Etheric

กายแห่งพลังชีวิต (The Etheric Body)

กายแห่งพลังชีวิตนี้ หรือที่รู้จักกันอีกชื่อหนึ่งในนามของ “etheric double”
คือยานพาหนะ ที่กระแสพลังชีวิต ที่หล่อเลี้ยงร่างกายเนื้อให้มีชีวิตอยู่
ใช้เพื่อไหลผ่านเข้ามาสู่ร่างกายเนื้อ

กายแห่งพลังชีวิตนี้ ทำหน้าที่ต่อประสาน
อยู่ระหว่างร่างกายเนื้อและกายทิพย์ของเรา
แล้วจากนั้น กายทิพย์ที่อยู่ในมิติที่ 4 ของเรา
ก็จะสามารถบูรณาการรวมเข้ากับ
“กายแห่งแสงสว่าง” (lightbody) ของเรา
ซึ่งอยู่ในมิติที่ 5 ได้ต่อไป

Etheric body นี้ จะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดระลอกคลื่นที่มองไม่เห็น
ของ “ความคิด” และ “ความรู้สึก” ที่มาจากโลกทิพย์ ไปสู่โลกทางกายภาพ
ที่หนาแน่นทึบตันกว่า และที่สามารถมองเห็นได้

ซึ่งถ้ามองด้วยตาทิพย์แล้ว etheric double นี้
ก็จะมีลักษณะคล้ายหมอกควันจางๆสีม่วง-เทา
ที่เปล่งแสงได้ และที่แทรกซึมอยู่ในร่างกายเนื้อ
และแผ่ขยายออกมาจากร่างกายเนื้อเล็กน้อย ราวๆ ¼ นิ้ว

Etheric double นี้ ไม่ได้แยกออกมาจากร่างกายเนื้อของเรา
และมันก็ไม่มีจิตสำนึก/ความตระหนักรู้เป็นของตัวมันเองด้วย

etheric body นี้ จะทำหน้าที่ รับและส่งต่อ “พลังชีวิต”
ที่แผ่ออกมาจากดวงอาทิตย์ ให้เข้าไปในร่างกายเนื้อของเรา
โดยส่งผ่านเข้าไปทางระบบจักระของเรา

และทุกๆอนุภาคที่อยู่ในร่างกายนี้ของเรา ไม่ว่าจะเป็นของเหลว,
ของแข็ง หรือแกสก็ตาม ล้วนถูกห่อหุ้มไว้ด้วยพลังชีวิตทั้งสิ้น

และก็เหมือนกับร่างกายเนื้อ..
etheric body ก็มีการแก่, มีการเสื่อมสภาพ,
มีการตาย และมีการปลดปล่อยจิตวิญญาณออกไปด้วยเช่นกัน

Etheric body นี้ มีหน้าที่หลักอยู่ 2 อย่าง
อย่างแรกคือ การดูดซับเอาพลัง “ปราณ”
(prana หรือ ที่รู้จักกันอีกชื่อหนึ่งว่า พลังชี่ หรือ chi) เข้ามา
และส่งต่อไปให้ร่างกายเนื้อ

ส่วนหน้าที่อย่างที่สองก็คือ
การเป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่างร่างกายเนื้อกับกายทิพย์ของเรา

“ปราณ” เป็นภาษาสันสกฤต ซึ่งหมายความว่า “หายใจ”
ซึ่งในทางศาสตร์ลึกลับแล้ว มันมีพลังอยู่ 3 ชนิด
ที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากดวงอาทิตย์
ซึ่งได้แก่
– พลังงานไฟฟ้า,
– พลังปราณ และ
– พลังกุณฑลิณี หรือ พลังงูไฟ นั่นเอง

พลังทั้งสามชนิดนี้ มีการแยกกันอยู่คนละส่วน
และไม่สามารถที่จะเปลี่ยนไปเป็นพลังอีกชนิดหนึ่งได้

การนำเอาพลังงานไฟฟ้ามาใช้นั้น เป็นที่รู้จักกันดีอยู่แล้ว ในโลกตะวันตกของเรา
แต่ว่า..จะมีเพียงแต่ ผู้ที่คุ้นเคยกับศาสตร์ลี้ลับ และการแพทย์แผนตะวันออกเท่านั้น
ถึงจะรู้จักพลังปราณ และ พลังกุณฑลิณีได้

………………………………………….

