สรรพสิ่งเกิดจากแสง :
รูปเกิดจากนาม ( แสง และ จิต )
ที่เคลื่อนไหวไปตามอำนาจของจิต
มีจิตเป็นตัวเหนี่ยวนำ ( การสร้าง ทิพยสภาวะ และ การกำเนิดจักรวาล )
และพลังทรงตัวอยู่เป็นรูปได้
ต้องมีรูปให้เกาะ
( การสร้างเครื่องทิพย์ )
การผันแปรของธาตุ และ แสง คือ
การแปรแสงเป็นธาตุ และ การแปรธาตุเป็นแสง
( คแวนตรัมฟิสิกส์ ) และ ซกเซน
สองสิ่งนี้จึงอาศัยซึ่งกันและกันในการเกิด :
ในตัวอย่างนี้ จะเห็นถึง บ้าน และ กายทิพย์
อันเกิดจากแสง
เรื่องเล่า ชัมบาลา (Shambhala) จาก ประสบการณ์ธรรม นิมิตของท่าน คัมตรุล รินโปเช
” ตั้งแต่อายุ ๘ ขวบจนถึง ๒๕ ข้าศึกษาในนิกายญิงมาปะ เรียนรู้ศาสนพิธี โหราศาสตร์และปรัชญาต่าง ๆ แต่ตอนอายุ ๑๖ จิตใจของข้า วุ่นวายปั่นป่วนอยู่บ่อย ๆ ข้าไปปรึกษาหลาย ๆ คน แต่ดูเหมือนจะไม่มีใครช่วยได้ ในที่สุดจึงไปปรึกษาหลาย ๆ คน แต่ดูเหมือนจะไม่มี ใครช่วยได้ ในที่สุดจึงไปปรึกษากับอาจารย์กรรมฐานของข้า คือท่าน จัมยัง เคียนเซ โชคคี โลโดร ซึ่งได้ช่วยเสี่ยงทายให้ผลที่ออกมา แนะให้ข้าไปจาริกแสวงบุญยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งในมิญัก ทางภาคตะวันออกของธิเบต และสวดมนต์บูชาท่านปัทมะสัมภวะ ๔oo,ooo จบ
” ข้าจึงออกจาริกแสวงบุญ แต่ด้วยความที่ยังหนุ่มและเกียจคร้านทำให้สวดมนต์ได้เพียงครึ่งเดียว แต่ตอนที่นั่งภาวนาอยู่ในถ้ำศักดิ์สิทธิ์ แห่งหนึ่ง ข้าเกิดฝันประหลาด
” ในฝันข้าเห็นเด็กสาวอายุประมาณ ๑๔ – ๑๕ งดงามกว่าทุกคนที่เคยเห็นมา นางสวมใส่เสื้อผ้าและเครื่องประดับแตกต่างจากหญิงธิเบต มาก กิริยาชวนหลงใหล จนทำให้ตัวข้าเริ่มรู้สึกสั่นสะท้านไปหมด บางทีข้าอาจบอกเล่าทุกอย่างให้นางฟัง ถึงแม้จะจำไม่ได้ทุกถ้อยคำ ข้าตื่นเต้นเหลือเกิน พอรู้สึกสงบลงหน่อย นางก็พูดกับข้าว่า ‘ พี่ท่าน เราน่าจะไปเที่ยวอาณาจักรชัมบาลากันนะ ‘ “
ข้าพเจ้ายื่นหน้าออกไปฟังด้วยความสนใจอย่างยิ่ง ในที่สุดก็ได้ยินเรื่องราวโดยตรงเกี่ยวกับอาณาจักรทางตอนเหนือของธิเบตที่เรียกกันว่า ชัมบาลา ข้าพเจ้าพยายามนึกถึงสิ่งที่เคยอ่านพบ หลังจากพระศากยมุนีทรงมอบคัมภีร์กาลจักรตันตระให้แก่พระราชาสุจันทราแล้วพระราชา ได้นำกลับไปยังอาณาจักรชัมบาลาตอนเหนือ และสร้างตำหนักอันวิจิตรให้แก่เทพกาลจักร พระราชามีผู้สืบทอดเป็นธรรมราชา ๗ พระองค์ และธรรมทายาทผู้สืบทอดอีก ๒๑ พระองค์ คอยพิทักษ์รักษาคำสอนดังกล่าว การปฏิบัติกาลจักรมีจุดประสงค์เช่นเดียวกับการฝึกตันตระ ทั้งหลายคือ เพื่อชำระกาย วาจา ใจและค่อย ๆ ขจัดอนุสัยเก่า ๆ ที่ฝังแน่นอยู่ในกระแสจิตออกไป ตามตำนานกล่าวว่า เมื่อเข้าสู่กลียุคใน ภายภาคหน้า นักรบจากชัมบาลาหรือผู้บำเพ็ญเพียรจะรวบรวมกำลังกันต่อกรกับอำนาจชั่วร้าย คัมตรุล รินโปเชบอก ท่านได้ตอบคำชวนของ หญิงสาวว่า
