ดวงพิชัยสงคราม

ดวงมหาพิชัยสงคราม
คำอัญเชิญพระครูบาอาจาริยเจ้า

* สิบนิ้วของข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอน้อมถวายนมัสการแด่พระบูรพาจารย์อาริยเจ้า ผู้สืบเหล่าแห่งวิชาสร้าง ” พระมหาพิชัยสงคราม ” อันเลืองนามปรากฎณ์นับแต่ปฐมบทสืบมา เหล่าข้าพเจ้าของน้อมวันทาแด่พระคณาจารย์เจ้า โปรดเกล้ากรุณาขอจงมาอภิบาลปกเกศ ดุจดั่งปิตุเรศชนนีขอจงมาเป็นสง่าราศี ขอจงมาช่วยชี้ ช่วยทัก ขอจงมาเป็นหลักเป็นแกน สืบสานแสนสรรพวิชา ก่อมหาพุทธมนต์ สร้างรูปมงคลมหาบุรุษ อันวิเศษวิสุทธา องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปางดับเหล่าสมุทัยเพื่อกำจัดภัยพิบัติ ก่อเกิดสวัสดิพิพัฒธมงคล ขอให้สมบูรณ์พูนผล เป็นมงคลก่อเกิดนับกำเนิดโดยพลัน ทั่วขอบขันธเสมา ณ เวลาบัดนี้เทอญ
.
ข้าพเจ้าขออันเชิญ
* พระอะระหันต์เจ้าต้นตำหรับ
* พระครูเทพผู้วิเศษ
* พระมหาเถรสิทธิเมธังกร วัดหัวเมือง สิงห์บุรี
* พระมหาเถรเฑียรราช วัดงู
* องค์สมเด็จพระสังฆราชเจ้า แตงโม วัดมหาธาตุกรุงเก่า
* พระอาจารย์คง วัดลอดช่อง
* องค์สมเด็จท่านเจ้ามา วัดจักรวรรดิราชาวาส
* องค์สมเด็จสังฆราชแพ ติสสเทโว วัดสุทัศน์
* พระพุทธวิถีนายก หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว
* ข้าพเจ้าขออัญเชิญพระอาจาริยเจ้า ผู้สืบแห่งวิชา จงช่วยมาเป็นประธาน อภิบาลรักษาให้ผองข้าพเจ้ากระทำมงคลให้บรรลุผลแลศักดิ์สิทธิ์นับแต่การบัดนี้โดยพลันเทอญ

ชิตังเม ชัยยะ ชัยยะ ชัยยะ
* นัตถิเม สะระณัง อัญยัง พุทโธ เม สะระณัง
วะรัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เม ชัยยะมังคะลัง
* นัตถิเม สะระณัง อัญยัง ธัมโม เม สะระณัง
วะรัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เม ชัยยะมังคะลัง
* นัตถิเม สะระณัง อัญยัง สังโฆ เม สะระณัง
วะรัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เม ชัยยะมังคะลัง
* นัตถิเม สะระณัง อัญยัง มาตาปิโต เม สะระณัง
วะรัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เม ชัยยะมังคะลัง
* นัตถิเม สะระณัง อัญยัง อาจาริโย เม สะระณัง
วะรัง เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เม ชัยยะมังคะลัง
* นามมะนัง สะมาโส ยุตตัดโถ ยุตตัดถะ แห่งนามะ ชื่อว่า พระอาจาริยเจ้า จงมาเป็นหลักแกนของข้าพเจ้าทุกเช้าเย็น ขอจงนำเวทย์มนต์ ข้ามห้วย ข้ามหนอง ข้ามคลองและบึงบาง ข้ามแม่น้ำแลคลองใหญ่ เหล่าข้าพเจ้าจำนงจงใจขอให้ถูกพระอาจาริยเจ้า มาคิหิติมัง อาคัจฉายะ อาคัจฉาหิ
* ( ขออัญเชิญเจ้าข้า )
.
พระคาถาเชิญคุณพระเข้าตัว

● มุนีนุโกตะมัง หันตวา โพเธสิ ปังกัชฌะชะนัง
สะธัมมะรังสีหิ โสสัมปาเลตุมังชิโน

พระคาถาอาราธนาพระอัคคสาวก
● ติสะระนังสิเรจาตุ สิเรจาตุติลักขะณัง
อุเปกขาจะสิเรจาตุ เมสิเร สิเรพุทธะวะโร เสฏโฐ
ละลาเต ธัมมะมุตตะโม ติงสะปาระมิปิฏเฐ
ทะเวอังเคอัคคะสาวะกา สัพเพเต ปะนะมามิหัง
.
พระคาถาเชิญเทวดามารักษาร่างเรา
● จะตุเทวานะมะสิตวา สัพเพเทวะกุมภัณฑา
ภูตังปิสาจะวะระวะรา อาคัจเฉยยะ อาคัจฉาหิ
.
ตำนานการสร้างพระบรรจุดวงชะตาพิชัยสงคราม
● มีตำนานกล่าวไว้แต่ในพระคัมภีร์พิชัยสงคราม เรียกพระบูชานี้ว่า “พระบูชามหาพิชัยสงคราม” โดยจัดสร้างเป็นพระปางห้ามสมุทร กล่าวกันว่า ในกาลโบราณพระมหากษัตริย์นครหนึ่งเป็นองค์พุทธศาสนูปถัมภ์ ต่อพระศาสนาได้ถูกภัยสงครามข้าศึกล้อมพระนครไว้ แลข้าศึกมีกำลังไพร่พลมหาศาลเป็นทัพใหญ่พระองค์และทวยราษฎร์ลี้พล ท้อแท้และอ่อนกำลังจวนเจียนจะเสียพระนครแก่ข้าศึก
.
● ครั้งนั้นยังมีพระอะระหันตสาวกรูปหนึ่ง ได้เห็นเหตุการณ์นั้นแล้วก็บังเกิดความสังเวชในวิบัติภัยอันจะบังเกิดขึ้นนั้นจึงไปเฝ้าถวายพระพรพระมหากษัตริย์นครนั้นดำริว่า จะขอหาทางป้องกันบำบัดศัตรูให้ปลาสนาการไป พระมหากษัตริย์เจ้าก็ทรงอนุโมทนา พระอรหันต์เถระจึงปรึกษากับเหล่านักปราชญ์ราชบัณฑิต และโหราจารย์
..
● จึงทำการจัดตั้งราชพิธี บรรจุดวงพระชันษาของพระมหากษัตริย์เจ้านั้นลงในฐานพระซึ่งแกะด้วยกิ่งโพธิ์หักเบื้องทิศตะวันออก โดยแกะเป็นพระพุทธรูปปางห้ามสมุทรกระทำการสวดพระปริตรถวายพรพระ
.
● อำนาจแห่งการสร้างพระโพธิ์บรรจุดวงพระชันษาบันดาลให้เกิดพายุฝนและฟ้าผ่าลงท่ามกลางกองทัพข้าศึกที่ล้อมพระนครอยู่ ทำให้ข้าศึกเกิดความหวาดหวั่นพรั่นพรึงพากันยกทัพถอยล่าไปสิ้น พ้นเขตพระราชอาณาจักรของพระมหากษัตริย์พระองค์นั้น จึงได้มีการถวายพระนามพระโพธิ์ที่สร้างในครั้งนั้นว่า “พระมหาพิชัยสงคราม” ตลอดจนขนานพระนามยันต์ที่จารึกดวงพระชันษาพระชาตาชีวิตที่บรรจุภายในฐานขององค์พระนั้นว่า “ยันต์มหาพิชัยสงคราม”
.
● พุทธลักษณะของพระพุทธรูปซึ่งเป็นปางห้ามสมุทรนี้คำว่าสมุทรในที่นี้ โบราณาจารย์ท่านหมายถึงสมุทัย หมายถึงเหตุแห่งทุกข์ ฉะนั้นพระปางห้ามสมุทร ก็คือพระปางห้ามทุกข์นั้นเอง
.
● ตำหรับตำราในการสร้างพระปางห้ามสมุทรนี้มีสืบทอดกันมาหลายยุคหลายสมัย ในราชอาณาจักรไทยมีการกล่าวไว้หลายตำหรับทั้งฉบับหลวง และฉบับราษฎร์พอจะประมวลโดยสังเขปได้ดั้งนี้
.
ตำราการสร้างพระโพธิ์ห้ามสมุทร
● สิทธิการิยะ พระตำราพระครูเทพผู้วิเศษ มีแต่ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรกรุงศรีอยุธยา ได้จากพระมหาเถรสิทธิเมธังกร ณ วัดหัวเมืองสิงห์บุรี แต่ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์ได้ครองเมืองลพบุรี พระนารายณ์องค์นี้เป็นพระราชโอรสของสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง ครั้งเมื่อพระนารายณ์ได้เป็นพระเจ้าแผ่นดิน ได้พระตำรานี้มาจากมหาเถรเฑียรราชวัดงู และได้มาจากพระวิชัยวัดท่างู กับได้มาจากพระอาจารย์คงโหร และได้มาจากท่านอาจารย์ผู้วิเศษสืบๆมาหาที่จะอุปมามิได้หากท่านผู้ใดมีจิตศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา และเพื่อจะก่อเกื้อบุญบารมีแห่งตัวแล้วจงจัดทำขึ้นเถิด ถ้าแม้นเป็นชีพราหมณ์บรรพชิตฆราวาสก็ดี ย่อมจะได้เป็นพระยาและอัครมหาเสนาบดี หรือในที่สุดจะได้เป็นถึงพระยามหากษัตริย์ก็มีมากต่อมากแล้ว
.