พลังปราณ (Prana)

พลังปราณ เมื่อแผ่ออกมาจากดวงอาทิตย์แล้วนั้น ก็จะเข้าสู่อะตอมของวัตถุธาตุทางกายภาพ
ที่ลอยอยู่ในชั้นบรรยากาศของโลกก่อน และพลังปราณนี้ก็จะแปรผันตรงตามดวงอาทิตย์ด้วย
ดังนั้น ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส แสงแดดเจิดจ้า ก็จะมีพลังปราณอยู่ในชั้นบรรยากาศมากกว่า
แต่ในวันที่ท้องฟ้ามีเมฆมาก และในเวลากลางคืน ก็จะมีพลังปราณน้อยกว่า

พลังปราณ คือพลังงานที่ต่อประสาน
อยู่ระหว่างมิติที่ 3 และมิติที่ 4

พลังปราณ จะก่อรูปขึ้นเป็นก้อนกลมๆแห่งพลังชีวิต
และจะทำให้อะตอมของวัตถุธาตุทางกายภาพเรืองแสงขึ้น
เมื่อเข้าไปอยู่ในก้อนกลมดังกล่าวนี้

ผลรวมระหว่างอารมณ์ความรู้สึกที่สมดุล กับ ความคิดที่แจ่มชัด
จะทำให้ร่างกายเนื้อ เกิดปฏิกิริยาขึ้น
ซึ่งจะทำให้มันถูกกระตุ้นให้ดูดซับพลังปราณได้มากขึ้น
ดังนั้น พลังปราณจึงเป็นที่รู้จักกันในนามของ
“พลังชีวิต” และ “ลมปราณแห่งชีวิต”
ของอวัยวะต่างๆอีกด้วย

พลังปราณ จะทำให้กายทิพย์ของเรา สามารถติดต่อสื่อสารกับร่างกายเนื้อของเราได้
โดยอาศัย etheric double หรือ etheric sheath

ซึ่งโดยผ่านทาง etheric sheath นี้ พลังปราณ ก็จะวิ่งไปตามเส้นประสาทของร่างกายเนื้อของเรา
แล้วไปขยายการรับรู้ของมันขึ้น โดยการเชื่อมต่อโลกทิพย์ที่อยู่ในมิติที่ 4
ให้เข้ากับโลกทางกายภาพที่อยู่ในมิติที่ 3

พลังปราณจะไหลเข้าสู่ etheric body
และจะเข้าสู่ร่างกายเนื้อในท้ายที่สุด โดยผ่านทางระบบจักระ

———————-

ร่างกาย Etheric
คำเช่น “อีเธอร์” หรือ “ไม่มีตัวตน” ทันทีนึกถึงภาพของโลกเหนือเมฆ, พื้นที่ป่าที่เต็มไป ด้วยแสงสวรรค์ และพระเจ้าเป็นความรู้สึกลึกของสันติภาพ. ถ้าอีเธอร์ไม่เพียงขึ้น, แต่ ในตัวเองเกินไป? ในความเป็นจริง, เราเองมีการร่างกาย etheric. ในภาษาสันสกฤต, เอนทิตีนี้ลึกซึ้งจะเรียกว่า “linga sarira”. Clairvoyantly จะเห็นร่างกาย etheric เป็นเตียงคู่หรือเตียงแฝดของร่างกาย.