” พอสาวงามในฝันบอกว่าเราจะไปที่นั่น ตอนแรกข้าคิดว่า ‘ วิเศษจริง ๆ ‘ จากนั้นก็สำนึกได้ว่านางเรียกข้าพี่ ซึ่งผิดไปจากความคาดหวัง ทำให้ข้าไม่อาจบอกความในแก่นางได้ ดังนั้นแทนที่ข้าจะเรียกนางกลับว่าน้อง จึงพูดไปว่า ‘ แม่นาง ข้าอยากไปชัมบาลากับเจ้ามาก แต่ข้า ต้องบอกเจ้าว่าไม่รู้จะไปที่นั่นได้อย่างไร ‘
” นางเรียกเรียกข้าว่าพี่อีก พร้อมทั้งบอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง นางมาที่นี่เพื่อพาข้าไป ข้ารวบรวมความกล้าถามไปว่า นางรู้ได้อย่างไรว่า ข้าเป็นใคร นางหัวเราะ ‘ เจ้านี่โง่จริงๆ จำข้าไม่ได้หรือ มองตาข้าสิ ‘
” หญิงสาวเผยดวงตาทั้ง ๗ แก่ข้า คู่หนึ่งเป็นดวงตาปกติดวงหนึ่งอยู่ตรงกลางหน้าผาก ส่วนอีกสองคู่อยู่ที่ฝ่าเท้าและฝ่ามือ ทำให้เห็น โฉมหน้าอันแท้จริงว่านางคือ พระแม่ตาราขาวหรือตาราเจ็ดเนตร พระองค์บอกว่าถ้าจ้องมองตาของพระองค์ จะทำให้อายุยืน เนื่องจากตอน นี้ข้าอายุ ๖๕ แล้ว และในชาติก่อนๆ ก็ไม่เคยมีอายุเกิน ๕o – ๕๕ ฉะนั้น เรื่องนี้จึงต้องเป็นความจริง พระองค์ยังบอกอีกด้วยว่าข้าต้องสึก แต่จะได้ช่วยสรรพสัตว์มากมาย และแต่งงานกับผู้หญิงที่ชื่อดอลมา หรือดอลกา ในอดีตชาติข้าไม่เคยแต่งงานแม้สักครั้งเดียว แต่ตอนที่ข้า ต้องออกจากธิเบตเพราะจีนเข้ามานั้น ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไป ตุลกูมากมายต้องแต่งงานเพื่อสืบวงตระกูล ข้าสึกจากพระไปแต่งงาน แต่ยังคงเป็นลามะ เมียข้าชื่อดอลกา
” ข้านั่งอยู่บนผ้าขาวข้างๆ หญิงงามนี้ แล้วเราก็เหาะไป การได้อยู่ไกล้ชิดพระองค์เป็นความสุขอันแสนวิเศษเสียจนข้าไม่รู้สึกสงสัย ไม่มีคำถาม ไม่คิดอะไรทั้งสิ้น เป็นความรู้สึกล้ำลึกกว่าประสบการณ์ทั่วไป เราไปเร็วมาก ถ้าข้าไปได้เร็วอย่างนั้นในเครื่องบิน ก็คงต้อง เดินทางจากอินเดียไปนิวยอร์คได้วันละ ๓ เที่ยว
” เราเหาะข้ามเขาที่ดูเหมือนจะมีสิงโตหิมะอยู่บนนั้น ‘ ดูโน่นสิ โรงพิมพ์เดอเกย์ ในสมัยของ เปมา ลุนดรุปอดีตชาติของเจ้านั้น ข้าคือ เซวัง ลาโมป้าของเจ้า ซึ่งได้แกะสลักแม่พิมพ์ไม้เอาไว้ มันยังอยู่ที่นั่น ‘