ดังบุคคลสองคนที่ได้ทำพิธีสร้างมาแล้วคือ นายเทียนและนายสามเป็นผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก เป็นเลขาเข้าเดือนออกเดือน อยู่ในกรมพระสัสดี บุรุษสองคนนี้ได้ไปเรียนความรู้ คือสร้างพระบรรจุดวงชะตาไว้สำหรับจากพระมหาเถรสิทธิเมธังกร ต่อมานายเทียนได้เป็นกษัตริย์เสวยราชสมบัติในพระนครส่วนนายสามได้ครองเมืองวิเศษไชยชาญ เมืองอ่างทอง แล้วพระตำรานี้ได้ตกมาถึงพระสังฆราชแตงโมวัดมหาธาตุกรุงเก่า แล้วได้มาถึงตาคงโหรอยู่ที่วัดลอดช่อง
.
ต่อมานายสังข์ได้สร้างขึ้นบูชา ก็ได้เป็นพระยมราชภักดี ทำให้กับนายมาก็ได้เป็นกรมขุนสุนทร นายปิ่นซึ่งเป็นมหาดเล็กก็ได้เป็นพระยาราชมนตรี ทำให้นางเพ็งพี่สาวแต่เดิมเป็นคนใช้ ก็ได้เป็นใหญ่กว่าคนทั้งปวงและนับว่าพระตำรานี้ได้ประโยชน์ให้กับบุคคลที่สร้างพระบรรจุดวงไว้บูชาเป็นปฐมเหตุ ดังที่กล่าวไว้เป็นสังเขปแล้วนั้น จึงได้ให้ตำรานี้คัดบอกไว้สำหรับโลกภายหน้า เมื่อบุคคลผู้ใดใคร่จะให้เกิดความเจริญศิริสวัสดิพิพัฒน์มงคลประกอบด้วยความสุขสำราญยิ่งๆ ขึ้นไปทุกทีหาที่เปรียบมิได้เลย กับสามารถกำจัดภัยพิบัติภยันตรายซึ่งจะมีมากับตน หรือบุตรภรรยาวงศ์ษาคณาญาติทาษกรรมกรในครอบครัว กระทำให้ได้รับความสุขอย่างโอฬารทั้งภพนี้และภพหน้าได้ดียิ่งอย่าได้สนเท่ห์เลยฯ
.
พิธีการสร้างพระโพธิ์ห้ามสมุทร
.
● สิทธิการิยะ ถ้าบุคคลใดมีความปรารถนาจะได้รับความสุขศิริสวัสดิพิพัฒน์มงคล ด้วยลาภผลยศถาบรรดาศักดิ์ ตลอดจนทรัพย์สินบริวารให้รุ่งเรืองวัฒนาขึ้นไปตามลำดับแล้ว ท่านให้จัดการดังพระตำราที่กล่าวไว้ดังนี้
.
ท่านให้หาไม้พระศรีมหาโพธิ์ ( ต้นโพธิ์ ) ที่มีกิ่งชี้ออกไปทางทิศตะวันออก ซึ่งนิพพานแล้ว ( กิ่งตาย ) ที่หักตกลงมาเอง ๑ กิ่ง ( ตัดเอาพอที่จะแกะเป็นพระยืนปางห้ามสมุทรได้ ๑ องค์ ) ขนาดสูงวัดจากพระบาทขึ้นไปถึงพระเมาลี สูงประมาณ ๑๑ หรือ ๑๓ นิ้วหัวแม่มือของผู้สร้าง ตามแต่ผู้สร้างจะชอบขนาดใดตามสมควร ส่วนที่กลางพระเมาลีนั้นให้กลวง พอที่จะแกะไม้อีกชิ้นหนึ่งอันเป็นเปลวรัศมีเสียบไว้ให้แน่นได้
.
เปลวรัศมีนั้นท่านให้ใช้ไม้ชุมแสง หรือไม้กาหลงเอามาแกะดูให้งาม และพอดีถูกส่วนจึงดูแลงาม ส่วนฐานรองพระบาทนั้นให้ใช้ไม้นนทรี
.
ฐานรองพระนั้น ให้เอาไม้ขนุนแกะ วิธีแกะนั้นต้องทำภายในให้กลวง และทำให้มีลิ้นสำหรับรองไม้นนทรีที่รองพระบาท คือเมื่อเวลายกพระขึ้นตั้งบนฐานแล้ว ก็ให้ไม้นนทรีนั้นแนบลิ้นพอดี ภายในและภายนอกต้องเสมอกันกับปากฐานพอดี ส่วนลึกหรือกว้างภายในฐานนั้น ผู้สร้างต้องกะประมาณดูสิ่งของที่จะบรรจุลงไปตามสมควร ส่วนสัณฐานของฐานภายนอกต้องให้รับกับองค์พระพอสวยงามตามความชอบใจ
.
เมื่อได้กล่าวถึงไม้ต่างๆ ที่จะนำมาแกะเป็นองค์พระแล้ว จะได้กล่าวถึงพิธีที่จะเริ่มแก้เป็นองค์พระดังต่อไปนี้ ก่อนที่จะแกะต้องหาฤกษ์งามยามดีให้แน่นอน และเตรียมธูปเทียน บายศรี ข้าวตอกดอกไม้ เครื่องสักการบูชาไว้ให้พร้อมมูล หากผู้ที่จะแกะนั้นเป็นพระภิกษุสงฆ์ก็ต้องให้สำแดงอาบัติเสียก่อน ถ้าเป็นฆราวาสก็ให้นุ่งขาวห่มขาว และสมาทานศีล ๕ ศีล ๘ เสียก่อนนิมนต์พระภิกษุสงฆ์มาอย่างน้อย ๕ รูป เมื่อลงมือแกะพระจะได้สวดชยันโต
.
ต่อไปนี้จะได้กล่าวถึงสิ่งต่างๆ ที่จะต้องลงบรรจุในฐานพระ คือ
● ๑ จันทร์เทศ ๒ จันทนา ๓ จันทร์แดง ๔ จันทร์ขาว ๕ จันทร์ชะมด ๖ จันทร์นิพพาน ต่อไปนี้เป็นใบไม้ คือ ๑ ใบมะยม ๒ ใบมะเฟือง ๓ ใบมะขาม๔ ใบส้มป่อย ๕ ใบไม้ที่ไม่รู้จักนอน ( หมายถึงใบไม้ชนิดหนึ่ง เมื่อเวลาหมดแสงพระอาทิตย์แล้ว ไม่หุบห่อเข้าหากันเช่นใบไม้บางชนิด ) ๖ ใบสวาสดิ์ ๗ ใบธรณีธาร ๘ ใบกระทืบยอด ๙ ใบมหาระงับ ๑๐ ใบสารพัดพิษ ต่อไปนี้ให้เอาตะใคร่ที่ขึ้นอยู่ในที่ต่างๆ เช่น ตะใคร่น้ำ หากขึ้นอยู่ในที่แห้งชื้นผิดกัน คือ ๑ ตะใคร่โบสถ์ ๒ ตะใคร่พระเจดีย์ ๓ ตะใคร่พระปรางค์ ๔ ตะใคร่พัทรเสมา ๕ ตะใคร่ประตูเมือง ๖ ตะใคร่เสาตะลุงช้างเผือก ( คือเสาที่เอาช้างผูกไว้เสมอ ) ๗ ตะใคร่ศรีมหาโพธิ์ ( ต้นโพธิ์ )
.
สิ่งของที่กล่าวมานี้ ท่านให้นำมากรางหรือตำให้ละเอียดเสียก่อนทุกสิ่ง แล้วจึงนำมารวมระคนปนเข้าด้วยกัน เรียกว่าเครื่องยาสำหรับใช้รองดวงชะตาบรรจุในฐานพระ นอกจากสิ่งเครื่องยาที่กล่าวมานี้ยังมีสิ่งที่เป็นโภคทรัพย์ สำหรับจะต้องบรรจุลงในฐานพระด้วย คือ
.
● ๑ เพชร ๒ มณีแดง (ทับทิม) ๓ เขียวไขแสงมรกต ๔ เหลืองสดบุษราคัม ๕ ม่วงดำโกเมนทร์เอก ๖ มหาเมฆนิลกาฬ ๗ มุกดาหารสีหมอกมัว ๘ แดงสลัวเพทาย ๙ สังวาลย์เพชรไพฑูรย์แก้ว แก้ว ๙ อย่างนี้รวมเรียกว่า ” นพเก้า ” ฯ
.
นอกจากที่กล่าวมานี้แล้วก็มีเงินบริสุทธิ์อีก ๑ บาท แผ่ออกเป็นแผ่นใหญ่เช่นลง
ตระกรุด เพื่อลงดวงพิชัยสงคราม ( คือดวงลัคนาตามตำราโหราศาสตร์ที่ได้ชำระ วัน เดือน ปี เวลาตกฟากเมื่อเกิด บรรจุอยู่ในยันต์พิชัยสงคราม ) ของที่จะสร้างพระนั้นลงบรรจุในฐานพระ กับต้องมีพระธาตุต่างๆ ลงบรรจุอีกด้วยดังต่อไปนี้ ธาตุพระฉิมพลี ธาตุพระโมคคัลลาน์ ธาตุพระสาริบุตร พระธาตุพระพุทธเจ้า ธาตุพระอรหันต์อื่นๆ ตามแต่จะหาได้ เช่นธาตุพระกัจจายน์ ธาตุพระพิมพา แล้วแต่มากน้อยจะหาได้ไม่จำกัด เว้นไว้แต่ธาตุทั้ง ๔ ดังบังคับไว้นั้นต้องทำให้ได้ครบ พระบรมธาตุของพระพุทธเจ้าให้บรรจุไว้ที่พระเมาลีพระธาตุนอกนั้นบรรจุไว้ในฐาน กับต้องมีแพรสำหรับรองรับดวงพิชัยสงครามนั้นอีก ๙ ผืนๆ ละสี ตามสี เพชรดังกล่าวมาแล้วนั้นทั้ง ๙ อย่าง ผืนหนึ่งกะความกว้างยาวเท่ากับแผ่นโลหะที่ลงดวงนั้น
.
