กฎแห่งแรงดึงดูด > ทำไม /เมื่อไร จึงจะใช้ได้ผล หรือใช้ไม่ได้ผล
ตอนที่ 1 ตอนนี้ ประสบการณ์ของพวกคุณ สามารถเปลี่ยนแปลงความเชื่อต่างๆของพวกคุณได้ทุกเมื่อ
. . . . .
ในปัจจุบัน.. มีบทความมากมายที่กล่าวถึงแนวคิดที่ว่า มนุษย์สามารถสร้างโลกแห่งความเป็นจริงของตัวเองขึ้นมาได้อย่างไร แต่พวกเราขอเตือนว่า มันไม่ใช่ความคิดที่เกิดขึ้นมาเอง ที่เป็นตัวสร้างสรรค์สิ่งต่างๆขึ้นมา แต่มันเป็น “ความเชื่อ” ต่างหาก ซึ่งหมายถึงความเชื่อที่แสดงออกทางความคิดด้วยจิตใจที่ชัดเจน
ดังนั้น เพื่อให้ถูกต้องและชัดเจนมากยิงขึ้น พวกเราจึงอยากกล่าวว่า ในกฎแห่งการดึงดูดนั้น (Law of Attraction) มันเป็นการสมควรมากกว่าที่จะใช้คำว่า “ความเชื่อ” แทนคำว่า “ความคิด” เพราะแม้ว่ากระแสความคิดด้านบวกจะสามารถกระตุ้นให้เกิดความเชื่อใหม่ๆขึ้นมาได้จริงๆก็ตาม แต่ว่าพวกคุณก็ยังจะไม่สามารถสร้างโลกแห่งความเป็นจริงใหม่ขึ้นมาได้ จนกว่าพวกคุณจะเชื่อในความคิดนั้นๆ ซะก่อน เพราะว่าความเชื่อต่างหาก ที่เป็นผู้สร้างโลกแห่งความเป็นจริงนั้นๆขึ้นมา นี่ถึงจะสมเหตุสมผลกว่า
ดังนั้น นอกเหนือจากเรื่องของการใช้คำศัพท์ที่ว่านี้แล้ว จงเข้าใจอีกด้วยว่า กระแสความคิดด้านบวกใดๆ ที่จะสามารถเนรมิตอะไรออกมาได้ ก็ต่อเมื่อมันสอดคล้องกลมกลืนกันกับความเชื่อของพวกคุณเองเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้าในความเชื่อหลักของพวกคุณ พวกคุณมีความเชื่อว่า พวกคุณไม่คู่ควรกับความสมบูรณ์พูนสุข หรือลึกๆในจิตใจของพวกคุณแล้ว พวกคุณเชื่อว่าการสั่งสมความมั่งคั่ง หรือสะสมสมบัติพัสถานทั้งหลาย คือสิ่งที่ผิดละก็ พวกคุณก็จะไม่สามารถเนรมิตความมั่งคั่งขึ้นมาจากเพียงแค่คิดถึงมันเฉยๆได้เลย
และถ้าพวกคุณเชื่อว่าเงินทองคือรากเหง้าของความชั่วร้ายทั้งปวงละก็ ‘Law of Attraction ก็จะใช้ไม่ได้ผลกับพวกคุณด้วยเช่นกัน จนกว่าพวกคุณจะเปลี่ยนความเชื่อหลักของตัวเองใหม่เสียก่อน
และหากพวกคุณเชื่อว่า พวกคุณยากจน และมักจะต้องใช้เงินทองอย่างกระเบียดกระเสียนอยู่เสมอ เพื่อที่จะได้เพียงพอต่อการประทังชีวิตไปวันๆละก็ ความเชื่ออันนี้ของพวกคุณนี่แหละ ที่จะไปสร้างประสบการณ์เช่นนั้นขึ้นมาให้กับพวกคุณเอง ดังนั้น ไม่ว่าพวกคุณจะทำงาน 2 อย่างหรือ 3 อย่างก็ตาม แต่ถ้าความเชื่อหลักของพวกคุณถูกสร้างขึ้นมาแบบนั้นแล้วละก็ มันก็จะถูกฉายเข้าไปในความเป็นมิติ และแน่นอน มันก็จะถูกเนรมิตให้ปรากฏออกมาแบบนั้นด้วย แล้วพวกคุณก็จะมีปัญหาติดขัดด้านเศรษฐกิจอยู่เหมือนเดิม
ถ้าพวกคุณเชื่อว่าพวกคุณ “ไม่ฉลาดเลย” สมองพวกคุณก็จะยอมรับความเชื่อแบบนั้นเอาไว้ และพวกคุณก็จะถูกจำกัด ถ้าพวกคุณเชื่อว่าพวกคุณไม่มีเสน่ห์ดึงดูดเลย พวกคุณก็จะฉายภาพแบบนั้นออกมาสู่สายตาของทุกๆคนที่อยู่รอบๆตัวพวกคุณผ่านทางกระแสจิต พวกคุณฉายภาพความเชื่อของพวกคุณออกไปอย่างต่อเนื่อง
ดังนั้น ไม่ว่าพวกคุณจะมองไปในทิศทางไหนบนโลกใบนี้ พวกคุณก็จะพบเจอแต่สิ่งที่พวกมันเนรมิตออกมาให้กับพวกคุณอยู่ตลอดเวลา พวกมันสร้างภาพขึ้นมาจากเงาสะท้อนในความเชื่อของพวกคุณเอง พวกคุณไม่สามารถหลีกหนีความเชื่อของพวกคุณเองไปได้ ….อย่างไรก็ตาม พวกมันก็เป็นวิธีที่พวกคุณใช้ในการสร้างประสบการณ์ของพวกคุณเอง
ในทางกลับกัน ถ้าพวกคุณเชื่อว่าคนอื่นๆล้วนมีเจตนาดีต่อพวกคุณทั้งสิ้น และจะปฏิบัติต่อพวกคุณด้วยความสุภาพอ่อนโยน พวกเขาก็จะเป็นดังนั้นเช่นกัน แต่ถ้าพวกคุณเชื่อว่าโลกทั้งโลกต่อต้านพวกคุณอยู่ สิ่งนั้นมันก็จะกลายมาเป็นประสบการณ์ของพวกคุณเอง และถ้าพวกคุณเชื่อว่า ร่างกายของพวกคุณจะต้องแก่ และจะเริ่มร่วงโรยเมื่ออายุ 40 ปี มันก็จะเป็นดังนั้นด้วย.. พวกคุณเข้าใจ ”ความหมายที่แท้จริงๆ” ของพวกเราหรือไม่ ?
ที่พวกคุณมีการดำรงอยู่แบบกายภาพนี้ ก็เพื่อที่จะมาเรียนรู้และเข้าใจให้ได้ว่าในแง่ของพลังงาน สิ่งที่พวกคุณเชื่อ ที่พวกคุณแสดงออกมาในรูปแบบของความรู้สึก, กระแสความคิด และอารมณ์ต่างๆนั้น มันคือต้นตอของทุกๆประสบการณ์ของพวกคุณเอง
ณ.ช่วงเวลานี้ ..ตอนนี้ ประสบการณ์ของพวกคุณ สามารถเปลี่ยนแปลงความเชื่อต่างๆของพวกคุณได้ และเปลี่ยนได้ทุกเมื่อ พวกคุณสามารถควบคุม “การเลือกที่จะเชื่อ” ของตัวเองได้ และกุญแจสำคัญก็คือการสร้าง “ความเชื่อ” ขึ้นมาใน Mer-Ka-Na ของ “ตัวตนรวม” ของตัวคุณเองผ่านการเลือกอย่างมีสติ-สัมปชัญญะ และต้องไม่ใช่โปรแกรมอย่างไร้สติสัมปชัญญะ (Mer-Ka-Na เป็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับจิตหรือจิตสำนึก – ผู้แปล) >> https://bit.ly/2KO4tqR
. . . . . . . . .
ตอนที่ 2. พวกคุณสามารถมีได้ในสิ่งที่พวกคุณต้องการ และ “ เงินไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย !..แต่มันคือพลังงาน “
คราวนี้ เราจะมากล่าวถึงแนวความคิดนี้ในแบบหลากมิติกัน คุณลองย้อนคิดซิว่า กี่ภพชาติแล้วที่พวกคุณเคยเกิดเป็นพระหรือนักบวช ที่พวกคุณเคยให้สัตย์ปฏิญาณอย่างเคร่งครัดว่าจะไม่ครอบครองสิ่งใดเลยอย่างเด็ดขาด และพวกคุณได้ปฏิเสธโลกแห่งวัตถุไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งมีความยึดมั่นอย่างเหนียวแน่นอยู่กับความเชื่อที่ว่า “เงิน คือรากเหง้าของความชั่วร้ายทั้งปวง”
แต่ทุกภพทุกชาติ ล้วนมีอยู่และเป็นอยู่พร้อมๆกันหมดในนิรันดร์กาลแห่ง”ปัจจุบันขณะนี้” ส่วนในภพชาตินี้ พวกคุณกำลังจดจ่ออยู่กับการสร้างโลกแห่งความเป็นจริงของพวกคุณอยู่ และพวกคุณมีความปรารถนาความมั่งคั่งสมบูรณ์ เพราะพวกคุณตระหนักว่า เงินไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย แต่มันเป็นเพียงแค่พลังงาน และมันก็สามารถที่จะถูกใช้ไป เพื่อก่อให้เกิดสิ่งต่างๆที่ดีๆได้อย่างมากมายอีกด้วย
แต่ถึงแม้ว่า พวกคุณจะอ่านหนังสือทุกเล่ม และอ่านบทความทุกๆบทความที่เกี่ยวกับความคิดบวก ว่าจะไปจุดประกายให้ ‘Law of Attraction’ ทำงานได้อย่างไรมาแล้วก็ตาม แต่พวกคุณก็ยังคงไม่สามารถนำความมั่งคั่งมาสู่ตัวเองได้
ซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะว่า พวกคุณมีจำนวนชาติภพในความเป็นหลากมิตินี้ที่หนักไปทางด้านใดด้านหนึ่งอยู่ก็ได้ เช่น ถ้าพวกคุณมีจำนวนชาติภพอยู่ 12 ชาติภพติดๆกัน ที่ในปัจจุบันขณะของแต่ละชาติภพนั้นๆ กำลังหลีกหนีและปฏิเสธสิ่งที่พวกเขาเองเชื่อว่ามันเป็นเรื่องของวัตถุธาตุอยู่ แต่มีอยู่เพียงชาติภพเดียวเท่านั้นที่กำลังพยายามสร้างความมั่งคั่งสมบูรณ์ขึ้นมา แล้วพวกคุณคิดว่าความพยายามของฝ่ายไหนจะมีพลังงานมากกว่ากัน ?
พวกคุณมีความสามารถที่จะทำให้จิตแห่งปัจจุบันขณะใน Mer-Ka-Na เปลี่ยนแปลง ในสิ่งที่ดูเหมือนว่าเป็นอดีตและสร้างความปรารถนาและความเชื่อร่วมที่สอดคล้องต้องกันขึ้นมาได้ และที่รักทั้งหลาย “ เงินไม่ใช่สิ่งชั่วร้าย! มันคือพลังงาน “
และในกระบวนทัศน์แบบใหม่นี้ พวกคุณจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะสร้างสรรค์ด้วยความรักอย่างมีความรับผิดชอบ พวกคุณสามารถมีได้ในสิ่งที่พวกคุณต้องการ พวกคุณสามารถมีได้ในสิ่งที่พวกคุณปรารถนา แต่ความเชื่อของพวกคุณในความเป็นหลากมิติ (ของหลายๆภพชาติของพวกเราเอง) ต้องสอดคล้องต้องกันด้วย มันไม่ใช่แค่เพียง “ร้องขอแล้วรอรับ ” แต่มันต้องถูกฉายภาพไปยังจิตเดียวกันที่คมชัด และจิตใจนั้นก็อยู่เหนือสมอง เพราะว่าจิตใจมีความเป็นหลากมิติ…. >>> https://bit.ly/36be6Ij
. . . . . . . . . . .
