จิปาถะ

………………………
………………………

.

ไฟก็เป็นเครื่องชำระได้ เพราะไฟผลาญทุกสิ่งให้เป็นจุณ เป็นภัสมธุลีไม่เหลือความสกปรกอะไรทั้งหมด โลกจึงประลัยด้วยไฟไม่ใช่น้ำ
ไฟนั้นเขานับถือว่าศักดิ์สิทธิ์เพราะได้ผ่านพระเป็นเจ้ามา

.

………………………
………………………
.
“จิต..ของคนเรานั้นมีอานุภาพมาก!?…เมื่อเราทำจิตของเราให้ใส..สิ่งต่างๆที่เกี่ยวเนื่องกับเรา..มันก็จักใสสะอาดไปด้วย!!..สิ่งใดที่มันเกี่ยวเนื่องกับเรา…ที่เรามีอยู่.. ที่เราแตะต้องสัมผัส …แม้แต่ตรึกนึกถึงสิ่งใด..หรือแม้แต่ชะตาชีวิตของตัวเราเอง..มันก็จะรุ่งโรจน์ แจ่มใส ไปด้วย!…”

“…แต่ถ้าคราใด จิตใจของเรามืดมัว หม่นหมอง ทุกๆสิ่งที่เกี่ยวเนื่องกับเรา..มันก็จักหม่นหมองไปด้วย..แม้แต่ดวงชะตาชีวิตของตัวเราเองมันก็จักมัวหมองไปด้วย!?…”

พิจารณาจิตของตนเอง ให้ใสสะอาดให้แจ่มใสอยู่เสมอ อย่าให้มัวหมอง ให้ปราศจากแรงอิจฉาริษยา และโทสะทั้งมวล(เป็นการเจริญจิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน)
.
” สัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธ์ ”
กรรมเป็นกำเนิด คือ วิบากกรรม
กรรมเป็นเผ่าพันธ์ คือ พันธุกรรม หรือกรรมพันธุ์
.
มนุษย์โลกหลายพันล้านคน ไม่มีใครที่มีลักษณะเหมือนกันเลย แม้แต่คู่แฝดแท้ นั่นเพราะผลจากการเปิด-ปิด สวิตซ์พันธุกรรม เปรียบเหมือนเปียโนที่มีเพียง 88 คีย์ แต่ก็สร้างสรรค์บทเพลงได้นับล้านๆ บทเพลง โดยไม่ซ้ำกันเลย
.
ร่างกายเรา ประกอบด้วยขันธ์5 ซึ่งเป็นส่วนของรูป 1 ส่วน เปรียบเสมือน DNA หรือคีย์บอร์ด และส่วนของนาม คือ เวทนา สัญญาสังขาร วิญญาน ( รวมเรียกว่าจิต )

.

………………………
………………………

.
พลังงานไม่เคยหายไป แต่สามารถเปลี่ยนจากรูปแบบหนึ่งไปเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง เราไม่สามารถตายได้อย่างแท้จริง มีการถ่ายโอนไปมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เปลี่ยนจากรูปแบบหนึ่งไปเป็นอีกรูปแบบหนึ่งเท่านั้น ผู้คน ‘กลับมาจากความตาย’ ตลอดเวลา มีแม้กระทั่งคนที่กลับมาจากความตายพร้อมกับความรู้ภาษาใหม่และความทรงจำที่พวกเขาไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน เมื่อพลังงานออกจากร่างกายที่หมดอายุ ก็จะหาทางกลับมาเกิดใหม่ วิญญาณแทบรอไม่ไหวที่จะกลับเข้ามาในชีวิตของคุณหลาย ๆ ครั้งด้วยจุดประสงค์ที่คล้ายกัน เขาหรือเธออาจดูแตกต่างออกไป แต่จิตวิญญาณที่ไม่ผิดเพี้ยนเหมือนกันจะเปล่งประกายออกมา บ่อยครั้งที่เราพบว่าตัวเองเต็มใจที่จะให้ทุกอย่างเพื่อการพบกับคนที่รักที่จากไปอีกครั้ง เราปรารถนาที่จะโอบกอดพ่อแม่ผู้ล่วงลับไป แล้วจูบคู่ที่จากไปเร็วเกินไป หรือฟังคำพูดของอดีตสัตว์เลี้ยงที่วิ่งมาทักทายเราอยู่ที่ประตู บ่อยครั้งที่ความปรารถนาของเราเป็นจริงเมื่อวิญญาณกลับชาติมาเกิดใหม่ หากคนที่คุณรักเสียชีวิตอย่างกะทันหันหรือโศกนาฏกรรม หากพวกเขาจากไปโดยที่ยังทำภารกิจไม่เสร็จ หรือคุณเชื่อว่าพวกเขาผ่านไปก่อนเวลาอันสมควร วิญญาณของพวกเขาจะกลับชาติมาเกิดโดยเร็วที่สุด ผลกรรมของพวกเขาจะทำให้พวกเขากลับมาแก้ไขสิ่งที่ยังค้างคาอยู่
.

………………………
………………………

.
ทุกอย่างคือพลังงานที่สั่นสะเทือนที่ความถี่หนึ่ง ถ้าคุณต้องการค้นหาความลับของจักรวาลให้คิดในแง่ของพลังงานความถี่และการสั่นสะเทือน ความถี่ในการสั่นสะเทือนเช่นเดียวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณสามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสของคุณ มวลทั้งหมดไม่มีอะไรนอกจากการสั่นสะเทือน นิวเคลียสที่มีอิเล็กตรอนโคจรอยู่รอบตัวด้วยอัตราความเร็วทำให้เกิดแรงสู่ศูนย์กลาง ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าของแข็ง เพียงแค่ว่าบางสสารมีแรงสู่ศูนย์กลางที่แข็งแกร่งกว่าเรื่องอื่น ๆ
.

………………………
………………………

.
ความคิดของเราสร้างความเป็นจริงของเรา
พลังความคิดเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความเป็นจริงของคุณ ทุกสิ่งที่คุณรับรู้ในโลกทางกายภาพมีจุดเริ่มต้นในโลกภายใน ความคิดและความเชื่อของคุณในการเป็นเจ้าแห่งโชคชะตาของคุณ
.

………………………
………………………

.
คุณต้องเรียนรู้วิธีควบคุมความคิด ควบคุมความกังวลและการปฏิเสธของคุณ ความกังวลเป็นการเสียเวลาและเสียพลังงานในการสำแดงสิ่งที่คุณไม่ต้องการ
.

………………………
………………………

.
แค่ควบคุมความคิดของคุณคุณจะสามารถดึงดูดสิ่งต่างๆในชีวิตที่คุณต้องการได้จริง
.

………………………
………………………

.
“ เวลาคือภาพลวงตา ” อดีต ปัจจุบัน และอนาคตเป็นเพียงภาพลวงตา
.

………………………
………………………

.
การที่ยังคงยึดติดอยู่กับความกลัว/ความโกรธ/เกลียด, ความขุ่นข้องหมองใจ/วิตกกังวล/น้อยอกน้อยใจ และอิจฉาริษยานั้น ย่อมทำให้ระดับคลื่นความถี่ของคุณต่ำลง ทั้งยังเป็นการเสริมสร้างพลังให้กับพลังงานมืด ที่ชอบสร้างความสับสนวุ่นวายอีกด้วย
.
แต่ไม่ใช่ว่า…จะบอกให้คุณไม่ใช้พลังงานด้านลบเหล่านั้นเลยนะ…เพราะอารมณ์เหล่านั้นเป็นอารมณ์ เป็นความรู้สึกปกติธรรมดาของมนุษย์โลกเช่นกัน เพียงแต่คุณต้องพยายามก้าวข้ามผ่านมันไปให้ได้ โดยไม่ไปยึดติดอยู่กับมัน ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ท้าทายมากที่จะรักษาพลังงานให้เป็นบวก และเบิกบานอยู่เสมอ ถึงแม้จะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายก็ตาม เพื่อโอบกอดความมืดภายในตัวเรา และผู้อื่น ด้วยความรักที่ปราศจากเงื่อนไข
.
เมื่อคุณได้เปิดใจ และหยั่งลงสู่หัวใจของผู้อื่นด้วยความเมตตากรุณา…สมองของคุณ ก็จะหลั่งสารเอนโดร์ฟิน (endorphins) ซึ่งเป็นสารเคมีที่มีคุณสมบัติบางอย่างคล้ายๆมอร์ฟีน ที่มันจะทำให้รู้สึกมีความสุข และสมองจะปลดปล่อย “สสารพี” (Substance P) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทอย่างหนึ่ง ที่สามารถปิดกั้นความรู้สึกเจ็บปวดไว้ได้ออกมา
.
เมื่อกระแส “เอนโดร์ฟินและสสารพี “ได้ไหลผ่านร่างกายอย่างต่อเนื่อง. ก็จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงขึ้น ซึ่งจะทำให้คุณรู้สึกมีความสุข, เบิกบาน, มีความหวัง/กำลังใจ, และมีพลังอยู่เสมอ ทั้งยังทำให้รู้สึกสบายอารมณ์และสงบมากขึ้น, มีสมาธินิ่งและนานมากขึ้นอีกด้วย แม้ว่าจะมีความกดดันใดๆเกิดขึ้นกับก็ตาม สารเคมีในสมองเหล่านี้ ยังไปช่วยเพิ่มอัตราการไหลเวียนของโลหิตให้ดีขึ้น, ช่วยลดความดันโลหิตให้ต่ำลง, เพิ่มความอบอุ่นของร่างกาย, และช่วยควบคุมน้ำหนักได้ดีขึ้น
.
ความเมตตากรุณา จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ส่งผลให้คุณสามารถเชื่อมต่อกับผู้อื่น และเชื่อมต่อกับความรู้สึกที่ดีงามทั้งหลายของตัวคุณเองได้อย่างสมบูรณ์อีกด้วย
.
หากความโกรธ/เกลียด น้อยใจฯ เกิดขึ้น…มันจะไปปิดกั้นกระแสการไหลของสารเคมีแห่งความรู้สึกที่ดีงามทั้งหลายเหล่านี้ และเกิดการหลั่งสารเคมีที่ชื่อ..คอติซอล (Cortisol) และสารอะดรีนาลีน (Adremeline)ในรูปแบบต่างๆออกมาแทน ซึ่งสารเคมีเหล่านี้ จะทำให้เกิดพฤติกรรมการต่อสู้, การหนี และการตะลึงลานจนเคลื่อนไหวไม่ได้ อันเกี่ยวเนื่องจากการได้รับบาดเจ็บและความเครียด ซึ่งหากปล่อยให้สารเคมีเหล่านี้ได้ไหลผ่านร่างกาย มันจะทำให้คุณกลายเป็นคนขี้หงุดหงิด, ขี้โมโห, ไม่เป็นมิตร, สมองตื้อ..คิดอะไรไม่ค่อยออก, วาดระแวงและหดหู่ ซึ่งหากปล่อยไว้นานเข้า.. มันก็จะทำให้อวัยวะต่างๆในร่างกายทำงานบกพร่อง, ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอและนำไปสู่โรคภัยไข้เจ็บต่างๆตามมา นอกจากนี้ความเครียดและอารมณ์ด้านลบต่างๆยังเป็นสาเหตุให้ DNA เกิดการหดตัว ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้กายและใจเกิดการหยุดวิวัฒนาการอีกด้วย
.

………………………
………………………

.
พลังงานที่ทรงพลานุภาพมากที่สุด ในบรรดาพลังงานทั้งหมด ก็คือพลังงานความรักที่คุณได้ส่งออกไป ที่จะทำให้ตัวคุณถูกโอบกอดด้วยพลังแห่งความรักที่ไม่มีเงื่อนไข และทำให้เกิดการเปลี่ยนรูปแบบ (transform) ทั้งตัวคุณและดาวเคราะห์โลกไปพร้อมๆกัน
.

………………………
………………………

.
แต่ไหนแต่ไรมา…มันเป็นการยากสำหรับสมองของมนุษย์ ที่จะเข้าใจและยอมรับว่าความสามารถพิเศษเหนือธรรมดา ที่ดูเหมือนว่าจะเหนือธรรมชาติทั้งหลาย ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่แท้จริงของจิตวิญญาน ที่มีความสามารถในการสื่อสารแบบจิตสู่จิต (chanelling) กับคลื่นความถี่ที่อยู่ในระดับที่สูงกว่ามากๆได้ มันจึงอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นกับความสามารถในการได้ยินของพวกคุณ
~ และอาจรู้สึกว่ากาลเวลากำลังถูกเร่งให้เร็วขึ้นอยู่
~ และรู้สึกว่าคลื่นความถี่ของโลกกำลังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆอยู่อีกด้วย
ซึ่งก็เป็นเพราะ..ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังอยู่ในระหว่างกระบวนการถูกเร่งให้เร็วขึ้น. และถูกเพิ่มระดับพลังงานให้สูงขึ้นกว่าเดิมอย่างมากอยู่ จนทำให้หัวใจหลายๆดวง จำเป็นจะต้องปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของคลื่นความถี่นี้ไปด้วย เพื่อที่จะให้ชีวิตรอดอยู่ได้ในคลื่นความถี่ของพลังงานใหม่นี้ เพราะหัวใจจะยังคงต้องทำหน้าที่เป็นเครื่องจักรสำคัญ ในการดำรงชีวิตรอดของกายเนื้อของพวกคุณอยู่ต่อไป ระดับคลื่นความถี่ของการสั่นสะเทือนภายในกายเนื้อของพวกคุณเอง ก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป จากการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นนี้
.

………………………
………………………

.
แต่นี้ไปโลกแห่งความเป็นจริงจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป คุณเองก็จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้วด้วยเช่นกัน ซึ่งจะทำให้คุณไม่สามารถจดจำตัวเองในแบบที่มีความรู้ความเข้าใจอันน้อยนิดแบบที่เป็นอยู่ได้อีกต่อไป เพราะสิ่งที่พวกคุณกำลังวิวัฒน์ไปเป็นอยู่นี้นั้น มันจะเป็นอะไรที่อยู่ห่างไกลเกินกว่าที่พวกคุณจินตนาการได้ยิ่งนัก และทั้งหมดทั้งมวลนี้ ล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับความเป็นจริงที่ว่า วิวัฒนาการของพวกคุณ และการขยายตัวของพวกคุณ กำลังนำพาพวกคุณไปสู่การจบกิจบนโลกใบนี้ ซึ่งจะทำให้ไม่มีสิ่งใดที่อยู่ในโลกแห่งความเป็นทวิภาวะแห่งนี้ จะสามารถกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของพวกคุณได้อีกต่อไป
.

………………………
………………………

.
กระบวนการจัดการกับพลังงานด้านมืดและความกลัวคือ..การเลิกหวาดกลัวมัน เลิกวิ่งหนีมัน เลิกขับไล่ไสส่งมัน เลิกทำเป็นไม่สนใจมัน แล้วหันมาเผชิญหน้ากับมันแบบตรงๆซะที แล้วพิจารณาดูตัวตนที่แท้จริงของมัน แล้วส่งมอบพลังความรักและแสงสว่างให้มันไป แล้วมันก็จะสว่างไสวขึ้น แล้วกลายมาเป็นส่วนหนึ่งที่ทรงพลังอำนาจของเราแทน..เพราะว่ามันคือส่วนที่ต้องการความรักจากเรามากที่สุดส่วนหนึ่งนั่นเอง
.