ต่อไปนี้จะได้บรรยายปรับความเข้าใจกับท่านผู้จะทำหรือสร้างพระพุทธรูปปางห้ามสมุทร สำหรับบรรจุดวงชะตาราศีกำเนิดตามตำราโหราศาสตร์ เพื่อไว้บูชาประจำตัวและครอบครัว จะได้อยู่เย็นเป็นสุขสบายตามที่ได้กล่าวมาแล้วแต่เบื้องต้น แต่การสร้างพระโพธิ์ปางห้ามสมุทรนี้จะต้องทำให้ถูกต้องตำราจริงๆ จึงจะได้ผล ถ้าหากทำโดยบกพร่องผิดพลลาดไป ก็จะมิได้รับผลสมความปรารถนา แล้วก็จะหาว่าพระตำรานี้ไม่จริง ฉะนั้นขอให้ท่านผู้ที่ประสงค์จะสร้างจงพยายามทำความเข้าใจเสียให้ถ่องแท้แน่นอนก่อนแล้วจึงค่อยจัดสร้างจักได้ผลสมประสงค์ทุกประการ
.
ประการที่ ๑ เมื่อจะลงมือแกะพระนั้นต้องหาฤกษ์ให้ดี โดยให้โหรเป็นผู้หา แล้วให้จัดหาเครื่องบูชา อันประกอบด้วยบายศรีปากชาม ขนมต้มแดง ขนมต้มขาว ขนมแกงบวช กล้วยน้ำไทย มะพร้าวอ่อน ขันใส่ข้าวตรอกดอกไม้ หมากพลู ธูปเทียน จุดบูชาพระรัตนตรัย และบูชาเทวดาเมื่อจะลงมือแกะ ให้นิมนต์พระสงฆ์มาสวดชัยมงคลคาถาอย่างน้อย ๕ องค์ ช่างที่จะแกะนั้นให้นุ่งขาวห่มขาว สมาทานศีลเสียก่อน ถ้าหากเป็นพระสงฆ์แกะ ก็ให้สำแดงอาบัติเสียก่อน เมื่อได้เวลาฤกษ์ให้เจ้าของพระลงมือแกะเสียก่อนเพื่อเอาฤกษ์เอาชัย ( เพียงเอาขวานหรือมีด สับลงไปที่ท่อนไม้โพธิ์ พอเป็นเคล็ดเท่านั้น ) พระสงฆ์ที่นิมนต์มานั้นก็สวดชัยมงคลคาถา ต่อจากนั้นก็ให้เป็นหน้าที่ของนายช่าง ที่จะทำการแกะต่อไปเพื่อความสวยงามจนกระทั่งแล้วเสร็จ
.
องค์พระนั้นแกะด้วยไม้โพธิ์ที่ชี้ไปทางทิศตะวันออก และนิพพานร่วงหล่นมาเอง แกะให้ได้ขนาดวัดนิ้วหัวแม่มือเจ้าของเรียงกันไป จะเป็น ๑๑ นิ้วหรือ ๑๓ นิ้วก็ได้ ได้ความยาวเท่าใด เอาความยาวนี้เป็นส่วนสูงของพระ วัดตั้งแต่พระบาทจนถึงพระเมาลี ส่วนพระเมาลีนั้นให้กลวงกว้างและลึกพอที่จะบรรจุพระบรมธาตุลงไปได้เปลวรัศมีต่อจากพระเมาลีนั้น ให้แกะด้วยไม้ชุมแสง เมื่อบรรจุพระบรมธาตุลงไปแล้วจึงค่อยอัดเปลวรัศมีให้แน่นติดกับพระเมาลีโดยใช้กาวอุดจึงจะแน่นแกะไม่ออกฐานนั้นแกะด้วยไม้ขนุนกลวงข้างในเสียเพื่อจะได้ใช้เป็นที่บรรจุดวงชะตาใช้ไม้นนทรีปิด ถ้ากลวงฐานแต่ข้างบนลงไปก็ใช้ไม้นนทรีติดกับพระบาทพระ เมื่อบรรจุแล้วก็อุดลงไปในฐานให้แน่น ถ้าหากกลวงฐานแต่ข้างล่างขึ้นมาข้างบนก็ตันฝั่งพระบาทพระลงติดสนิทแน่นกับฐานได้ก่อเมื่อบรรจุใช้บรรจุทางข้างล่างบรรจุแล้วจึงเอาไม้นนทรีทำเป็นรูปตลับปิดที่พื้นฐานข้างล่าง ชนิดนี้มั่นคงแน่นหนากว่าเจาะทางข้างบนฐานลงมา
.
ประการที่ ๒ เมื่อแกะพระเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะบรรจุให้ตระเตรียมหาสิ่งของดังต่อไปนี้ คือ
พระบรมสารีริกธาตุ ๑ องค์ ธาตุพระโมคคัลลาน์ ๑ องค์ ธาตุพระสารีบุตร ๑ องค์ ธาตุพระสีวลี ๑ องค์ ส่วนธาตุพระอรหันต์อื่นนั้นตามแต่จะหาได้
ผงเครื่องยาต่างๆ ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว แต่บางมติของเกจิอาจารย์ใช้เพียงผงจันทร์เท่านั้นก็มีผงยาเหล่านี้บดเสียให้ละเอียด
หัวแหวนโภคทรัพย์ คือหัวแหวน ๙ ประการ ตามที่เรียกกันว่า ” นพเก้า ” จัดรวมกันไว้ ๑ ชุด
ผงสัตตะโลหะ ๗ อย่างมากรางเข้า อย่างละเล็กน้อยเท่านั้น เอาระคนปนกันเข้า
แพร ๙ สี ตามสีของนพเคราะห์สีละผืน กว้างยาวประมาณพอที่จะห่อแผ่นดวงเมื่อห่อแล้วได้มิดชิด สำหรับแพรทั้ง ๙ สีนี้ ตามตำราของสมเด็จพระสังฆราช วัดสุทัศน์ ทรงลงพระยันต์กำกับทุกๆ สี
.
นอกจากนั้นยังทรงใช้ผ้าตาดทองลงยันต์ ห่มหุ้มแพร ๙ สีเป็นชั้นนอกเพิ่มขึ้นอีกผืนหนึ่ง เสร็จแล้วจึงใช้ไม้ ๙ สี ควั่นเป็นด้าย สำหรับผูกห่อดวงชะตาให้แน่น ( ยันต์สำหรับลงผ้าแพร ๙ สี และลงผ้าตาดทอง จะได้กล่าวต่อไปเมื่อถึงบรรลุพระ ) ฉะนั้นในขั้นเตรียมการนี้ นอกจากจะเตรียมผ้าแพร ๙ สีแล้ว ควรจะเพิ่มผ้าคาดทองอีก ๑ ผืน และไหม ๙ สีควั่นเป็นด้ายสำหรับผูกด้วย ผ้าแพรทุกผืนและผ้าคาดทองให้จัดการลงยันต์เสียก่อนให้เรียบร้อยแผ่นเงินหนัก ๑ บาท แผ่ออกให้บางสำหรับลงดวงชะตา การลงดวงชะตานั้นให้ลงเมื่อเริ่มประกอบพิธี ตอนพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ ในขั้นต้นนี้ควรหาผู้รู้ ลงยันต์พิชัยสงครามเสียก่อน เว้นแต่ดวงชะตาไว้เท่านั้น ที่เรียกว่า ” ดวงพิชัยสงคราม ” นั้นก็คือ ดวงที่ใช้ชำระโดยระเอียดจากโหรผู้มีชื่อ จนเป็นที่รับรองว่าไม่ผิดพลาด เพราะคำนวณจนได้องศาลิปดา ทุกดาวพระเคราะห์ และจารึกดวงนั้นใส่ในยันต์พิชัยสงคราม วางอัตราคำนวณไว้ข้างล่าง เฉพาะที่ใช้บรรจุนั้นใช้แต่ดวงและยันต์พิชัยสงครามก็พอ เมื่อได้ชำระดวงโดยละเอียดเรียบร้อยแล้ว ก็จารึกยันต์พิชัยสงครามลงในแผ่นเงินเสียก่อน ส่วนดวงนั้นรอไว้ลงเมื่อถึงพิธีตามที่กล่าวมาแล้ว อักขระที่ลงในยันต์นั้นลงด้วยสูตรรัตนมาลาทั้งสิ้น ต้องหาผู้ที่เข้าใจลงจึงจะสัมฤทธิผล
.