ตอนที่ 3. คุณต้องจัดการกับบทเรียนที่คุณได้เลือกไว้เสียก่อน..มิฉนั้น มันจะเกิดขึ้นซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น จนกว่าคุณจะยอมเผชิญหน้ากับมัน
ในตอนนี้ คุณสมบัติที่เป็นสิ่งมีชีวิตในความหลากมิติของมนุษย์ เป็นหัวใจสำคัญที่ต้องทำความเข้าใจในเรื่องกลไกการทำงานของ “กฎแห่งการดึงดูด” (Law of Attraction) ของพวกคุณ ซึ่งกุญแจสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับความเข้าใจในเรื่องความเป็นหลากมิติของพวกคุณเองก็คือ “ตัวตนอันสูงส่งกว่าของพวกคุณ” (your Higher-Self) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพวกคุณเอง ที่ดำรงอยู่เหนือโลกทางกายภาพ และเป็นส่วนที่ทำหน้าที่ “เขียนบทชีวิต” ให้แก่พวกคุณให้ต้องเจอะเจอกับปัญหาอุปสรรคบางอย่างในชีวิต เพื่อให้เกิดการเจริญเติบโต…และปัญหาอุปสรรคเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจที่จะหลบเลี่ยงหรือกำจัดมันออกไปให้พ้นๆได้ซะด้วยซิ
ในทางกลับกัน แท้ที่จริงแล้ว พวกมันคือวิชาที่จำเป็นต้องเรียน ซึ่งอยู่ในหลักสูตรการเรียนการสอนของ “มหาวิทยาลัยแห่งโลกใบนี้” ที่พวกคุณเองนั่นแหละ ที่เป็นผู้เลือกมันเอาไว้ เพื่อที่จะสำเร็จและขึ้นไปสู่ชั้นที่สูงส่งดีงามกว่าต่อไป และพวกคุณก็ไม่สามารถที่จะกระโดดข้ามชั้นเรียนเหล่านี้ไปได้ หรือกระโดดข้ามสารพันปัญหาอุปสรรคที่เข้ามาในชีวิตของพวกคุณได้ นั่นก็เพราะว่าพวกคุณได้ลงทะเบียนเรียนเอาไว้แล้ว และพวกมันก็เป็นส่วนหนึ่งของ ‘Law of Attraction ที่มาจากจิตสำนึกที่สูงกว่า (จาก Higher Self – ผู้แปล) ที่ไม่อาจผลักใสพวกมันออกไปได้ด้วย ดังนั้น นี่จึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้ผู้คนที่มีความคิดแบบทวิภาวะ มีความพยายามที่จะขจัดสิ่งที่ดูเหมือนเป็นปัญหาอุปสรรคออกไปให้หมด ซึ่งดูจะเป็นการขัดขืนกฎแห่งการดึงดูดอย่างนั้นแหละ
พวกคุณอาจพบว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าอึดอัดกับการที่ใช้วิธี “คิดในแง่บวก” ไปซะทุกเรื่อง ที่ดูเหมือนมันไม่ประสบผลสำเร็จแต่อย่างใดเลย และนั่นเป็นเพราะว่า ณ ขณะนั้นๆ ในเรื่องนั้น ๆ …มันมีบทเรียนที่พวกคุณจะต้องเผชิญหน้ากับมันเสียก่อน กับสิ่งที่พวกคุณดึงดูดพวกมันมาจากจิตสำนึกที่สูงกว่าและสมองมาสู่พวกคุณเอง ซึ่งมันจะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น จนกว่าพวกคุณจะยอมเผชิญหน้ากับมัน และจนกว่าพวกมันจะได้รับการจัดการให้เสร็จสิ้นไป… และในความเป็นทวิภาวะของพวกคุณ ก็ไม่อาจที่จะหลีกเลี่ยงมันได้ด้วย เพราะมันจะจบสิ้นลงได้… ก็ต่อเมื่อพวกคุณสามารถควบคุมมันได้แล้วเท่านั้น >>> https://bit.ly/2JfDfZe
. . . . . . .
4.“เจตน์จำนงค์ & ความมุ่งมั่น และ สมาธิ” จะต้องทำงานร่วมกันเป็นทีมกับ “ การกระทำ ”..จึงจะจัดได้ว่าเป็นความสมบูรณ์แบบ
ตอนที่ 4 การยอมรับปัญหาอุปสรรค (Accepting the Challenge)
แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องจริงที่ว่า ความรู้และความเชื่อทั้งหลายของพวกคุณนั้น ได้ก่อให้เกิดโลกแห่งความเป็นจริงที่พวกคุณมีประสบการณ์อยู่ในระบบทวิภาวะนี้ แต่ตัวตนด้านที่สูงส่งกว่าของพวกคุณ ก็คือผู้ที่แต่งเติมและสร้างสรรค์ความท้าทายต่างๆให้พวกคุณได้เผชิญอย่างใคร่ครวญและระมัดระวัง เพราะมันมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่อยู่ ซึ่งไม่ว่าพวกคุณจะเชื่อจริงๆหรือไม่ก็ตาม แต่พวกคุณก็คือผู้ที่เขียนบททดสอบต่างๆสำหรับตัวพวกคุณขึ้นมาเอง
ดังนั้น แม้ว่า “การคิดในแง่บวก” จะเป็นคลื่นความถี่ที่เป็นกุญแจสำคัญอันหนึ่ง แต่วัตถุประสงค์ของการคิดในแง่บวกนั้น มีขึ้นก็เพื่อช่วยให้พวกคุณสามารถเข้าถึงบทเรียนชีวิตของพวกคุณเองได้ ไม่ใช่ให้ใช้เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงกระบวนการเรียนรู้ซะเอง เพราะพวกคุณไม่สามารถละเลยหรือขจัดบทเรียนต่างๆ ที่พวกคุณเป็นผู้เขียนสคริปต์ขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนาตัวคุณเองออกไปได้ และเป็นเพราะ สิ่งต่างๆที่พวกคุณได้เลือกไว้แล้วนั้น ส่วนใหญ่อยู่นอกเหนือ และเกินขีดความสามารถของสมองแห่งอัตตา (ego-brain) ที่อยู่ในระบบทวิภาวะนี้ จะกำจัดหรือเคลียร์มันออกไปได้
ฉนั้น พวกคุณจึงต้องเผชิญหน้ากับพวกมันก่อน เพราะในความศักดิ์สิทธิ์ของพวกคุณที่มาจากมุมมองที่สูงกว่าของพวกคุณเอง ต้องการให้มันเป็นเช่นนั้น และพวกคุณก็เป็นผู้เขียนบทแห่งความท้าทายเหล่านี้ขึ้นมาเอง และพวกเราขอยืนยันกับพวกคุณว่า มันไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้นและควรค่า มากไปกว่าความต้องการที่จะวิวัฒน์, และปรารถนาที่จะเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่าของพวกคุณ ด้วยการทำให้มันเป็นจริงขึ้นมา ซึ่งนั่นก็คือภารกิจทั้งหมดในแต่ละภพชาติของพวกคุณอย่างแท้จริง
ดังนั้น การทำสมาธิ หรือ การจินตนาการถึงความสำเร็จลุล่วงของเป้าหมายที่ต้องการแค่เพียงอย่างเดียวนั้น มันยังไม่เป็นการพอเพียง หากพวกคุณยังไม่ได้ทำตามเสียงจากภายใน ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนที่ผุดขึ้นมาจากการทำสมาธิและจากจินตนาการของพวกคุณ และ “เจตน์จำนงค์”, “ความมุ่งมั่น” และ “สมาธิ” จะต้องทำงานร่วมกันเป็นทีมกับ “การกระทำ” ได้อย่างสมบูรณ์แบบด้วย
ส่วนการบรรลุถึง “ความสมบูรณ์แบบอันไร้ที่ติ” (impeccability) และการได้บรรลุถึง “การรู้แจ้ง” (enlightenment) ได้ในที่สุดนั้น มันก็ไม่ได้หมายความว่าพวกคุณจะหลุดออกไปอยู่ในสภาวะที่เปี่ยมไปด้วยความปิติสุข ที่ไร้ความจำได้หมายรู้ (ไร้ซึ่งสัญญา- ผู้แปล) โดยฉับพลันทันที หรือหลุดออกไปอยู่ในสภาวะนิพพานอันไกลโพ้นใดๆ ตามที่บางศาสนาได้บอกเป็นนัยๆเอาไว้แต่ประการใดไม่
. . . . . . . . . . .
ตอนที่ 5. คุณจะมีโอกาสเอาชนะสิ่งที่เรียกว่า “พรหมลิขิต” และสามารถพิชิตอุปสรรค เพื่อเนรมิตความปรารถนาของคุณเองให้กลายเป็นจริงได้
ท่านคุรุทั้งหลาย พวกเราจะบอกพวกคุณว่า ตอนนี้พวกคุณก็กำลังอยู่ในส่วนหนึ่งของสภาวะนิพพานอยู่ อย่างที่พวกคุณเคยอยู่มาตลอด และก็จะอยู่ตลอดไปด้วย เพียงแต่พวกคุณจะต้องค้นหามันจากภายในของพวกคุณเองให้เจอเท่านั้นเอง
ซึ่งอันที่จริง..มันจะมีวัฏจักรแห่งสภาวะอารมณ์ของพวกคุณ ที่เป็นส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษย์ มันจะมีบ้างในบางเวลาที่พวกคุณจะรู้สึกไม่ยินดียินร้ายกับอะไรหรือรู้สึกหดหู่ซึมเซา ซึ่งสาเหตุมันก็ไม่ได้มาจากแค่ปัญหาที่พวกคุณกำลังเผชิญหน้าอยู่เท่านั้น แต่แรงดึงดูดบางอย่างในทางดาราศาสตร์ ก็สามารถเป็นสาเหตุของความสิ้นหวังดังกล่าวนี้ได้ด้วย พวกคุณต้องเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด ซึ่งพวกคุณก็มีความสามารถที่จะฟันฝ่าพวกมันไปได้ด้วย
ดังนั้น จงรับรู้ไว้ว่า “นิพพาน” (Nirvana) ในภาษาของพวกคุณ คือสิ่งที่จะบรรลุได้ด้วยเจตนคติที่จะทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ ไม่ใช่ด้วยการหลีกเลี่ยง /ด้วยการละเลยหรือด้วยการหลบหนี แต่จะบรรลุได้ด้วยการเผชิญหน้ากับสภาวะของโลกแห่งความเป็นจริงที่อยู่รอบๆตัวพวกคุณอย่างสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ
และถึงแม้การที่จะมีอำนาจเหนือความเป็นทวิภาวะกับประสบการณ์ที่ได้รับจากโลกใบนี้ได้นั้น เป็นเรื่องที่ยาก แต่มันคือสัจธรรมอันยิ่งใหญ่ และเป็นสัจธรรมอันสูงสุดของทวิภาวะเลยทีเดียว ซึ่งเป็นสิ่งหนึ่งที่มักจะถูกเข้าใจผิดกันอยู่เสมอๆด้วย
การศึกษาและเรียนรู้ชีวิต จำเป็นต้องมีการปฏิบัติ พวกคุณไม่สามารถที่จะแค่ซุกตำราไว้ใต้หมอนแล้วนอนหนุนมันเฉยๆ แต่พวกคุณจะต้องอ่านมันด้วย และต้องทำความเข้าใจมันไปทีละหน้า ทีละหน้า ทีละขณะ ทีละขณะ แล้วจากนั้นพวกคุณถึงจะเข้าใจและยอมรับได้อย่างเต็มภาคภูมิว่าชีวิตของพวกคุณคือโครงสร้างของสิ่งที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นอย่างหนึ่งจากแผนที่พวกคุณได้วางเอาไว้เพื่อพัฒนาการทางจิตวิญญาณของพวกคุณเอง ซึ่งนี่แหละคือสัจธรรมที่ยิ่งใหญ่ซะยิ่งกว่าอย่างหนึ่ง
พวกคุณเห็นไหมว่า เมื่อพวกคุณยอมรับสัจจธรรมขั้นสูงนี้ได้แล้ว พวกคุณก็จะมีโอกาสเอาชนะมันได้ในสิ่งที่พวกคุณเรียกว่า “พรหมลิขิต หรือ ชะตากรรม” (destiny) ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว มันก็คือสถานการณ์ต่างๆที่พวกคุณได้วางแผนเอาไว้ก่อนล่วงหน้าแล้วเพื่อใช้เป็นบทเรียนชีวิตของพวกคุณเองนั่นเอง และที่รักทั้งหลาย เจ้า “พรหมลิขิต หรือ ชะตากรรม” ตามศัพท์ของพวกคุณที่พวกคุณเขียนกันขึ้นมาเองอันนั่นแหละ ที่จะช่วยให้พวกคุณทั้งได้เผชิญหน้ากับปัญหาอุปสรรคต่างๆ และได้เนรมิตความปรารถนาของพวกคุณเองให้กลายเป็นจริง แต่ต้องไม่ใช่เป็นเพราะพวกคุณประท้วงในสิ่งที่พวกคุณไม่ชอบนะ
เพราะว่าการที่จะพบแสงสว่างแห่งความปรารถนาของพวกคุณได้ พวกคุณจะต้องจุดเพลิงปรารถนาขึ้นมาเสียก่อนเพื่อปลดปล่อยมันออกมาจากป้อมปราการที่กักขังมันเอาไว้อย่างแน่นหนา ซึ่งวิธีที่ดีที่สุดก็คือการยอมรับปัญหาอุปสรรคที่จะมาช่วยขัดเกลาตัวเองอันนั้นด้วยการใช้ชีวิตของพวกคุณเองให้เป็นแบบอย่างแห่งแสงสว่างแทนที่จะไปต่อต้านความมืดมิดที่ยังคงอยู่บนโลก 3d นี้ เพราะว่านั่นก็เท่ากับว่าพวกคุณเลือกที่จะแยกตัวเองให้พ้นขาดจากมัน
. . . . . . . . .