………………………
………………………

.
แก่นแท้ภายในของจิตวิญญาณ
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นโดยไม่มีไฟหรือไม่มีความปรารถนา
ดังนั้นนักเล่นแร่แปรธาตุจึงต้องมีความปรารถนาหากพวกเขามีความหวังที่จะเปลี่ยนแปลง
เราอาจปรารถนาใครสักคนอาจถูกครอบงำด้วยความคิดซึ่งขับเคลื่อนโดยการเคลื่อนไหวรูปภาพสถานที่หรือจินตนาการ
จิตวิญญาณทำงานกับเราอยู่แล้วในตัวเราและดึงดูดความสนใจของเราผ่านความปรารถนา
นักเล่นแร่แปรธาตุมีความเชื่อในไฟลับ พวกเขามีความเชื่อว่ามีสถานที่บางอย่างในตัวเราสารตั้งต้นภายในบางส่วนของวิญญาณที่จะไม่มอดไหม้ไป
.

………………………
………………………

.
มนุษย์ทุกคนจะได้รับประสบการณ์จากความเชื่อที่สอดคล้องกันกับระดับการจดจำรำลึกภายใน
มันเป็นสิ่งที่ดวงวิญญาณเขาเลือกไว้แล้วก่อนที่จะมาเกิด ว่าจะเป็นใครและจะเลือกเชื่อถือต่อสัจธรรมใด

ระดับการศึกษาของมนุษย์ก็เป็นแบบเดียวกัน เด็กเล็กๆควรที่จะเรียนรู้ในสิ่งที่ง่ายกว่า และมันก็ยังแบ่งออกเป็นระดับชั้นใช่มั้ย จงให้โอกาสเวลาได้ทำหน้าที่ของมันผ่านจำนวนครั้งของชาติที่เราเกิด

มนุษย์วัดระดับปัญญาจากการศึกษา
จิตวิญญาณวัดระดับการเติบโตจากการยอมรับ

เรายกตัวเองขึ้นด้วยคำว่าผู้รับใช้ของพระเจ้า ผู้นำแห่งแสงสว่าง แต่เราประนามผู้ที่เชื่อต่างจากเราว่าเป็นพวกมารซาตาน เป็นพวกด้านมืด
มารไม่ได้ล่อลวงมนุษย์ออกจากพระเจ้า
แต่เป็นมนุษย์ที่ปฏิเสธพระเจ้าด้วยการไม่รักมนุษย์ที่เชื่อต่างไปจากตนเอง
เมื่อเรากล่าวหาผู้อื่นว่าเป็นมาร มารก็ได้กัดกินหัวใจเราไปแล้วครึ่งหนึ่ง
เรารังเกียจเดียดฉันท์มนุษย์ด้วยกันทั้งๆที่เรายังไม่ได้รู้จักเขาจริงๆเลย เราล่าแม่มดทั้งๆที่พวกเธอเป็นหมอยารักษาผู้คน
มันไม่ได้อยู่ที่ว่าแท้จริงพระเจ้าสอนอะไร..
แต่อยู่ที่..เราคิดว่าพระเจ้าที่เราเชื่อนั้นพระองค์คือสิ่งใด?

-อย่าเชื่อว่าตนเองสูงส่งกว่าเพราะว่ามันไม่เป็นความจริง
-อย่าทะเลาะกันมันไร้สาระ เรามีสิทธิ์ที่จะไม่รับคำของคนอื่นได้เสมอ แค่ลบทิ้งไปตอนนี้เลย
-ไม่สำคัญว่าเขาจะเชื่อในอะไร หากเขามีความน่ารัก,ร่าเริง,มีน้ำใจและถ่อมตน เขาเป็นคนควรคบหา
-การสร้างบุคลิกภาพของปราชญ์ เป็นเพราะความขาดแคลนในใจประการหนึ่ง ผู้มีปัญญาแท้จริงจะระงับวิวาทกรรมด้วยความเงียบ
-ความคิดของเราคือพระเจ้าของเรา

ถ้าไม่อยากให้มารและนรกมีอยู่ ก็จงอย่าเชื่อว่ามันมี เว้นแต่ว่าเราจะอยากให้มันมี เพื่อสนับสนุนจิตใจแห่งความคับแคบของตนเอง

เราทำร้ายชีวิตพี่น้องของเราเพียงเพราะเขาไม่ได้อยู่ข้างเดียวกันกับเราบนความเชื่อ และเป็นความเชื่อนี้ที่นำเราออกไปจากวิหารของพระเจ้าในหัวใจตนเอง เรายุติสงครามได้เพียงคิดว่าอีกฝ่ายคือครึ่งหนึ่งที่เราควรจะมี จงโอบรับและขอบคุณที่ทำให้เราได้ค้นพบตัวตนที่สมบูรณ์
จงดึงตัวตนภายในให้กลับมาสู่ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ภายใต้เปลือกนอกของความเชื่อที่แตกต่าง
.

………………………
………………………

┈•┈↢༺♡༻🖤༺♡༻↣┈•┈
.
พระพุทธมนต์กับพระปริตร เป็นพระพุทธพจน์ คือคำสั่งสอนของพระพุทธองค์เช่นเดียวกัน นำมาท่องบ่นสาธยายในรูปแบบบริกรรมภาวนาให้เกิดเป็นสมาธิ เรียก “พระพุทธมนต์” ภาวนาจนจิตเกิดสมาธิเป็นหนึ่ง จิตสมาธิ ย่อมมีอานุภาพต่างๆนานา จึงนิยมเจริญพระพุทธมนต์ เพื่อต้านทานสิ่งไม่ดีทั้งหลาย “พระพุทธมนต์” จึงเรียกว่า “พระปริตร” อีกทางหนึ่ง
.
“ปริตร” แปลว่า ต้านทาน, ป้องกัน
พระพุทธมนต์ในบทที่มีอานุภาพในทางต้านทาน, ป้องกัน, คุ้มครอง, รักษา จึงเรียกว่า “พระปริตร” อย่างที่พระสงฆ์สวด “รัตนสูตร” เพราะเป็นพระสูตรที่ “พระพุทธองค์” ทรงมอบให้พระอานนท์ใช้สวดขจัดปัดเป่าภัยพิบัติที่เกิดกับชาวกรุงเวสาลี เมื่อครั้งพุทธกาล
.
สามารถต้านทานภัยต่างๆได้ทั้งภายนอกและภายใน มิให้กรายกล้ำเข้ามาใกล้ตัวได้ เป็นการประจุความศักดิ์สิทธิ์ไว้ในดวงชะตา เสมือนกับปลุกเสกจิต วิญญาน กายเนื้อ ให้มีพลังที่เข้มขลังเริ่มจากจุล พินธุ สู่มวลมหาพลัง
.
อานุภาพพระปริตรยังสามารถคุ้มครองผู้ฟังได้อีกด้วย ดังปรากฏในคัมภีร์อรรถกถาว่า…สมัยพุทธกาลเด็กคนหนึ่งจะถูกยักษ์จับกินภายใน 7 วัน พระพุทธเจ้าทรงแนะภิกษุให้สวดปริตรตลอด 7 คืน และพระองค์ทรงเสด็จฯสวดเองในคืนที่ 8 เด็กนั้นสามารถรอดภัยพิบัติจากอมนุษย์ได้และมีอายุยืนถึง 120 ปี จึงได้ชื่อ “อายุวัฑฒนกุมาร” แปลว่า “เด็กผู้มีอายุยืน” เพราะรอดพ้นจากอันตรายดังกล่าว
.
อานุภาพของบทสวดพระปริตรเป็นการน้อมนำอำนาจพุทธคุณมาใช้ ยกข้อธรรมมาผูกเป็นเครื่องคุ้มกันภัยดุจคาถามนตรา
หลักธรรมมีความศักดิ์สิทธิ์จนสามารถนำมาใช้แก้กรรมได้ ก็ด้วยการเสริมอานุภาพหรือฤทธิ์ให้กับหลักธรรมนั้น
.
การดำเนินชีวิตด้วยศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญานั้นแล้วก็ตาม แต่ใช่จะมั่นใจได้ว่าชีวิตจะพบกับความสำเร็จได้เสมอไป เพราะชาวพม่าเชื่อว่ายังมีสิ่งที่มีอิทธิพลเหนือกว่านี้อีก สิ่งนั้นคือ อดีตกรรม จึงเป็นเหตุให้ไม่อาจมั่นใจในการดำเนินชีวิตด้วยการประพฤติตามพุทธธรรมเพียงหนทางเดียว เหตุนี้จึงต้องทำให้หลักธรรมมีความศักดิ์สิทธิ์จนสามารถนำมาใช้แก้กรรมได้ ก็ด้วยการเสริมอานุภาพหรือฤทธิ์ให้กับหลักธรรมนั้น จึงอาจกล่าวได้ว่า สำหรับชาวพุทธพม่าทั่วไปแล้ว หลักธรรมจึงไม่อาจเป็นเพียงแนวทางแห่งการหลุดพ้นเท่านั้น แต่ยังจะต้องเป็นไปเพื่อความอยู่รอดของชีวิตปัจจุบันได้ด้วย
.
เชื่อว่าพิธีการสวดพระปริตรเป็นเครื่องแก้กรรมและป้องกันอันตรายนั้น อาจเป็นเพราะชาวพุทธล้านนาเชื่อในเรื่องอดีตกรรมที่ตายตัว และโชคชะตาที่อาจปรับเปลี่ยนได้ด้วยฤทธิ์วิเศษ แล้วนำมาผูกเป็นความเชื่อในอิทธิฤทธิ์ที่เนื่องด้วยอำนาจพุทธคุณ ความเชื่อเกี่ยวกับอานุภาพของการสวดหรือฟังพระปริตรจึงสะท้อนโลกทัศน์ของชาวล้านนาที่ให้ความสำคัญต่อพิธีกรรมหรือการบูชามา นิยมพึ่งพาอำนาจที่เหนือกว่า เพียงเพื่อให้ช่วยพลิกผันโอกาสหรือประคองชีวิตให้อยู่รอด
.
หลายคนยืนยันว่าได้รับอานิสงส์จริง ถึงคราวที่เจ็บป่วยไม่สบาย การเดินทางมีอุปสรรค ฝันร้าย ก่อนคลอดบุตร ก่อนสอบ สมัครงาน ขึ้นบ้านใหม่ ฯลฯ ชาวพม่าจะเลือกบทสวดพระปริตรที่เหมาะสมจาก ๑๑ บทนั้น โดยจะสวดอย่างสม่ำเสมอจนพ้นช่วงวิกฤติของตน บางคนสวดพระปริตรทั้ง ๑๑ บททุกคืน บางคนจะทยอยสวดเป็นบางบทในแต่ละวันโดยจะสวดให้ครบทั้ง ๑๑ บทในแต่ละสัปดาห์ การสวดพระปริตรจึงกลายเป็นวิถีชีวิตของชาวพุทธพม่าให้ได้นึกถึงอำนาจพุทธคุณที่จะช่วยคุ้มครองตนอยู่เสมอ อีกทั้งปรากฏการณ์น้ำพระปริตรเดือดให้เห็นจริงในปัจจุบัน ยิ่งช่วยหนุนให้คนพม่าส่วนมากต่างเชื่อในฤทธิ์อำนาจแห่งพุทธคุณ
.
การสวดมนต์และอานุภาพแห่งการสวดมนต์พระพุทธพจน์นั้น ดำรงอยู่ในรูปคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ ที่พระสงฆ์สาวกทรงจำไว้และสืบต่อมาเพื่อนำผู้ปฏิบัติออกจากทุกข์ แต่หากพระพุทธพจน์ถูกนำมาใช้สำหรับเป็นบทบริกรรมภาวนาหรือสวด สาธยายตามความเหมาะสมแก่โอกาส พระพุทธพจน์จึงถูกเรียกว่า พระพุทธมนต์ เมื่อพระพุทธมนต์อาศัยจิตที่เป็นสมาธิเกิดอานุภาพในการต้านทาน คุ้มครอง ป้องกัน รักษา พระพุทธมนต์ก็ถูกเรียกว่า พระปริตรตามอานุภาพแห่งการต้านทานไปด้วย
.
การนำพระพุทธพจน์มาเจริญภาวนา ในรูปแบบการเจริญพระ พุทธมนต์ จนเกิดอานุภาพในการต้านทานนั้น มีมาแล้วตั้งแต่ครั้งพุทธกาล เช่น พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้ภิกษุสวดขันธปริตรเพื่อป้องกันอันตรายจากสัตว์ร้าย และทรงห้ามเรียนเดรัจฉานวิชา ซึ่งเป็นวิชาที่ขวางการบรรลุธรรม แต่เรียนพระพุทธมนต์เพื่อ คุ้มครองป้องกันตนได้ พระพุทธมนต์ที่สวดด้วยจิตเลื่อมใสเป็นสมาธิแน่วแน่ ย่อม แผ่อานุภาพคุ้มครองป้องกันตลอดทั้งหมู่ญาติ พวกพ้องและบริวารทั้งหลาย
.
พระสงฆ์สาวกสมัยพุทธกาลได้นำพระสูตรต่างๆ มาสวดสาธยายในรูปแบบการบริกรรมภาวนา ให้เกิดเป็นสมาธิ จึงเรียกว่า พระพุทธมนต์ เมื่อบริกรรมภาวนาพระพุทธพจน์จนจิตเป็นสมาธิ ย่อมเกิดพลานุภาพในด้านต่างๆ เช่น ทำให้เกิดสิ่งที่ดีงามขึ้นในชีวิต จิตใจไม่ดีก็จะดี ชีวิตไม่ดีก็จะดี สุขภาพไม่ไก้ก็จะดี หน้าที่การงานไม่ดีก็จะดี ครอบครัวไม่ดีก็จะดี ในขณะเดียวกันก็ต้านทานสิ่งที่ไม่ดีออกไปจากชีวิต ต่อมาจึงมีผู้นิยมนำพระพุทธพจน์มาใช้เป็นพระพุทธมนต์เพื่อต้านทานสิ่งไม่ดีทั้งหลาย พระพุทธมนต์จึงถูกเรียกว่า “พระปริตร” แปลว่า เครื่องต้านทาน ป้องกัน รักษา ต่อมาภายหลัง พระพุทธมนต์ที่มีอานุภาพในการต้านทาน คุ้มครอง ป้องกัน รักษา จึงถูกเรียกว่า พระปริตร ตามไปด้วย
.
สูดลมเข้าแล้วแผ่ไปทั่วร่างกาย พร้อมกัน แผ่อำนาจพระสังฆคุณไปทั่วร่างกาย ขจัดทุกข์โรคภัย สูวิถีจิตนี้ถ้ามีพลังธรรมสมบูรณ์ จะขจัดทุกโรคร้ายได้ ขจัดทุกภัยร้ายได้ แผ่จนกระทั่งร่างกายขนลุกขนพองซาบซ่าน นั่นแสดงว่า จิตมีพลังมาก มีปีติมาก สำเร็จ!! จิตสำเร็จหรือไม่อยู่ที่ปีติจิต ถ้าปีติจิตไม่มี ไม่เบิกบาน ไม่ฟูขึ้นมา แสดงว่า จิตขาดกำลัง จิตยังไม่ยกสู่อารมณ์ของกรรมฐาน ถ้าปีติเกิดขึ้น แสดงว่า จิตเข้าสู่แนวพลังแล้ว จะนำไปสู่ความสงบความตั้งมั่นสูงขึ้นๆ ปีติเป็นเครื่องชี้วัดและเป็นการขับเคลื่อนจิต เวลาเราจะส่งแผ่จิต ก็ใช้อำนาจปีติแผ่ไปให้รู้สึกขนลุกขนพอง.. รวมจิตไว้ศูนย์กลางกาย สูดลมเข้าเหยียดกายขึ้น และตั้งรวมจิตไว้ ทำจิตให้เบิกบานอยู่กับลมหายใจที่สูดเข้าลึกกกก และผ่อนออกยาวววววว การประพฤติธรรมให้ผลสัมฤทธิ์ คือ ความสงบนิ่งแห่งจิต และตั้งจิตอธิษฐานบนความสงบนั้นก็จะเกิดฤทธิ์อำนาจ เป็นอำนาจธรรมที่เกิดด้วยอำนาจจิตและพุทธานุภาพ..นี่คือเคล็ดลับวิชาฤทธิ์แห่งใจ
.
พระธรรมคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะแผ่เข้าไปถึงได้ เป็นเขตที่กำหนดไว้ถึง แสนโกฏิจักรวาล ด้วยอำนาจแห่งพระปริตรทั้งหลาย มีขันธปริตร อาฏานาฏิยปริตร ธชัคคปริตร โมรปริตร รัตนสูตรเหล่านี้ เป็นต้น (ฯลฯ) เมื่อสาธยายแล้ว ย่อมแผ่กว้างขยายไปถึงแสนโกฏิจักรวาล พระปริตรคุ้มครองได้ถึงแสนโกฏิจักรวาล พระปริตร แปลว่า ป้องกัน ในที่นี้หมายถึง บทสวดที่ใช้ป้องกันภัยต่างๆได้ถึงแสนโกฏิจักรวาล
.