แผ่นเงินแผ่ ๒ แผ่นขนาดย่อมพอสมควร พอที่จะลงดวงพระชะตาพระพุทธเจ้าตอนประสูติและตรัสรู้ได้แผ่นละหนึ่งดวง เสร็จให้ม้วนเป็นตระกรุดไว้ ๒ ดอก
แผ่นทองที่แผ่บาง ( ทองใบใหญ่ ) จำนวน ๔ แผ่นด้วยกัน แผ่นหนึ่งน้ำหนักประมาณ ๑ หุน จารึกพระนามพระพุทธเจ้า ๑ แผ่น จารึกพระนามพระสารีบุตร ๑ แผ่น จารึกพระนามพระโมคคัลลาน์ ๑ แผ่น จารึกพระนามพระสีวลี ๑ แผ่น แล้วเอาแผ่นทองบางๆ ตามที่ได้จารึกพระนามเหล่านี้ ห่อพระบรมธาตุและพระธาตุตามเฉพาะพระนามนั้นๆ
จัดหาหัวน้ำหอม ๙ อย่าง ระคนกันใส่รวมในโถ ๑ แป้งหอมละลายน้ำมันหอม ๑ โถ ชาติหรคุณบดให้ละเอียด ๑ โถ และให้เตรียมชันนางโรมไว้สำหรับอุดยารอยที่บรรจุ
.
ประการที่ ๓ เมื่อเวลาบรรจุ นั้นให้หาฤกษ์งามยามดีจริงๆ จึงจะจัดการบรรจุได้ การบรรจุนั้นให้ปรักอบพิธีกรรมในพระอุโบสถ นิมนต์พระสงฆ์มาร่วมประกอบพิธี ถ้าจะให้พระสงฆ์เป็นผู้บรรจุ ก็ให้นิมนต์พระราม ๑๑ องค์ คือ
.
จัดให้เป็นผู้บรรจุองค์หนึ่ง
จัดให้เป็นผู้นั่งปรกบริกรรมองค์หนึ่ง
จัดให้เป็นพระสำหรับเจริญพระพุทธมนต์ ๙ องค์
.
นอกจากนั้นให้เชิญโหร , บัณฑิต , พราหมณ์ , มาร่วมประกอบพิธีด้วย โหรมีหน้าที่อ่านประกาศเทวดา บูชาฤกษ์ แ ละสวดสังเวยเทพยดา พราหมณ์มีหน้าที่มาเป่าสังข์ แกว่งบัณเฑาะว์ เมื่อเวลาทำการบรรจุ เบิกแว่นเวียนเทียนตอนเบิกพระเนตร และถวายน้ำสังข์พระพุทธรูปที่สร้างเสร็จแล้ว บัณฑิตมีหน้าที่จำเริญภาวนาพระคาถา
.
ประการที่ ๔ วันประกอบพิธีนี้ต้องจัดเครื่องสังเวย จัดเป็นสามชุดด้วยกัน ชุดที่ ๑ เป็นเครื่องสำหรับบูชาครูบาอาจารย์และเทวดา เมื่อเริ่มประกอบพิธี ชุดนี้เป็นเครื่องสังเวยชุดใหญ่ ประกอบไปด้วยบายสีใหญ่ ๑ คู่ บายสีที่ทำเป็นชั้นๆ ๕ ชั้น หรือ ๗ ชั้น ตามแต่ความต้องการ ตรงยอดทำเป็นพุ่มดอกไม้ ควรหาแหวนเงิน , แหวนทอง , สวมใส่ไว้ที่ยอดเป็นการทำขวัญ เครื่องมัจฉะมังสาหาร ๖ ประการ อันประกอบด้วยศรีษะสุกร ๑ เป็ด ๑ ไก่ ๑ กุ้ง ๑ ปูทะแล ๑ ปลาช่อน ๑ ของเหล่านี้ต้มให้สุกพร้อมน้ำจิ้มและมีพล่าหรือยำสัก ๑ ที่
.
เครื่องกระยาบวด อันประกอบด้วยบายศรีปากชาม ๑ มะพร้าวอ่อน ๑ กล้วยน้ำไทย ๑ ขนมต้มแดง ๑ ขนมต้มขาว ๑ จะเพิ่มขนมเล็บมือนางหรือขนมหูช้างขึ้นอีกก็ได้ ขนมแกงบวด ๑ ( จะเป็นแกงบวดฟักทองหรือมันเทศก็ได้ ) ขนมจับอัน ๑ ถั่วขั้ว ๑ งาขั้ว ๑ ข้าวตอกขั้วระคนด้วยดอกไม้ เช่น ทองหยิบ ฝอยทอง ฯลฯ เหล่านี้ ๙ ชนิดด้วยกัน ๑ ผลไม้มีรสหวานต่างๆ รวม ๙ สิ่ง เลือกเอาแต่ที่มีมงคลนามเฉพาะลูกทับทิมนั้นจะขาดเสียมิได้
.
เครื่องเหล่านี้ร่วมเรียกว่าเครื่องสังเวย ให้บรรจุใส่ในพานที่มีเชิงจัดทำให้เป็นระเบียบเพื่อความสวยงาม มีผ้าขาวสะอาดปูลาดรองเครื่องสังเวยอีกทีหนึ่ง ให้จัดตั้งไว้ตรงเฉพาะหน้าพระพักตร์พระประธาน นอกจากนั้นให้จัดพานดอกไม้ ๙ สีรวม ๒ พานหนึ่งวางไว้กับเครื่องสังเวยบูชาครูดังกล่าวนี้ อีกพานหนึ่งให้วางไว้ในที่บูชาของโหร
.
ให้ตั้งเชิงเทียนไว้ในกลางกลุ่มเครื่องสังเวย ๑ คู่ มีเทียนเงิน เทียนทอง ปักไว้เชิงเทียนละเล่ม เทียนเงินเทียนทองคู่นี้ แต่ละเล่มใช้ขี้ผึ้งแท้หนัก ๔ บาท ไส้ ๑๖ เส้นควั่นยาวพอสมควร ปิดทองคำเปลวและเงินเปลวโดยตลอดทั่วทั้งเล่ม เทียนเงินเทียนทองคู่นี้ เจ้าภาพเป็นผู้จุดเมื่อจะเริ่มประกอบพิธี นอกจากนั้นให้จุดขันบูชาครู ๑ ใบ มีผ้าขาวสำหรับนุ่งและห่ม ๑ ชุด เงิน ๖ บาทใส่ในขันนั้น สำหรับเป็นเครื่องบูชาครู
.
ประการที่ ๕ จัดเครื่องสำหรับบูชาเทวดา เพื่อให้มาช่วยอนุกูลในพิธีกรรมคือ จัดบัตรเทวดา ๑ ชุด อันประกอบด้วยบัตรพระเกตุ ๑ บัตร เจ้ากรุงพาลี ๑ บัตร พระภูมิเจ้าที่ ๑ ( เรื่องบัตรนี้จะได้กล่าวถึงวิธีการจัดทำในภายภาคหน้า ) เทียนขี้ผึ้งแท้ ๑๑ เล่ม หนักเล่มละ ๒ บาท ไส้ ๙ เส้น ควั่นให้เท่ากันทุกเล่ม สำหรับจุดบูชาบัตร
ทั้ง ๓ บัตร บัตร ๑ เล่ม บูชาเทวดาอัฎฐทิศ ๘ เล่ม เทียนเหล่านี้ปักบนเชิงเทียนวางไว้ให้ได้ระยะพองามคือวางตรงหน้าบัตรทั้งสามนั้น ๓ ร่วม ๓ เล่มด้วยกัน อีก ๘ เล่มวางเรียงเป็นอัฏฐทิศล้อมรอบบัตรนั้นนอกจากนี้ให้หาขันเชิงทำน้ำมนต์นั้น ๑ ใบ เรียกว่าขันน้ำเทพมนต์ บรรจุใบไม้มงคล ๙ ประการใส่ลงในขันน้ำมนต์นั้น คือ ใบเงิน ใบนาค ใบพรหมจรรย์ ใบมะตูม ใบชัยพฤกษ์ ยอดหญ้าแพรก ฝักส้มป่อย ผิวมะกรูด รวม ๙ สิ่งใส่ลงในน้ำมนต์
.
และให้จัดหาเทียนขี้ผึ้งแท้ ควั่นเป็นเล่มเล็กๆ หนักเล่มละ ๑ สลึง ใช้ไส้ ๙ เส้น รวม ๑๖ เล่มด้วยกันเรียกว่าเทียนโสพส ให้ปักที่ขอบบัตรกรุงพาลี ๓ เล่ม ปักที่ขอบบัตรพระภูมิเจ้าที่ ๔ เล่ม ปักที่ขอบบัตรพระภูมิเจ้าที่ ๔ เล่ม ปักขอบขันน้ำมนต์ที่ตั้งบัตรบูชาเทวดาโหรและขันน้ำมนต์ ให้ตั้งเยื้องมาทางด้านใดด้านหนึ่งของหน้าพระประธาน มีผ้าขาวปูรองและตั้งพานดอกไม้ ๙ สีบูชาไว้หน้าบัตร ล่ามสายสิญจน์ลงมาจากพระประธาน จนถึงยอดบัตรและล่ามต่อมาจนถึงขันน้ำมนต์ต่อเลยมาพอให้โหรจับเวลาอ่านโศลกบูชาเทวดา พร้อมทั้งจัดหาธูปหอมเตรียมไว้ด้วย
.