ตอนที่ 6.การเผชิญหน้าอย่างกล้าหาญและสมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ จะช่วยให้ชีวิตคุณ เจริญเติบโตขึ้นได้อย่างมีความหมายที่แท้จริง
ตอนที่ 6 : การยอมรับ (Acceptance)
ท่านคุรุทั้งหลาย ด้วยการยอมรับว่าพวกคุณมาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อมาเผชิญหน้ากับความท้าทายต่างๆ พวกคุณจึงจะสามารถสร้างสรรค์พลังงานที่จำเป็นสำหรับการเผชิญหน้ากับพวกมันได้อย่างแข็งแกร่งมากขึ้น เพราะเมื่อใดที่พวกคุณยอมรับมันได้แล้ว ความเป็นจริงที่ว่า การมีชีวิตนั้นเป็นทุกข์ ก็จะไม่ทำให้พวกคุณกลัวได้อีกต่อไป แต่มันจะเป็นแรงจูงใจให้นักรบแห่งจิตวิญญาณเข้าสู่การแก้ปัญหาแทน
ปัญหาใหญ่ที่สุดของพวกคุณที่มีต่อการยอมรับความเป็นเจ้าของของการกระทำของตัวเองและต่อการยอมรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง ต้นตอของมันมาจากความต้องการที่จะหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดอันเกิดจากผลของการกระทำนั้นๆนั่นเอง แต่พวกเราจะบอกพวกคุณว่า… การแก้ปัญหาโดยการเผชิญหน้าอย่างกล้าหาญและสมบูรณ์แบบไร้ที่ติต่างหาก ที่จะช่วยและเกื้อกูลให้ชีวิตของพวกคุณเจริญเติบโตขึ้นได้อย่างมีความหมายที่แท้จริง
การเผชิญหน้ากับปัญหาคือที่สุดของความโชคดีโดยบังเอิญ เพราะมันคือตัวแบ่งแยกระหว่างความสำเร็จและความล้มเหลว หรือถ้าจะกล่าวให้ดีกว่านี้ก็คือ แบ่งแยกระหว่างการเจริญเติบโตและการซบเซาลง เพราะว่าปัญหาทั้งหลายเหล่านี้จะบีบให้พวกคุณต้องใช้ความพยายามจนถึงที่สุดเพื่อแก้ไขพวกมัน และจะไปเสริมสร้างความกล้าหาญและภูมิปัญญาภายในให้กับเหล่าผู้แสวงหาหนทางอันสมบูรณ์แบบไร้ที่ติมันเป็นไปโดยไม่มีเงื่อนไข
และสถานการณ์แห่งความยากลำบากและปัญหาอุปสรรคที่ตึงเครียดทั้งหลายนั่นแหละ ที่จะทำให้พวกคุณมีการพัฒนาทางด้านจิตใจและด้านจิตวิญญาณสูงขึ้น เพราะว่ามันต้องอาศัยความเจ็บปวดที่เกิดจากการที่ต้องเผชิญหน้าและที่ต้องแก้ไขปัญหาชีวิต และ “โจทย์” ทั้งหลายเหล่านั้น จึงจะทำให้พวกคุณได้เรียนรู้ถึงความหมายที่ยิ่งใหญ่กว่า “วิทยาศาสตร์แห่งความรัก” ได้
ดวงใจที่รักทั้งหลาย ความเป็นจริงที่ตรงไปตรงมา นั่นก็คือความสำเร็จครั้งที่เจ็บปวดที่สุดของพวกคุณบางส่วนเท่านั้น ซึ่งอันที่จริงแล้ว มันก็คือพัฒนาการครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกคุณนั่นเอง ที่จะสามารถเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อพวกคุณตกอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยุ่งยากเท่านั้น
พวกคุณจะมีความพยายามมากที่สุด และยอมเผยความสามารถออกมาให้เห็นมากที่สุด ก็ต่อเมื่อพวกคุณกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ “ไม่สะดวกสบาย” เท่านั้น เช่น ในช่วงเวลาที่กำลังรู้สึกงุนงง, ช่วงเวลาที่ไม่น่าพึงพอใจ หรือแม้แต่ในช่วงเวลาที่กำลังเจ็บปวดรวดร้าว และสิ้นหวังด้วย เพราะในช่วงดังกล่าวนั้น ความไม่สะดวกสบายของพวกคุณจะผลักดันและกระตุ้นให้พวกคุณหลุดออกมาจากที่คุมขังอันจำกัดและดิ้นรนแสวงหาวิถีชีวิตที่ดีกว่า ที่น่าพึงพอใจมากกว่า และที่เป็นด้านจิตวิญญาณมากกว่าได้
. . . . . . . . .
ตอนที่ 7. พวกคุณกำลังจะได้ค้นพบบุคลิกลักษณะที่ยิ่งใหญ่กว่าของตนเอง
ตอนที่ 7 : ความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ คือสภาวะแห่งคุณงามความดี
(Impeccability – The State of Grace)
>> แล้วความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติคืออะไร ? เมื่อพวกเราให้นิยามของคำว่า “ความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ” (impeccability) ว่า.. มันก็คือง่ายๆ เพียงแค่ “พยายามทำให้ดีที่สุดอยู่เสมอ” เท่านั้น มันก็ไม่ได้หมายความว่า พวกเรากำลังจะไปลดคุณค่าของความหมายของคำๆนี้ให้น้อยลงเลยแม้แต่น้อย เพราะการที่จะตั้งมั่นอยู่ในความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติให้อยู่ได้ตลอดนั้น …..
}{= ยิ่งขอบเขตของสติปัญญา และความตระหนักรู้ของพวกคุณขยายออกไปมากขึ้นเท่าไหร่พวกคุณก็จะต้องยิ่งใช้ความพยายามมากขึ้นไปด้วยเท่านั้น และ
}{= ยิ่งความตระหนักรู้ของพวกคุณมีมากขึ้นเท่าไหร่ พวกคุณก็จะยิ่ง “รู้” มากขึ้นเท่านั้นด้วย และ
}{= ยิ่งพวกคุณรู้มากขึ้นเท่าไหร่ พวกคุณก็จะยิ่งมีความรับผิดชอบต่อชีวิตมากขึ้นเท่านั้นด้วยเช่นเดียวกัน
พวกคุณกำลังอยู่ในกระบวนการพัฒนาระดับความสั่นสะเทือนของการตระหนักรู้ของตัวเองอยู่ เพื่อให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณของพวกคุณเองอย่างมีสติสัมปชัญญะ
[] = พวกคุณกำลังจะกลายเป็นสิ่งที่จิตวิญญาณของพวกคุณเป็น
[] = พวกคุณกำลังจะค้นพบบุคลิกลักษณะที่ยิ่งใหญ่กว่าของตนเอง
ที่รักทั้งหลาย….. ที่พวกคุณมีพัฒนาการทางด้านจิตวิญญาณได้นั่นก็เพราะว่าพวกคุณได้เริ่มต้นแสวงหาความเจริญก้าวหน้าแล้ว และเพราะว่าพวกคุณกำลังลงมือกระทำอยู่ และกำลังฝึกฝนปฏิบัติเพื่อให้บรรลุถึงความสำเร็จนั้นอยู่นั่นเอง
<> ความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ เกี่ยวข้องกับการขยายตัวของความเป็นตัวตนของพวกคุณเองให้เข้าไปสู่วิวัฒนาการอย่างสุขุมรอบคอบ
<> ความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ จะทำให้พวกคุณอยู่ในสภาวะแห่งคุณงามความดี
>< แต่..… การมีความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติก็ไม่อาจอนุมานได้ว่าพวกคุณได้บรรลุการรู้แจ้งแล้ว หรือได้เรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกคุณจำเป็นจะต้องเรียนรู้จนหมดสิ้นแล้ว
>< แต่...มันหมายความว่าพวกคุณได้อยู่บนทางสายเอกเส้นนั้นแล้ว ซึ่งเป็นเส้นทางที่ถูกต้องที่จะนำพวกคุณไปสู่การรู้แจ้งได้ต่างหากเล่า
. . . . . . . . .
ตอนที่8. ความศักดิ์สิทธิ์ของพวกคุณเอง จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในลักษณะของโชคช่วยในสถานการณ์ที่กำลังย่ำแย่ได้อย่างทันท่วงที
>> ดังนั้น พวกเราจึงจะขอให้คำจำกัดความของคำว่า “ความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ” ไว้ในสองระดับชั้น หรือ สองระยะ ดังนี้ :-
: 1). ความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติแบบมีเงื่อนไข (Conditional Impeccability) :
ความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติในระดับนี้ คือ ความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติสำหรับรูปธรรมชีวิตที่ยังมีพัฒนาการไม่สูงมากนัก แต่ก็กำลังฝึกฝนปฏิบัติเพื่อการรู้แจ้งอยู่ กำลังทำดีที่สุดอยู่ กำลังใช้ความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่ เพื่อทำในสิ่งที่ถูกต้องอยู่ แม้ว่าอาจจะยังมีความไม่รู้ และยังมีความเข้าใจผิด เพราะความไร้เดียงสาอยู่บ้างก็ตาม
ซึ่งพวกเราหมายความว่า นั่นก็เพราะพวกคุณเชื่อจริงๆจังๆว่า สิ่งที่พวกคุณกำลังทำอยู่นั้น มันคือสิ่งที่ถูกต้องแล้ว แม้ว่ามันจะไม่ใช่ความจริงอันสิ้นสุด หรือความจริงที่สมบูรณ์แบบก็ตาม แต่พวกคุณทุกคนต้องผ่านระยะนี้ด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งในระยะนี้ ถ้าพวกคุณทำอะไรผิดพลาดไป มันก็คือความผิดพลาดแบบซื่อๆ เพราะว่าพวกคุณเชื่อจริงๆว่าพวกคุณกำลังทำในสิ่งที่พวกคุณรู้สึกว่ามันถูกต้องอยู่
: 2) ความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติแบบผู้รู้ผู้ตื่น (Mastery Impeccability) :
ความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติในระยะนี้ เป็นของจิตวิญญาณที่กำลังมีประสบการณ์ในร่างมนุษย์ ที่เป็นผู้รู้ผู้ตื่นแล้ว เป็นผู้ที่มีพัฒนาการทางด้านจิตวิญญาณสูงมากแล้ว และเป็นผู้ที่ยึดมั่นในสัจจะของตนเอง พวกเขาจะไม่มีความขัดแย้งเกิดขึ้นภายในระหว่างสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นหนทางที่ถูกต้อง กับสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่
ซึ่งทั้งสองระยะนี้จะไปกระตุ้นให้เกิดสิ่งที่พวกคุณอาจเรียกว่า “สภาวะแห่งกุศลผลบุญที่ถูกเร่งขึ้น “ ซึ่งเป็นความช่วยเหลือจากความศักดิ์สิทธิ์ของตัวคุณเอง เพื่อช่วยให้สถานการณ์ต่างๆเกิดผลสำเร็จขึ้นเมื่อคุณกำลังพยายามทำอย่างสุดความสามารถของคุณอยู่
มันอาจถูกเข้าใจว่าเป็นความช่วยเหลือจาก “เทพผู้พิทักษ์” (Guardian Angel) ก็ได้ เพราะว่าในหลายๆกรณี มันก็คือความช่วยเหลือจากเทพผู้พิทักษ์จริงๆนั่นแหละ เพราะว่าความศักดิ์สิทธิ์ของพวกคุณเอง จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในลักษณะของโชคช่วยในสถานการณ์ที่กำลังย่ำแย่ได้อย่างทันท่วงที
ซึ่งหากพวกเราจะให้คำจำกัดความของคำที่ศาสนาของพวกคุณเรียกกันว่า “บาป” ใหม่นั้นมันก็จะไม่ได้หมายถึงเรื่องที่ขึ้นอยู่กับศีลหรือข้อบัญญัติทางศาสนา(commandments) แต่อย่างใด แต่มันจะหมายถึง “การไม่นำความรู้มาใช้ให้เป็นประโยชน์” มากกว่า ที่เป็นการกระทำที่พวกคุณก็ “รู้” ว่ามันไม่ถูกต้อง หรือการกระทำที่ขัดแย้งกับความเชื่อสูงสุดของตัวคุณเอง
. . . . . . . .