คุณรู้ว่าคุณมีแฝด?
ร่างกาย etheric เป็น bioplasmic และแสงสว่างในธรรมชาติ และล้อมรอบร่างกายในขณะที่โซมัน. Clairvoyants จะมีพรสวรรค์ ด้วยสายตาเกินกว่าสิ่งที่ตาเนื้อของเราสามารถดู และสามารถที่จะดูคู่นี้ etheric ที่จริง ดูเหมือนจะมีสองมือ, สองขา, สองตา, อื่น ๆ และอื่น ๆ เช่นเดียวกับร่างกายของเรา.

Word bioplasmic คืออะไร? คำว่า “bioplasm” เป็นการผสมคำสองคำ: ไบโอ, ความหมายชีวิตและพลาสม่า, หมายถึงสถานะสี่ของสสาร. เมื่อสสารในสถานะก๊าซมีการแตกตัวเป็นไอออน และมีอนุภาคบวก และลบ, มันอาจจะเรียกว่าเป็นพลาสม่า. นี้, อย่างไรก็ตาม, จะแตกต่างจากเลือด.

ร่างกาย etheric จึงเป็นที่อยู่อาศัย ออร่า หรือร่างกายที่มีเรื่องละเอียดอ่อนที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า. ถือเป็นหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ของการดำรงอยู่ของร่างกาย etheric kirlian ถ่ายภาพ. Kirlian ถ่ายให้ดู, สังเกตและวิเคราะห์สนามพลังงานหรือร่างกาย etheric ที่ล้อมรอบรูปแบบทางกายภาพของเรา.

มันคือผ่านการ etheric ร่างกายที่ ปรา หรือพลังงานชีวิตผึ้งเป็นการดูดซึม และกระจายผ่านร่างกาย. ร่างกาย etheric จึงทำหน้าที่เป็นช่องทางสำหรับชีวิต พลังงาน การไหลเข้าไปในร่างกายที่มองเห็น เรามี และเพื่อให้แนบกับ.

ร่างกาย Etheric และปรา
จะอาศัยการไหลของพลังเวททั่วร่างกาย etheric meridians ดี bioplasmic การทำงานซึ่งมีมากเช่นการทำงานของหลอดเลือดในร่างกาย. ศัพท์ yogic หมายถึงช่องหรือเส้นเมอริเดียนเหล่านี้เป็น ‘nadis’. Nadis เหล่านี้จะเพิ่มเติมแบ่งเป็น nadis หลัก และรอง. เหมือนเรามีเส้นเลือดและเส้นเลือดฝอยของความสำคัญที่แตกต่างกันและการทำงานในร่างกายของเรามีตัวตน, มีสั่งในร่างกาย etheric เป็นอย่างดี. ปรา (โฮจิมินห์) จึงให้การบำรุง และกระตุ้นร่างกายในการทั้งหมดที่ผ่านการทำงานประสิทธิภาพของช่องในร่างกาย etheric.

ร่างกายและร่างกาย etheric แบ่งปันบอนด์ใกล้ชิดของการพึ่งพากันและอะไรมีผลต่อ, มีผลต่ออีก. โทโชอากกซุย, หลังจากหลายปีของการศึกษารายละเอียด, วิจัยและวิเคราะห์, มีข้อมูลมากเกี่ยวกับธรรมชาติและการทำงานของนักศึกษา พลังทางจิตวิญญาณ และร่างกาย etheric. กระบวนการนี้ทำงานได้ระหว่างที่เกี่ยวข้องได้ตามกฎหมายจดหมายโต้ตอบ. เช่นเดียวกับโรคในร่างกาย etheric เป็นปูชนียบุคคลที่เจ็บป่วยในร่างกาย, การรักษาร่างกาย etheric เยียวยาโรคในร่างกาย. ร่างกาย etheric เป็นเอนทิตีของ tetra มิติพลังงานที่ทำหน้าที่เป็นคู่ที่หนึ่งของร่างกาย.