ประการที่ ๖ เมื่อเริ่มจะลงมือประกอบพิธีกรรม ให้เจ้าภาพจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัยที่หน้าพระประธาน ( ควรจะมีกะบะนมัสการเครื่อง ๕ และเทียนเงินเทียนทอง ๑ คู่ จุดบูชาพระ ) และสมาทานศีลเสียก่อน เมื่อพระสงฆ์ให้ศีลเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้เจ้าภาพไปจุดธูปเทียนที่บูชาของโหร คือจุดเทียนเล่มละ ๒ บาท ๑๑ เล่ม ธูป ๑๑ ดอก กล่าวอธิษฐานบูชาเทพยดาทั่วสกลจักรวาล และเทพารักษ์ซึ่งสิงสถิตย์ ณ ปริมณฑลพิธีนั้น ให้มาช่วยประสิทธิประสาธน์ในพิธีกรรม ช่วยให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์สมปรารถนาของผู้สร้าง ธูปนั้นให้ปักที่บัตรกรุงพาลี ๑ ดอก บัตรพระภูมิ ๑ ดอก นอกนั้นให้ปักที่บัตรพระเกตุ และให้จุดเทียนที่ปักรอบบัตรพระภูมิ ๔ เล่ม บัตรกรุงพาลี ๓ เล่ม และรอบขันน้ำมนต์ ๙ เล่ม จุดธูปอีก ๙ ดอก บูชาพระเกตุปักไว้ที่กระถางธูป ซึ่งจำจะต้องมีประจำอยู่ในที่นั้น ต่อจากนั้นโหรจะได้อ่านประกาศเทวดา ให้เจ้าภาพมาจุดเทียนเงินเทียนทอง และจุดธูปปักที่เครื่องสังเวยบูชาครูอาจารย์ที่ท่านเป็นผู้ประสิทธิประสาธน์ พระตำราสร้างพระนี้ ขอให้มาช่วยอำนวยศิริมงคลให้ เมื่อโหรอ่านประกาศบูชาเทวดาจบลงแล้ว พระสงฆ์ก็เริ่มเจริญพระพุทธมนต์ ส่วนการกล่าวคำบูชาครูบาอาจารย์นั้นเป็นหน้าที่ของบัณฑิตหรือผู้ที่เข้าใจจะได้อ่านประมาณคาถาบูชาสืบต่อไป
.
ประการที่ ๗ สิ่งของต่างๆ ที่จะใช้ในการบรรจุพระนั้น ให้จัดใส่ภาชนะตั้งไว้ที่หน้าที่บูชาพระพร้อมทั้ง องค์พระที่บรรจุ โยงสายสิญจน์ล่ามไว้ตลอด สำหรับคาถาที่พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์นั้นก็คือเจริญพระปริตทั้ง ๑๒ ตำนาน และคาถามหาสมัย ฉะนั้นในการกำหนดฤกษ์บรรจุ จำเป็นต้องกะเวลาลงมือประกอบพิธีให้พอกับถึงเวลาที่บรรจุ
.
ขณะที่พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์มาถึงบทมหาสมัยนั้น พระคณาจารย์ผู้มีหน้าที่ที่จะบรรจุหรือจะให้ผู้มีความรู้คนใดคนหนึ่งก็ได้ เริ่มจารึกดวงชะตาของผู้ที่จะจัดสร้างพระ ลงในยันต์พิชัยสงคราม ซึ่งได้ตระเตรียมลงไว้ในแผ่นเงินเรียบร้อยแล้วมาแต่กอบประกอบพิธีกรรม คงเว้นไว้แต่ตรงกลางตอนจะลงดวงชะตาเท่านั้น ให้ลงในเวลาประกอบพิธีกรรม เกิดวันใดให้ลงดาวเคราะห์องค์นั้นก่อน เรียงไปตามลำดับในภูมิอัฏฐจักรพยากรณ์ ส่วนลัคนานั้นยังมิต้องลง เอาไว้ไปลงตอนได้ปฐมฤกษ์จะเริ่มบรรจุ
.
เอาผ้าแพรสีต่างๆ ที่ได้ลงยันต์ไว้แล้วนั้นมาจัดเรียงลำดับซ้อนรวมกันทั้ง ๑๐ ผืน คือผ้าตาดทองวางไว้เป็นผืนล่างสุด ถัดมาเป็นแพรสีแดง ( อาทิตย์ ) แพรสีขาว ( จันทร์ ) สีชมพู ( อังคาร ) แพรสีเขียวใบไม้ ( พุธ ) แพรสีดาหรือสีกรมท่า ( เสาร์ ) แพรสีเหลืองหมากสุก ( พฤหัสบดี ) แพรสีเม็ดมะปราง ( ราหู ) แพรสีฟ้าอ่อน ( ศุกร์ ) แพรสีเหลือง ( เกตุ ) เอามาซ้อนกันรวมเป็นแผ่นผืนเดียว สำหรับจะได้รองดวงชะตาและห่อหุ้มด้วยผงกรางของสัตตะโลหะ ๗ ประการ หัวแหวนโภคทรัพย์นพเก้าทั้ง ๙ ประการ ไหม ๙ สีควั่นเป็นเส้นเดียวกัน น้ำมันหอม ๙ รสรวมกันโถ ๑ แป้งหอมละลายน้ำหอมโถ ๑ ชาติหรคุณบดละเอียดเป็นผงโถ ๑ ชันนางโรมใต้ดินสำหรับอุดยารอยที่บรรจุ และขณะที่พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ถึงบทมหาสมัย ก็จัดแจงจุณเจิมสิ่งของที่จะบรรจุด้วยแป้งหอมน้ำมันหอมเตรียมไว้ให้พร้อมเสร็จ รอไว้แต่แผ่นดวงชะตาเท่านั้นและให้นำสิ่งของทั้งหมดนี้มาวางไว้ตรงที่ๆ ได้ตระเตรียมไว้จะทำการบรรจุ
.
ประการที่ ๘ เมื่อใกล้จะถึงเวลาฤกษ์ ให้จัดเครื่องสังเวยสำหรับบูชาฤกษ์เป็นอันดับที่ ๒ ในการจัดเครื่องสังเวยรวม ๓ ชุด เครื่องสังเวยบูชาฤกษ์นี้ก็มี มัจฉะสาหาร ๖ ประการ เครื่องยากระบวดอันประกอบด้วยสิ่งต่างๆ ตามที่กล่าวมาแล้วพร้อมทั้งบายศรีปากชาม ผลไม้ ๙ อย่าง เครื่องสังเวยครั้งนี้ได้จัดไปตั้งบนผ้าขาว ที่หน้ากลุ่มบัตรอันโหรกล่าวบูชาเทวดาเมื่อเริ่มพิธี โดนเคลื่อนขันน้ำมนต์ให้ตั้งถัดต่อมาเอาเครื่องสังเวยวางลงตรงหน้าบัตร มีเทียนเงิน เทียนทอง ตานขนาดที่ใช้บูชาครูดังกล่าวแล้ว ๑ คู่ ปักในเชิงเทียนตั้งบนกลุ่มเครื่องสังเวย เทียนเล็กๆ เล่มละ ๑ สลึง ๒๕ เล่ม ปักซ้ำที่ขอบบัตรพระภูมิ ๔ เล่ม ที่ขอบบัตรกรุงพาลี ๓ เล่ม บูชาเทวดาอัฏฐทิศ ๘ เล่ม บูชาพระเกตุ ๙ เล่ม รวม ๑๗ เล่ม ให้ติดรอบขันน้ำเทพมนต์ทั้ง ๑๗ เล่ม ธูป ๒๔ ดอก ให้เจ้าภาพจุดเทียนเงินเทียนทอง เทียนเล็กทั้ง ๒๔ เล่ม ธูป ๒ ดอก ปักเรียงรายบนเครื่องสังเวย แล้วโหรอ่านโองการบูชาฤกษ์ พระสงฆ์ที่มีหน้าที่ปรกเตรียมเข้านั่งบริกรรมในที่ที่ได้จัดไว้ พระองค์ที่มีหน้าที่บรรจุ ก็ตระเตรียมที่จะทำการบรรจุ เมื่อถึงเวลาฤกษ์ดี
.
คำว่าฤกษ์ดีในที่นี้ ต้องเป็นฤกษ์ที่ประกอบด้วยฤกษ์ล่างอันบริสุทธิ์เข้าหลักเกณฑ์ที่ดี และฤกษ์บนก็ต้องเป็นฤกษ์ที่ประกอบด้วยดวงดาวต่างๆ ในดวงฤกษ์นั้น ช่วยอุดหนุนดวงชะตาเดิมของเจ้าของพระนั้นให้เด่นดีขึ้นขจัดอุปสรรคความร้ายทั้งมวล พอย่างเข้าเวลาถึงปฐมฤกษ์ โหรก็ให้อาณัติสัญญาโดยจะเป็นการลั่นฆ้องก็ได้ พระสงฆ์ทั้ง ๙ รูปที่เจริญพระพุทธมนต์ สวดชัยมงคลคาถาขึ้นพร้อมกัน พระนั่งปรกเริ่มกระทำกิจทางวิปัสสนาธุระ แผ่เมตตาจิตให้เจ้าภาพประสบความเจริญรุ่งเรือง บัณฑิตเข้าที่บริกรรมจำเริญคาถาอัญเชิญเทวดาให้เข้ามาสิงในองค์พระ
.