ตอนที่ 9. การที่จะบรรลุเป้าหมายของการเจริญเติบโตด้านจิตวิญญาณได้นั้น คุณต้องเข้าไปยัง “สวนแห่งภูมิปัญญาอันศักดิ์สิทธิ์” แห่งนี้
>> พวกคุณทุกคนอยากมีภูมิปัญญาที่มากขึ้นกว่าที่มีอยู่เดิม ก็จงค้นหา !! แล้วพวกคุณจะพบมัน คุรุทั้งหลาย…. พวกคุณจะพบว่า “ มันได้ถูกซ่อนไว้ข้างในตัวของพวกคุณเอง “ และมันเป็นเรื่องน่าเศร้ามาก ที่มันมักจะเป็นที่สุดท้ายที่พวกคุณจะมองหามัน เพราะมันต้องอาศัยการฝึกฝนและปฏิบัติ
พวกคุณรู้ไหมว่า การเชื่อมโยงอันศักดิ์สิทธิ์ระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์นั้นอยู่ภายในสิ่งที่นักวิชาการของพวกคุณเรียกกันว่า “จิตใต้สำนึก” ซึ่งแม้แต่คัมภีร์ทางศาสนาของพวกคุณเอง ก็ยังบอกเลยว่า พระเจ้าอยู่ภายในตัวของพวกคุณ และยังบอกอีกว่าพวกคุณคือประกายแห่งพระเจ้า
จิตใต้สำนึก หรือสิ่งที่พวกคุณเรียกกันว่า “สมองส่วนหลัง” (back brain) นั้นคือส่วนที่เป็นพระเจ้าของพวกคุณเอง มันคือส่วนที่ยิ่งใหญ่กว่าของพวกคุณเอง (your greater self) ที่บรรจุ” ความรู้แห่งสรรพสิ่งทั้งปวง” (All That Is) เอาไว้ และมันคือส่วนที่เก็บ “ บันทึกแห่งฟ้า “ (Akashic Records) ซึ่งเป็นความทรงจำทั้งหมดของจิตวิญญาณของพวกคุณเอาไว้ เพราะว่า…..” จิตใต้สำนึก ก็คือจิตใจแห่งพระเจ้าที่อยู่ภายในตัวของพวกคุณ “
ดังนั้น การที่จะบรรลุเป้าหมายของการเจริญเติบโตด้านจิตวิญญาณได้จึงจะต้องเข้าไปยัง “สวนแห่งภูมิปัญญาอันศักดิ์สิทธิ์” (Sacred Garden of Wisdom) นี้ และการที่จะเข้าไปในสวนแห่งภูมิปัญญาอันศักดิ์สิทธิ์นี้ได้ก็ต้องทำจิตใจแห่งอัตตา (ego mind) ให้เงียบสงบลงซะก่อน และนั่นจึงทำให้วิธีการทำสมาธิถูกใช้เป็นประตูทางเข้าเสมอมา
การทำสมาธิ คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้…. “เสียงบรรยายแห่งอัตตาตัวตน “… เงียบสงบลง …และจะทำให้พวกคุณสามารถได้ยิน…. “เสียงจากจิตวิญญาณอันศักดิ์ศิทธิ์” ..(Voice of the Divine Soul) ได้ และพวกเราจะขอพูดซ้ำอีกครั้งว่า มันจำเป็นต้องมีความเพียรพยายาม และมันก็ไม่มีทางลัดใดๆทั้งสิ้น เพราะการบรรลุถึงความเป็นพระเจ้า (God-ness) ให้ได้อีกครั้งหนึ่งนั้น คือเป้าหมายของพวกคุณทุกคนในการดำรงอยู่บนระนาบแห่งความเป็นขั้วนี้ พวกคุณเกิดมาเพื่อที่จะเป็นสิ่งที่พวกคุณน่าจะเป็น นั่นก็คือ เป็นผู้ที่มีการตระหนักรู้คนหนึ่ง เป็นภาคหนึ่งของพระเจ้าในมิติทางกายภาพ และเป็นภาคหนึ่งของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในความเป็นอยู่มีอยู่ (Beingness)
. . . . . . . . .
10.’ ชีวิตคือของขวัญ ’ และที่พวกคุณมาที่นี่ก็เพื่อมาบรรลุความเป็นผู้รู้ผู้ตื่น ซึ่งก็มีพวกคุณหลายคน ที่ใกล้จะบรรลุแล้ว
>> ความท้าทายอันนั้น (การบรรลุถึงความเป็นพระเจ้าให้ได้อีกครั้งหนึ่ง – ผู้แปล)คือการสำรวจของจิตวิญญาณของพวกคุณ และเป็นเป้าหมายที่แท้จริงของพวกคุณในการเดินทางผ่านชาติภพต่างๆ บนโลกทางกายภาพนี้ วันเวลาก็จะเดินไปเรื่อยๆไม่หยุดนิ่ง
การบรรลุถึงสภาวะแห่งความเป็นพระเจ้าในมิติทางกายภาพนี้จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อถึงเวลาอันสมควรแล้วเท่านั้น โดยอาศัยการผสมผสานกันระหว่างความปรารถนาอันบริสุทธิ์ที่ถูกปลุกเร้าขึ้นในมิติทางกายภาพ กับภูมิปัญญาของมิติที่ไม่ใช่มิติทางกายภาพ แต่มันก็เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลาในโลกแห่งความเป็นขั้วนี้
การเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์และพลังงานต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ ณ. ขณะนี้ ในช่วงเวลาแห่งการกระตุ้นนี้ สามารถที่จะเหวี่ยงพวกคุณให้หลุดจากจุดศูนย์กลางได้ง่ายๆเลยทีเดียว มันจึงทำให้พวกคุณกำหนดเป้าหมายที่แท้จริงของตัวเองได้อย่างยากลำบาก รวมถึงความเข้าใจและสิ่งที่จะช่วยทำให้พวกคุณมั่นคงอยู่ได้ มันก็อยู่เคียงคู่กัน ระหว่างมายาการและโลกแห่งความเป็นจริงที่พวกคุณรับรู้อยู่
พวกคุณอาจรู้สึกว่าพวกคุณกำลังมีชีวิตอยู่ในความหลอกลวง และไม่มีอะไรเลยที่มันเป็นอย่างที่มันดูเหมือนว่าจะเป็นจริงๆ ซึ่งในขั้นตอนนี้ มันอาจทำให้พวกคุณรู้สึกสับสนและชะล่าใจได้ และอาจทำให้พวกคุณหลงลืมกาลเวลาได้
ที่รักทั้งหลาย….. ชีวิตของพวกคุณ ทุกชั่วขณะของชีวิตทางกายภาพของพวกคุณล้วนมีคุณค่าทั้งสิ้นและมีคุณค่ามากกว่าที่พวกคุณส่วนใหญ่จะรู้จักใช้ประโยชน์จากมันซะอีก เวลาเป็นสิ่งมีค่า แต่มันก็มีขอบเขตอยู่ในโลกแห่งความเป็นทวิภาวะของพวกคุณเท่านั้น และพวกคุณแต่ละคนที่กำลังอ่านข้อความนี้อยู่ สักวันหนึ่งในอนาคตข้างหน้า ก็จะต้องเปลี่ยนรูปแบบ และจากโลกทางกายภาพนี้ไป ซึ่งในศัพท์ของพวกคุณ พวกคุณเรียกกันว่าการตายนั่นเอง
พวกคุณจะต้องตาย เพราะว่ามันเป็นธรรมชาติอย่างหนึ่งของโลกทางกายภาพอย่างที่พวกคุณก็รู้กันดีอยู่แล้ว แต่ว่าพวกคุณหลายๆคนก็ยังทำตัวราวกับว่า จะมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์อย่างนั้นแหละ …จริงอยู่….ที่จิตวิญญาณเป็นสิ่งที่จะคงอยู่ชั่วนิจนิรันดร์ แต่ว่าในแต่ละภพชาติหรือในแต่ละภาคของความเป็นตัวตนของพวกคุณ พวกคุณก็จะไม่ได้เป็นคนๆเดิมอีกแล้ว ไม่ได้มีบุคลิกภาพแบบเดิมอีกแล้ว หรือไม่ได้มีรูปลักษณ์อย่างที่พวกคุณกำลังเป็นอยู่ในขณะนี้อีกแล้ว
ที่รักทั้งหลาย….. พวกคุณมาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อที่จะมาเรียนรู้ความเป็นภาคหนึ่งของพระเจ้าของตัวเอง ที่อยู่ในความเป็นทวิภาวะนี้ และแน่นอนว่าความเป็นทวิภาวะก็คือของขวัญอย่างหนึ่งด้วย “ ชีวิตคือของขวัญ “ พวกคุณมาที่นี่ก็เพื่อที่จะมาเรียนรู้ว่าจะสามารถทำหน้าที่เป็นผู้สร้างร่วม (co-create) ได้อย่างไร เพราะว่าแท้ที่จริงแล้ว พวกคุณก็คือผู้สร้างร่วมของจักรวาล และของเอกภพนั่นเอง
พวกคุณมาที่นี่เพื่อมาบรรลุความเป็นผู้รู้ผู้ตื่น (Mastery) ซึ่งก็มีพวกคุณหลายคน ที่ใกล้มากแล้ว และใกล้ที่จะบรรลุมากแล้ว
. . . . . . . . . . . .
11. เมื่อพวกคุณได้เห็นคุณค่าของเวลาที่ชีวิตให้มาแล้ว พวกคุณก็จะสามารถใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด “ เพื่อที่จะทำวันนี้ให้ดีที่สุด “
ตอนที่ 11 : จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด (Seize the Day)
>> ท่านคุรุทั้งหลาย พวกคุณจะยังไม่สามารถอยู่ในสถานะของผู้มีคุณงามความดีที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติได้ จนกว่าพวกคุณจะเห็นคุณค่าของตัวเองอย่างแท้จริงซะก่อน และด้วยเหตุนี้ พวกคุณจึงจะยังไม่ถูกกระตุ้นให้เห็นคุณค่าของเวลาของตัวเอง และใช้มันอย่างเหมาะสมที่สุดอย่างแท้จริงได้
เพราะหากพวกคุณยังไม่รู้จักเห็นคุณค่าของเวลาที่ชีวิตให้มาแล้ว พวกคุณก็จะยังไม่สามารถใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด เพื่อทำให้ดีที่สุดได้ “Carpe Diem” ที่มีความหมายว่า “Seize the day “(ทำวันนี้ให้ดีที่สุด) และมันก็เป็นคำพูดที่เหมาะสมดี (Carpe Diem เป็นภาษาละตินเป็นวลีหนึ่งจากบทกวีของ Horace นักกวีชาวโรมยุค 65 ปีก่อนคริสตกาล – ผู้แปล)
พวกคุณต้องไขว่คว้าทุกช่วงขณะเอาไว้ ! ซึ่งก็ยังมีพวกคุณเป็นจำนวนมาก ที่แม้ว่าจะมีเจตนาดีก็ตาม แต่ก็ปล่อยให้ตัวเองถูกกล่อมให้หลับใหล และจมอยู่แต่ในความพึงพอใจของระยะใดระยะหนึ่งหรือในสภาวะใดสภาวะหนึ่งของเส้นทางชีวิตที่พวกคุณได้เลือกมาแล้ว
พวกคุณหลายคนก็สูญเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ หรือใช้เวลาไม่คุ้มค่า และสิ้นเปลืองภพชาติ ภพชาติแล้วภพชาติเล่า ไปโดยเปล่าประโยชน์ สิ่งที่พวกคุณไม่ยอมเผชิญหน้า สิ่งที่พวกคุณไม่ยอมแก้ไขในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งหรือในภพชาติใดภพชาติหนึ่งนั้นมันก็จะผุดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง แล้วพวกคุณก็จะต้องเจอกับมันซ้ำแล้วซ้ำอีก จนกว่าพวกคุณจะแก้ไขมันได้สำเร็จ และนั่นก็คือสัจธรรมอันยิ่งใหญ่อย่างหนึ่งเลยทีเดียวท่านคุรุทั้งหลาย
การรู้จักใช้เวลาให้เป็นประโยชน์ในโลกแห่งทวิภาวะนี้ เป็นสิ่งสำคัญมาก และนั่นแหละคือภาระหน้าที่อันซับซ้อนอย่างหนึ่ง เพราะว่ามันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากพวกคุณจะแสวงหาความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติและมันก็มีความจำเป็นอย่างมากที่จะต้องรักตนเองด้วย
เพราะตราบใดที่พวกคุณยังมองไม่เห็นคุณค่าของตัวเองได้อย่างแท้จริงแล้ว พวกคุณก็จะยังมองไม่เห็นคุณค่าของชีวิตและคุณค่าของเวลาของตัวเองได้อย่างแท้จริงด้วย ซึ่งต้องรอจนกว่าพวกคุณจะมองเห็นคุณค่าของเวลาของตนเองได้จริงๆแล้วโน่นแหละ พวกคุณจึงจะไม่ถูกเคี่ยวเข็ญให้ใช้มันไปให้มากที่สุดได้มันเป็นธรรมชาติ
การฝึกฝน คือเครื่องมือพื้นฐานในการแก้ไขปัญหาชีวิต หากปราศจากการฝึกฝนแล้ว มันก็ยากที่พวกคุณจะมีแรงผลักดันที่จำเป็นต่อการหันมาใส่ใจเพื่อลงมือแก้ไขปัญหาของตัวเอง หรือพูดง่ายๆว่า พวกคุณอาจจะกลายเป็นคนที่เฉยชา…ไม่มีความกระตือรือร้น ชะล่าใจ หรือ เกียจคร้านไปเลยก็ได้ บน “บันไดของการเลื่อนระดับขึ้น” (Ladder of Ascension) นี้ พวกคุณอาจจะไต่ขึ้นไปก็ได้ หยุดอยู่กับที่ก็ได้ หรือจะไต่ลงมาก็ได้ด้วย
โลกทางกายภาพในมิติที่ 3 นี้ มันมีกฎอยู่ว่า พลังงานที่อยู่ในระดับสูงๆจะลดระดับลงมาตามธรรมชาติ เมื่อมันอยู่ในสภาวะที่ไม่มีการเคลื่อนไหว และในระนาบทางกายภาพนี้ ตามกฎธรรมชาติแล้ว การอยู่ในสภาวะนิ่งๆสบายๆจึงเป็นเรื่องที่ง่ายกว่าการเคลื่อนที่ขึ้นไปด้านบน มันเป็นเหตุและผลที่ชัดเจน
“กฎแห่งความรัก” (Law of Love) ซึ่งเป็นกฎที่คอยผลักดันให้ทุกจิตวิญญาณก้าวไปสู่การมีจิตสำนึกที่สูงกว่า และมันจำเป็นจะต้องอาศัยความไม่หยุดนิ่ง (dynamics) … ซึ่งนั่นก็คือ…การลงมือทำ! นั่นเอง
และความเกียจคร้านนั้น.. มันเป็นอุปสรรคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งของพวกคุณ เพราะการลงมือทำ มันหมายถึงการว่ายทวนกระแสน้ำ….เพราะฉนั้นแล้ว…..จงทำวันนี้ให้ดีที่สุด!