………………………
………………………

.
“เทียนมหาสันติงหลวง”
เทียนมนต์ปริตรระงับเคราะห์ร้าย สลายเคราะห์กรรม
พลิกฟื้นชะตา กลับร้ายกลายเป็นดี
เจริญด้วยทรัพย์สมบัติ
เจริญด้วยพระพุทธคุณ 108 ประการ
ชนะอุปสรรค ชนะศัตรู ป้องกันภัยแสนโกฏิจักรวาล
เหตุร้ายทั้งปวงจะพินาศสิ้นด้วยเดชแห่งอุปปาตะสันติ
.

┈•┈↢༺♡༻🖤༺♡༻↣┈•┈

………………………
………………………

┈•┈•┈•┈•┈•┈•┈•┈
.
แสงสว่างคือส่วนประกอบและเป็นพลังชีวิตของทุกๆจิตวิญญาณ ไม่ว่าจิตวิญญาณดวงนั้น จะดำรงอยู่ในโลกของวัตถุธาตุทางกายภาพ หรืออยู่ในโลกของจิตวิญญาณก็ตาม
.
ตลอดเส้นทางของการดำเนินชีวิตนี้ …“จิตวิญญาณ” จะส่งข้อความมาถึง “จิตสำนึก” ของคนๆนั้นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งอาจเป็นไปในรูปแบบของ “ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี”, “สัญชาตญาณ”, “การหยั่งรู้” และอื่นๆ เพื่อชี้แนะแนวทางให้จิตสำนึกของคนผู้นั้นดำเนินไปตามเส้นทางที่สอดคล้องกับพันธสัญญาทางจิตวิญญาณที่ตนเองได้เลือกเอาไว้
.
เพราะฉะนั้น…#ผู้ที่เอาใจใส่ต่อข้อความเหล่านั้น…ก็จะสามารถดำเนินชีวิตอยู่บนเส้นทางแห่งภารกิจที่ตนเองได้เลือกเอาไว้ได้จริงๆ และสามารถประคับประคองและรักษาแสงสว่างของตนเองเอาไว้ได้
.
┈•┈•┈•┈•┈•┈•┈•┈

………………………
………………………

┈•┈•┈•┈•┈•┈•┈•┈

พวกคุณจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องตระหนักอยู่เสมอว่า ไม่ใช่จะมีแต่รูปธรรมชีวิตแห่งแสงสว่าง หรือบุคคลอันเป็นที่รักในโลกแห่งจิตวิญญาณ หรือคุรุผู้รู้แจ้งแล้ว หรือสมาชิกของอารยธรรมที่ยังมีกายเนื้ออยู่ ที่มีวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณที่สูงมากแล้วเท่านั้น ที่อยากจะสื่อสารกับพวกคุณ ….เพราะ พวกรูปธรรมชีวิตแห่งความมืดทั้งหลาย ก็มีความหื่นกระหาย ที่จะสื่อสารข้อความอันเป็นเท็จของพวกเขามาถึงพวกคุณด้วยเช่นกัน
.
และเพื่อขัดขวางไม่ให้พวกเขาทำแบบนั้นได้ พวกคุณจงร้องขอการปกป้องจากแสงแห่งเบื้องบนเถิด และจงเรียกหาเฉพาะเจาะจงที่รูปธรรมชีวิตแห่งแสงสว่างให้มาติดต่อสื่อสารกับพวกคุณเท่านั้น

แต่ถึงแม้ว่าพวกคุณได้ร้องขอการปกป้องไปแล้ว และได้รับการปกป้องไปแล้วด้วยวิธีการดังกล่าวก็ตาม …แต่พวกคุณก็จะต้องมีการกระทำที่สอดคล้องกันไปด้วย
-{}- นั่นคือ หากช่วงเวลาใดที่พวกคุณกำลังเหนื่อยล้า หรือป่วยไข้ไม่สบายอยู่
-{}- หรือกำลังถูกรุมเร้าด้วยความกังวลใจถึงใครบางคนหรือถึงบางสิ่งบางอย่างอยู่
-{}- หรือกำลังอยู่ในสภาวะแห่งความเครียดรูปแบบใดก็ตามอยู่

……………“ อย่าพยายามสื่อสารทางโทรจิตอย่างเด็ดขาด ! ”……………

เพราะหากพวกคุณทำเช่นนั้น ก็จะเป็นการเชื้อเชิญให้รูปธรรมชีวิตชั้นต่ำทั้งหลายเข้ามาหาพวกคุณ…เพราะระดับพลังงานของพวกคุณ ณ. ขณะนั้น ต่ำเกินกว่าที่จะสื่อสารไปถึงรูปธรรมชีวิตชั้นสูงแห่งแสงสว่างที่มีระดับความสั่นสะเทือนสูงกว่าได้ ซึ่งจะทำให้ผู้ที่เริ่มต้นใหม่และยังไม่มีประสบการณ์อาจจะเกิดความสับสนขึ้นได้ . และความสับสนที่ว่านี้ ก็เป็นความเครียดอีกรูปแบบหนึ่ง ที่มีระดับความสั่นสะเทือนต่ำด้วย….

ดังนั้นจงจดจำพลังอำนาจที่มีมาแต่กำเนิดของพวกคุณเองให้ได้ และปล่อยให้มันนำพาความรักและความเชื่อมั่นมาสู่คุณ

อีกสิ่งหนึ่ง ที่จะทำให้พวกคุณเข้าถึงรูปธรรมชีวิตชั้นต่ำๆอย่างแน่นอน…… นั่นคือ ความรู้สึกของการมีอัตตาตัวตนสูง เพราะความมีอัตตาตัวตน จะประกอบไปด้วยขั้วของพลังงานที่เข้ากันไม่ได้กับแสงสว่าง …ในขณะที่ความอ่อนน้อมถ่อมตนและความรู้สึกขอบคุณ กลับจะมีระดับความสั่นสะเทือนของแสงสว่างอยู่แล้ว
.
┈•┈•┈•┈•┈•┈•┈•┈
.
ระบบของความสัมพันธ์แบบฮาร์โมนิคที่มีอยู่ภายในโครงสร้างเศษส่วนเชิงปริมาณของจักรวาล ” จักรวาลของความถี่การสั่นสะเทือนและการสั่นพ้อง
.
┈•┈•┈•┈•┈•┈•┈•┈
.
ธรรมชาติของจิต คือสภาวะธรรม
จิตเดิมแท้คือสภาวะของธรรมชาติ มันเป็นอยู่อย่างนั้น โดยไม่มีปฐมเหตุใดใดนอกเสียจาก การเป็นต้นธาตุต้นธรรม หรือมวลแห่งธาตุ เป็นสภาวะอันบริสุทธิ์ ไร้ซึ่งชีวภาพและอาตมันใดๆ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล แต่สสารและสรรพสิ่งทั้งหลายในห้วงจักรวาลแห่งนี้ ได้ก่อกำเนิดขึ้นจากการรวมตัวของจิตวิญญานธาตุเหล่านี้ ( จิตภายในธุลีธาตุ ) อันเนื่องมาจากผัสสะ ทำให้เกิดสัญญาขึ้นภายในอณูจิต กองเจตสิก
.
┈•┈•┈•┈•┈•┈•┈•┈

………………………
………………………

┈•┈•┈•┈•┈•┈•┈•┈
.
DNA รหัสกรรมที่ติดตามจิตวิญญานข้ามภพข้ามชาติ
.
พระพุทธเจ้าตรัสถึงปฐมเหตุของการเกิดว่า..
สิ่งมีชีวิตประกอบขึ้นจากโลกธาตุ 5 ชนิด คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ และที่ว่าง (space) หรือกาลอากาศ ซึ่งตอนเกิดนั้นที่ว่างหรือกาลอากาศจะทำให้เกิดธาตุลมขึ้นมาก่อน ธาตุลมจะทำให้้เกิดธาตุไฟ ธาตุไฟทำให้เกิดธาตุน้ำ และธาตุน้ำทำให้กิดธาตุดิน เมื่อ..ถึงกาลสูญสลายแห่งชีวิตธาตุทั้งห้าก็จะกลับคืนสู่ที่ว่าง ตามลำดับเช่นเดิม แต่ลำดับจะเป็นตรงกันข้ามกับเมื่ตอนเกิดคือ ธาตุดินจะแตกสลายก่อน ธาตุน้ำดับเป็นลำดับต่อไป ธาตุไฟดับต่อจากธาตุน้ำ ธาตุลมดับต่อจากธาตุไฟ แล้วกลับไปสู่ที่ว่างแต่แรกเริ่มปฐมเหตุของการเกิด.. ดังพระพุทธพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า ” ทุกสรรพสิ่งไม่มีตัวตน เพราะมันเป็นอนัตตา ”
.
┈•┈•┈•┈•┈•┈•┈•┈
.
ก่อนที่พวกเราจะลงมาเกิด… #พวกเราได้เลือกวิธีการตื่นของตัวเอง
เอาไว้ล่วงหน้าแล้วหละครับ และวิธีการที่ว่านั้น ก็ถูกเข้ารหัสเอาไว้ใน DNA
ของพวกเราแต่ละคนเองเรียบร้อยแล้วด้วย

อย่าไปคาดหวังอะไรไว้ล่วงหน้าทั้งสิ้น ว่ามันจะต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ และอย่าไปวางแผนการอะไรไว้ล่วงหน้า ทั้งสิ้น ว่ามันจะต้องเป็น 1-2-3 ตามขั้นตอนนี้ … เพราะนั่นหนะ คือแนวคิดแบบมิติที่สามของเรา ซึ่งกำลังจะล้าสมัยอยู่เดี๋ยวนี้แล้วหละ