ส่วนพระผู้มีหน้าที่บรรจุนั้น ก็ลงเหล็กจานเขียนลัคนาของเจ้าภาพลงในแผ่นยันต์พิชัยสงครามที่ลงชะตาไว้เสร็จแล้วเอาน้ำหอม ๙ รสกับชาติหรคุณ ลบดวงชะตานั้นให้ทั่ว แล้วเจิมด้วยแป้งหอม เสร็จจึงพับดวงชะตานั้นให้เล็กเข้า กระทำเป็นรูปดอกบัวบาน เปิดเอาไว้ตรงกลางจึงเอาพระธาตุพระสารีบุตร พระธาตุโมคคัลลาน์ พระธาตุพระสีวลีอันห่อแผ่นทองไว้นั้นวางลงไปในตอนกลางของแผ่นดวงชะตา ใส่หัวแหวนนพเก้าแกะผงสัตตะโลหะลงไป ( ถ้าหากมีผงคุณพระ เช่น ปถมัง อิธะเจมหาราช หรือดินจากสังเวชนียสถานก็ควรใส่ลงไปด้วย ) พร้อมทั้งแผ่นตระกรุดดวงพระพุทธเจ้า ๒ ดอก เอาผงเครื่องยาโรยลงผ้าแพร ๙ สี ( เฉพาะผืนบนที่จะรองดวงชะตา ) แล้วจึงเอาแผ่นดวงชะตาวางลงไปบนผ้านั้น เสร็จแล้วจึงหุ้มผ้าแพรนั้นเข้าไป ห่อดวงชะตาเสียให้แน่น ผูกด้วยไหมทั้ง ๙ สี เจิมด้วยแป้งหอมน้ำมันหอมเสียอีกครั้ง ที่ห่อด้วยชะตานั้นแล้วจึงส่งให้เจ้าภาพตั้งสัตย์อธิษฐาน โดยให้ถือฐานพระไว้มือหนึ่ง ถือห่อดวงชะตาไว้มือหนึ่ง ถ้าหากเป็นพระที่แกะและติดกับฐานไว้แล้ว ใช้บรรจุเอาทางเบื้องล่างของฐาน ก็ให้ถือทั้งองค์พระแบะทั้งฐาน เมื่อตั้งสัตย์อธิษฐานดีแล้ว พึงกล่าวคาถาดังต่อไปนี้
.
นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง พุทโธ เม สะระณัง วะรัง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เม ชะยะมังคะลัง ฯ
นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง ธัมโม เม สะระณัง วะรัง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เม ชะยะมังคะลัง ฯ
นัตถิ เม สะระณัง อัญญัง สังโฆ เม สะระณัง วะรัง
เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โหตุ เม ชะยะมังคะลัง ฯ
.
เมื่อว่าบทนี้จบแล้ว ให้ว่าบทนี้ต่อไปอีก
.
พุทโธ ธัมโม จะ ปัจเจกะพุธะ สังฆา จะ สามิกา
ทาโสวา หัสมิง เม เตสัง คุณัง ฐาตุ สิเร สะทา
ติสะระณัง ติลักขะณูเปกขัง นิพพานะมันติ มัง
สุวันเท สิระสา นิจจัง ละภามิ ติวิธามะนัง
ติสะระณัง สิเรฐาตุ สิเร ฐาตุ ติลักขะณัง
อุเปกขาจะ สิเร ฐาตุ นิพพานัง ฐาตุ เม สิเร
พุทธาสุกะรุณา วันเท ผธัมเม ปัจเจกะสัมพุทเธ
สังเฆจะ สิระสา เยวะ ติติอุนิพพา นะมามิหัง ฯ
.
เมื่อเจ้าของดวงชะตาได้กล่าวคำอธิษฐาน และจำเริญพระคาถาดังกล่าวจบลงแล้ว จะว่าจบเดียวหรือสามจบก็ได้ เสร็จจึงส่งให้พระผู้มีหน้าที่บรรจุ ทำการบรรจุห่อดวงชะตานั้น เข้าไปไว้ในฐานพระจึงเอาแผ่นไม้นนทรีปิดยาเสียด้วยชั้นนางโรงใต้ดินให้เป็นที่เรียบร้อย ส่วนพระบรมธาตุที่ห่อแผ่นทองคำไว้แล้ว ให้บรรจุในพระเมาลี แล้วเอาเปลวรัศมีซึ่งแกะไว้อีกท่อนหนึ่ง อันลงในพระเมาลีให้แน่น เจิมองค์พระนั้นด้วยแป้งหอมน้ำมันหอม ในระยะได้แต่ปฐมฤกษ์เริ่มบรรจุ ให้โหรย่ำฆ้องตลอดเวลาระยะฤกษ์พราหมณ์เป่าสังข์แกว่งบัณเฑาะว์ พระสวดเจริญชัยมงคลคาถาจนกว่าจะเสร็จ แต่ต้องทำให้แล้วในเวลาฤกษ์ที่กำหนด จากนั้นให้สวดพระคาถาที่พระยามาราธิราชถวายพระพรแด่พระพุทธเจ้าว่า
.
โย สันนิสินโน วะระโพธิมูเล ฯลฯ หะตันตะราโย ฯ แล้วสวดพาหุงกับชะยันโตจนจบ
ส่วนพระผู้ที่ทำหน้าที่บรรจุนั้น เมื่อบรรจุแล้วให้เอาพระวางไว้ตรงหน้าโดยหาที่ตั้งให้สมควร พึงจำเริญพระคาถาพระพุทธคุณทั้ง ๑๐ อักษร คือ
.
อะสังวิสุโล ปุสะพุภะ ฯ ไปจนตลอดพิธี
.
โองกาเร ภะคะวะโต มังคะโล ปัจเจกะ โพธิสิทธิเตเชนะ จักกะวัตติสิริ สะวัตติเม นารายะ ปะระ เมสุรา โสฬะสะ พรหมโลกาจะ สพพะ อินทราปะรัมปะรา ฉะกามาวะจะรา สัพพะเทวะตา เตสารีริกกะธาตุ ชะยะเตเชนะ สิริสากะยะ สพพะเทวะตา มะนุสสา สัพเพ ราชาชมพูทีปา สัพพะสัตรูวินาสสันติ มหาเตโช มหาปัญโญ มหาโภโค อิสีสิทธิวิชชาธะระ ปะติฏฐิตัง เม สวาหายะ ฯ
.
คาถานี้เป็นคาถาอัญเชิญเทวดามาสิงสู่ในองค์พระ ให้บัณฑิตเป็นผู้ภาวนา นับแต่เริ่มได้ปฐมฤกษ์บรรจุ จากนั้นให้ว่าพระคาถาบทนี้ต่อไปเป็นคาถาปลุกพระพุทธรูป คือ
ปะฏิมานะพุทโธ ธาตุพุทโธ นิมิตตะพุทโธ กายะพุทโธ สูญญะพุทโธ พุทโธมังคะละ สัมภูโต สัมพุทโธ ทีปะทุตตะโม พุทโธ มังคะละมาคัมมะ สัพพะทุกขาปะมุญจัญตุ ฯ
.
คาถาทั้งสองบทนี้ ถ้าว่าให้ครบบทละ ๑๐๘ ทีจะดีมาก สำหรับเจ้าของผู้สร้างนั้น เมื่อเริ่มได้เวลาบรรจุให้อยู่ในวงพิธีโดยตลอด และให้ภาวนาพระอักขระ ทั้ง ๑๐ นี้เป็นอารมณ์ คือ อะสังวิสุโล ปุสะพุภะ จนกระทั่งแล้วเสร็จ
.
ส่วนพระสงฆ์ที่เจริญพุทธมนต์ถวายพระพรนั้น เมื่อจบแล้วพึงเริ่มขัดตำนานสวดคาถาธรรมจักรกัปปวัตนสูตร เพื่อทำการเบิกพระเนตรพระต่อไป ขณะที่เบิกพระเนตรนี้ จะเพิ่มพิธีพราหมณ์เบิกแว่นเทียนด้วยก็ได้ ทำไปในขณะที่พระสวดธรรมจักร ขณะที่พระสงฆ์เจริญพระธรรมจักรถึงตอนบทที่ว่า
.
จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ ฯ
ก็ให้ผู้ที่ทำการบรรจุนั้น ทำการเบิกพระเนตร โดยเอาดินสอดำหรือเหล็กจานวงตรงที่พระเนตร เป็นพิธีพอสังเขปอนุมานว่าได้ทำการเบิกพระเนตรแล้ว
.
เมื่อพระสงฆ์สวดธรรมจักรจบแล้ว และบัณฑิตภาวนาคาถาทั้ง ๒ บทจบแล้ว เจ้าของพึงยกพระพุทธรูปที่จัดสร้างนั้น นำไปถวายให้พระที่มาร่วมประกอบพิธี เจิมด้วยแป้งหอมน้ำมันหอมทุกองค์ องค์สุดท้ายคือองค์ที่ทำพิธีบรรจุ แต่ถ้าหากบัณฑิตยังว่าไม่จบ ก็ให้รอจนกว่าจะจบจึงค่อยทำการเจิมจากนั้นพระผู้ที่ทำพิธีบรรจุ ก็จะทำพิธีประสิทธิประสาธน์มอบให้ ในขณะที่พระสงฆ์ทั้งหมดสวดอนุโมทนา ยะถาสัพพี เพราะเมื่อเสร็จพิธีแล้ว เจ้าของก็จำเป็นต้องจัดของไทยทานถวายพระที่มาสวด เมื่อท่านรับแล้วจะเริ่มสวดยะถา พระผู้ประกอบพิธีบรรจุก็ทำพิธีมอบหมายให้พร้อมกับให้ศีลให้พรตามธรรมเนียม ( การบรรจุพระโพธิ์นี้ ถ้าหากเป็นอาจารย์คฤหัสถ์บรรจุ ก็นิมนต์พระเพียง ๑๐ องค์เท่านั้น คือ เจริญพุทธมนต์ ๙ องค์ นั่งปรกบริกรรม ๑ องค์ )
.