. . . . . . . . . . .
12.จงใช้เวลาเพื่อทบทวนตัวเองในแบบหลากมิติ และมุ่งมั่นเพื่อที่จะค้นหาว่า ยังมีสิ่งใดหลงเหลือให้ต้องชำระสะสางอยู่อีกหรือไม่
ตอนที่ 12 : ความเป็นระเบียบอย่างสมบูรณ์แบบ (Perfect Order)
>> พวกคุณบางคนพูดและรู้สึกว่า “ทุกๆสิ่งมันเป็นไปอย่างที่มันควรจะเป็นแล้ว ทุกๆอย่างมันเป็นระเบียบอย่างสมบูรณ์แบบดีอยู่แล้ว ” แต่ว่า..ท่านคุรุทั้งหลาย..ตรงนั้นมันยังมีข้อขัดแย้งอยู่นะ ซึ่งก็เหมือนกับหน้าไพ่ที่ไม่ว่าพวกคุณจะมองจากด้านบนหรือด้านล่างของมัน มันก็จะมีด้านที่กลับหัวอยู่เสมอนั่นแหละ พวกคุณเข้าใจหรือไม่ ? คือจากมุมมองของมิติที่สูงกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นระเบียบอย่างสมบูรณ์แบบดีอยู่แล้ว แต่จากมุมมองของมนุษย์โลกที่อยู่ในทวิภาวะนี้ มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นเลย!
เพราะถ้ามันเป็นอย่างนั้นได้ มันก็ไม่ต้องมีบทเรียนอะไรแล้วสินะ มันก็ไม่ต้องมีสิ่งที่พวกคุณเรียกกันว่า “การเวียนว่ายตายเกิด” กันแล้ว มนุษย์แต่ละคน จะต้องมองไปรอบๆตัวและรู้ว่าสภาพความทุกข์ของมนุษย์ที่เป็นอยู่บนโลกใบนี้ มันช่างห่างไกลจากความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติเสียจริงๆ …และแน่นอน…ว่ามันจะไม่เป็นไปอย่างที่มันควรจะเป็น จนกว่าพวกคุณจะทำให้มันเป็นซะก่อน!
พลังงานที่ยังไม่ได้สะสางทั้งหมดจะต้องถูกเปลี่ยนสภาพไปให้หมดซะก่อน ก่อนที่พวกคุณจะก้าวเข้าไปสู่ความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติได้ เพราะตราบใดที่พวกมันยังไม่รับการเผชิญหน้า มันก็จะโผล่ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งครั้งแล้วครั้งเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่า จนกว่าพวกคุณจะยินยอมที่จะเผชิญหน้ากับมันและทำให้มันสูญสลายหายไป!
พวกเรากล่าวถึงเรื่องนี้อย่างไม่มีการตัดสินชี้ถูกผิดใดๆ พวกเราแค่ชี้ทางให้พวกคุณ เพื่อช่วยเหลือพวกคุณเท่านั้น เพราะสักวันหนึ่ง ทุกปัญหาก็จะต้องได้รับการเผชิญหน้าอยู่แล้ว ยิ่งพวกคุณก้าวหน้าขึ้นไปมากเท่าไร พวกคุณก็จะยิ่งเก็บกวาดเศษเล็กเศษน้อยชิ้นสุดท้ายที่ยังหลงเหลืออยู่ของปัญหาที่ยังไม่ได้ถูกสะสางได้ยากมากขึ้นเท่านั้นด้วย เพราะพวกมันมักจะถูกซ่อนเร้นไว้อย่างมิดชิดเสมอๆ ซึ่งพลังงานที่ยังไม่ได้รับการสะสางหรือปัญหาสุดท้ายเหล่านี้ก็จะกลายเป็นสิ่งที่มีขั้ว และถูกขับไล่ออกไปจากขอบเขตความนึกคิดของพวกคุณ แล้วมันก็จะถูกลืมและตกค้างอยู่ต่อไปอีกหลายภพชาติ
ดวงใจอันเป็นที่รักทั้งหลาย…. จงใช้เวลาเพื่อทบทวนตนเองในแบบหลากมิติ อันเป็นคุณลักษณะแห่ง Mer-Ka-Na เถิด (Mer-Ka-Na เป็นอะไรที่เกี่ยวกับจิต หรือจิตใต้สำนึกครับ – ผู้แปล) และโปรดมุ่งมั่นค้นหาว่ายังมีสิ่งใดเหลืออยู่ ให้ต้องชำระสะสางอีกหรือไม่เถิด
. . . . . . . . . . .
13. แม้แสงสว่างอันเจิดจ้าของคุณจะไปดึงดูดสิ่งที่มีขั้วตรงกันข้ามกันให้เข้ามามากยิ่งขึ้น..แต่คุณก็สามารถจัดการกับมันได้
ตอนที่ 13 : ฟิสิกส์แห่งความเป็นขั้ว – กฎแห่งการดึงดูดสิ่งที่ตรงกันข้าม
>>ท่านคุรุทั้งหลาย …
::- ยิ่งพวกคุณเข้าไปใกล้แสงสว่างมากขึ้นเท่าใดพวกคุณก็จะยิ่งดึงดูดความมืดให้เข้ามาหาได้มากขึ้นเท่านั้นด้วย” แสงสว่างย่อมดึงดูดแมลงให้เข้ามาหาเสมอ! และ
::- ยิ่งพวกคุณก้าวหน้ามากขึ้นเท่าไร พวกคุณก็จะยิ่งดึงดูดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ให้เข้ามาหาได้มากขึ้นเท่านั้นด้วย และมันก็ยิ่งจะต้องใช้สติปัญญาเพื่อแก้ไขปัญหามากขึ้นตามไปด้วย
และด้วยเหตุนี้ คุณลักษณะความเป็นขั้วของ “กฎแห่งการดึงดูดสิ่งที่ตรงกันข้าม” (Law of Opposite Attraction) จึงเข้ามามีบทบาทด้วย แต่ถ้าพวกคุณอยู่ในสภาวะของการอุเบกขาได้สิ่งที่เกิดขึ้นก็จะเป็นแค่คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเท่านั้น เพราะว่า “พลังงานบวกล้วนๆ จะมีแรงดึงดูดด้านแม่เหล็กต่อพลังงานลบมากที่สุด”
ดังนั้น ยิ่งแสงสว่างของพวกคุณเจิดจ้ามากขึ้นเท่าไหร่แรงดึงดูดสิ่งที่มีขั้วตรงกันข้ามกัน ก็จะยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้นด้วย แต่พวกคุณก็สามารถที่จะจัดการกับมันได้ เพียงแต่พวกคุณจะต้องมีแสงสว่าง มีความอ่อนน้อมถ่อมตน มีความเข้มแข็ง และมีการฝึกฝนปฏิบัติเพื่อเบี่ยงเบนมันออกไปเท่านั้น ดังนั้น การจัดการกับคำสบประมาท, กับพลังงานอันรุนแรงของความริษยา,กับความเกลียดชังและความโกรธ ก็คือปริศนาชิ้นสำคัญสู่การบรรลุความเป็นผู้รู้ผู้ตื่นที่สมบูรณ์แบบไร้ที่ติ
พวกคุณจะมีวิธีจัดการกับสิ่งนี้ได้อย่างไร ? … ก็เพียงแค่อย่าไปถือสาหาความ (Don’t take anything personally)’ ซึ่งบางทีการพูดมันก็ง่ายกว่าการทำ แต่มันก็เป็นเรื่องจริงทีเดียว
ในคัมภีร์ไบเบิ้ลของพวกคุณ ก็มีกล่าวถึงเรื่องของการหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้ตบเอาไว้ด้วย …
(“ผู้ใดตบแก้มท่านข้างหนึ่ง จงหันแก้มอีกข้างหนึ่งให้เขาตบด้วย” (ลก 6:29) – ผู้แปล)
แล้วมันหมายความว่าอย่างไร? มันไม่ได้หมายถึง การที่พวกคุณสามารถยกโทษให้กับคนที่เหยียบเท้าของพวกคุณได้หรอกนะ เพราะจริงๆแล้ว มันหมายความว่า “จงยืนหยัดอยู่ในสัจธรรมของตัวคุณเอง” แล้วมันก็หมายถึงว่า พวกคุณจะต้องไม่ไปเหยียบเท้าใครเข้าให้ด้วยนะ ไม่ว่าจะด้วยเจตนาหรือไม่ก็ตาม นี่พวกคุณเข้าใจไหม ?
. . . . . . . . . .