——————–

“กายของมนุษย์ที่มองเห็นด้วยตาเนื้อ เรียกว่า กายเนื้อ สำหรับ กายทิพย์ คือ ส่วนที่มองไม่เห็นด้วยตาเนื้อ แต่สามารถมองเห็นด้วยตาใน หรือตาที่สาม คือ การฝึกสมาธิ…”

Cosmos คือ จักรวาล Cosmology คือ จักรวาลวิทยา วิชาที่กล่าวถึงพลังในจักรวาล (Cosmic energy) เชื่อว่า เป็นพลังที่ปรากฎในโลกมนุษย์ ได้จากดวงอาทิตย์แผ่รังสีไปกระทบดวงดาวต่างๆ ดวงดาวเหล่านี้มีแร่ธาตุที่แตกต่างกันจึงดูดซับและสะท้อนรังสีออกมามีสีแตกต่างกัน และ เป็นรังสีที่แผ่มากระทบมนุษย์บนโลก มนุษย์มีพลังจิตที่มีความสามารถในการดูดซับรังสีเหล่านี้มาสะสมไว้ใน “กายทิพย์ (Etheric body)” จึงเรียกว่า พลังกายทิพย์ และ มนุษย์สามารถถ่ายเทเผื่อแผ่พลังเหล่านี้ไปสู่ผู้อื่นได้

กายของมนุษย์ที่มองเห็นด้วยตาเนื้อ เรียกว่า กายเนื้อ สำหรับ กายทิพย์ คือ ส่วนที่มองไม่เห็นด้วยตาเนื้อ แต่สามารถมองเห็นด้วยตาใน หรือ ตาที่สาม คือ การฝึกสมาธิ ในกายทิพย์ เชื่อว่า มีจักระ 7 แห่ง ซึ่งเป็นที่ดูดซับพลังและส่งพลังไปยังกายเนื้อให้ทำงานตามหน้าที่ กายทิพย์เป็นของ เทวดา มนุษย์ และ สัตว์เดรัจฉาน มีจักระเปิดทำงานตลอดเวลา กายเนื้อของมนุษย์ตายไปเหลือกายทิพย์เป็น เทวดา หรือ สัตว์เดรัจฉาน ขึ้นอยู่กับกรรมของแต่ละคน สำหรับพระอรหันต์ปิดจักระหมดแล้วจึงไม่เกิดอีกต่อไป

Dr. Alex Gray เป็นจิตรกรผู้ที่ฝึกพลังกายทิพย์ มีหูทิพย์ตาทิพย์ ได้เขียนภาพ กายเนื้อ และ กายทิพย์ ของมนุษย์ไว้ กายเนื้อ เหมือนภาพกายวิภาคศาสตร์ กายทิพย์ลักษณะมีเส้นแสงเป็นสนามแม่เหล็ก มีจักระ 7 แห่ง จักระที่ 1 คล้ายดอกบัวบาน จักระที่ 1-6 โตไม่เกิน 3 นิ้ว แต่จักระที่ 7 โตเต็มศีรษะ ทุกจักระหมุนตามเข็มนาฬิกา ถ้าอารมณ์มีกิเลสตัณหา ทำให้จักระไม่สมดุล จักระเรียงอยู่ตามแนวกระดูกสันหลัง ในแนวเดียวกัน มีบางคนเชื่อว่าไม่ได้เรียงเป็นแนวเดียวกัน มีการเหลื่อมเยื้องกันบ้าง

จักระ

จักระที่ 1 สีแดง 4 เส้นแสง เป็นขั้วลบ (-) ชื่อ มูลลัดดา หรือ Kundalini หรือ Serpentine ตำแหน่ง อยู่ที่ฝีเย็บระหว่างอวัยวะสืบพันธุ์และทวารหนัก เป็นพื้นฐานของพลังชีวิตและเป็นกลไกที่ทำให้ชีวิตอยู่ได้ ดูดซับพลังจากใจกลางโลกที่พุ่งขึ้นมา ได้แก่ น้ำพุร้อน ภูเขาไฟระเบิด ต้นไม้ที่เจริญเติบโตจากดินพุ่งขึ้นสู่อากาศ

