร้าง
ร่างกาย เป็น ตัวประสบ
วัฏจักรจึงสมบูรณ์
เมื่อนั้นวิญญาณจะรู้จักตัวเอง
ผ่านประสบการณ์ของตน
และถ้ามันไม่ชอบสิ่งที่กำลังมีประสบการณ์
(กำลังรู้สึก)
หรืออยากมีประสบการณ์ที่แตกต่างไปจากเดิม
ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม
มันก็เพียงแต่รู้ถึงประสบการณ์ใหม่ของตัวเอง
แล้วก็ “เปลี่ยนใจใหม่”
ตรงตามอักษรนั้นเลย
ไม่นานร่างกายก็จะรับประสบการณ์ใหม่นั้นไว้
แต่วิญญาณจะไม่ครอบงำร่างกายและจิตใจ
ฉันสร้างเธอมาแบบองค์ 3
เธอคือ 3 คุณลักษณ์ในหนึ่งเดียว
ซึ่งถูกสร้างขึ้นตามฉายาลักษณ์ของฉัน
ตัวตน 3 ด้านนี้ ใช่ว่าจะไม่เท่าเทียมกัน
แต่ละด้านต่างมีหน้าที่ของตัวเอง
และก็ไม่มีหน้าที่ไหนยิ่งใหญ่ไปกว่าใคร
หรือนำหน้าใคร
ทั้งหมดต่างประสานเชื่อมร้อยอย่างเท่าเทียม
รู้-สร้าง-ประสบ
อะไรที่เธอรู้
เธอจะสร้าง
อะไรที่เธอสร้าง
เธอจะประสบ
อะไรที่เธอประสบ
เธอจะรู้
นั้นคือเหตุผลว่า ทำไมถึงพูดว่า
ถ้าเธอสามารถทำให้ร่างกาย
มีประสบการณ์บางอย่างได้
(เช่น ความมั่งมี)
ไม่ช้าเธอจะเกิดความรู้สึกนั้น
ในวิญญาณของเธอ
และวิญญาณก็จะรับรู้ตัวเองแบบใหม่
(ซึ่งก็คือ ความมั่งมี)
แล้วก็จะมอบความคิดใหม่ ๆ
ให้แก่จิตใจ
จากความคิดใหม่ๆ นั้นเอง
ที่ประสบการณ์ใหม่ ๆ จะผุดขึ้น
และร่างกายก็จะเริ่มใช้ชีวิตอยู่กับ
ความเป็นจริงใหม่ในฐานะที่เป็นสภาวะจิตถาวร
ร่างกาย-จิตใจ-และวิญญาณของเธอคือหนึ่งเดียว
ด้วยนัยนี้ เธอจึงเป็นจุลจักวาลของฉัน
ฉันผู้เป็นทุกสรรพสิ่ง
คือ ทั้งหมดอันศักดิ์สิทธิ์
คือ ผลลัพธ์และกระบวนการ
ตอนนี้เธอเห็นแล้วว่า
ฉันเป็นอัลฟาและโอเมกา
เป็นเบื้องต้นและเบื้องปลาย
ของสรรพสิ่งได้อย่างไร!
: สนทนากับพระเจ้าฯ เล่ม 1
•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•
•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•◊•…•