ตอนที่ 14. พวกคุณต่างก็มีโอกาสที่จะอยู่ใน ”ความสมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ “ ได้ทุกๆวัน
>> การยืนหยัดอยู่ในความถูกต้องของตัวเองคือ การแสดงออกอย่างสันติ มันคือการแสดงออกถึงความมีเมตตากรุณาต่อการรุกราน ที่จะช่วยรักษาคุณงามความดี และความสง่างามของทั้งสองฝ่ายเอาไว้ และมันก็จะส่งพลังงานที่รุกรานเข้ามากลับคืนไปยังต้นตอของมันได้โดยปราศจากความอาฆาตพยาบาท จะมีแต่ความรัก
และในท่ามกลางความขัดแย้ง พวกคุณแต่ละคนก็ยังมีโอกาสที่จะยืนอยู่ใน “ความสมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ” ได้เสมอ …เพราะ -:- พวกคุณสามารถจัดการกับปัญหาข้อขัดแย้งนั้นได้ โดยไม่ต้องเข้าไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งของมัน พวกคุณเข้าใจไหม ? และ -:- พวกคุณสามารถรับมือกับมัน และ เผชิญหน้ากับมันได้โดยไม่ต้องเข้าไปมีอารมณ์ร่วมกับมันได้ “ ด้วยการทำตัวเป็นผู้สังเกตการณ์ “ ก็พอ
ถึงมันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มันก็เป็นวิถีแห่งคุรุ เพราะการที่พวกคุณ ‘ไม่ไปถือสาหาความ (Don’t take anything personally)’ นั้น ก็เท่ากับว่าพวกคุณวางเฉยต่อการตอบสนองกับอารมณ์เหล่านั้นแล้ว
พวกคุณแต่ละคนมีโอกาสที่จะอยู่ใน ความสมบูรณ์แบบอย่างไร้ที่ติ ได้ทุกๆวัน เพราะว่าในสถานการณ์ใดก็ตาม ที่พวกคุณสามารถตระหนักรู้ถึงความล้มเหลวของตัวเอง, หรือความขัดแย้งของตัวเอง และกับความถูกต้องเหมาะสมได้ นั่นแหละ!! คือวันที่พวกคุณอยู่ในความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ
และแน่นอนว่ามันก็เป็นการเดินทางอย่างหนึ่ง เพราะมันก็เหมือนกับการที่พวกคุณ ยืนหยัดอยู่บนความเป็นจริงของตัวเองและพยายามที่จะยอมรับในความเป็นจริงของผู้อื่นด้วยเช่นกัน เพราะพวกคุณก็กำลังอยู่ในความถูกต้องเหมาะสมแล้วด้วยเช่นกัน
การที่จะบรรลุและเข้าถึงสภาวะจิตใจแห่งพระเจ้าได้ ก็ด้วยการผ่านคลื่นความสั่นสะเทือนของ Mer-Ka-Na คริสตัลไลน์ที่อยู่ภายในคลื่นความคิดแบบคริสตัลเท่านั้น เพราะกระแสความคิดแบบคริสตัลไลน์ จะอยู่เหนืออารมณ์ อยู่เหนือความรู้สึกหยุมหยิม มันจะสำเร็จลงได้ด้วยการวางอุเบกขา และมันคือ ทะเลสาบคริสตัลแห่งซัมบาลา (crystalline lake of Shamballa) มันคือนิพพานที่แท้จริง ที่เรียบเนียนราวกับกระจกที่ปราศจากคลื่นใดๆมาบิดเบือนภาพสะท้อนของมัน
. . . . . . . . .
ตอนที่ 15. หากพวกคุณไม่ยอมเรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีตของตัวเอง พวกคุณก็จะเป็นผู้ที่กำหนดโชคชะตาที่ซ้ำๆซากๆเช่นนั้นอีกให้กับตัวเอง
สวัสดีท่านคุรุและ ที่รักทั้งหลาย ….มันมีวิทยาศาสตร์อยู่เบื้องหลัง “กฎแห่งการดึงดูด” (Law of Attraction) และวิทยาศาสตร์นั้นก็คือ “กฎแห่งความเชื่อ” (Law of Belief) และกฎแห่งความเชื่อ คือ กฎที่คอยจัดการกับสิ่งที่พวกคุณสร้างขึ้นมาในชีวิตของพวกคุณ ซึ่งภายในกฎแห่งความเชื่อนี้ ประกอบไปด้วยภาคผนวกของ “โจทย์” ต่างๆ ที่พวกคุณได้วางแผนไว้และทำข้อตกลงไว้กับตัวเอง เพื่อการเติบโตทางด้านจิตวิญญาณของพวกคุณเอง
แน่นอนว่า บทเรียนทั้งหลายที่พวกคุณเองเป็นผู้จัดเตรียมไว้นี้จะสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ได้ก็ด้วยการเผชิญหน้ากับมัน ด้วยการมุมานะฝึกฝนและปฏิบัติเท่านั้น เพราะฉะนั้น มันจึงมีความสำคัญยิ่งที่พวกคุณจะต้องระลึกไว้อยู่เสมอว่า “ ชีวิตของพวกคุณไม่เคยเป็นไปตามยถากรรมเลย “ พวกคุณไม่เคยถูกปล่อยให้ต้องเผชิญกับโชคชะตาที่ไม่สามารถอธิบายได้อย่างสิ้นหวัง เหมือนเรือที่หลงทางอยู่กลางทะเลเลย
ท่านคุรุทั้งหลาย ไม่มีสาเหตุใดเลย ที่จะสามารถควบคุมพวกคุณได้ ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ทางจิตใจ หรือเหตุการณ์ทางกายก็ตาม เพราะ เมื่อใดที่มนุษย์อย่างพวกคุณมีความเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงศักยภาพอันมหาศาลของสมองของตัวเอง ที่เก็บบันทึกความเชื่ออันหลากหลายที่สรุปรวบยอดมาจากประสบการณ์ของตัวเองแล้ว พวกคุณก็จะเข้าใจว่าพวกคุณมีทางเลือกอยู่มากมายก่ายกองนับอนันต์
แต่สำหรับพวกคุณหลายคน ที่ยึดติดอยู่แต่กับความเชื่อเก่าๆ และความเชื่อที่มีข้อจำกัดเหล่านั้น พวกคุณก็จะจมปลักอยู่แต่ในวัฏจักรของการสนองตอบในแบบที่ได้ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้วก็วนไปวนมาอยู่อย่างนั้น… ซึ่งการตอบสนองที่ว่านี้ก็รวมถึงการมีแนวโน้มที่จะปิดกั้นวิธีการแก้ปัญหาวิธีใหม่ๆด้วย ตลอดจนถึงการปฏิเสธความคิดที่ดีกว่าด้วย
ในกรณีนี้ หมายความว่า หากพวกคุณไม่ยอมเรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีตของตัวเองพวกคุณก็จะเป็นผู้ที่กำหนดโชคชะตาที่ซ้ำๆซากๆเช่นนั้นให้กับตัวเองอีก และแน่นอนว่า พวกคุณก็จะต้องวนเวียนอยู่ในวงจรที่ซ้ำๆซากๆนั้นต่อไปจนกว่าพวกคุณจะเรียนรู้ให้ได้ซะก่อนว่าวิธีการทำงานของกระบวนการที่จะเข้าให้ถึง “จิตใจอันศักดิ์สิทธิ์/จิตใจแห่งพระเจ้า”(Divine Mind) นั้นเป็นอย่างไร นั่นแหละ…จึงจะเป็นความเป็นจริงสำหรับมนุษย์ทุกผู้ทุกนาม
. . . . . . . . .
16.สิ่งที่เรียกว่า’กรรม’นั้น มันไม่ใช่“หนี้”ที่ใครต้องชดใช้ให้กับใครอื่น แต่เป็นหนี้ที่ต้องชดใช้ให้กับตัวเองเพื่อให้ตัวเองสมดุล
>> กฎ 3 ข้อ (Three Laws) ซึ่งภายใต้กฎแห่งการดึงดูดนี้ มันมีกระบวนการย่อยๆที่แตกต่างกันอยู่ 3 กระบวนการ ซึ่งทั้ง 3 กระบวนการนี้ ก็จะมีเงื่อนไขแห่งการบรรลุผลที่แตกต่างกันอยู้่อย่างชัดเจน ซึ่งพวกเราจะขอให้คำจำกัดความ ของคุณลักษณะหลักๆของแต่ละกฎไว้ดังนี้ :
:::- กฎของการดึงดูด (The Law of Attraction ) : ความคิดทั้งหลายมีคลื่นความถี่ของตัวมันเอง และจะดึงดูดคลื่นความถี่ที่เหมือนกันเข้ามาหามัน
:::- กฎแห่งความเชื่อ (The Law ofBelief) : การรู้แบบไม่มีข้อสงสัยเลย พวกคุณจะสามารถเนรมิตได้ก็เฉพาะสิ่งที่พวกคุณเชื่อว่ามันเป็นไปได้เท่านั้น :::- กฎแห่งการสร้างสรรค์อย่างมีสติสัมปชัญญะ (The Law of Conscious Creation) : ความสามารถในการเนรมิตสิ่งที่ปรารถนา &เหตุการณ์ต่างๆออกมาด้วยความตั้งใจ และอย่างมีสติสัมปชัญญะผ่านทางจิตที่เป็นหลากมิติในสนามพลังงาน Mer-Ka-Na. (ปล. Mar-Ka-Na คือระบบกายแห่งแสงสว่างของเรา – ผู้แปล) โจทย์ที่อยู่ในพันธะสัญญาทางจิตวิญญาณ (Soul Contract Set-Ups)
ดังนั้น พวกเราจึงขอย้ำให้ชัดๆลงไปอีกครั้งว่า ความเชื่อทั้งหลายของพวกคุณเองนั่นแหละ ที่ถูกฉายออกมาแล้วไปสร้างโลกแห่งความเป็นจริงส่วนตัวและส่วนรวมของพวกคุณเองขึ้นมา อย่างที่พวกเราได้สนทนากันไปแล้ว
ซึ่งในหัวข้อของข้อความก่อนหน้านี้ มันมีบทละครที่ถูกวางแผนเอาไว้แล้ว โดยตัวตนที่สูงส่งกว่าของพวกคุณเอง ตัวตนด้านที่เป็นจิตอันศักดิ์สิทธิ์/จิตแห่งพระเจ้าในตัวพวกคุณเอง ซึ่งบทละครเหล่านี้อาจเรียกได้ว่า คือ “โจทย์” หรือ ข้อตกลงทางจิตวิญญาณที่พวกคุณ ตัวคุณเอง ได้เลือกเอาไว้ เพื่อใช้เป็นบทเรียนสำหรับการเจริญเติบโตด้านจิตวิญญาณของพวกคุณเอง เพื่อช่วยให้พวกคุณมีสติปัญญาเพิ่มพูนมากยิ่งขึ้น
พร้อมกันนี้พวกเรายังมีสิ่งที่อยากจะเตือนความจำของพวกคุณอยู่อีก พวกเราอยากจะบอกพวกคุณอีกด้วยว่า สิ่งที่พวกคุณเรียกกันว่า “กรรม” นั้นในความหมายที่สูงส่งกว่าแล้ว มันไม่ใช่ “หนี้” ที่ใครคนหนึ่ง จะต้องไปชดใช้ให้กับใครอีกคนหนึ่งเลย แต่มันคือการเป็นหนี้ตัวเอง ที่จะต้องชดใช้ให้กับตัวเอง เพื่อเป็นการทำให้ความศักดิ์สิทธิ์/พระเจ้าในตัวเองเกิดความสมดุลขึ้น
พวกเราขอยืนกรานอีกด้วยว่า ถ้าจุดประสงค์หรือเป้าหมายในโลกแห่ง 3 มิตินี้ของพวกคุณมีความขัดแย้งกับจุดประสงค์หรือเป้าหมายของตัวตนที่สูงส่งกว่าของพวกคุณเองละก็ ส่วนใหญ่แล้วมันก็จะไม่สามารถถูกเนรมิตให้เป็นจริงขึ้นมาได้ เว้นเสียแต่ว่ามันจะถูกเลือกมา เพื่อเป็นบทเรียนสำหรับพัฒนาการทางด้านจิตวิญญาณของพวกคุณเองเท่านั้น
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าใครคนหนึ่งปรารถนาความมั่งคั่ง แต่ความมั่งคั่งนั้นจะถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดๆ หรือจะไปยับยั้งกระบวนการเจริญเติบโตทางด้านจิตวิญญาณ ตัวตนที่สูงส่งกว่าของคนๆนั้น ก็อาจจะปฏิเสธไม่ให้ความปรารถนานั้นถูกเนรมิตออกมาได้ ซึ่งในบางกรณี มนุษย์ผู้ที่มีทุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่จำเป็นต้องมีในโลกแห่งวัตถุธาตุ ในมิติที่ 3 นี้แล้ว มักจะไม่ค่อยมีแรงกระตุ้นให้แสวงหาความก้าวหน้ามากนัก
ที่รักทั้งหลาย เมื่อใดที่พวกคุณพบว่าตัวเองกำลังตกอยู่ในข้อจำกัดของประสบการณ์ใดก็ตามที่ทำให้เกิดความไม่สะดวกสบายขึ้นหรือเป็นสิ่งที่พวกคุณไม่ชื่นชอบ พวกคุณก็ควรเข้าใจไว้ด้วยว่า พวกคุณเองนั่นแหละ ที่เป็นคนสร้างสิ่งที่ดูคล้ายกับว่าเป็นปัญหานั้นๆขึ้นมา
เพราะฉะนั้นแล้ว… สิ่งที่อยู่ภายใต้ข้อเท็จจริงอันนี้ และภายใต้ระบบทวิภาวะนี้ มันจะต้องมีอยู่ในสถานการณ์ต่างๆร่วมกับกาลเวลาในแบบที่เป็นเส้นตรง เพื่อให้พวกคุณต้องเผชิญหน้าอยู่อย่างแน่นอน
. . . . . . . . . .