การยกระดับความสั่นสะเทือนของตัวเราเองขึ้น จนอย่างน้อยให้คลื่นสมองอยู่ในระดับแอลฟ่าขึ้นไป เพื่อที่จะได้เริ่มรับรู้ข้อมูลข่าวสารจากตัวตนที่สูงกว่าของเราได้ชัดขึ้น
.
┈•┈•┈•┈•┈•┈•┈•┈
.
อารมณ์แรกหรือปฏิกิริยาตอบสนองแรกของพวกคุณ ที่จะมีต่อรังสีที่ว่านี้ก็อาจจะเป็นความกลัว เพราะว่ารังสีนี้มันจะเริ่มตัดผ่านเฮลิโอสเฟียร์ก่อน (heliosphere คือสนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์) ซึ่งเฮลิโอสเฟียร์ของดวงอาทิตย์นี้ ก็คือสิ่งที่ตัดผ่านสนามแม่เหล็กของดาวเคราะห์โลกอยู่ และสนามแม่เหล็กโลกของพวกคุณนี้ ก็กำลังทำหลายสิ่งหลายอย่างเพื่อพวกคุณอยู่ซะด้วย เช่น มันช่วยปกป้องพวกคุณจากสิ่งต่างๆที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากดวงอาทิตย์ ที่อาจจะเป็นอันตราย เป็นต้น
.
แต่ยิ่งกว่านั้นก็คือ มันเป็นช่องทางหนึ่งสำหรับติดต่อสื่อสารกับ DNA ของพวกคุณ ซึ่งมันก็จะถ่ายทอดสิ่งที่มีคุณสมบัติเป็นควอนตั้มทั้งหลาย ที่อยู่ในเฮลิโอสเฟียร์ของดวงอาทิตย์ เข้ามาสู่ร่างกายเนื้อของพวกคุณ ผ่านทางสนามพลังงานร่วมของ DNA ของพวกคุณเอง
.
(หมายถึงสนามพลังงานรวม อันเกิดจากสนามพลังงานย่อยๆที่แต่ละ DNA สร้างขึ้นมา ซึ่งก็คือสนามพลังงานออร่าของร่างกายของมนุษย์นั่นเอง – ผู้แปล)
.
เมื่อ 25 ปีก่อน พวกเราเคยบอกพวกคุณไปแล้วว่าสนามแม่เหล็กโลกนี้ คือสิ่งที่มีความจำเป็นต่อการมีชีวิตรอดของพวกคุณบนโลกใบนี้อย่างมาก และในตอนนี้เรื่องนี้ก็กำลังจะกลายมาเป็นข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์แล้ว
.
┈•┈•┈•┈•┈•┈•┈•┈
.
โมเลกุลของโมเลกุลของ DNA ของพวกคุณ ไม่ใช่อนุภาคระดับควอนตั้มหรอกนะที่รักทั้งหลาย แต่ว่ามันก็มีคุณสมบัติของควอนตั้มอยู่ด้วย (มันมีสนามพลังงานที่สามารถส่งผลกระทบต่อสปินของอิเล็กตรอนที่อยู่ภายในสนามพลังงานควอนตั้มได้) ซึ่งข้อเท็จจริงทางด้านวิทยาศาสตร์เรื่องนี้ อาจจะบอกอะไรกับพวกคุณมากขึ้นกว่าเดิมอีกเล็กน้อยแล้วก็ได้ว่า มันอาจจะมีอะไรซุกซ่อนอยู่ในระบบที่พิเศษมากๆระบบนี้ก็ได้
.
┈•┈•┈•┈•┈•┈•┈•┈
.
ในร่างกายของพวกคุณนั้น มันจะมีอะไรบางอย่างที่พวกเราเรียกกันว่า “สนามพลังงานที่เกิดจากการเอ็นแทงเกิ้ลกันของ DNA” อยู่ (entangled DNA field) ซึ่งก็หมายถึง DNA ที่อยู่ภายในร่างกายของพวกคุณทั้งหมด จำนวน 100 ล้านล้านโมเลกุลโน่นเลยแหละ ดังนั้นจึงทำให้ทุกๆโมเลกุลของพวกมันรู้อะไรพร้อมๆกันหมด เสมือนเป็นโมเลกุลเดียวกัน ซึ่งสนามพลังงานนี้ก็มีชื่อว่า “เมอร์ขะบะห์” (Mer-Ka-bah) นั่นเอง
.
รังสีชนิดใหม่นี้ ที่ระบบสุริยะของพวกคุณกำลังเข้าไปใกล้มากขึ้นเรื่อยๆอยู่นี้ ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยปรับปรุง DNA ของพวกคุณให้ดีขึ้น มันคือส่วนหนึ่งของระบบ “ทางลัด” ที่ได้เตรียมไว้ให้กับอารยธรรมของมนุษย์โลก ในกรณีที่พวกคุณสามารถผ่านพ้นวัฏจักรที่เรียกว่า the precession of the equinoxes ไปได้
.
(ซึ่งก็คือทุกๆประมาณ 26,000 ปี ซึ่งพวกเราก็ได้ผ่านพ้นมันมาแล้ว เมื่อปี 2012 ซึ่งเป็นปีแห่งการสิ้นสุดของยุคเก่า และเริ่มต้นเข้าสู่ยุคใหม่ – ผู้แปล)
.
ซึ่ง the precession of the equinoxes ที่ว่านี้ ก็คือสิ่งที่คนโบราณทั้งหลายพูดถึงกัน และแม้แต่ในคัมภีร์ทางศาสนาของพวกคุณเองก็มีกล่าวถึงมันด้วย และเรียกมันว่า “กลียุค” หรือ “กาลสิ้นยุค” (end time) นั่นเอง
.
แต่ว่าทั้งหมดนี้ก็คือสิ่งที่ตั้งใจจะให้เกิดขึ้น เพราะว่ามันจะไปช่วยสร้างศักยภาพแห่งความเป็นไปได้ ในอันที่จะวิวัฒน์ไปให้รวดเร็วกว่าเดิม และว่องไวมากขึ้นกว่าเดิมให้เกิดขึ้น เพื่อเข้าไปสู่โลกที่ไม่มีสงครามอีกต่อไป และมันก็จะช่วยทำให้เกิดการประดิษฐ์คิดค้นใหม่ๆขึ้นมาด้วย และพวกคุณก็จะมีความสามารถในการแก้ปัญหาต่างๆในโลก 3 มิติของพวกคุณ ที่ตอนนี้พวกคุณยังไม่สามารถแก้ไขได้อีกด้วย และอื่นๆอีกมากมาย
.
นั่นแหละคืออย่างที่ 3 … แต่ก็อย่าได้กลัวสิ่งนี้เลยนะ ที่รักทั้งหลาย! เพราะว่าในอนาคตข้างหน้า มันก็จะมีนักวิทยาศาสตร์บางคนที่จะมองเห็นมันในแบบที่มันเป็นจริงๆได้อยู่ แต่ก็จะมีบางคนที่จะหวาดกลัวมันอยู่ด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งเมื่อใดที่พวกคุณสามารถมองเห็นมันได้แล้ว ฉันอยากจะให้พวกคุณรู้ว่าเป็นมัน
.
และเมื่อถึงเวลานั้นแล้ว ก็อย่าลืมนะว่าพวกเราเคยบอกพวกคุณเอาไว้ก่อนล่วงหน้าแล้ว ณ.ที่แห่งนี่ ความกลัวมีแต่จะทำให้ความสง่างามของพวกคุณหายไปเท่านั้นเอง!
.
……ก็คงตอบอย่างสั้น ๆว่า….
การฝึกสมาธิหรือฝึกจิต หรือ ปฏิบัติธรรม
ก็ล้วนทำให้ DNA /ระบบสมอง
และทุกๆเซลในร่างกายได้เกิดการพัฒนานั่นเอง…
.
พวกเขาจะบอกอยู่เสมอว่า พวกเราคือผู้กุมชะตากรรมของชีวิตของเราเองทั้ง 100% และชีวิตของพวกเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับพรหมลิขิต และบาปกรรมจากอดีตชาติ หรือสิ่งภายนอกตัวพวกเราแต่อย่างใดเลย #และขอให้เลิกเชื่อว่าพวกเราตกเป็นเหยื่อ และ#เลิกเชื่อว่า_พวกเราด้อยพลังอำนาจเกินกว่าที่จะกำหนดชะตาชีวิตของตัวเองได้ซะที และที่สำคัญ….. #ขอให้พวกเราทิ้งความกลัวต่อสิ่งต่างๆไป เพื่อที่จะให้แสงสว่างได้ปรากฎแก่พวกเราได้ …. #เพราะความกลัวคือฉนวนกางกั้นแสงสว่างและความรักครับ “ ซึ่งมันก็เป็นแค่มายาการของมิติที่สาม ที่เป็นสภาวะที่ขาดแสงสว่างและขาดความรักเท่านั้นเอง
.
และพวกเขาได้บอกว่า…ดินแดน หรือมิติ ที่มีลักษณะทางพลังงานคล้ายนรกนั้น…มีอยู่จริง คือชั้นล่างสุดของมิติที่ 4 ซึ่งมิติที่ 4 นี้ก็ล้อมรอบอยู่ในสนามพลังออร่าของเราแต่ละคน และก็อยู่ในสนามพลังออร่าของโลกด้วยในขณะเดียวกัน
.
ดังนั้น ในตัวพวกเราเองนี้ ก็มีทั้งมิติของนรกและสวรรค์ทับซ้อนอยู่ภายใน และรวมถึงมิติอื่นๆที่สูงขึ้นไปกว่านั้นอีกของทุกๆมิติ …มิหนำซ้ำ ทุกการกระทำและ ทุกอารมณ์ความรู้สึกของพวกเรา ไม่ว่าจะมาจากภพชาติไหนก็ตาม ล้วนถูกบันทึกข้อมูลเอาไวใน #ระบบบันทึกแห่งฟ้า” (Akashic Record System) ทั้งหมดทั้งสิ้น
.
พวกคุณไม่ได้ตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์ต่างๆแต่อย่างใดเลย แต่พวกคุณคือผู้ที่มีหางเสือเรืออยู่ในมือแล้วหละตอนนี้ ที่พวกคุณจะสามารถใช้มันเพื่อนำพานาวาชีวิตของตัวเองไปในทิศทางไหนก็ได้เท่าที่พวกคุณต้องการ นี่แหละคือพลังงานใหม่สำหรับพวกคุณโดยแท้จริง!
.
จะเป็นการตระหนักว่าจิตสำนึกของมนุษย์จะเป็นคุณลักษณะของฟิสิกส์หลายมิติ จิตสำนึกของมนุษย์ซึ่งเป็นพลังงานที่เข้าใจยากนั้นจะถูกมองว่าเป็นฟิสิกส์ควอนตัมหลายมิติ
.
มนุษย์ทุกคนเป็นสิ่งมีชีวิตหลากมิติ ดังนั้น เราจึงมีตัวตนของเรา ที่อยู่ในหลากหลายมิติ ในขณะเดียวกันนั่นเอง
ดังนั้น ณ.โลกของจิตวิญญาณ ซึ่งเป็นมิติทางพลังงานที่อยู่เหนือช่องว่างและกาลเวลานั้น ตอนนี้ และในขณะนี้เลย จิตวิญญาณของเรา ก็ยังอยู่ที่นั่นอยู่ แม้ว่าในขณะเดียวกันนี้ จิตวิญญาณของเรา ก็เชื่อมต่ออยู่กับกายเนื้อของเราในขณะเดียวกันนี้ด้วย
.
“จิตวิญญาณของเรา จะให้ความสำคัญกับพันธะสัญญาทางจิตวิญญาณนี้มากๆๆ” ดังนั้น เขาจะทำทุกวิถีทางที่จะให้การเกิดมาในภพชาตินี้ของเรา ไม่เสียเวลาเปล่า
ดังนั้น ทันทีที่ถึงเวลาแล้ว ถ้าเวอร์ชั่นที่เป็นมนุษย์โลกนี้ของเรา ยังมัวหลงระเริง หรือมัวเมา หรือยึดติดกับสิ่งของทางโลกอยู่ จนไม่อาจขยับตัวออกมาทำภารกิจที่ได้วางแผนเอาไว้ได้เลยหละก็ เขาก็จะมีวิธีการจัดการของเขาหลายวิธีการ
.
1).ส่งสัญญาณต่างๆมาบอกเรา ผ่านทางสัญชาตญาณหยั่งรู้ของเราเอง ดังนั้น ถ้าเราเปิดใจรับฟัง และถ้าเรามีความสั่นสะเทือนที่สูงมากพอที่จะรับสัญญาณพวกนั้นได้หละก็ เราก็จะทำตาม หรือคล้อยตามอย่างง่ายดาย
2).ส่งสัญญาณมาให้ ผ่านทางปรากฎการณ์ความบังเอิญที่เหลือเชื่อ หรือที่เรียกว่า Synchronicity ซึ่งก็จะออกแนว บังเอิญได้ไปเจอคนโน้นคนนี้ หรือได้ไปในที่โน้นที่นี้ แล้วได้ทำภารกิจอะไรบางอย่าง อะไรแบบนั้น
3).ส่งสัญญาณเตือนมาให้ทราบ ผ่านทางความเจ็บป่วยของร่างกายเนื้อ ซึ่งจริงอยู่เรื่องการเจ็บป่วยมันมีสาเหตุมาจากกรรมก็ได้, มาจากการขาดสมดุลอย่างแรงของกาย-จิตใจ-อารมณ์ของเราอย่างรุนแรงก็ได้ด้วย
แต่มันก็มาจาก “การสะกิด” หรือการกระทุ้งจากจิตวิญญาณของเราเองก็ได้ด้วย ซึ่งวิธีการนี้เขาจะใช้ก็ต่อเมื่อ ข้อ 1 และ 2 ข้างบนนั้น ใช้ไม่ได้ผลแล้ว ดังนั้น เลยต้องใช้ไม้เรียวกันแล้ว อะไรแบบนั้น!
กรณีนี้ส่วนมากมักจะเกิดจากการที่จิตวิญญาณของเรา อยากให้เราเปลี่ยนพฤติกรรมอะไรบางอย่าง ที่ไม่ดีไม่งาม หรือไม่ถูกไม่ต้อง ต่อตัวเอง และ/หรือต่อผู้อื่น
4).ใช้ไม้โหดเลย เพื่อพยายามเปลี่ยนทิศทางชีวิตของเรา ให้หันมาถูกทาง เพื่อที่จะได้ทำภารกิจซะที!!

เช่น ถ้าเราเป็นคนที่ลงมาเกิดแล้วไม่ยอมทำภารกิจของตัวเองที่ตั้งใจลงมาทำซะที เพราะกำลังเพลิดเพลินกับกามคุณทางโลกอยู่ หรือว่าเรามัวแต่ลุ่มหลงในการบำรุงบำเรอความสุขทางโลกให้ตัวเองอยู่ จนอาการหนักมากๆแล้ว

เขาก็อาจจะ “ตัด” ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรามีทางโลกออกไปจากเราเลย เพื่อให้เรากลับมาอยู่ในจุดที่ “ต้องเริ่มต้นใหม่หมด” เพราะถ้าเราไม่มีอะไรจะให้เราลุ่มหลงหรือยึดติดแล้วหละก็ เราก็จะได้เริ่มต้นทำภารกิจได้ซะทียังไงหละครับ
ซึ่งวิธีการตัดที่ว่านี้ก็อาจจะผ่านทางการล้มละลาย หรือการเกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ หรือการเกิดเหตุเภทภัยทางธรรมชาติ ที่ทำให้เราต้องสูญเสียทุกอย่างไป อะไรแบบนั้นเป็นต้น

5).สุดท้าย..ถ้าไม่ฟังกันเลยจริงๆ ก็จะพากลับไปเริ่มต้นใหม่ที่ฟากฝั่งโน้นของม่านพราง
ซึ่งก็หมายความว่า ถ้าดูๆแล้วภพชาติที่ลงมาเกิดอยู่นี้ คงเสียเวลาเปล่าๆแน่ๆเลย เพราะว่าเวอร์ชั่นที่เป็นมนุษย์ของเรานี้ มันไม่มีวี่แววที่จะหันมาทำภารกิจเลย!

หรือ สถานการณ์ หรือเงื่อนไขในชีวิตที่เกิดขึ้นจริงของร่างมนุษย์นี้ บีบบังคับให้เราไม่สามารถที่จะทำภารกิจได้จริงๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่นอกเหนือความคาดหมายของจิตวิญญาณทุกๆดวงที่เกี่ยวข้อง
ดังนั้น จิตวิญญาณก็เกรงว่าคงเสียภพชาติไปเปล่าๆแน่เลย ก็เลยต้องพากลับไปก่อนระยะเวลาที่เคยกำหนดไว้ ซึ่งก็คือ จะมีเหตุให้เราตายจากโลกนี้ไปก่อนเวลาอันสมควรนั่นเอง แล้วก็ค่อยกลับมาเกิดใหม่ เพื่อทำเริ่มต้นทำภารกิจใหม่อีกครั้งหนึ่ง

** Free will หรือทางเลือกเสรี** แต่อยู่ภายใต้กฏการกระทำ
อยู่ภายใต้กฎแห่งการกระทำ หรือ กฎแห่งกรรม หรือ Law of Cause & Effect ซึ่งก็หมายถึง อยากทำอะไรก็ทำได้เต็มที่เลยนะลูก แต่ว่า..ผลของการกระทำนั้น ลูกก็ต้องรับผิดชอบเองด้วยนะจ๊ะ..อะไรแบบนั้น

ดังนั้น นี่แหละจึงเป็นสาเหตุให้ พวกเราส่วนใหญ่บนโลกต้องวนเวียนกันกลับมาเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่ากันอยู่นี่แหละครับ เพราะว่าเราไปทำผิดกติกากับคนอื่นๆไว้เยอะแยะนั่นเอง เลยต้องกับมาแก้กันอยู่เนี่ยแหละ จนกว่าจะหมดหนี้กรรมต่อกัน

มนุษย์โลก ก็เป็นผู้สร้างโลกแห่งความเป็นจริงของตัวเองขึ้นมาจริงๆ เพราะเราเนรมิตด้วยความคิดและอารมณ์ของเรา และเราดึงดูดสิ่งต่างๆเข้ามาด้วย Vibration ของเราเอง

ในแต่ละวันให้เราหัดหยุดนิ่ง และอยู่ในความสงบบ้าง แล้วฟังเสียงจากข้างในตัวเอง จากนั้นก็ให้ลองคล้อยตามไป ว่ามันมีแรงบันดาลใจให้เราทำอะไรบ้าง จากนั้นก็ให้ลงมือทำเลย! ซึ่งภารกิจของเรา ส่วนใหญ่แล้วมันก็จะเป็นอะไรที่เรารักและชอบทำ หรือถนัดอยู่แล้วนั่นแหละครับ ที่ทั้งได้ประโยชน์ต่อตัวเอง และประโยชน์ต่อโลกด้วย และเราเองก็อาจจะหาเลี้ยงชีพได้ด้วย และมีความสุขที่ได้ทำด้วย อะไรแบบนั้น มันจะไม่ใช่อะไรที่เราจะต้องมาฝืนทำเลย เพราะมันจะออกมาจากข้างในของเราเอง