จักระที่ 2 สีส้ม 6 เส้นแสง ชื่อ สวัสดิ์ธนา ตำแหน่ง อยู่ที่ ก้นกบปลายสุด ตรงกับ Gonads (ต่อมเพศ) ซึ่งสร้าง sex hormones อวัยวะที่เกี่ยวข้อง คือ ระบบสืบพันธ์ และ ระบบขับถ่าย (ไต?) เป็นจุดศูนย์กลางเกี่ยวกับพลังงานทางเพศ (ทั้งผู้ให้และผู้รับ) เกี่ยวกับความเชื่อมั่นในตนเอง ดูดซับพลังจากพระอาทิตย์ เมื่อพระอาทิตย์ตกดินจะกระจายพลังจากจุดนี้ออกไป นอนแต่หัวค่ำ ก่อน 21 น. ตื่นตี 5 ทำให้ melatonin หลั่ง ร่างกายจะกำจัดสิ่งแปลกปลอม เชื้อโรค ทำให้ไม่เป็นโรคติดเชื้อ ถ้ากระตุ้นขึ้นบนไปจักระ 7 จะรุนแรงในทางสร้างสรรค์ มีความหวานหอม แต่ถ้ากระตุ้นลงล่างจะกระตุ้น sex ใจเร็วด่วนได้

จักระที่ 3 สีเหลือง10 เส้นแสง ชื่อ มณีปุระ ตำแหน่ง อยู่ที่ บั้นเอว ตรงกับ สะดือ ตรงกับ Adrenal gland (ต่อมหมวกไต) เป็นศูนย์กลางของอารมณ์ดิบ ที่ไม่ได้ผ่านการซักฟอก ในขณะที่เราตกใจกลัว กล้ามเนื้อบริเวณสะดือ จะหดตัวลง จักระ 3 มีหน้าที่ผลิตเนื้อเยื่อกระดูกหนาขึ้น ผลิตเม็ดเลือดแดง ระบบการย่อยอาหาร (กลิ่น รส กระเพาะอาหาร ตับ) ระบบขับถ่าย (ไต) อวัยวะที่เกี่ยวข้อง คือ ท้อง ตับ กระเพาะอาหาร และ ลำไส้ ถ้าขาดพลังจักระ 3 ไม่มีแรง ถ้ากระตุ้นจักระ 3 จะรู้สึกหิว

จักระที่ 4 สีเขียว 12 เส้นแสง ชื่อ อนัตตา ตำแหน่ง อยู่ที่ ตรงกลางกระดูกสันหลังระดับที่ตรงกับหัวใจ ตรงกับ Thymus gland อวัยวะที่เกี่ยวข้อง คือ หัวใจ และ ระบบหมุนเวียนโลหิต เป็นศูนย์รวมของความรักที่แท้จริงอย่างไม่มีเงื่อนไข รวมทั้งการพัฒนาจิตใจ ความเมตตากรุณา และ ความเสียสละ หลายต่อหลายวิธีของการปฏิบัติสมาธิของชาวตะวันออก เพื่อกระตุ้นจักระนี้ มีสีดอกไม้ใบหญ้า ถ้าขาดพลังจักระ 4 ทำให้ไขมันสูง Triglyceride สูง ก่อกรรม Rx. เมตตากรุณา ไม่หวังผลตอบแทน ลดความโลภ โกรธ หลง