17. ไม่ใช่แค่ ‘เปลี่ยนวิธีการคิด ‘ แต่คุณต้อง ‘ เปลี่ยนความเชื่อ ‘ในสิ่งที่คุณคาดหวังด้วย ..ความสัมฤทธิ์ผลจึงจะบังเกิดขึ้น
>> ดังนั้น ไม่ว่าคนๆนั้นจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม แต่ทุกๆสถานการณ์ และทุกๆการกระทำที่เป็นผลลัพธ์ที่มาจากมัน ไม่ว่ามันจะถูกตัดสินว่าดีหรือเลวร้ายขนาดไหนก็ตาม สิ่งเหล่านั้นก็คือสิ่งที่คนๆนั้นสร้างขึ้นมาด้วยตัวของเขาเองอย่างแท้จริง
ตัวอย่างเช่น ถ้าในสถานการณ์รุนแรงอย่างหนึ่ง ที่มีการกระทำผิดเกิดขึ้นจริงและผู้กระทำผิดคนนั้น ก็ถูกตัดสินให้จำคุกตามสมควรแก่ความผิดแล้ว การกระทำเหล่านั้นก็จะต้องได้รับการเผชิญหน้าและถูกมีประสบการณ์ในสถานการณ์ที่เป็นรูปแบบที่เป็นทวิภาวะ…
ซึ่งส่วนใหญ่แล้ว ผู้ต้องหาที่ถูกตัดสินนี้ จะไม่สามารถหลบเลี่ยงมันไปได้ง่ายๆเลย เพราะพวกเขาจะต้องเผชิญหน้ากับความเป็นทวิภาวะ ที่พวกเขาได้สร้างมันขึ้นมา
ในเส้นเวลาแบบเป็นเส้นตรงนี้ มันมี “กฎแห่งเหตุและผล”(Law of Cause and Effect) อยู่ในโลก 3 มิตินี้ ที่จะต้องเล่นกันให้จบเกมส์ ในเรื่องของความรับผิดชอบ ไม่ใช่จะมีเฉพาะต่อการกระทำของตัวเองเท่านั้น แต่ต้องมีความรับผิดชอบต่อความเชื่อของพวกคุณเองด้วย เพราะนั่นเป็นกุญแจสำคัญอย่างหนึ่งสำหรับกระบวนการเจริญเติบโตทางจิตวิญญาณของพวกคุณเอง ในการมาเรียนรู้บทเรียนบนโลกใบนี้
ซึ่งถึงแม้ว่าคุณจะยอมรับในความเป็นเจ้าของ ด้วยการรับผิดชอบต่อการกระทำ และความเชื่อว่ามันเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดก็ตาม แต่การที่จะเปลี่ยนสภาวะแวดล้อมของพวกคุณเองได้นั้น ก็ต่อเมื่อ คุณต้องเผชิญหน้ากับพวกมัน
มนุษย์ที่รักทั้งหลาย พวกคุณจะต้องเข้าใจว่า เมื่อไหร่ก็ตามที่พวกคุณพยายามหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบต่อการกระทำของพวกคุณเอง ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว พวกคุณก็มักจะทำแบบนั้น โดยการพยายามโยนความรับผิดชอบอันนั้น หรือความผิดอันนั้น ให้กับผู้อื่น หรือกลุ่มอื่น หรือ สาเหตุอื่นไป
แต่ทว่า ในกระบวนการปัดความรับผิดชอบในความผิดออกไปนั้น ก็เท่ากับว่าพวกคุณได้โยนพลังอำนาจของตัวคุณเองทิ้งไปโดยไม่รู้ตัว และเท่ากับว่าพวกคุณได้ละเลยต่อสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของความผิดอันนั้นไป ซึ่งก็จะทำให้สิทธิ์นั้น ย้อนกลับมา ‘สร้างตัวมันขึ้นมาใหม่อีกครั้ง’ได้
เช่นเดียวกับที่พวกเราได้เคยอธิบายเอาไว้แล้ว ในตอนที่ 2 ของบทสนทนาในเรื่องนี้ว่า สิ่งที่ทำให้พวกคุณส่วนใหญ่มีความยากลำบาก ในการที่จะยินยอมกับการรับผิดชอบต่อพฤติกรรมของตัวเอง นั้น ก็คือ ความต้องการที่จะหลบเลี่ยงความเจ็บปวดและความรู้สึกผิดที่เป็นผลสืบเนื่องมาจากการกระทำต่างๆเหล่านั้น มันจึงทำให้พวกคุณไม่ชอบที่จะยอมรับความผิดพลาดของตัวเองในสถานการณ์ที่ไม่ค่อยชัดเจน หรือในหลายๆสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการความขาดแคลน และในด้านสัมพันธภาพที่ไม่ดีทั้งหลาย
ดังนั้น….มันไม่ใช่เพียงแค่ “ เปลี่ยนวิธีการคิด “ อย่างมีสติสัมปชัญญะของพวกคุณเองเท่านั้น แต่พวกคุณจะต้อง “เปลี่ยนความเชื่อ “ เกี่ยวกับสิ่งที่พวกคุณคาดหวังทั้งหลายเหล่านั้นออกไปเสียก่อนอีกด้วย….จากนั้น จึงกระทำไปตามความเชื่อนั้นๆ
. . . . . . . . . . . .
18.เมื่อคุณเข้าใจได้ถ่องแท้ว่า ความเชื่อของคุณคือผู้สร้างโลกแห่งความเป็นจริงของคุณเองขึ้นมา คุณก็จะไม่ต้องเจอกับเหตุการณ์ซ้ำๆอีก
ตอนที่ 18 : การโปรแกรมอย่างไม่รู้ตัว (Unconscious Programming)
>> พวกคุณสร้างโลกแห่งความเป็นจริงของตนเองขึ้นมาจากความเชื่อที่พวกคุณเลือกที่จะเชื่อเกี่ยวกับตัวคุณเองและโลกที่อยู่รายล้อมรอบตัวพวกคุณ ซึ่งในบางขณะ หากพวกคุณไม่เลือกความเชื่อของตัวเองอย่างรอบคอบ และอย่างมีสติแล้ว พวกคุณก็จะถูกโปรแกรมโดยไม่รู้ตัว พวกคุณจะซึมซับเอาความเชื่อเหล่านั้นเข้าไป ไม่ว่าจะมาจากวัฒนธรรม จากโรงเรียน และสิ่งที่อยู่รอบๆตัวพวกคุณในมิติที่ 3 แห่งนี้ อย่างไม่มีเหตุผล
ดังนั้น …ไหนๆพวกคุณก็จะต้องรับผิดชอบและมีคำตอบให้กับทุกๆการกระทำของตัวเองอยู่แล้วใช่ไหม ? แล้วทำไมพวกคุณจึงไม่สมควรที่จะมีคำถามให้กับทุกๆความเชื่อของตัวเองหละ ?
เพราะ ไม่ว่าพวกคุณจะกำหนดคำนิยามของตัวคุณเองและของโลกที่อยู่รอบๆตัวพวกคุณ ให้มันเป็นอย่างไรก็ตาม มันก็จะไปสร้างความเชื่อของพวกคุณให้เป็นไปตามนั้นด้วย และ ความเชื่อเหล่านั้นนั่นแหละ ที่จะสร้างโลกแห่งความเป็นจริงของพวกคุณเองขึ้นมา
แต่หากเมื่อใดที่พวกคุณเข้าใจได้อย่างถ่องแท้แล้วว่า ความเชื่อของพวกคุณเองคือผู้ที่สร้างโลกแห่งความเป็นจริงของพวกคุณเองขึ้นมา …. เมื่อนั้นและก็แค่เมื่อนั้นเท่านั้น…พวกคุณก็จะไม่ตกเป็นเหยื่อของเหตุการณ์ต่างๆที่พวกคุณจะต้องพบเจออีกต่อไป
ซึ่งมันจะสัมฤทธิ์ผลได้นั้น ก็ต่อเมื่อพวกคุณได้เรียนรู้กลไกและวิธีการทำงานต่างๆของมัน และโปรแกรมของความเชื่ออันนั้น ให้ไปลบล้างและไปแทนที่ความเชื่อเดิมๆที่ผิดๆทั้งหลายได้อย่างสมบูรณ์แบบแล้วเท่านั้น
และวงจรหรือกระบวนการที่จะเรียกได้ว่าครบถ้วนและสมบูรณ์แบบตามกฎทั้ง 3 ข้อนั้น ขึ้นอยู่กับการทำงานทั้ง 3 ขั้นตอน อันได้แก่ ….
:- การยอมรับเป็นเจ้าของ (own),
:- การเปลี่ยนแปลง(change),
:- การลงมือกระทำ (action)
อีกทั้งความรู้สึกนึกคิดจะต้องสอดคล้องไปกับความเชื่อและการกระทำด้วย !
ดังนั้น พวกเราจึงขออุทิศเวลาส่วนที่เหลือในการบรรยายนี้ ให้กับเรื่องของ “การสร้างสรรค์อย่างมีสติสัมปชัญญะ”(conscious creation) และ ……
จงจำเอาไว้ว่า พวกคุณมีระดับพัฒนาการมากพอที่จะสร้างสรรค์อย่างมีสติสัมปชัญญะได้แล้ว
. . . . . . . . . . . .
19.จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปซักเท่าไหร่เลย หากยังเชื่อว่าชีวิตในวันนี้ของคุณเป็นผลมาจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวัยเด็กหรืออดีตชาติ
ตอนที่ 19 : ชีวิตของพวกคุณไม่ได้เป็นไปตามยถากรรม และ
ลองเปลี่ยนความเชื่อในปัจจุบันของพวกคุณดูสิ แล้วชีวิตของพวกคุณจะเปลี่ยนไป
>> ชีวิตของพวกคุณไม่ได้เป็นไปตามยถากรรม แต่ที่น่าสนใจคือ พวกคุณกลับเข้าใจผิด ว่ามันเป็นเช่นนั้น นั่นเป็นเพราะความเชื่อใช่ไหม ? ขอให้คุณลองใช้เวลาไตร่ตรองดู และนี่ล่ะคือ กฎแห่งความเชื่อห หากพวกคุณเชื่อว่าสถานการณ์ต่างๆทำให้พวกคุณต้องติดกับดักแล้วละก็ มันก็จะเป็นเช่นนั้นจริงๆ และมันก็จะเป็นเช่นนั้นไปเรื่อยๆจนกว่าพวกคุณจะเปลี่ยนความเชื่อหลักอันนั้นของพวกคุณได้เสียก่อน
:- พวกคุณคือผู้สร้างที่กำลังเรียนรู้วิธีที่จะเป็นผู้ร่วมสร้างอยู่
:- พวกคุณมาอยู่ที่นี่เพื่อที่จะเรียนรู้ว่า พวกคุณสามารถที่จะสร้างสรรค์สิ่งต่างๆขึ้นมาได้ และ
:- พวกคุณก็กำลังสร้างอยู่แล้วด้วย เพราะหนึ่งในเหตุผลสำคัญของการมาอยู่ในโลกแห่งความเป็นทวิภาวะแห่งนี้ของพวกคุณ ก็เพื่อมาเรียนรู้วิธีที่จะสร้างสรรค์อย่างมีความรับผิดชอบ และอย่างมีสติสัมปชัญญะ ซึ่งผู้เชียวชาญคนสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อยู่ ก็มักจะเป็น “ด็อกเตอร์เหตุและผล”(Dr.Cause & Effect) และด็อคเตอร์คนนี้แหละ ที่มักจะมาเยี่ยมไข้ที่บ้านเสมอๆ !
พวกคุณหว่านพืชอะไรไป ก็จะได้เก็บเกี่ยวผลผลิตอันนั้นมา และถึงแม้ว่าผลผลิตที่เก็บเกี่ยวมานั้นจะเป็นความไม่สะดวกสบาย และไม่เป็นผลดีเลยก็ตาม แต่มันก็คือวิธีการที่จะทำให้พวกคุณได้พิจารณาว่า อะไรที่ทำให้พวกคุณต้องได้รับผลแบบนั้น
ดังนั้น เพื่อยุติสถานการณ์ต่างๆที่มีสาเหตุมาจากภาวะแห่งจิตของเราเอง มันจึงจำเป็นต้องอาศัยการฝึกฝนและปฏิบัติ เพื่อให้มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ซึ่งกุญแจสำคัญก็คือ ความเชื่อ ของพวกคุณเองอีกนั่นแหละ
แต่มันจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือแตกต่างไปซักเท่าไหร่เลย หากพวกคุณยังเชื่ออยู่ว่าชีวิตในปัจจุบันนี้ของพวกคุณเป็นผลสืบเนื่องมาจากเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับพวกคุณแล้วตั้งแต่ในวัยเด็กหรือเป็นผลสืบเนื่องมาจากอดีตชาติของพวกคุณเอง ซึ่งพวกคุณรู้สึกว่าทั้งวัยเด็กและอดีตชาตินั้นมันอยู่นอกเหนือการควบคุมของพวกคุณ
เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตของพวกคุณ และ ประสบการณ์ต่างๆของพวกคุณ ล้วนเป็นผลสืบเนื่องมาจากความเชื่อในปัจจุบันของพวกคุณเองทั้งสิ้น ลองเปลี่ยนความเชื่อในปัจจุบันของพวกคุณดูสิ แล้วชีวิตของพวกคุณจะเปลี่ยนไป และไม่เพียงแต่ชีวิตในปัจจุบันของพวกคุณเท่านั้นนะ แต่จะรวมถึงอดีต และอนาคตของพวกคุณอีกด้วยที่จะเปลี่ยนไปด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งนั่นก็คือ พลังอำนาจในการสร้างสรรค์ของความเชื่อ
ท่านคุรุทั้งหลาย ไม่ว่าพวกคุณจะมีระดับแสงสว่างอยู่ในสัดส่วนมากน้อยเพียงใดก็ตาม และไม่ว่าพวกคุณจะกำลังสร้างสรรค์ด้วยความไม่รู้ตัวอยู่ หรือกำลังเนรมิตอย่างมีสติสัมปชัญญะอยู่ก็ตาม พวกคุณก็ไม่อาจหลีกหนีจากความเชื่อของพวกคุณเองไปได้ เพราะว่ามันคือตัวเร่งปฏิกิริยาสำหรับการสร้างสรรค์ประสบการณ์ของพวกคุณ
. . . . . . . . . . .