ให้เจ้าภาพนำพระโพธิ์ที่ได้รับมอบหมายนั้น ไปประดิษฐานไว้ให้สมควรตรงหน้าที่บูชาพระประธานในอุโบสถนั้น พราหมณ์ผู้ใหญ่จะได้ประกอบพิธี โดยเอาน้ำเทพมนต์และน้ำพุทธมนต์ใส่สังข์เข้าไปโสรจสรงองค์พระ พร้อมทั้งนำใบไม้มงคลไปวางเรียงไว้ที่ตรงพระบาท พราหมณ์ผู้น้อยรองลงมา ก็ทำหน้าที่เป่าสังข์แกว่งบัณเฑาะว์จนสุดสิ้นพิธีการ ต่อจากนั้นก็ให้จัดการถวายข้าวพระและสังเวยเทวดาอีกครั้งหนึ่ง จึงเป็นอันเสร็จพิธีการโดยสมบูรณ์ การบรรลุพระโพธิ์นี้เวลาฤกษ์บรรจุไม่สู้แน่นอนนัก แล้วแต่มติของโหรผู้หาฤกษ์ แต่ถ้าจะให้ดีควรเป็นเวลาเช้า ขณะที่พระอาทิตย์อุทัย เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องเริ่มพิธีกลางคืน กว่าจะบรรจุและเบิกพระเนตรเสร็จก็ได้เวลาฉันพลพอดี บางทีบรรจุเอาจวนเพล ต้องรอเบิกพระเนตรไว้ตอนบ่ายถวายข้าวพระทำการสังเวยเสียก่อนเพราะการถวายข้าวพระและสังเวยเทวดานี้ ต้องกระทำภายในก่อนเที่ยง ทางที่ถูกในการสร้างพระโพธิ์นี้ จำเป็นต้องมีการเลี้ยงทุกคราวไป ถ้าได้ฤกษ์บรรจุตอนกลางคืน ทำพิธีเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงค่อยถวายข้าวพระสังเวยเทวดาเอาตอนเพลก็ได้
.
ประการที่ ๙ ให้จัดอาหารบิณฑบาตเป็นสำรับคาวหวาน ให้เจ้าของจัดการถวายข้าวพระโพธิ์ที่ได้จัดสร้างขึ้นนั้น พร้อมด้วยเครื่องสักการะดอกไม้ธูปเทียน พร้อมกันนั้นก็ให้จัดหาเครื่องสังเวย จัดตั้งไว้ตรงที่ที่วางเครื่องสังเวยบูชา เมื่อเริ่มประกอบพิธีโดยมีบายศรีใหญ่ทั้งคู่ตั้งอยู่กับที่ ส่วนเครื่องสังเวยชุดเก่าลาไปแล้ว ให้จัดเครื่องสังเวยชุดใหม่เหมือนกับชุดเดิมเข้าไปตั้งแทน เป็นชุดที่ ๓ รวม ๓ ชุด ในการประกอบพิธีสร้างพระโพธิ์ ให้เจ้าภาพจุดเทียนเงินเทียนทอง และจุดธูปปักตามเครื่องสังเวยทั่วไป การสังเวยนี้เป็นหน้าที่ของโหรดังกล่าวโศลกสังเวย แต่ต้องกระทำภายหลังเมื่อถวายข้าวพระแล้ว เป็นอันเสร็จพิธีในการสร้างพระ การสังเวยเทพดานี้ ก็เป็นการอันกล่าวขอบใจ ในการที่เทพยดาทั้งหลายได้มาช่วยอำนวยพิธีกรรม จนเสร็จลุล่วงไปด้วยดี นับว่าเป็นอามิสพลีส่วนหนึ่ง ถ้ามีการเลี้ยงพระด้วย ก็ให้สวดสังเวยตอนพระฉัน เมื่อพระท่านฉันเสร็จแล้ว ขณะเมื่อท่านอนุโมทนา ให้เจ้าภาพกรวดน้ำแผ่กุศลไปให้เทวดานั้นๆ ด้วยเป็นธรรมพลีอีกส่วนหนึ่ง
.
ประการที่ ๑๐ การสร้างพระเสด็จสินลงแล้ว ก่อนจะนำมาเข้าบ้านต้องหาฤกษ์ที่ดีให้ได้เสียก่อน จึงจะนำเข้าไป ควรนิมนต์พระสงฆ์ไปสวดชัยมงคลที่บ้านด้วย ขณะเมื่อใกล้ได้เวลาฤกษ์ต้องนิมนต์พระมารอไว้ให้พร้อม จะเป็น ๕ องค์ ๗ องค์ หรือ ๙ องค์ก็ได้ ขณะที่นำพระจะเข้าบ้านก็ให้จุดธูปเทียนนำเข้าไป เจ้าของบ้านเป็นผู้ถือพระ มีคนถือขันข้าวตรอกดอกไม้ เงินทองโปรยตามไปจนกระทั่งถึงที่ประดิษฐานพระ ขณะเมื่อนำพระขึ้นประดิษฐานนั้น ให้พระสงฆ์ที่นิมนต์มานั้นสวดชัยมงคลคาถาและสวดถวายพรพระ ถ้าผู้ใดกระทำได้โดยลำดับที่กล่าวมานี้ จะประเสริฐล้ำเลิศยิ่งนักแล ฯ
.
พระโพธิ์ปางห้ามสมุทรที่บรรจุดวงชะตานี้ให้จัดที่บูชาจงดีเอาผ้าขาวเป็นเพดานกันธุลีละออง กระทำการสักการะบูชาอย่าให้ขาด ให้สวดบูชาด้วยคาถาพาหุงทั้ง ๘ บทจบทุกวันถึงแม้จะเกิดความเดือดร้อนเป็นถ้อยความ อำนาจของพระจะช่วยให้ผ่อนหนักเป็นเบา ท่านให้คอยพิจารณาดูนิมิตที่องค์พระ ถ้าพระนั้นตกมันตัวจะตาย ถ้าเป็นเหงื่อออกเจ้าตัวจะเจ็บป่วยหนัก ถ้ามิฉะนั้นจะเป็นความให้เสียเงินเสียทอง ถ้าน้ำพระเนตรออกจะต้องราชอาญาของพระมหากษัตริย์ ให้เร่งระวังตัวมิน้อยก็มากแล ถ้ารัศมีสีทองที่ปิดองค์ระเศร้าหมองจนผิดสังเกต เพื่อนฝูงลูกเมียจะคิดร้าย ถ้าจะเกิดเรื่องใดๆ ก็ดีหรือเกิดการเจ็บป่วยไข้ได้ทุกข์ ให้นิมนต์ลงสรงน้ำ ก่อนจะนิมนต์ลงสรงน้ำนั้นให้ว่าคาถาชุมนุมเทวดาเสียก่อน แล้วถวายพรพระด้วยพาหุงทั้ง ๘ บท และสวดมงคลจักรวาล ( ใช้บทน้อยก็ได้ ) ถึงเอาพระลงสรงน้ำ เอาน้ำนั้นมาอาบกิน อย่าได้กลัวเลยถึงจะมีโทษร้ายแรง ก็ทุเลาเบาบางลง ผู้ใดจะคิดร้ายหรือจะยื่นฟ้องร้องก็ดี ให้เขียนชื่อใส่กระดาษแล้วควั่นเป็นเทียน จุดตามถวายพระภาวนาคาถาถวายพระพรทั้ง ๘ บท จนกว่าจะสิ้นเทียนแล้วตั้งอธิษฐานว่าพระมหากรุณาเจ้า เมื่อพระองค์ยังทรงพระชนม์อยู่ พระองค์ทรงทรมานพระยามาราธิราช ช้างนาฬาคิรีองคุลีมาลโจรและพระกาพรหมให้เสื่อมพยศพ่ายแก่พระองค์ได้ฉันใดก็ดี ขอให้ศัตรูชื่อ.. จงพ่ายแพ้แก่ข้าพเจ้าเถิด ทำให้ได้ครบสามวันหรือเจ็ดวัน ถึงยื่นฟ้องแล้วก็ถอนฟ้อง ถ้ามันมิถอนขืนว่าความต่อไปก็พ่ายแพ้แก้เราแล ถ้าทำราชกาลจะให้เจ้านายท่านเมตตาเราให้หมั่นบูชาพระด้วยบทถวายพรพระทั้ง ๘ เจ้านายท่านจะรักเราดังลูกหลาน ท่านวางอุปเท่ห์ในการใช้พระคาถาถวายพระพรพระ ๘ บทไว้ดังนี้ ฯ
.