” ขณะที่ลอยอยู่บนท้องฟ้าในความฝัน เราเห็นยอดเขาไกรลาสแล้วก็เทือกเขาอันสง่างามที่ปกคลุมด้วยหิมะ บริเวณที่ดูคล้ายกับงูกำลังจะ จับกบ เรายังผ่านไปยังทะเลทรายที่เหมือนลาดปูด้วยหนังเสือ และอีกหลาย ๆ แห่งมากมายเกินกว่าจะสาธยาย รวมทั้งบริเวณที่เวิ้งว้าง ราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่เลย
” เราเหาะขึ้นเหนือต่อ จนมาถึงเขาวงกตใหญ่ที่ดูคล้ายกับดอกบัวยักษ์บานอยู่ มี ๓๒ กลีบ พระองค์บอกว่าแต่ละกลีบมี ๓๒ เมือง แต่ละเมืองมีขนาดเท่านิวยอร์ก นอกจากนี้ยังมีเมืองเล็ก ๆ รายรอบเมืองเหล่านี้อยู่อีก ๙oo เมือง รวมทั้งสิ้นมีเมืองเล็ก ๆ เกือบล้านเมือง และเมืองใหญ่กว่าพันเมือง บ้านเรือนเป็นพระราชวังที่มีหลังคาสีทองอร่ามประดับด้วยอัญมณีแวววาว ระฆังดังกรุ๊งกริ๊ง และสายรุ้งน่ารัก แค่ได้เห็นที่พักนั่น ข้าก็รู้สึกเกิดปีติแล้ว
” แต่ละครอบครัวในชัมบาลาจะมีสวนขนาดใหญ่ พร้อมด้วยสระน้ำที่มีกลิ่นหอม ผู้คนมีฐานะมั่งคั่งจากโคและแก้วสารพัดนึก ไม่มีใคร ต้องทำงาน ถ้าปรารถนาสิ่งใด สิ่งนั้นก็จะปรากฏขึ้นเอง เนื่องจากทุกคนร่ำรวยและแข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีสงคราม ข้าจึงมี ความรู้สึกว่าพวกเขาไม่ได้มาจากท้องแม่เหมือนเรา แต่อุบัติขึ้นเองอย่างมหัศจรรย์ ที่พิเศษเหนือสิ่งอื่นใดคือ ในอาณาจักรชัมบาลาไม่มี ความรู้สึกแบ่งแยกข้ากับเจ้า ไม่มีการชิงดีชิงเด่นหรือทะเลาะเบาะแว้งกัน มีแต่ความสุขสงบร่มเย็น
” มีบ้านหลังหนึ่งที่สร้างด้วยแสง ทำให้ข้าได้ข้อสรุปว่า ไม่ใช่ทุกคนที่อาศัยอยู่ในสถานที่อันยิ่งใหญ่นี้จะเป็นมนุษย์กันหมด อาจมีเทวดา หรือนาคด้วย ส่วนตรงกลางคือใจกลางอาณาจักรชัมบาลาที่รายรอบไปด้วยมหานครนั้น เป็นที่ตั้งของตำหนัดเทพกาลจักร ซึ่งสร้างโดย กษัติริย์สุจันทรา ในคัมภีร์ตันตระบอกว่าผู้ที่อยู่ในชัมบาลาจะใช้คันธนูและศรพิชิตความชั่วร้ายในจักรวาล นั่นทำให้ข้ารู้สึกสงสัย เพราะ อาวุธทำลายล้างสมัยใหม่ทั้งหมดพัฒนาขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง พอถามเรื่องนี้กับพระองค์ พระองค์บอกว่าข้าไม่ต้องวิตกกังวล เพราะไม่ว่าในโลกนี้จะคิดค้นวิธีทำลายล้างอะไรได้ก็ตาม สิ่งที่ใช้กำราบมันจะอุบัติขึ้นเองในอาณาจักรชัมบาลา พระองค์อธิบายว่าอาวุธ ในโลกเราสร้างขึ้นจากส่วนประกอบต่าง ๆ หลายอย่าง แต่ระบบต่อต้านจรวดนำวิถีของชัมบาลาอันเกิดจากปัญญาญาณสูงส่งนั้นทรง อาณุภาพยิ่งกว่า