พวกเราไม่ใช่เจ้าของกายสังขารนี้..เพราะว่ากายสังขารนี้มีไว้เพื่อรับใช้มวลหมู่มนุษยชาติ เป็นแต่เพียงยานพาหนะอย่างหนึ่งเท่านั้น
.
สรุปสั้นๆตรงประเด็นก็คือ: เรื่องการเข้ามาอยู่ในร่างกายเนื้อของมนุษย์ ของจิตวิญญาณของเราแต่ละคน..มันจะประมาณว่า
– เข้ามาตั้งแต่เกิดเลยก็ได้ หรือจะเข้ามาทีหลังก็ได้
– จะเข้ามาแบบเดี่ยวๆก็ได้ หรือจะเข้ามามากกว่า 1 ก็ได้ด้วย
– ซึ่งถ้าเข้ามามากกว่า 1 นั้น จะมาจาก “ตัวตนรวม” เดียวกันก็ได้ หรือต่างกันก็ได้
– และถ้าเข้ามามากกว่า 1 นั้น จะเข้ามาแบบพร้อมๆกันก็ได้ หรือแบบทีละจิตวิญญาณก็ได้ด้วย แบบแตะมือกันเหมือนวิ่งผลัด 4 คูณ 100 อะไรแบบนั้นครับ
– และถ้าจิตวิญญาณดวงไหนในจักรวาล ที่อยากมาขอสังเกตการชีวิตของเราด้วย ก็สามารถที่จะมาขอผสานรวมอยู่ในกายสังขารเดียวกันนี้ เพื่อขอร่วมสังเกตการดูอยู่เฉยๆก็ได้ด้วยนะ ถ้าจิตวิญญาณของเรายินยอม
.
ซึ่งในกรณีนี้ ทำให้ผมนึกไปถึงการอัญเชิญสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้มาช่วยคุ้มครองปกปักรักษาของเรา ซึ่งมันก็เป็นไปได้ว่าท่านมาจริงๆ คือท่านส่งส่วนหนึ่งของพลังงานของท่านมาอยู่กับเราจริงๆ มาคอยช่วยเหลือเรา ตามที่เราร้องขอ
ดังนั้น เวลามีคนเห็นว่าเรามีญาณหรือมีพลังงานของเทพองค์นั้นองค์นี้คุ้มครองอยู่นี่ มันก็เลยเริ่มมีความเป็นไปได้ขึ้นมาแล้ว
.
– ในตอนกลางคืน ตอนที่เราหลับฝัน จิตวิญญาณของเราก็จะเป็นอิสระจากร่างไป ได้กลับไปสู่สภาวะที่แท้จริงของตัวเอง และไปทำหน้าที่อื่นๆต่อไป

– ตัวตนรวมของเรา สามารถแบ่งจิตวิญญาณออกมาได้มากมาย และแม้แต่ส่งมาเกิดในคนๆเดียวกัน 3 ดวงก็ได้ด้วย

– จิตวิญญาณของเรา และรูปธรรมชีวิตที่อยู่ในมิติสูงๆทั้งหลาย จะมองกายสังขารของเราเป็นแค่ “ยานพาหนะ” ชนิดหนึ่งเท่านั้น ไม่มีอะไรไปมากกว่านั้นเลย ดังนั้น จึงไม่มีสิ่งใดต้องยึดติดเลย อะไรแบบนั้น

– พลังงานทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นกระแสความคิด, อารมณ์, ความรู้สึก หรืออะไรก็ตามแต่ สามารถที่จะเข้าออกร่างกายเนื้อของเราได้ไม่ยากเลย และดังนั้น พวกเขาจึงบอกอยู่เสมอว่า อย่าไปยึด เพราะมันไม่ใช่เรา และบางครั้งก็ไม่ใช่ของเราเองอีกด้วย
เพราะเราอาจแค่ไปรับรู้อารมณ์ความรู้สึกของคนอื่นที่อยู่แถวๆนั้นมาก็ได้ หรือเราอาจไปรับรู้พลังงานที่อยู่ในสนามพลังงานของจิตสำนึกมวลรวมของคนทั้งโลกมาก็ได้

– จิตวิญญาณของเราทุกๆคน จริงๆแล้วชอบที่จะอยู่ในรูปแบบพลังงานล้วนๆมากกว่า ตามสภาวะเดิมแท้ที่เป็นธรรมชาติของพวกเขา เพราะมันเป็นอิสระมากกว่าเยอะแยะเลย
แต่ที่ต้องลงมาเกิดในร่างกายเนื้อของมนุษย์แบบนี้ ก็เพื่อที่จะมาเรียนรู้และยกระดับตัวเองขึ้นไปอีกขั้นเท่านั้นเอง หรือไม่ก็เพื่อมาช่วยเหลือโลกในการทำภารกิจอะไรบางอย่าง
.
จดจ่ออยู่แต่ปัจจุบันขณะ และ #ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด โดยไม่ต้องไปห่วงหาอาลัยหรือคร่ำครวญถึงสิ่งที่ผ่านไปแล้ว หรือสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เพราะ #ปัจจุบัน_เป็นจุดตัดของอดีตและอนาคต โลกของอนาคต จึงไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ หรือเปลี่ยนแปลงไม่ได้. เพราะ #ทุกสิ่งทุกอย่างและอนาคตของโลกจะเป็นอย่างไร_มีพวกเราเท่านั้นที่เป็นผู้กำหนด..
.
ถ้ากรรมของเราหนักมากขึ้นมาอีกหน่อย ลูกของเราคนนั้น ก็อาจจะแสดงบทบาทที่ทำแต่ความเดือดเนื้อร้อนใจมาให้เราตลอดเวลาก็เป็นได้!! ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ดี

เพราะอย่าลืมว่า..ที่เขาต้องมาเกิดเป็นลูกของเราในภพชาตินี้ และที่เขาต้องมารับแสดงบทบาทนี้ ก็เพื่อเปิดโอกาสให้เราได้ชดใช้กรรมของเรานั่นเอง ทั้งๆที่เขาไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ก็ได้ด้วย อย่าไปโทษเขานะครับ แต่ตรงกันข้าม..เมื่อเข้าใจแบบนี้แล้ว จงรักเขาอย่างไร้เงื่อนไข ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไรก็ตาม และจงทำสมาธิและอธิษฐานจิตขออโหสิกรรมจากเขาอยู่เนืองๆ ให้กรรมที่แล้วๆมาจงเป็นโมฆะกรรมต่อกัน จงเป็นอิสระต่อกัน จงเหลือแต่ความรัก-ความเมตตากรุณา และความปราถนาดีต่อกันแทน
.
พลังงานแก่นแท้ที่เป็นจิตวิญญาณของพวกเราทุกคน ก็ดำรงอยู่เหนือช่องว่างและกาลเวลาด้วย และก็เป็นหนึ่งเดียวกับทุกสรรพสิ่งอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้วด้วย ดังนั้น การจะเรียกว่าลงมาเกิด อย่างที่มนุษย์เข้าใจนั้น มันก็เลยยังไม่ถูกต้องซะทีเดียวนัก เพราะว่ามันซับซ้อนและเข้าใจยากกว่านั้นอีกนะครับ
.
โดยเฉพาะในยุคพลังงานใหม่นี้ ที่ดาวเคราะห์โลกและมวลหมู่มนุษยชาติ กำลังจะเลื่อนระดับความสั่นสะเทือนขึ้นไปสู่มิติที่ 5 แล้วนี้ จะไม่มีมนุษย์คนไหนเลยที่จะสามารถหอบหิ้วเอาพลังงานลบ และพลังงานกรรมเก่าๆติดตัวไปด้วยได้ เพราะมันจะต้องถูกชำระให้หมดไปทั้ง 100% ในภพชาตินี้เท่านั้น!!

ไม่งั้น ปริมาณแสงสว่างของเรา และความสั่นสะเทือนของเรา ก็ไม่อาจยกระดับขึ้นจนไปถึงเป้าหมายปลายทางของเราได้ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้น เราก็จะเป็นอีกคนหนึ่ง ที่พลาดเที่ยวบินนี้เหมือนคนอื่นๆอีกหลายล้านคน ที่ก็กำลังจะพลาดเที่ยวบินนี้ด้วยเหมือนกัน
.
ซึ่งรหัสเหล่านี้ หรือโปรแกรมเหล่านี้ มันได้ถูกตั้งค่าเอาไว้แล้ว ให้เปิดขึ้น หรือ Activate ขึ้น เมื่อถึงเวลาอันสมควร ซึ่งก็จะอาศัยการถูกกระตุ้นด้วยวิธีการต่างๆกันไป เพราะว่าแต่ละคนอาจจะตั้งรหัส และตั้งโปรแกรมของตัวเองเอาไว้หลายๆโปรแกรม ให้ทยอยเปิดขึ้นมาในเวลาต่างๆกัน เช่น

1).บางโปรแกรมอาจจะถูกกระตุ้นด้วย สนามพลังงาน หรือ รหัสอะไรบางอย่างที่อยู่ใน DNA ของใครบางคน หรือข้อมูลข่าวสารจากใครบางคน ดังนั้น การที่เราได้ไปพบเจอ หรือได้ไปสนทนา หรือได้ไปฟัง หรือได้ไปอ่านข้อความหรืองานเขียนของใครบางคนนั้น จึงอาจจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญก็ได้
เพราะว่าเมื่อสนามพลังออร่าของเขากับของเราชนกันแล้ว ก็จะเกิดการถ่ายทอดรหัสพลังงาน และข้อมูลข่าวสารให้แก่กันและกันเสมอ โดยไม่มีข้อยกเว้นใครเลย ดังนั้น บางที เราจึงอาจจะถูกรหัสพลังงานของเขาปลุกกระตุ้น และเปิดโปรแกรมแห่งการตื่นรู้ของเราขึ้นมาโดยไม่รู้ตัวก็ได้
สำหรับพวกที่เป็น The way shower หรือผู้ที่รับอาสาลงมาเกิด เพื่อมาเป็นผู้บุกเบิกทางให้กับคนอื่นๆ ในกระบวนการเลื่อนระดับขึ้นในครั้งนี้ พวกเขาจะส่งผ่านรหัสแห่งการตื่นรู้ของพวกเขาไปสู่คนอื่นๆ ผ่านทาง imprint ทางพลังงานของพวกเขาเอง
คือทุกๆก้าวย่างของพวกเขาที่เหยียบย่างลงไปบนพื้นโลกนั้น และทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาไปแตะต้องสัมผัสนั้น จะมีร่องรอยทางพลังงานของพวกเขาประทับตราเอาไว้อยู่

และดังนั้น ถ้าเราไปที่สถานที่แห่งเดียวกันนั้นบ้างหลังจากนั้น หรือถ้าเราไปแตะต้องสิ่งของอันเดียวกันนั้นบ้าง เราก็จะได้รับการถ่ายทอดรหัสทางพลังงานอันนั้นไปด้วยโดยปริยาย..โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเราตั้งเจตจำนงที่จะ “รับเอา” ด้วยแล้ว เราก็จะยิ่งได้รับมากกว่าการไม่ตั้งเจตจำนงนะครับ
ซึ่งเรื่องราวของบุคคลพิเศษที่มาเกิดในโลกยุคปัจจุบันนี้ มีอยู่มากมายก่ายกอง และก็มาจากที่สูงส่งมากๆอีกด้วย จนยากที่เราจะไปดูหมิ่นดูแคลนใครได้ เพราะว่าบางคนก็มาจาก “แหล่งกำเนิด” หรือ The Source หรือ The Supreme Creator โดยตรงเลยก็มี
.
ถูกเปิดขึ้น หรือถูกกระตุ้นให้ทำงานขึ้นมา ด้วยเหตุการณ์อะไรบางอย่าง เช่น แผ่นดินไหว, ภูเขาไฟระเบิด, พายุ, ปรากฎการณ์บนท้องฟ้าต่างๆ เช่น สุริยุปราคา, จันทรุปราคา, Equinox, Solstice, ดวงดาวเรียงกัน, โรคระบาด อะไรแบบนั้นเป็นต้น
.
โดยการเข้าร่วมในพิธีกรรมโบราณอะไรบางอย่าง ก็สามารถที่จะใช้เป็นตัวกระตุ้นให้รหัสแห่งการตื่นรู้ของเราให้ตื่นขึ้นมาได้ด้วย

4).โดยการเดินทางไปยังสถานที่บางแห่ง ที่เป็นจุดประสานมิติ หรือเป็นประตูมิติ หรือเป็นจุดที่มีพลังงานอะไรบางอย่างที่สำคัญและเกี่ยวข้องกับเราอยู่ ก็สามารถที่จะจุดชนวนให้รหัสแห่งการตื่นรู้ของเราเปิดออกมาได้เหมือนกัน

เพราะฉะนั้น การเดินทางท่องเที่ยวก็มีความสำคัญ ซึ่งบางที..ก็สำคัญมากๆต่อการตื่นรู้ของเรา โดยเฉพาะใครที่เคยเกิดในยุคโบราณมาก่อน เช่น แอตแลนติส หรืออียิปต์ เป็นต้น ซึ่งพอได้เดินทางไปยังสถานที่เหล่านั้นแล้ว รหัสพลังงานอะไรบางอย่าง ที่ถูกประทับตราเอาไว้ในสถานที่เหล่านั้น ก็จะมากระตุ้นความทรงจำและรหัสของการตื่นรู้ของเรา เพราะบางทีเราเองนั่นแหละที่เป็นคนล็อกกุณแจทางพลังงานเอาไว้ในสถานที่เหล่านั้นเอง และดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องไปเปิดมันออกมาเอง เพื่อตัวเราเอง และเพื่อชาวโลกทั้งมวล
.
สิ่งต่างๆหรืออาการต่างๆที่เกิดขึ้นกับร่างกายของมนุษย์โลกเรานั้น ในหลายๆกรณี จึงเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการนี้ด้วย เพราะว่าตอนนี้ร่างกายของมนุษย์โลกเราเป็นเหมือนรถยนต์คันเก่าที่กำลังถูกดาวน์โหลด software ระบบใหม่เข้ามาให้เรื่อยๆอยู่ เพื่อ upgrade ไปเป็น version ใหม่ ที่ดีกว่าเดิม

ดังนั้น ในช่วงเวลานี้ร่างกายเนื้อของมนุษย์โลกจำนวนมากมาย โดยเฉพาะพวกที่อยู่ “แนวหน้า” หรือ “ทัพหน้า” ซึ่งเป็นผู้ที่อาสามาเป็นผู้บุกเบิกเส้นทางให้กับคนที่จะเดินตามมาทีหลัง จึงเกิดอาการที่เรียกรวมๆว่า “อาการแห่งการเลื่อนระดับขึ้น” อยู่ เพราะว่าร่างกายเนื้อของพวกเขากำลังเกิดการปรับตัวและเปลี่ยนแปลงมาจากข้างใน ในระดับลึกที่สุดอยู่ เพราะว่าถูกกระตุ้นโดยคลื่นความถี่ของพลังงานที่ถูกส่งมาจากมิติที่สูงกว่าที่กำลังโหมกระหน่ำโลกใบนี้และระบบสุริยะทั้งระบบอยู่ และความเข้มข้นของคลื่นความถี่ที่ว่านี้ก็จะมีมากขึ้นและสูงขึ้นทุกวันอีกด้วย จนกว่ากระบวนการนี้มันจะจบสิ้นลง