ถ้าจะผจญด้วยศึกศัตรู ให้ถวายพรพระด้วยพาหุง ฯลฯ
ถ้าจะแก้คุณผีคุณคน ให้ถวายพรพระด้วยบทมาราติเร ฯลฯ
ถ้าจะผจญด้วยสิงสาราสัตว์ที่ร้ายกาจ ให้ถวายพรพระด้วยบทนาฬาคิริง ฯลฯ
ถ้าจะไปต่างบ้านต่างเมือง ให้ถวายพรพระด้วยบทอุกขิตตะขัค ฯลฯ
ถ้าจะให้ศัตรูอ่อนน้อมกับเรา ให้ออกชื่อเขาแล้วถวายพรพระด้วยบทกัตวา ฯลฯ
ถ้าจะให้เขาอ่อนน้อมยอมเชื่อฟังเรา ให้ถวายพรพระด้วยบทสัจจัง ฯลฯ
ถ้าจะปัดพิษสรรพสัตว์ทั้งปวง ให้ถวายพรพระด้วยบทนันโท ฯลฯ
ถ้าจะผจญด้วยมนุษย์เทวดาอันเป็นมิจฉาทิฏฐิ ให้ถวายพรพระด้วยบททุคคา ฯลฯ
ถ้าจะทำการสิ่งใดๆ ให้เป็นประสิทธิ ให้จัดการบูชาพระที่สร้างสวดพาหุงทั้ง ๘ บท ให้ได้ ๓ จบ หรือ ๕ จบก็ดี แล้วนิมนต์พระนั้นลงสรงน้ำ แล้วเอาน้ำนั้นมาอาบกินเถิดประสิทธินักแล
ถ้ารู้ว่าใครจะเป็นศัตรูต่อเรา ให้เขียนชื่อศัตรูใส่กระดาษแล้วนั่งทับจึงสวดพาหุทั้ง ๘ บท เสร็จจึงเอากระดาษชื่อศัตรูขยำน้ำเสีย เขาทำร้ายเรามิได้แล
ถ้าจะไปศึกสงครามให้เอาน้ำมันหอม เสกด้วยพาหุทั้ง ๘ บท แล้วเอาเจิมพระจึงมาทาตัวเรา เป็นคงกระพันชาตรีแคล้วคลาดและเป็นเมตตาด้วย
ถ้าจะให้ผู้ใดรักใคร่เรา จึงให้เขียนชื่อผู้นั้นใส่กระดาษทำเป็นไส้เทียนขี้ผึ้งหนัก ๑ สลึง แล้วจุดถวายพระถวายพรพระด้วยพาหุงทั้ง ๘ บทจนสิ้นเทียนผู้นั้นรักเราแล
ถ้าผู้ร้ายลักของเราไป ถ้าจะใคร่รู้ว่าผู้ใดเป็นผู้ลัก ท่านให้เอาข้าวสุกมาสามปั้นบูชาพระแล้ว จึงเสกด้วยพาหุงทั้ง ๘ บท ตามกำลังวันถ้าสงสัยใครจงให้ผู้นั้นกิน หากเป็นคนลักเอาไปกลืนข้าวมิลงเอย
.
ผู้ใดได้สร้างพระห้ามสมุทรบรรจุดวงชะตากำเนิดแล้วไซร้ ถ้ามีความประสงค์สิ่งหนึ่งใด ให้อธิษฐานเอาเถิดสำเร็จทุกประการแล เป็นของวิเศษประเสริฐนัก ผู้ใดได้พบแล้วให้เร่งทำเถิด ฯ
.
พาหุงทั้ง ๘ บท

พาหุสะหัสสะมะภินินมิตะสาวุธันตัง ครีเมขะลัง อุทิ ตะโฆระสะเสนะมารัง ทานาทิธัมมะวิธินา ชิตะวามุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เม ชะยะมังคะลานิ ฯ
มาราติเรกะมะภิยุชฌิตะสัพพะรัตตีง โฆรัมปะนาฬะวะกะมักขะมะถัทธะยักขัง ขันตีสุทันตะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เม ชะยะมังคะลานิ ฯ
นาฬาคิริง คะชะวะรัง อะติมัตตะภูตัง ทาวัคคิจักกะมะสะนีวะ สุทารุณันตัง เมตตัมพุเสกะวิธินา ชิตะวามุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เม ชะยะมังคะลานิ ฯ
อุกขิตตะขัคคะมะติหัตถะสุทารุณันตัง ธาวันติโยชะนะปะถังคุลิมาละวันตัง อิทธีภิสังขะตะมะโน ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เม ชะยะมังคะลานิ
กัตวานะกัฏฐะมุทะรัง อิวะ คัพภินียา จิญจายะ ทุฏฐะวะจะนัง ชะนะกายะมัชเฌ สันเตนะ โสมะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เม ชะยะมังคะลานิ ฯ
สัจจัง วิหายะ มะติสัจจะกะวาทะเกตุง วาทาภิโรปิตะมะนัง อะติอันธะภูตัง ปัญญาปะทีปะชะลิโต ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เม ชะยะมังคะลานิ ฯ
นันโทปะนันทะภุชะคัง วิพุธัง มะหิทธิง ปุตเตนะ เถระภุชะเคนะ ทะมาปะอันอิทธูปะเทสะวิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เม ชะยะมังคะลานิ ฯ
ทุคคาหะทิฏฐิภุชะเคนะ สุทัฏฐะหัตถัง พรหมัง วิสุทธิชุติมิทธิ พะกาภิธานัง ญาณาคะเทนะ วิธินา ชิตะวา มุนินโท ตันเตชะสา ภะวะตุ เม ชะยะมังคะลานิ ฯ
.
นอกจากนี้ท่านโบราณาจารย์ ยังวางบทพระคาถาที่ใช้สำหรับ บูชาพระโพธิ์ไว้อีกหลายประการ บางท่านใช้คาถาในสาวังบูชาก็มี บางท่านใช้คาถาบทต่อไปนี้ เป็นพระคาถาบูชาพระโพธิ์บรรจุดวงชะตาต่อจากพาหุงทั้ง ๘ บท ทำให้เกิดลาภสักการะและเป็นที่รักแก่ชนทั้งปวง
.
คาถาบูชาพระโพธิ์ปางห้ามสมุทรบรรจุดวงชะตา

นะโม โพธินิสายะ สัมพุทโธ โย สัพพะทุกขะโม โพธิสุคะโตโหติ นะโมสุคะโตอะติเขตเต นะโมนะวะ ปัญญาธีราพุทธา นะโมอัฏฐะวิชชานะคัมปี สัพพัญญุตะญาณัง โพธิปัลลังกัง นะโมมาระเสนา อะนาคะตัง อะหังสามิ สัพพะสิทธิภะวันตุ เม ฯ
อิติปิ โส ภะคะวา อิสวาสุ เมตตา กะรุณา มุทิตา อุเบกขา นะโมพุทธายะ
นะชาลีติ พุทธัง สะระณังนาถัง มหาลาภัง สัพพะภะยัง วินัสสันติ
นะชาลีติ ธัมมัง สะระณังนาถัง มหาลาภัง สัพพะภะยัง วินัสสันติ
นะชาลีติ สังฆัง สะระณังนาถัง มหาลาภัง สัพพะภะยัง วินัสสันติ
พุทธังเมตตา จะ มหาเตชา สัพพะสิเนหา จะ ปูชิโต สัพพะสุขัง มหาลาภัง สัพพะภะยัง วินัสสันติ
ธัมมังเมตตา จะ มหาเตชา สัพพะสิเนหา จะ ปูชิโต สัพพะสุขัง มหาลาภัง สัพพะภะยัง วินัสสันติ
สังฆังเมตตา จะ มหาเตชา สัพพะสิเนหา จะ ปูชิโต สัพพะสุขัง มหาลาภัง สัพพะภะยัง วินัสสันติ
มะอะอุ มะเมตตา จะ มหาราชา สัพพะสิเนหา จะ ปูชิโต สัพพะสุขัง มหาลาภัง สัพพะภะยัง วินัสสันติ
มะอะอุ อะเมตตา จะ มหาเสนา สัพพะสิเนหา จะ ปูชิโต สัพพะสุขัง มหาลาภัง สัพพะภะยัง วินัสสันติ
มะอะอุ อุเมตตา จะ มหาเสนา สัพพะสิเนหา จะ ปูชิโต สัพพะสุขัง มหาลาภัง สัพพะภะยัง วินัสสันติ
ปิโยเทวะมะนุสสานัง ปีโยพราหมานะมุตตะโม ปีโยนาคะ สุปัณณานัง ปิณินทรียังนะมามิหัง สุวัณณะมุกโข มหาวะโร เม อัตถียัง ปุริสัง ปิยังมะมะ เสยยะกัมมา ประสิทธิเม ฯ
.
คาถานี้เป็นคาถาบูชาพระบรรจุดวง สำนักวัดจักรวรรดิราชาวาส สืบเนื่องมาจากสมเด็จพุฒาจารย์ ( มา ) บูชาได้ทุกวันจะบังเกิดคุณวิเศษต่างๆ
.
คำอวยพร
ขออำนาจคุณพระศรีรัตนไตร และพระอาจาริยเจ้า เทพยดาเจ้า จงมาอำนวยอวยพร ขอให้ท่านเจ้าภาพผู้สร้างพระบูชา
“ มหาพิชัยสงคราม ” และผู้มาร่วมงาน
.
จงอุดมด้วยเดช
วิเศษด้วยธรรม
เลิศล้ำด้วยปัญญา
งามสง่าราศีวิสุทธิ์
ผ่องผุดทั่วอินทรีย์
มากบารมีไพศาล
สุขสราญกายา
วาจาดั่งบัณฑิต
จตุรพิธพรบังเกิด
เป็นเลิศในมนุษย์
วิเศษสุดทั่วภพ
ชนคำรพทั่วหล้า
เป็นมหาเศรษฐี
เป็นศรีแห่งบ้าน
เป็นคานแห่งเมือง
รุ่งเรืองตลอดกาล
สุขสำราญตลอดชีพ
เป็นปทีปส่องสว่าง
เป็นผู้สร้างความเจริญ
เป็นผู้ดำเนินชีวิตถูกต้อง
เป็นคนของประชาชน
ดำรงตนเป็นแบบอย่าง
เป็นผู้สร้างสิ่งดี
ขอความมั่งมีบังเกิด
ความประเสริฐจงมี
สุขสวัสดี ทุกทิวา ราตรีกาลเทอญ

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

————————