จักระที่ 5 สีฟ้า 16 เส้นแสง ชื่อ วิสุทธิ์ ตำแหน่ง อยู่ที่ กระดูกต้นคอ ตรงกับ Thyroid gland อวัยวะที่เกี่ยวข้องคือ ปอด Rx. โรคระบบหายใจ ผิวหนัง หอบหืด เคราะห์กรรม ถูกกระทำย่ำยี สัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์ พูดเพราะ หูทิพย์ ฟังเทวดาได้ พิธีกรรม สวดมนต์ ดนตรีไทย (ฉิ่งฉาบกลอง มี alpha wave)

จักระที่ 6 สีไพลิน (สีน้ำเงิน) และ กุหลาบทอง 96 เส้นแสง ชื่อ อัจนา หรือ อัจฉริยะ ตำแหน่ง ตั้งอยู่ที่กึ่งกลางหน้าผาก ตรงกับ Pituitary gland (ต่อมใต้สมอง) อวัยวะที่เกี่ยวข้อง คือ สมองส่วนล่าง และ ระบบประสาท เป็นที่รวมของปัญญา เป็นดวงตาที่สาม และ พาหนะแห่งญาณวิเศษ ติดต่อกับเทพและสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบน Rx. ทำลายสิ่งชั่วร้ายทั้งปวง, Parkinson, Alziemer syndrome คุณย่ามีภาพเด็กชาวรัสเซียมีตาที่สาม คือ พระอิศวร เด็กคนนี้สามารถรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้

จักระที่ 7 สีม่วง 972 เส้นแสง เป็นขั้วบวก (+) มีเส้นแสงสีทอง 12 เส้นตรงกลาง และ สีม่วง 960 เส้น โดยรอบ รวมเป็น 972 เส้น เป็นศูนย์ควบคุมทุกจักระในกายทิพย์ เป็นสถานที่รับพลังคอสมิกและกระจายไปทั่วร่างกาย ตำราอินเดียเรียกชื่อว่า สหัชชะ หรือ สหัสรา แปลว่า หนึ่งพัน หรือ 1,000 เส้นแสง ตำแหน่ง อยู่ที่ กลางศีรษะด้านบน เปรียบเสมือนมงกุฎดอกบัว ตรงกับ Pineal gland อวัยวะที่เกี่ยวข้อง คือ สมองส่วนบน ระบบประสาท ระบบโครงสร้าง และ ระบบหมุนเวียน โดยทั่วไปของร่างกาย Rx. ระบบโครงสร้างและข้อต่อ เป็นจุดที่สามารถรักษาอาการเจ็บป่วยที่จักระอื่นๆ ไม่สามารถจะรักษาได้โดยตรง

คุณสมบัติของพลังกายทิพย์

1. เป็น alpha wave มีความหนาแน่นมาก เป็นพลังขั้วลบ ไปพบกับพลังขั้วบวกในร่างกาย
2. มีจำนวนมากในตอนกลางวัน
3. มีความถี่มากกว่าแสงอาทิตย์ 10 เท่า เดินทางเร็วกว่าแสงอาทิตย์ 10 เท่า
4. มนุษย์สามารถดูดซับพลังกายทิพย์ได้โดยกำหนดจิตที่จักระ 7 กลางกระหม่อม
5. สะท้อนที่กระจกได้ ทำให้รู้สึกอุ่นขึ้น
6. เห็นเป็น aura สะท้อนออกจาก ปลายนิ้ว กลางอุ้งมือ และ ที่ตาที่สามกลางหน้าผาก Valentino Corion และ Densa Corion ชาวรัสเซีย เป็นผู้ประดิษฐ์กล้องถ่ายภาพ aura ได้ กล้องนี้มีอยู่ที่ องค์การนาซ่า และ ประเทศรัสเซีย เท่านั้น
7. นำไปได้ด้วยสายไฟ สายโทรศัพท์
8. เก็บไว้ได้ในสิ่งไม่มีชีวิต เช่น ไม้ น้ำ ฯลฯ เช่น พลังพุทธคุณ ในน้ำมนต์วัดพระแก้ว
9. ความหนาแน่นขึ้นกับ ดินฟ้าอากาศ และ ตำแหน่ง สูงขึ้นไป 15,000 เมตร เป็นเปลือกห่อหุ้มโลก มีสีขาวเงินยวง พยับแดด เชื่อว่า เป็น ชั้นเทพเทวดา
10. ควบคุมโดยสมาธิจิต
11. ซึมซับโดยพลังจิต ให้ไป ใกล้ หรือ ไกล
12. ใช้ในทางสร้างสรรค์ หรือ ดี หรือ ชั่วร้าย สาบแช่ง ได้ rusputin ฝึกพลังกายทิพย์ ไปรักษาโอรสของพระเจ้าซาร์ ซึ่งเลือดออกมากให้หยุดได้ แต่ไปปลุก sex ทำให้พลังเคลื่อนที่ลงที่จักระ 1 ต้องรู้จักบังคับให้เคลื่อนขึ้นบนไปที่จักระ 7 จึงจะใช้เพื่อคุณประโยชน์ ในที่สุด rusputin ตายอย่างอนาถ