” ตอนที่เราเข้าเฝ้าพระราชา พระองค์กำลังเข้าฌาน มีรัศมีเจิดจ้าจนข้าไม่อาจจ้องมองได้ตรง ๆ ทรงมลายกลายเป็นแสงก่อน แล้วจึงปรากฏ เป็นพระลามะประสาทพรให้ข้า หลังจากนั้นทุกอย่างก็หายวับไปเหมือนสายรุ้ง ยกเว้นหญิงสาวกับตัวข้า
” ทว่าทันใดในฝัน ข้าก็พบว่าตัวเองกลับมาที่ถ้ำ ก่อนจะตื่นขึ้นในตอนฟ้าสาง ข้าไม่รู้ว่านั่นเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า แต่ในฝันที่พระแม่ตาราขาว พาไปอาณาจักรชัมบาลานั้นแจ่มชัดมาก ๆ “
———————
มองมุมกลับ : ร่างกายมนุษย์กลืนกินแสงเป็นอาหาร
เรื่องของจักระในด้านที่มีผลโดยตรงกับระดับคลื่นสั่นสะเทือนของร่างกาย
**** การกินแสงเพื่อเป็นอาหาร
แสงที่ส่งมาให้พวกเราจากดวงอาทิตย์ที่
เป็นที่รู้จักกันมานาน
จะมาในลักษณะของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
แสงสว่างสีขาวนั้นสามารถแยกย่อยออกได้เป็น 7 ระดับของคลื่นความถี่ที่แตกต่างกัน
เราจะรู้จักกันในนามแสงสีรุ้งนั่นเอง มีสี ม่วง คราม เงิน เขียว เหลือง แสด แดง
ร่างกายของเราจะเปิดรับแสงเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายตามจุดที่เรียกว่าจักระ
จักระก็เหมือนประตู มีอยู่ 7 ประตูหลักๆ เรียกว่า จักระ เอาไว้เปิดรับพลัง
จริงๆแล้วมันมีมากกว่านั้น และยังมีประตูย่อยๆอีกมากมายมหาศาล
แต่ตอนนี้เราจะเอาเรื่องหลักๆให้ได้ เอาแค่ 7 จักระก่อน
คนส่วนใหญ่จะเข้าใจกันว่า จักระของเรา”ปิด”
ทำให้ร่ายกายจึงไม่สามารถรับพลังงานใหม่เข้าไปได้
ซึ่งจริงๆแล้วมันก็ไม่ได้ปิดหรอก
เพียงแต่เราไม่ได้ให้ความสนใจกับการมีอยู่ของมัน
ก็เลยเข้าใจว่ามัน ปิด อยู่
การเปิดจักระก็คือไปกระตุ้นให้มีการเปิดรับแสงให้มากขึ้นนั่นเอง
การเปิดรับแสงสว่างผ่านทางจักระแต่ละจักระ
จะไปหล่อเลี้ยงร่างกายและอวัยวะต่างของร่างกาย
จะช่วยให้ร่ายกายของเรา สามารถทำงานได้ดีขึ้น
การหมุนเวียนระบบต่างๆในร่างกายจะทำได้ดีขึ้น
แถมยังแก้ไขจุดที่บกพร่องหรืออุดตัน ให้ปรอดโปร่ง ให้โล่งขึ้น
เป็นการรับอาหารละเอียดโดยไม่ต้องผ่านกระบวนการย่อยสลายใดๆ
ทำให้ไม่ต้องใช้พลังงานในการย่อยสลายการดูดซึม
และไม่มีของเสียที่จะต้องมีการขจัดออกจากร่างกายแต่อย่างใด
ทำให้เกิดการได้รับพลังงานมาเต็มๆ ไม่มีต้นทุน และไม่มีขยะให้กำจัด
ดังนั้นเราจึงควรเรียนรู้วิธีการรับพลังงานเหล่านี้อย่างเป็นกิจจะลักษณะ