“โฟตอนโซน” และคลื่นความถี่จากมิติที่สูงกว่าทั้งหลาย

ส่วนประเด็นที่ว่ามันจะต้องใช้ระยะเวลายาวนานซักแค่ไหนนั้น ไม่มีใครตอบได้ แม้แต่ข้อความสื่อสารจากพระเจ้าเองก็ยังบอกว่าไม่รู้เลยนะครับ เพราะว่าอนาคตของมนุษย์นั้น มนุษย์คือผู้กำหนดเอง ดังนั้น อัตราเร็วของกระบวนการนี้จึงขึ้นอยู่กับมนุษย์เองทั้ง 100% หน้าที่ของจักรวาลและรูปธรรมชีวิตที่อยู่ในมิติที่สูงกว่าทั้งหลาย ก็คือ..แค่คอยให้ความช่วยเหลือเท่าที่จะทำได้เท่านั้นเอง เพราะว่าผู้ที่จะต้องทำให้มันเกิดขึ้นหรือเป็นไปก็คือมนุษย์โลกเองเท่านั้น เพราะว่าพวกเขาไม่อาจละเมิด Free will หรือทางเลือกเสรีของเราได้ ถ้าเราไม่ร้องขอ
.
กระบวนการเลื่อนระดับขึ้นเหมือนกัน คือ ใช้เวลาประมาณ 1000 ปี ซึ่งก็สอดคล้องกับความยาวของโฟตอนโซนที่ระบบสุริยะของเรากำลังเคลื่อนที่เข้าไปอยู่นี้ ที่ต้องใช้ระยะเวลาประมาณ 2000 ปีถึงจะหลุดออกมาจากโฟตอนโซนนี้ได้ ดังนั้น เราก็น่าจะทำสำเร็จก่อนที่จะหลุดออกมาจากโฟตอนโซนได้นั่นแหละ
.
และสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากกระบวนการนี้เสร็จสิ้นลงก็คือ ทั้งดาวเคราะห์โลกเองและทั้งมวลหมู่มนุษย์ด้วย ก็จะเปลี่ยน version ไปเป็นดาวเคราะห์โลกเวอร์ชั่นใหม่ และไปเป็นมนุษย์โลกเวอร์ชั่นใหม่ ที่จะไม่ใช่เวอร์ชั่นที่มีกายเนื้อแบบนี้อีกแล้ว และระดับจิตของเราก็จะสูงขึ้นจนเป็นระดับจิตเฉลี่ยของรูปธรรมชีวิตที่อยู่ในมิติที่ 5 ซึ่งก็คือระดับจิตของพระอรหันต์ขึ้นไปนั่นเอง
.
เพราะว่ากายเนื้อของเราจะเปลี่ยนเป็นกายแห่งแสงสว่างไปจนหมด เพราะว่าจุดประสงค์ของการเลื่อนระดับขึ้นในครั้งนี้ก็เพื่อที่จะยกระดับจิตของเราให้สูงขึ้นมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และนำพาเอาศักยภาพที่แท้จริงของเรากลับคืนมาให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ซึ่งโดยประมาณแล้ว ถ้าศักยภาพของ DNA ของเรากลับมาทำงานอยู่ที่ 80% ขึ้นไปหละก็ เราก็จะมีศักยภาพทางจิตเท่ากับพระอรหันต์ขึ้นไป จนถึงเท่ากับพระศาสดาทั้งหลายเลยทีเดียว
.
พลังงานคือแก่นแท้ของทุกสรรพสิ่ง
.
แล้วก็..ให้รู้จักร้องขอความช่วยเหลือจากเทพผู้นำทางของตัวเองด้วยนะครับ เพราะว่าทันทีที่เราตกลงใจว่าจะเดินบนเส้นทางแห่งการเลื่อนระดับขึ้นนี้แล้ว จักรวาลก็จะส่งผู้ช่วยมาช่วยเราเป็นกองทัพเลยหละครับ เพราะฉะนั้น ให้รู้จักร้องขอความช่วยเหลือจากพวกเขาด้วย เพราะว่าเราจะต้องเข้าใจ “กฎแห่งทางเลือกเสรีของมนุษย์โลก” ด้วย ที่พวกเขาไม่อาจจะยื่นมือเข้ามาแทรกแซงโดยพละการได้ ถ้าเราไม่ร้องขอไปเองซะก่อน แต่พวกเขาก็จะช่วยเราได้เท่าที่จะช่วยได้นั่นแหละนะครับ เพราะยังไงเสีย เราก็จะต้องเป็นคนที่ผ่านพ้นกระบวนการนี้ไปด้วยตัวเองอยู่ดี แต่มันจะง่ายขึ้น ราบรื่นขึ้น และเร็วขึ้นเท่านั้นเอง
.
จงเตรียมตัวและเตรียมใจให้ดีสำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของเรา ในทุกๆด้านเลย ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว มันจะเริ่มมาจากด้านอารมณ์ก่อน เพราะกายแห่งอารมณ์คือกายที่จะถูกชำระล้างเป็นอันดับต้นๆ
.
เพราะว่าพลังงานจะกระตุ้นให้สิ่งที่เป็นความเจ็บช้ำน้ำใจ ความโกรธแค้นชิงชัง ความอาฆาตพยาบาท ความผิดหวัง ความชอกช้ำ และอารมณ์ด้านลบอื่นๆ ที่สั่งสมอยู่ในระบบกายทิพย์และกายหยาบของเรามาข้ามภพข้ามชาติ หลุดลอยขึ้นมาสู่ระดับพื้นผิว เพื่อให้เราได้เผชิญหน้ากับมัน แล้วยอมรับมัน และให้อภัยมัน และส่งความรักและแสงสว่างให้มัน ไม่ผลักใสมันไปอีกแล้ว และไม่หลบลี้หนีหน้ามันอีกแล้ว เพื่อที่มันจะได้ถูกปลดปล่อยไปให้เป็นอิสระ และจากเราไปตลอดกาล
.
เพราะฉะนั้น ในช่วงแรกๆของการเข้าสู่กระบวนการนี้ หลายคนอาจจะบ่อน้ำตาแทบจะไม่แห้งเลยก็เป็นไป ฮิฮิ แต่พอมันผ่านพ้นไปแล้ว มันก็จะโล่งสบายเลยทีเดียว แต่อาจจะใช้เวลาหลายปีนะครับ แต่ก็ขึ้นอยู่กับเราอีกนั่นแหละ คือถ้าเราฝืน หรือยื้อเอาไว้ มันก็จะยิ่งนาน แล้วเราก็จะยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นด้วย โดยเฉพาะเรื่องความรักนะ
.
เพราะว่าคนที่มีระดับความสั่นสะเทือนที่ไม่ใกล้เคียงกับเรา นานวันเข้าก็จะยิ่งห่างไกลจากเรามากขึ้นเท่านั้นด้วย เพราะว่ามันจะต้องเป็นเช่นนั้น มันเป็นเรื่องธรรมชาติ
.
และก็..ใคร หรือ อะไรก็ตามที่จะไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์สูงสุดของวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณของเราหละก็ ก็จะค่อยๆถูกเขย่าให้หลุดออกไปจากชีวิตเราแบบนี้เหมือนกัน
.
พวกคุณจำเป็นจะต้องปรับเปลี่ยนร่างกายเนื้อของพวกคุณให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์เกือบทั้งหมดซะก่อน เพื่อให้มีระดับความถี่เป็นความถี่ของแสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์ และเพื่อเพิ่มทำนองเพลงแห่งจิตวิญญาณของพวกคุณ (harmonics of your Soul Song) ให้สูงขึ้น จนถึงระนาบที่สูงสุดของมิติที่ 5 และมิติที่สูงกว่าขึ้นไปอีกมันต้องมีความปรารถนาที่จะเชื่อว่า มันมีความเป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนแปลงกายเนื้อที่มีความหนาแน่นอยู่ในมิติที่ 3 หรือ 4 ให้ก้าวไปสู่กายแห่งแสงสว่างที่อยู่ในมิติที่ 5 ได้ภายในภพชาติเดียว
.
มนุษยชาติกำลังอยู่ในขั้นตอนของการชำระล้างให้บริสุทธิ์ เพื่อเตรียมความพร้อมไปสู่การขยายตัวของจิตสำนึกครั้งยิ่งใหญ่ที่กำลังส่งผลกระทบต่อจิตวิญญาณจำนวนมากขึ้น และมากขึ้นเรื่อยๆอยู่ในขณะนี้ เพราะว่ามันกำลังช่วยปัดกวาดดาวเคราะห์โลกใบนี้ และกำลังเร่งให้เกิดผลลัพธ์ที่เร็วขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ
.
*** พวกคุณจำเป็นจะต้องปรับเปลี่ยนร่างกายเนื้อของพวกคุณให้เสร็จสิ้นสมบูรณ์เกือบทั้งหมดซะก่อน เพื่อให้มีระดับความถี่เป็นความถี่ของแสงสว่างอันศักดิ์สิทธิ์ และเพื่อเพิ่มทำนองเพลงแห่งจิตวิญญาณของพวกคุณ (harmonics of your Soul Song) ให้สูงขึ้น จนถึงระนาบที่สูงสุดของมิติที่ 5 และมิติที่สูงกว่าขึ้นไปอีกมันต้องมีความปรารถนาที่จะเชื่อว่า มันมีความเป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนแปลงกายเนื้อที่มีความหนาแน่นอยู่ในมิติที่ 3 หรือ 4 ให้ก้าวไปสู่กายแห่งแสงสว่างที่อยู่ในมิติที่ 5 ได้ภายในภพชาติเดียวและในเวลานี้ มนุษยชาติกำลังอยู่ในขั้นตอนของการชำระล้างให้บริสุทธิ์ เพื่อเตรียมความพร้อมไปสู่การขยายตัวของจิตสำนึกครั้งยิ่งใหญ่ที่กำลังส่งผลกระทบต่อจิตวิญญาณจำนวนมากขึ้น และมากขึ้นเรื่อยๆอยู่ในขณะนี้ เพราะว่ามันกำลังช่วยปัดกวาดดาวเคราะห์โลกใบนี้ และกำลังเร่งให้เกิดผลลัพธ์ที่เร็วขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ ***
.
ในขั้นตอนนี้ของการเปลี่ยนแปลงด้านวิวัฒนาการนี้ ร่างกายเนื้อของเหล่าผู้แสวงหา และปฏิบัติอยู่บนเส้นทางสายนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนของการถูกพลังอำนาจแห่งแสงสว่างของพระผู้สร้าง กระตุ้นให้เกิดการแปลงรูปแบบอยู่ เซลล์ที่มีระดับจิตสำนึกสูงส่งกว่า กำลังถูกปลุกให้ตื่นขึ้น และเจริญเติบโตขึ้นอย่างทันทีทันใด ด้วยสูตรลี้ลับแห่งการเปลี่ยนรูปแบบ (the alchemical formula of transformation)
.
พวกคุณกำลังอยู่ในขั้นตอนของการชำระล้างสนามพลังออร่าในส่วนหลักๆ ที่เป็นพลังงานด้านลบ หรือคลื่นความถี่ที่มีระดับการสั่นสะเทือนที่บิดเบี้ยวอยู่ ซึ่งมันได้ทำให้แสงออร่าของพวกคุณริบหรี่ลง และส่งผลให้ร่างกายเนื้อของพวกคุณสร้างสิ่งที่ไม่เหมาะไม่ควรทั้งหลายแหล่ขึ้นมา
สิ่งที่ถูกกักเก็บไว้ในเซลล์ต่างๆของร่างกายของพวกคุณ ซึ่งก็คือสารพิษที่จะต้องถูกขับออกมา หรือถูกฟอกให้บริสุทธิ์ เพื่อที่พวกคุณจะได้สามารถผสานรวมเข้ากับความถี่ ที่สอดคล้องกับโครงสร้างของตัวตนหลากมิติของพวกคุณเองได้ใหม่อีกครั้งหนึ่ง
.
เซลล์ของกายแห่งแสงสว่างของพวกคุณ ได้ถูกทำให้ริบหรี่ลงไปนานมากแล้ว เช่นเดียวกับสนามพลังออร่าที่ขุ่นมัว และแออัดไปด้วยพลังงานด้านล แต่เซลล์แห่งพระเจ้ายังคงสถิตอยู่ และห้อมล้อมอยู่รอบตัวพวกคุณ เพียงแต่ว่าพวกมันอ่อนโรย และริบหรี่ลงตามกาลเวลา เนื่องจากขาดการบำรุงรักษาเท่านั้นเอง
.
มันก็เหมือนกับที่พวกคุณบริโภคแต่อาหารที่ปนเปื้อนมาโดยตลอด จนในระยะยาวมันก็จะไปทำลายร่างกายของพวกคุณเองนั่นแหละ ตัวตนแห่งอัตตานั้นเจ้าเล่ห์ และดื้อรั้น และมันก็จะคอยสะกิดสะเกาพวกคุณอย่างไม่หยุดหย่อน ให้พวกคุณตั้งหน้าตั้งตาแสวงหาแต่ความสุขทางกาย และการปรนเปรอตัวเองให้มากและมากยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งมันมักจะส่งผลให้เกิดความวิบัติตามมา
.
พวกคุณจะต้องเข้าใจว่าส่วนต่างๆในร่างกายของพวกคุณ สะท้อนความถี่ได้หลากหลายรูปแบบมาก ขึ้นอยู่กับการหมุนและความสะอาดบริสุทธิ์ของระบบจักระของพวกคุณ และควรที่จะพากเพียรพยายาม ผสานรวมกันกับตัวตนที่สูงส่งกว่าของพวกคุณเองในแต่ละระดับชั้น ให้ถึงความสอดคล้องกลมกลืนกันมากที่สุดอยู่เสมอ และจงตระหนักว่ามันเป็นกระบวนการที่ไม่มีวันจบสิ้น เพราะว่าโดยธรรมชาติของทุกๆระดับชั้นของสรรพสิ่งแล้ว จะมีความปรารถนาที่จะบรรลุให้ถึงระดับจิตสำนึกที่สูงกว่ายิ่งๆขึ้นไปเสมอๆ
.
มนุษย์กำลังมีประสบการณ์อยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง 4 โลกพร้อมๆกัน ซึ่งได้แก่ : โลกทางกายภาพ โลกแห่งจิตใจ โลกแห่งอารมณ์ และโลกทิพย์
.
ระดับคลื่นความถี่ที่พวกคุณแผ่ออกมา หรือสั่นสะเทือนอยู่ จะเป็นตัวกำหนดมิติ หรือระนาบย่อยๆของมิติที่พวกคุณจะถูกนำไปสู่ ทั้งยังเป็นตัวกำหนดระดับของข้อมูลแห่งเอกภพที่พวกคุณจะสามารถเข้าถึงได้อีกด้วย
.
สนามพลังออร่าของพวกคุณ เป็นเหมือนเสื้อคลุมที่ห่อหุ้มกายแห่งพลังงาน / กายทิพย์ (Etheric / Astral Bodies) ของพวกคุณเอาไว้ และมันยังเป็นเหมือนเสื้อคลุมแห่งแสงสว่าง หรือผ้าคลุมแห่งพลังงานด้านลบ พลังงานที่ไม่สอดคล้องกัน อย่างใดอย่างหนึ่งที่พวกคุณได้สั่งสมเอาไว้ ผ่านประสบการณ์แห่งการเวียนว่ายตายเกิดในหลายๆ ภพชาติที่ผ่านๆ มาอีกด้วย
.
จิตสำนึกอันศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า และในฐานะที่เป็นผู้ร่วมสร้างอย่างมีสติสัมปชัญญะผู้หนึ่ง (a Self-conscious co-creator)
.
และพวกคุณก็คือผู้ควบคุมพลังงานเหล่านั้นเองอีกด้วย โดยผ่านทางความคิดอันทรงพลัง อำนาจ, การกระทำ และเจตนารมณ์ทั้งหลายของตัวคุณเอง และกำลังดำรงอยู่ในกระแสการหมุนวนของพลังงาน: กระแสของพลังงานที่ประกอบไปด้วยพลังงานที่เป็นรากฐานของพลังชีวิต (Primal Life Force substance) ซึ่งก็คือแสงสว่างครึ่งสเปคตรัมของมิติที่ต่ำกว่า (the half-spectrum Light of the lower dimensions) หรือไม่ก็ประกอบไปด้วย และเต็มเปี่ยมไปด้วยอนุภาคอดามันทีน (Adamantine Particles) อันเยี่ยมยอดของแสงสว่างแห่งพระผู้สร้าง ของจิตสำนึกในมิติที่สูงกว่า
.
สภาวะทางจิตและคุณภาพ หรือธรรมชาติของการสั่นสะเทือนด้านอารมณ์ของพวกคุณ คือตัวกำหนดผลลัพธ์ของความพยายามเชิงสร้างสรรค์ของพวกคุณ เพราะว่าในฐานะที่เป็นผู้ร่วมสร้าง (Co-creator) …พวกคุณคือผู้ที่จะปั้นแต่ง หรือเนรมิตความคิด หรือจินตนาการของพวกคุณเอง ให้ปรากฎเป็นรูปธรรมออกมา และต่อจากนั้น ก็พวกคุณเองอีกนั่นแหละ ที่จะต้องเป็นผู้รับประสบการณ์กับสิ่งที่ถูกพวกคุณเนรมิตขึ้นมาเหล่านั้น …..และนี่คือกฎของจักรวาล
.
พวกคุณกำลังจะกลายเป็นผู้ที่สามารถควบคุมพลังงานแห่งเอกภพได้อย่างมีประสิทธิภาพแล้ว และกำลังจะกลายเป็นผู้สังเกตุการณ์อย่างมีสติสัมปชัญญะ และมีทักษะในการปล่อยวางแล้ว ดังนั้น…..
:- จงอย่ายอมให้ตัวเองถูกดึงเข้าไปสู่วอร์เท็กซ์ของพลังงานด้านลบที่ผู้อื่นสร้างขึ้น
:- จงเรียนรู้ที่จะยืนหยัดอย่างมั่นคงและควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างให้ได้ ในฐานะที่เป็นผู้ควบคุมพลังงานอันศักดิ์สิทธิ์ของตนเอง
:- จงอย่ายอมให้ผู้ใดมารบกวนความสงบเยือกเย็น และความสอดคล้องลงตัวอันเป็นธรรมชาติที่แท้จริงของพวกคุณได้
.
แต่โปรดจงจำไว้ว่า หากมีช่วงขณะใด ที่พวกคุณมีปัญหาตามประสามนุษย์โลกธรรมดาๆ คนหนึ่ง ก็จงหยุดสักครู่ก่อน แล้วสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วกลับเข้าสู่ศูนย์กลาง… “ เพื่อระเบิดลำแสงสีม่วงออกมา “ และเพื่อเปลี่ยนสภาพและสลายพลังงานแห่งความขัดแย้งนั้นๆให้หมดไป
.
ซึ่งบางครั้งพวกคุณก็พิพากษาตนเองรุนแรงเกินไป ที่รักทั้งหลาย.. ความสมบูรณ์แบบไม่ใช่สิ่งที่เราคาดหวัง
.
และเพราะว่าแสงสว่างอันเรืองรองของตัวตนที่สูงส่งกว่า (Higher Self) หรือ ตัวตนรวม (Over-Soul Self) ของพวกคุณเอง กำลังค่อยๆ แทรกซึม และแผ่กระจายเข้าไปในกายเนื้อ และกายแห่งอารมณ์ของพวกคุณอยู่ ดังนั้น พลังงานด้านลบ และขยะทิพย์ (astral debris) ทั้งหลายที่สั่งสมอยู่ จึงค่อยๆถูกปลดปล่อยออกไป
.
การลดความถี่ของคลื่นในสมองของพวกคุณให้ต่ำลง หรือการเรียนรู้ที่จะดูแลรักษาจิตสำนึกให้อยู่ในภาวะคลื่นอัลฟ่า จะทำให้พวกคุณสามารถจดจ่อกับกระบวนการความคิดที่ต่อเนื่องได้อย่างคมชัดมากขึ้น และเปิดเข้าสู่จิตใต้สำนึกได้อย่างชัดเจนมากขึ้นด้วย
.
จิตสำนึกที่พวกคุณใช้คิด (conscious thinking mind) จะทำหน้าที่ตีความหมาย แต่จิตใต้สำนึก (subconscious mind) จะทำหน้าที่ประมวลผลข้อมูลที่ถูกป้อนเข้ามาแล้วทำให้เกิดการดำเนินการ การเป็นผู้ที่สามารถควบคุมคลื่นสมองให้อยู่ในภาวะอัลฟ่าได้ และสามารถรักษาระดับจิตสำนึกให้อยู่ในระดับอัลฟ่าที่เหมาะสมได้ จะทำให้พวกคุณสามารถสื่อสาร และมีปฏิสัมพันธ์กับจิตใต้สำนึกของพวกคุณเองได้
.
ซึ่งมันอยู่นอกเหนืออำนาจจิต เมื่อพวกคุณพัฒนาความสามารถในการสื่อสารโดยตรงกับสัญชาติญาณส่วนลึกของจิตใจ และจิตอันศักดิสิทธิ์ของพวกคุณเองได้แล้ว และพวกคุณจะพบว่าพวกคุณจะมีการตัดสินใจที่ดีเยี่ยมอย่างเป็นธรรมชาติ และทำสิ่งต่างๆได้อย่างถูกต้อง เพื่อบรรลุไปสู่เป้าหมายของพวกคุณ
.
คุณสมบัติของสมองซีกขวา ด้านการมีสัญชาตญาณหยั่งรู้, ด้านความคิดสร้างสรรค์, ด้านความฝักใฝ่เรื่องจิตวิญญาณ ได้เริ่มเกิดขึ้นก่อนเป็นอย่างแรกในตอนที่พวกคุณผสานรวมเข้ากับกายแห่งอารมณ์ของตัวเอง แล้วจากนั้น คุณสมบัติด้านการคิดแบบเป็นเส้นตรง, และการคิดแบบมีโครงสร้าง, และการชอบวิเคราะห์วิจารณ์ของสมองซีกซ้าย หรือของกายแห่งจิตใจของพวกคุณก็เกิดขึ้นตามมา แต่ว่าในช่วงเริ่มต้นนั้น เพราะว่าระดับพลังงานและรูปแบบความคิดและอารมณ์ทั้งหลายของพวกคุณยังคงเข้ากันได้ดีอยู่ ดังนั้นพวกมันจึงยังคงทำงานร่วมกันได้ดีอยู่ และยังคงช่วยส่งเสริมซึ่งกันและกันอยู่ โดยปราศจากการแบ่งแยก และความแตกต่างใดๆทั้งสิ้น
.
ตอนนี้ ประมาณ 75% – 85% ของประชากรโลก ใช้สมองซีกซ้ายนำซีกขวาอยู่ จนเกือบจะไม่รู้จักใช้สมองซีกขวาเลย เพราะฉะนั้นแล้วจึงทำให้ความคิดของพวกเขาขาดความสมดุลไป ซึ่งความแตกต่างมันอยู่ที่คลื่นความถี่ของสมองของพวกคุณ เพราะว่าการใช้ความคิดอยู่แต่ในเรื่องของโลกแห่งวัตถุธาตุทางกายภาพ และของมิติที่ 3 นี้นั้น จะเกิดขึ้นในช่วงคลื่นความถี่ 15 – 20 รอบต่อวินาทีเท่านั้น แต่เมื่อใดที่พวกคุณรู้จักจดจ่อความคิดหรือเรียนรู้ที่จะลดคลื่นความถี่ของสมองของพวกคุณเองลงมาให้เป็นแล้วหละก็ พวกคุณก็จะสามารถทำให้สมองทั้งสองซีกของตัวเองทำงานร่วมกันอย่างมีสมดุลได้
.
การใช้สมองซีกซ้ายคิด ก็คือการที่พวกคุณจดจ่ออยู่กับโลกแห่งวัตถุธาตุทางกายภาพที่สามารถจับต้องได้ซะเป็นส่วนใหญ่ ส่วนการใช้สมองซีกขวาคิดนั้นจะช่วยให้พวกคุณสามารถเข้าถึงโลกแห่งวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์ได้ และสามารถเข้าถึงความคิดที่อยู่นอกเหนือขอบเขตของโลกแห่งวัตถุธาตุทางกายภาพได้ด้วย
.
พวกคุณจะต้องเข้าถึงและสามารถใช้งานสมองทั้งสองซีกของตัวเองให้ได้ซะก่อนพวกคุณถึงจะสามารถเข้าถึงศักยภาพในการสรรสร้างแบบเต็มพิกัดของตัวเองได้ กระแสความคิดที่แน่วแน่และเป็นสมาธิของพวกคุณจะไปดึงดูดเอาภูมิปัญญาของตัวตนที่สูงส่งกว่าของพวกคุณเอง และจะไปดึงเอาภูมิปัญญาของรูปธรรมชีวิตแห่งแสงสว่างทั้งหลายที่อยู่ในมิติสูงๆกว่าให้เข้ามาหาพวกคุณได้ พร้อมทั้ง จะช่วยให้พวกคุณสามารถทำกิจต่างๆในโลกแห่งวัตถุธาตุทางกายภาพนี้ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอีกด้วย
.
ปกติแล้ว มนุษย์โลกส่วนใหญ่จะทำกิจต่างๆในช่วงคลื่นความถี่ของสมองระหว่าง 1 – 20 รอบต่อวินาที ซึ่งได้แก่: 12 รอบต่อวินาที ในยามตื่น, 1 – 7 รอบต่อวินาที ในช่วงหลับ, และมีน้อยครั้งมากๆที่จะอยู่ในช่วงคลื่นความถี่ระหว่างกลางของทั้งสองช่วงคลื่นนั้น ยกเว้นในช่วงเวลาที่กำลังเคลิ้มๆใกล้จะหลับหรือใกล้จะตื่นนอนเท่านั้น พวกคุณคนใดที่เคยฝึกสมาธิมาแล้ว และสามารถหยุดความคิดของตัวเองได้แล้วก็จะรู้ว่าคลื่นความถี่ของสมองที่อยู่ระหว่างกลางของคลื่นความถี่ทั้งสองช่วงนั้นก็คือคลื่นความถี่ที่จะทำให้สามารถใช้งานสมองซีกขวาได้อย่างมีสติสัมปชัญะ หรือก็คือคลื่นความถี่ที่เป็นจุดเชื่อมต่อทางด้านจิตวิญญาณและสัญชาตญาณหยั่งรู้ของพวกคุณนั่นเอง
.
ถ้าพวกคุณจำนวนมากกว่านี้ รู้จักเรียนรู้ที่จะทำกิจต่างๆในสภาวะที่คลื่นสมองอยู่ในระดับอัลฟ่าแบบอ่อนๆ หรืออาจจะเรียกว่า “กลายเป็นผู้ที่มีสมาธิอยู่ตลอดเวลา” (becoming a living meditation) แล้วหละก็ มันก็จะเท่ากับว่า พวกคุณมีทวยเทพผู้ที่จะคอยให้ความช่วยเหลือพวกคุณเกาะอยู่บนไหล่ของพวกคุณตลอดเวลาไม่ว่าพวกคุณจะกำลังทำอะไรในชีวิตประจำวันอยู่ก็ตาม
.
และเมื่อพวกคุณสามารถเข้าถึง “ช่องทาง” แห่งการสร้างสรรค์ด้วยภูมิปัญญาที่สูงส่งกว่าของตัวเองได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว พวกคุณก็จะรู้สึกว่าพวกคุณสามารถควบคุมชีวิตของตัวเองได้มากขึ้น พวกคุณก็จะได้เรียนรู้ว่า อะไรคือสิ่งที่ทำให้พวกคุณมีความสุขมากกว่า และพวกคุณก็จะเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับสิ่งต่างๆที่จะนำพาความพึงพอใจมาให้กับพวกคุณมากกว่า ในขณะเดียวกันพวกคุณก็จะค่อยๆเลิกให้ความสำคัญกับสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อพวกคุณอีกต่อไป พวกคุณจะมองเห็นปัญหาและอุปสรรคของชีวิต, ภาระหน้าที่ และโอกาสต่างๆของชีวิตในแบบที่เปลี่ยนไป พวกคุณจะกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นๆ และพวกคุณก็จะมีความสุขในชีวิตมากกว่าที่พวกคุณเคยคิดว่าจะเป็นไปได้ซะอีก
.
ตอนที่ 5 : ขั้นตอนการฝึก :