เส้นทางของพลังกายทิพย์
สัญลักษณ์ทางการแพทย์ คือ งู 2 ตัวพันคทา เป็นเส้นทางเดินหลักของพลัง 3 เส้น ได้แก่
1. Ida (อิดา) สีเหลืองพลังเย็น เดินจากจักระ 1 ขึ้นไปทางซ้ายวนไปสู่ pituitary gland ที่จักระ 62. Pingala (ปิงคลา) สีแดงพลังร้อน เดินจากจักระ 1 ขึ้นไปทางขวาวนไปสู่ pituitary gland ที่จักระ 63. Sushumna (สุสุมนา) แปลว่า ไม้เท้าพราหมณ์ หรือ พลังศิวะ ถ้าเปิดที่จักระ 7 เป็นเทพ ถ้าปิดเป็นนรก เดินจากจักระ 7 pineal gland ตรงลงมาข้างล่างที่ จักระ 1 กระตุ้นกิเลส พ่นพิษ กระตุ้นน้ำมันทอง (golden oil) จาก Kanda ต่อมรูปร่างคล้ายหัวหอมยับย่นที่ฝีเย็บ

เมื่อเกิดอารมณ์ งู 2 ตัว มีอาหาร คือ กิเลสตัณหา จึงเป็นที่รองรับอารมณ์จากตัวเอง ความชั่วร้ายจึงเป็นตัวทำลายน้ำมันทอง และ เผาผลาญความดีงามของตัวเอง

———————————

เป็นการพิจารณารูปกายของมนุษย์ในโลกแห่งวัตถุ ที่เกิดจากการรวมกันของธาตุทั้ง 4 คือ ดิน, น้ำ, ลม, ไฟ ตามคัมภีร์ทางพุทธศาสนาและแพทย์แผนไทยเรียกว่า “มหาภูตรูป 4”

ธาตุดิน – ปฐวีธาตุ มี 20 ประการ คือ
เกศา-ผม, โลมา-ขน, นขา-เล็บ, ทันตา-ฟัน, ตโจ-หนัง, มังสัง-เนื้อ, นหารู-เอ็น, อัฏฐิ-กระดูก, อัฏฐิมิญชัง-เยื่อในกระดูก, วักกัง-ม้าม, หทยัง-หัวใจ, ยกนัง-ตับ, กิโลมกัง-ผังผืด ปิหกัง-ไต, ปับผาสัง-ปอด, อันตัง-ลำไส้เล็ก, อันตคุณัง-ลำไส้ใหญ่, อุทริยัง-อาหารใหม่, กรีสัง-อาหารเก่า, มัตถเกมัตถลุงคัง-สมอง