เพื่อประโยชน์สูงสุดทำให้สามารถควบคุมระบบต่างๆภายในร่างกายให้เป็นปกติได้ง่ายๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีปัญหาด้านสุขภาพ
สืบเนื่องมาจากความมไม่สมดุลของระบบการทำงานของร่างกาย
การรู้จักรับพลังงานจากแสงสว่างสีขาวที่เราแยกรับเป็นเฉดสีในแต่จักระ
จะส่งผลโดยตรงต่อระบบที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันกับจักระนั้นๆ
จักระคือการหมุนวนของพลังงานที่เข้าสู่ร่างกายตามจุดต่างๆของร่างกาย
มีจุดใหญ่ๆอยู่ 7 ตำแหน่ง
จักระที่ 1 มูลธารจักระ (The Base Chakra)
ตั้งอยู่ระหว่างอวัยวะสืบพันธุ์กับทวารหนัก
มีความสัมพันธ์กับแสงสีแดง
จักระที่ 2 สวาธิษฐานจักระ (The Sacral Chakra)
ตั้งอยู่ที่ปลายกระดูกสันหลังใต้ก้นกบ
มีความสัมพันธ์กับแสงสีแสด/ส้ม
จักระที่ 3 มณีปุระจักระ (The Solar Plexus Chakra)
ตั้งอยู่บริเวณสันหลังที่ตรงกับบั้นเอว
มีความสัมพันธ์กับแสงสีเหลือง
จักระที่ 4 อนาหตะจักระ (The Heart Chakra)
ตั้งอยู่กลางกระดูกสันหลังระดับที่ตรงกับหัวใจ
มีความสัมพันธ์กับแสงสีเขียว
จักระที่ 5 วิสุทธิจักระ (The Throat Chakra)
ตั้งอยู่ตรงกระดูกต้นคอ
มีความสัมพันธ์กับแสงสีน้ำเงิน
จักระที่ 6 อาชณะจักระ (The Third Eye Chakra)
ตั้งอยู่กลางหน้าผาก/ตาที่สาม
มีความสัมพันธ์กับแสงสีคราม
จักระที่ 7 สหัสธารจักระ (The Crown Chakra)
ตั้งอยู่กลางกระหม่อม เปรียบเป็นมงกุฎดอกบัว
มีความสัมพันธ์กับแสงสีม่วง
ได้ลงรายละเอียดของแต่ละจักระให้เป็นภาพประกอบไว้ข้างล่าง
(คัดลอกมาจากเวปในอินเตอร์เน็ท ขอขอบคุณเจ้าของข้อมูล)
การเปิดรับแสง :
หลักใหญ่ อยู่ที่ การเปิดรับ จิตของเราต้องเปิดรับแสง และ ตระหนักรู้ว่าเราเป็นคลื่นแสง
อารมณ์ต่างๆ นำมาซึ่ง คลื่นพลังงาน ทั้งสิ้น
ในเบื้องต้นสามารถทำได้ง่ายๆด้วยการส่งจิตไปตามตำแหน่งของจักระ
ให้จินตนาการถึงแสงสีตามที่ลงภาพประกอบไว้ให้
หลัยตาลง เอาใจจดจ่อไปตามตำแหน่งของประตูที่มีภาพพลังงานหมุนวน
จะวนตามเข็มนาฬิกาก่อนก็ได้ สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แผ่ลมไปที่อวัยวะในบริเวณนั้น
ไล่ไปที่ละจุด ดูว่าจะสัมผัสคลื่น แสง สี กันได้บ้างหรือไม่
ใหม่ๆอาจจะยังไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร
วัตถุประสงค์หลักของเราคือการรับ(ประทาน)แสงเข้าสู่ร่างกายให้มากขึ้น
ถือว่าได้ทำแล้ว
ลองทำดู