เมื่อพวกคุณฝึกฝนแบบฝึกหัดทางสมองอันนี้แล้ว พวกคุณก็จะได้เรียนรู้ที่จะเข้าสู่สภาวะอัลฟ่าได้อย่างรวดเร็ว และจะสามารถคงอยู่ในสภาวะนั้นได้ตลอดทั้งวัน ให้เหลือกตามองเฉียงขึ้นไปเป็นมุม 45 องศา จนกว่าจะเมื่อยเปลือกตา แล้วจึงหลับตาลง จากนั้นก็ให้กำหนดสมาธิมาไว้ที่จักระที่ 7 พร้อมๆกับให้กำหนดนิมิตของลูกทรงกลมแห่งแสงสว่างขนาดเล็กขึ้นที่จักระที่ 7 ด้วย จากนั้นก็ให้หายใจเข้าลึกๆ แล้วกำหนดนับเลข 3 ในใจ 3 ครั้ง จากนั้นก็ให้หายใจออก แล้วให้หยุดหายใจไว้ซักครู่ ให้นานที่สุดเท่าที่จะทนได้ เพราะว่านั่นคือการที่พวกคุณเข้าไปอยู่ใน “จุดหยุดนิ่งแห่งการสรรสร้าง” (Still point of creation) แล้ว
.
จากนั้นก็ให้หายใจเข้าลึกๆอีกครั้งหนึ่ง พร้อมๆกับนับเลข 2 ในใจ 3 ครั้ง แล้วจึงหายใจออก แล้วก็ให้หยุดลมหายใจไว้ซักครู่ ให้นานที่สุดเท่าที่จะทนได้อีกครั้งหนึ่ง จากนั้นก็ให้หายใจเข้าลึกๆอีกครั้งหนึ่ง พร้อมๆกับนับเลข 1 ในใจ 3 ครั้ง แล้วจึงหายใจออก แล้วก็ให้หยุดลมหายใจไว้ซักครู่ ให้นานที่สุดเท่าที่จะทนได้อีกครั้งหนึ่ง
.
หลังจากที่นับเลขในใจเสร็จแล้ว ก็ให้จินตนาการว่าและให้ทำความรู้สึกไปด้วยว่าลูกบอลแห่งแสงสว่างที่อยู่ที่จักระที่ 7 นั้น ค่อยๆเคลื่อนที่ตรงลงมาช้าๆผ่านสมองของพวกคุณลงมา, ผ่านคอหอย, ผ่านลิ้นปี่, ผ่านหัวใจลงมา แล้วมาหยุดอยู่ที่ “ศูนย์กลางพลังโซล่า” (Solar Power Center) ของพวกคุณ ซึ่งอยู่ภายในช่องท้องบริเวณตรงกลางระหว่างสะดือกับระดับหัวใจของพวกคุณ จงฝึกฝนจนกระทั่งพวกคุณสามารถรู้สึกได้ว่า เหมือนลูกบอลแห่งแสงสว่างอันนั้นกำลังวิ่งลงมาจากลิฟท์อย่างรวดเร็ว แล้วมาหยุดอยู่ที่บริเวณดังกล่าว
.
แล้วภายในระยะเวลาไม่นาน สิ่งที่พวกคุณจะต้องทำทั้งหมดก็คือแค่หายใจเข้า-ออกลึกๆเพียงครั้งสองครั้งเท่านั้น พวกคุณก็จะสามารถเข้าไปอยู่ในสภาวะอัลฟ่าได้อย่างสมบูรณ์แบบโดยอัตโนมัติ ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วพวกคุณก็จะสามารถเข้าและออกจากสภาวะนี้ได้ตามใจชอบ หรือสามารถอยู่ในสภาวะนี้ได้ตลอดเวลาที่พวกคุณตื่นอยู่
.
การฝึกตามกระบวนการนี้จนเสร็จสิ้นสมบูรณ์นั้น มีประโยชน์อย่างมาก เช่น มันจะทำให้พวกคุณมีระบบภูมิคุ้มกันที่เข้มแข็งขึ้น, มีสัมผัสพิเศษและมีความสามารถในการสร้างสรรค์มากขึ้น, และมีความเชื่อมต่อกับตัวตนที่สูงส่งกว่าของพวกคุณเอง และเชื่อมต่อกับจิตสำนึกแห่งพระผู้เป็นเจ้าจนทำให้ชีวิตของพวกคุณเปลี่ยนไป พวกคุณอาจจะกล่าวคำอธิษฐาน หรือ จินตนาการถึงสิ่งที่พวกคุณต้องการจะทำให้สัมฤทธิ์ผลด้วยก็ได้ เช่น
– ฉันมีปัจจัยในการดำรงชีวิตที่ดีงามทั้งหมดหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่มีวันหมดสิ้น
– ฉันมีความสุขกับสิ่งที่ฉันได้สร้างสรรค์ขึ้นมา และฉันก็จะแบ่งปันความมั่งคั่งนี้ให้แก่ผู้อื่นด้วย – ฉันรู้ว่าฉันจะต้องรับผิดชอบต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันสร้างสรรค์ขึ้นมา เพราะฉะนั้นฉันจึงจะสร้างสรรค์เฉพาะสิ่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อฉัน, ต่อโลกใบนี้และต่อสรรพชีวิตเท่านั้น
.
จงตั้งเป้าหมายในอนาคตของพวกคุณเอาไว้ แล้วจากนั้นก็ให้กลับมาอยู่ใน “ปัจจุบันขณะ” อย่างสมบูรณ์แบบ
.
แต่ถ้าพวกคุณมีความยากลำบากในการเข้าให้ถึงสภาวะอัลฟ่า ให้ฝึกฝนโดยการนับเลขย้อนหลังตั้งแต่ 50 ลงไปจนถึง 1 ก่อนที่จะลุกขึ้นจากที่นอนในเวลาเช้า และก่อนที่จะนอนหลับไปในตอนกลางคืน ให้ร้องขอให้ทวยเทพนำพาพวกคุณไปในที่ๆจะเป็นประโยชน์ต่อพวกคุณมากที่สุด ซึ่งอยู่ในมิติที่สูงกว่า (เพื่อการบำบัดรักษาหรือเพื่อการเรียนรู้) และบางครั้งในขณะที่พวกคุณกำลังนับเลขถอยหลังอยู่นั้น ให้พูดว่า “ทุกครั้งที่ฝึก ฉันจะเข้าสู่ศูนย์กลางได้เร็วขึ้นๆ” แล้วหลังจากนั้นอีกไม่กี่ครั้งพวกคุณอาจจะเปลี่ยนมาพูดว่า “ลึกขึ้นๆ, เร็วขึ้นๆ” ก็ได้
.
แต่อย่างไรก็ตาม พวกคุณก็มีความแตกต่างจากพระผู้สร้างสูงสุดอยู่ตรงที่พวกคุณยังได้สร้างสรรค์สิ่งที่ไม่สมบูรณ์แบบ และเป็นพิษเป็นภัยขึ้นมาด้วย ด้วยกระแสจิตแห่งความกลัว, ความรู้สึกผิด, ความล้มเหลว, การปฏิเสธ, ความรู้สึกไม่มีคุณค่า จนทำให้สิ่งที่พวกคุณสร้างสรรค์ขึ้นมาหรือสิ่งที่พวกคุณยอมให้มีขึ้นในโลกของพวกคุณ ถูกบิดเบือนไป อย่างที่มีคำกล่าวไว้ว่า “จักรวาลจะปรับตัวของมันใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับโลกแห่งความเป็นจริงในจินตภาพของพวกคุณ” ซึ่งหมายความว่า “โลก/สิ่งสร้างสรรค์ของพวกคุณจะเป็นไปในแบบที่พวกคุณคิดและเชื่อ” นั่นเอง
.
ก็อย่างที่พวกเราได้สอนพวกคุณไปแล้วว่าให้ “กลับไปสู่ศูนย์กลาง” ภายใน Solar Power Center ของพวกคุณเองซึ่งเป็นศูนย์กลางด้านอารมณ์ความรู้สึกของพวกคุณ และตอนนี้พวกคุณยังจะต้องฝึกฝนและปฏิบัติเพื่อให้ “กลับไปสู่ศูนย์กลาง” ภายในศูนย์กลางด้านความคิดของพวกคุณให้ได้ด้วย หรือก็คือการเข้าไปสู่สภาวะอัลฟ่านั่นเอง เพราะว่ามันคือรหัสไขกุญแจที่ไม่มีอะไรเสมอเหมือน ถ้าพวกคุณต้องการที่จะเข้าให้ถึงน้ำพุแห่งความรู้ที่อยู่ภายในสมองของพวกคุณเองให้ได้หละก็ และต้องการที่จะเชื่อมต่อกับครูบาอาจารย์, เหล่าทวยเทพผู้คอยให้ความช่วยเหลือ, และคุรุผู้รู้แจ้งแห่งแสงสว่างทั้งหลายให้ได้หละก็ พวกคุณจะต้องฝึกฝนและปฏิบัติเป็นประจำทุกๆวัน ซึ่งถ้าจะให้ดีที่สุดก็คือ ฝึกฝนเวลาเดิมทุกๆวัน
.
พวกคุณจะต้องฝึกฝนเข้าและออกจากสภาวะที่จิตสำนึกอยู่ในระดับอัลฟ่าอย่างอ่อนๆไปสู่ระดับเบต้าให้ได้ จนกว่าพวกคุณจะสามารถสั่งตัวเอง (สั่งจิตใจและสั่งร่างกาย) ให้มาอยู่ในระดับอัลฟ่าได้ดังใจ และจนกว่าจะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับพวกคุณไปแล้วโน่นแหละ พวกคุณสามารถทำกิจต่างๆ/ดำเนินชีวิตอยู่ในสภาวะอัลฟ่าได้ตลอดเวลา นี่คือหนึ่งในความลับของเหล่าคุรุแห่งแสงสว่างทั้งหลาย ผู้ที่เคยมีชีวิตอยู่หรือกำลังมีชีวิตอยู่ในความสอดประสานกลมกลืนกันในขณะที่ยังอยู่ในร่างกายเนื้อนี้
.
ในสภาวะนั้นพวกคุณจะมีความตระหนักรู้มากขึ้น, มีสติสัมปชัญญะมากขึ้น, มีความไวต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นรอบๆตัวพวกคุณอยู่ในขณะนั้นมากขึ้น ในขณะเดียวกัน ก็ยังสามารถเข้าถึงธนาคารแห่งความรู้และภูมิปัญญาของเอกภพของตัวเอง ที่เคยถูกตัดขาดออกไปได้ด้วย ความแตกต่างระหว่างโลกแห่งจิตวิญญาณกับโลกแห่งวัตถุธาตุทางกายภาพ ก็คือ คลื่นความถี่ ดังนั้นในตอนนี้ การรักษาความสมดุลระหว่างทั้งสองโลกเอาไว้ให้ได้จึงเป็นเรื่องที่ท้าทายมากที่สุดเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว แต่มันก็เป็นช่องทางที่ดีที่สุดช่องทางหนึ่งสำหรับพวกคุณด้วยเช่นกัน
.
เมื่อใดที่ได้เป็นผู้ควบคุมตัวตนทางกายภาพของมันเองแล้ว มันจะเหมือนกับว่าเป็นการไปกดสวิทซ์จุดระเบิดที่อยู่ใน DNA ของพวกคุณ ซึ่งเป็นที่ๆบรรจุพิมพ์เขียวของร่างแห่งแสงสว่างที่สมบูรณ์เลิศของอดัม / อีฟ คาดมอน (Adam/Eve Kadmon) เอาไว้
.
แล้วเมื่อนั้น ชุดของการเข้ารหัสที่ซ่อนเร้นอยู่ใน DNA ก็จะถูกกระตุ้นให้เกิดการทำงานขึ้นโดยอาศัยคลื่นความถี่ของแสงที่มีความถี่สูงๆ ซึ่งพวกคุณก็ได้เริ่มผสานรวมเข้ากับมันมาระยะหนึ่งแล้ว
.
ซึ่งรูปแบบการสั่นสะเทือนของแสงสว่างเหล่านี้ ประกอบไปด้วยรหัสของสี และเสียง ที่ประสานกันไว้อย่างเฉพาะเจาะจง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเซลล์ และอวัยวะทั้งหมดในร่างกาย เซลล์ต่างๆ จะค่อยๆเริ่มดูดซับ และสันดาปแสงสว่าง และเซลล์ที่ดูดซับแสงสว่างเหล่านี้ ก็จะเริ่มแผ่กระจาย และส่งผลกระทบต่อส่วนต่างๆทั้งหมดในร่างกาย
.
กระบวนการเปลี่ยนรูป (transmutation process) นี้ จะเริ่มต้นจากสารพิษต่างๆ, ความบอบช้ำทางอารมณ์, ความทรงจำที่ปวดร้าว และประสบการณ์ที่เจ็บปวดต่างๆ ที่ถูกเก็บสะสมไว้ทั่วทั้งร่างกาย ที่เริ่มผุดขึ้นมาสู่ระดับพื้นผิว และนั่นจึงเป็นสาเหตุให้เกิดอาการไม่สบายทางกายต่างๆ ขึ้นมากมาย เช่น: อาการเจ็บปวดตามส่วนต่างๆของร่างกาย, อาการไข้, ปวดศีรษะ, ความจำที่สับสน และอาการหลงลืมเป็นการชั่วคราว และนี่ก็เป็นแค่เพียงบางส่วนเท่านั้น
.
ในขณะที่ร่างกายของพวกคุณกำลังวิวัฒน์อยู่นี้ ความสามารถในการรวบรวมเซลล์แห่งแสงสว่าง ที่มีคลื่นความถี่จะละเอียดมากขึ้นและมากขึ้น และซึมซับเข้ามาได้มากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ และโลกแห่งความเป็นจริงในมิติที่ 4 ของพวกคุณจะเริ่มสลายลง …โลกมายาการของพวกคุณ ก็จะเริ่มปรวนแปรและปนกันไปมา รวมถึงโครงสร้างความเชื่อทางศาสนาของพวกคุณ ก็จะเริ่มสลายลง จนอาจทำให้พวกคุณรู้สึกเปราะบาง และขาดที่พึ่ง หรือไร้ทิศทาง
.
ซึ่ง ณ จุดนี้ จะมีการผสานรวมกันเข้ากับ ตัวตนอันสูงกว่า (Higher Self) ของพวกคุณ…. โดยส่วนที่เป็นตัวตนรวม ของตัวตนที่สูงกว่าของพวกคุณ ที่อยู่ภายใน Soul Star ของพวกคุณ (จักระที่ 8) จะเริ่มส่งแรงกระตุ้น หรือส่งลำแสงสว่างที่มีความถี่ที่สูงมาก เข้าไปสู่จิตและใจอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกคุณ และเข้าไปในระบบจักระทั้งหมดของพวกคุณด้วย
.
ซึ่งลำแสงเหล่านี้จะเข้าไปกระตุ้นความสามารถในการหยั่งรู้ของพวกคุณ ให้เกิดการทำงานขึ้น และลำแสงเหล่านี้ยังบรรจุข้อมูลที่สำคัญ สำหรับการตื่นรู้อันยิ่งใหญ่ของพวกคุณเอาไว้อีกด้วยว่าแท้ที่จริงแล้ว พวกคุณคือใคร และอาจจะไปกระตุ้นความไม่สบอารมณ์อันศักดิ์สิทธิ์ (Divine Discontent) ที่อยู่ภายในให้ปะทุออกมาได้อีกด้วย
.