ธาตุน้ำ – อาโปธาตุ มี 12 ประการ คือ
ปิตตัง-น้ำดี , เสมหัง-เสลด , บุพโพ-น้ำหนอง , โลหิตัง-เลือด , เสโท-เหงื่อ , เมโท-มันข้น , วสา-มันเหลว , อัสสุ-น้ำตา , เขโฬ-น้ำลาย , สิงคาณิกา-น้ำมูก , ลสิกา-น้ำไขข้อ มุตตัง-น้ำปัสสาวะ

ธาตุลม – วาโยธาตุ มี 6 ประการคือ
อุทธังคมาวาตา-ลมที่พัดขึ้นเบื้องบน, อโธคมาวาตา-ลมที่พัดลงเบื้องล่าง , กุจฉิสยาวาตา-ลมพัดในท้องนอกลำไส้ , โกฏฐาสยาวาตา-ลมพัดในลำไส้ในกระเพาะ อังคมังคานุสารีวาตา-ลมที่พัดทั่วร่างกาย , อัสสาสะ ปัสสาสะวาตา-ลมหายใจเข้าและลมหายใจออก

ธาตุไฟ – เตโชธาตุ มี 4 ประการคือ
สันตัปปัคคี-ไฟสำหรับอุ่นกาย , ปริทัยหัคคี-ไฟสำหรับทำให้ร้อนระส่ำระสาย , ชิรนัคคี-ไฟสำหรับเผาให้แก่คร่ำคร่า , ปริณามัคคี-ไฟสำหรับย่อยอาหาร

รวมทั้ง 4 ธาตุเป็น 32 ประการ จึงเรียกว่ามีร่างกายที่สมบูรณ์ คือมีร่างกายครบ 32

รูปกายที่มีครบทั้ง 32 ยังไม่อาจเป็นชีวิตได้ จะต้องมีธาตุที่ 5 หรือจิตวิญญาณมาครอบครองร่างกายนั้น คัมภีร์แพทย์แผนไทยจึงใช้คำกล่าวว่า “ชีวิต ประกอบขึ้นจากมหาภูตรูป 4 ที่มีใจครอง” ภาษา Latin ใช้คำว่า Quinta essencia หรือองค์ประกอบทั้ง 5

ส่วนที่เป็นธาตุที่ 5 นั้น ในมนุษยปรัชญาใช้คำว่า
Soul + Spirit (มักพบเรียกเป็นชุดคำว่า Body + Soul + Spirit)
Soul + Spirit หรือ Astral organization + “I” organization
Soul + Spirit หรือ Astral organization + Ego organization
ธาตุที่ 5 นี้ไม่รวมอยู่อยู่ในรูปกาย (Four Foldness) นี้ แต่เป็นองค์ประกอบของตัวตนทางจิตวิญญาณของเราจริงๆ ที่อยู่ใน Spiritual World

ในทางการแพทย์มนุษยปรัชญา มักเรียกกลุ่มก้อนของพลังทางจิตวิญญาณ ที่มาควบรวมเป็นกายทิพย์ชั้นต่างๆ ตามคุณสมบัติตามธาตุของมัน
Etheric Force รวมตัวกันเป็น Etheric Body
Astral Force รวมตัวกันเป็น Astral Body
โดยมีแก่นหรือตัวตนทางจิตวิญญาณที่เรียกว่า Ego body เป็นที่ทางให้ Spirit ของคนๆ นั้นเข้ามาเกาะเกี่ยวกับกายเนื้อของคนๆ นั้น

มีทรรศนะของผู้แปลบางท่านต่อคำว่า “กายเนื้อ” ว่าเป็นคำที่มีความคลุมเครือ ถ้าจะแปลความอย่างเคร่งครัด คำว่ากายเนื้อ น่าจะหมายถึงรูปกายที่ยังมีชีวิตอยู่
ซึ่งแตกต่างกับรูปกายของคนที่ตายไปแล้ว ดังนั้น กายเนื้อ จึงน่าจะมีความหมายดังนี้คือ “กายเนื้อ” = รูปกาย (Physical body) + กายชีวิต (Etheric body)

—————————