………………………
………………………

┈•┈•┈•┈•┈•┈•┈•┈
.
แสงสว่างคือส่วนประกอบและเป็นพลังชีวิตของทุกๆจิตวิญญาณ ไม่ว่าจิตวิญญาณดวงนั้น จะดำรงอยู่ในโลกของวัตถุธาตุทางกายภาพ หรืออยู่ในโลกของจิตวิญญาณก็ตาม

ตลอดเส้นทางของการดำเนินชีวิตนี้ …“จิตวิญญาณ” จะส่งข้อความมาถึง “จิตสำนึก” ของคนๆนั้นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งอาจเป็นไปในรูปแบบของ “ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี”, “สัญชาตญาณ”, “การหยั่งรู้” และอื่นๆ เพื่อชี้แนะแนวทางให้จิตสำนึกของคนผู้นั้นดำเนินไปตามเส้นทางที่สอดคล้องกับพันธสัญญาทางจิตวิญญาณที่ตนเองได้เลือกเอาไว้

เพราะฉะนั้น…#ผู้ที่เอาใจใส่ต่อข้อความเหล่านั้น…ก็จะสามารถดำเนินชีวิตอยู่บนเส้นทางแห่งภารกิจที่ตนเองได้เลือกเอาไว้ได้จริงๆ และสามารถประคับประคองและรักษาแสงสว่างของตนเองเอาไว้ได้
.
┈•┈•┈•┈•┈•┈•┈•┈

.
พวกคุณจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องตระหนักอยู่เสมอว่า ไม่ใช่จะมีแต่รูปธรรมชีวิตแห่งแสงสว่าง หรือบุคคลอันเป็นที่รักในโลกแห่งจิตวิญญาณ หรือคุรุผู้รู้แจ้งแล้ว หรือสมาชิกของอารยธรรมที่ยังมีกายเนื้ออยู่ ที่มีวิวัฒนาการทางจิตวิญญาณที่สูงมากแล้วเท่านั้น ที่อยากจะสื่อสารกับพวกคุณ ….เพราะ พวกรูปธรรมชีวิตแห่งความมืดทั้งหลาย ก็มีความหื่นกระหาย ที่จะสื่อสารข้อความอันเป็นเท็จของพวกเขามาถึงพวกคุณด้วยเช่นกัน
.
┈•┈•┈•┈•┈•┈•┈•┈

 

………………………
………………………

สายปฏิบัติหิมาลายัน คือ สายปฏิบัติโยคะที่มุ่งเน้นสภาวะแห่งสมาธิ ซึ่งไม่ได้เป็นเรื่องของเทคนิคเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เป็นวิถีแห่งชีวิตที่อาศัยการปฏิบัติสมาธิภาวนาในการบ่มเพาะและขัดเกลาบุคลิกภาพของผู้ฝึก ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อชีวิตของเขามากมายไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว ความสัมพันธ์และธุรกิจ

………………………
………………………

┈•┈•┈•┈•┈•┈•┈•┈

ความคิดแบบมิติที่ 3 = ฉันต้องเห็นก่อน ฉันจึงจะเชื่อ
ความคิดแบบมิติที่ 5 = เชื่อก่อน จึงมองเห็น
> ความมหัศจรรย์จะเกิดขึ้นด้วยความเชื่อมั่นศรัทธา <
> ไม่ใช่การมองเห็น <

┈•┈•┈•┈•┈•┈•┈•┈

………………………
………………………