20.กระบวนการสร้างสรรค์จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อคุณมีคุณสมบัติของความเป็นคริสตัลไลน์ ที่มีสนามพลังออร่าที่สมดุลและเหมาะสม
ตอนที่ 20 : กระบวนการต่างๆของสมองและจิตใจ (Processes of Brain and Mind)
>> ท่านคุรุทั้งหลาย เหตุผลที่หนังสือและเทคนิคการสอนเชิงการตลาดส่วนใหญ่ที่เกี่ยวกับวิธีการเนรมิตสิ่งต่างๆให้กลายมาเป็นความจริงนั้น มันใช้ไม่ค่อยได้ผลสักเท่าไหร่นั้น เป็นเพราะว่าพวกเขาขาดความเข้าใจในเรื่องของจิตใจในระดับลึก ที่มีผลต่อสมองในโลก 3 มิตินี้ และส่วนใหญ่แล้ว พวกเขาก็จะเน้นหนักไปทางด้านการเนรมิตเรื่องเงินๆทองๆซะมากกว่า ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็จะมีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่ถูกเนรมิตออกมาให้เห็นได้จริงๆ และนั่นก็คือยอดขายจากการจำหน่ายหนังสือนั่นเอง
มันมีอยู่หลายแง่มุม ทีไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นตัวหนังสือได้ เพราะมันมีความแตกต่างทางภาษาอยู่มากมาย และต่อให้พวกคุณเปิดใจแล้วก็ตาม แต่พวกคุณก็จะต้องมีสนามพลังออร่าที่สมดุลและเหมาะสมด้วย เพื่อที่จะให้มันมีคุณลักษณะของความเป็นคริสตัลไลน์ กระบวนการสร้างสรรค์จึงจะเกิดขึ้นได้
ซึ่งองค์ประกอบสำคัญๆ ด้านวิวัฒนาการที่จะทำให้สามารถเข้าถึงกฎแห่งการสร้างสรรค์ได้ ได้แก่ :
1: – สมองต้องถูกตั้งโปรแกรมให้มีการพัฒนา และให้ขยายความรู้เข้าไปสู่ ความเชื่อ มากขึ้น
2: – ปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากการควบคุมของอัตตา หรือความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ให้ไปสู่ความเป็นพระเจ้า หรือการมีสภาวะจิตใจของจิตสำนึกที่สูงส่งกว่า
3: – บำรุงรักษาสนามพลังแม่เหล็กไฟฟ้าให้สมดุลอยู่เสมอ
4: – กระตุ้นคุณลักษณะของความเป็นคริสตัลไลน์ในระบบกายแห่งแสงสว่าง หรือ Mer-Ka-Na ของต่อมพิทูอิทารี ต่อมไพนีล และต่อมไธมัส ให้ทำงานขึ้นมา
5: – รักษาความสมดุล & ความกระจ่างใสของจิตใจเอาไว้อยู่เสมอ
มันเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ที่พวกคุณจะต้องเข้าใจว่า สมองในมิติที่ 3 นี้ของพวกคุณซึ่งก็คือด้านที่เป็นอัตตาตัวตน ที่รวมอยู่ในร่างกายแบบ 3 มิตินี้ของพวกคุณนี้ ได้ถูกตั้งโปรแกรมมา ‘เพื่อการอยู่รอด’
และรหัสแห่งการเอาตัวรอด ก็เป็นรหัสโปรแกรมขึ้นมาตั้งแต่เริ่มแรก เพื่อที่จะนำไปสู่สัญญาณเตือนภัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับข้อควรระวังทั้งหลาย ที่มักจะปรากฎออกมาในรูปแบบของความกลัวและความลังเลสงสัยที่สมองส่วนหน้า ซึ่งเป็นด้านของอัตตาตัวตน ที่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อควบคุมจิตสำนึกแบบ 3 มิติของพวกคุณให้สามารถเลื่อนไหลไปตามกระแสแห่งกาลเวลาแบบที่เป็นเส้นตรงนี้ได้ เพื่อที่จะทำให้พวกคุณอยู่รอดได้ ในระนาบแห่งกายภาพนี้
ฉนั้น….ความท้าทาย ในเรื่องนี้ก็คือ การก้าวข้ามขอบเขตของจิตสำนึกในมิติที่ 3 นี้ไปให้ได้ ซึ่งพวกคุณจะต้องก้าวข้ามจิตสำนึกแห่งอัตตาตัวตนนี้ไปให้ได้ แล้วเลื่อนขึ้นไปสู่จิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์/จิตแห่งพระเจ้าที่อยู่ภายใน “ศูนย์รวมอำนาจแห่งจิตวิญญาณ” (Seat of the Soul) ซึ่งเป็นประตูทางเข้าไปสู่จิตวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์/จิตแห่งพระเจ้า
สมอง นั้นอยู่ในมิติที่ 3 …ส่วน จิต เป็นสิ่งที่อยู่ในมิติที่สูงกว่า และภายใน จิต ที่สูงกว่านี้ก็คือ ความศักดิ์สิทธิ์ของพวกคุณเอง สมองจะมีการปฏิบัติการในแบบ 3 มิติ ซึ่งถ้าจะพูดให้ถูกละก็ การโปรแกรมแบบ 3 มิติ อิทธิพลของมันจะอยู่ในสนามแห่งความเป็นทวิภาวะนี้อยู่มาก มันจะมีการปฏิบัติการ ที่อยู่ในกรอบแนวคิดที่มีข้อจำกัดมากกว่า จิต ดังนั้น…การที่จะขยายเข้าไปสู่ จิต ให้ได้นั้น… พวกคุณจะต้องมุ่งมั่นในการปฏิบัติด้วยการออกมาจากกรอบที่จำกัดนั้น เพื่อที่จะได้ใช้พลังความสามารถในการสร้างสรรค์ที่แท้จริงของพวกคุณเองได้
. . . . . . . . . . .
21.ทุกสิ่งจะเป็นจริงขึ้นมาได้ ก็ต่อเมื่อ คุณได้วางคำว่า ‘ สักวันหนึ่ง…ฉันจะ.. ?? ’ของคุณไว้ที่ ‘ ปัจจุบันขณะ ’
ตอนที่ 21 : จงมีความชัดเจนต่อจุดมุ่งหมายต่างๆของพวกคุณ (Clarity in Your Objectives)
>> ความสำคัญของคำอธิบายที่ชัดเจนเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างสรรค์ มนุษย์โลกอย่างพวกคุณมักจะเริ่มต้นตั้งความปรารถนาของตัวเองไปที่ไม่สมบูรณ์แบบ ด้วยการตั้งขึ้นมาแบบลอยๆว่า “สักวัน ฉันจะ.????. ” ซึ่งนั่น ก็เหมือนกับการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ไม่สมบูรณ์แบบขึ้นมาซักโปรแกรมหนึ่งยังไงยังั้น…. แล้วมันไม่เห็นต้องประหลาดใจใช่ไหม…. ที่มันจะไม่เกิดอะไรขึ้นเลย?
=:= สักวันหนึ่งฉันจะเดินทาง
=:= สักวันหนึ่งฉันจะร่ำรวย
=:= สักวันหนึ่งฉันจะทำความฝันของฉันให้เป็นจริง…
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่กลายเป็นเพียงแค่ “อาจจะ” เฉยๆเท่านั้น ซึ่งเหมือนว่า สิ่งเหล่านั้นมันอยู่ที่ไหนสักแห่งหนึ่งที่มันอยู่แสนไกล
ดังนั้น สิ่งที่พวกคุณเพียรพยายามที่จะสร้างสรรค์ขึ้นมาทั้งหลาย จึงยังอยู่ในที่ๆแสนไกลตามไปด้วยเสมอ เพราะคำว่า “สักวันหนึ่ง” ที่พวกคุณตั้งโปรแกรมเอาไว้นั้น… พวกคุณไม่ได้วางมันไว้ที่ ปัจจุบันขณะ
. . . . . . . . . .
21.ทุกสิ่งจะเป็นจริงขึ้นมาได้ ก็ต่อเมื่อ คุณได้วางคำว่า ‘ สักวันหนึ่ง…ฉันจะ.. ?? ’ของคุณไว้ที่ ‘ ปัจจุบันขณะ ’
ตอนที่ 21 : จงมีความชัดเจนต่อจุดมุ่งหมายต่างๆของพวกคุณ (Clarity in Your Objectives)
>> ความสำคัญของคำอธิบายที่ชัดเจนเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างสรรค์ มนุษย์โลกอย่างพวกคุณมักจะเริ่มต้นตั้งความปรารถนาของตัวเองไปที่ไม่สมบูรณ์แบบ ด้วยการตั้งขึ้นมาแบบลอยๆว่า “สักวัน ฉันจะ.????. ” ซึ่งนั่น ก็เหมือนกับการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ไม่สมบูรณ์แบบขึ้นมาซักโปรแกรมหนึ่งยังไงยังั้น…. แล้วมันไม่เห็นต้องประหลาดใจใช่ไหม…. ที่มันจะไม่เกิดอะไรขึ้นเลย?
=:= สักวันหนึ่งฉันจะเดินทาง
=:= สักวันหนึ่งฉันจะร่ำรวย
=:= สักวันหนึ่งฉันจะทำความฝันของฉันให้เป็นจริง…
ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่กลายเป็นเพียงแค่ “อาจจะ” เฉยๆเท่านั้น ซึ่งเหมือนว่า สิ่งเหล่านั้นมันอยู่ที่ไหนสักแห่งหนึ่งที่มันอยู่แสนไกล
ดังนั้น สิ่งที่พวกคุณเพียรพยายามที่จะสร้างสรรค์ขึ้นมาทั้งหลาย จึงยังอยู่ในที่ๆแสนไกลตามไปด้วยเสมอ เพราะคำว่า “สักวันหนึ่ง” ที่พวกคุณตั้งโปรแกรมเอาไว้นั้น… พวกคุณไม่ได้วางมันไว้ที่ ปัจจุบันขณะ
มันก็ถูกต้องที่ว่า ความฝัน คือ ส่วนแรก แต่มันต้องชัดเจนรัดกุมและตามมาด้วยการกระทำทั้งหลายที่ชัดเจนอีกด้วย
สมองของพวกคุณมีสองซีก ซีกหนึ่งเกี่ยวโยงกับสติปัญญา อีกซีกหนึ่งเกี่ยวข้องกับความรู้สึก สมองทำงานได้โดยอาศัยการกระตุ้น และการเร้าด้านชีวเคมีทั้งหลาย การโปรแกรมความคิดอย่างเข้มข้น & ชัดเจน คือส่วนที่สำคัญที่สุดในอันที่จะทำให้มันกลายเป็น ความเชื่อ ได้
พวกคุณเห็นไหมว่า สมองของพวกคุณคือคอมพิวเตอร์ที่มีชีวิตแบบ 3 มิติเครื่องหนึ่ง มันจะทำงานจากคำสั่งที่ถูกระบุอย่างชัดเจนเท่านั้น มันจะไม่ทำงานกับคำสั่งว่า ‘น่าจะ’ หรือ ‘ได้ไหม ?‘
ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามีผู้หนึ่งผู้ใดถูกทำให้อยู่ในสภาวะของการถูกสะกดจิตลึกๆ และถูกถามว่า ….”จิตของฉันสามารถรักษาโรคในร่างกายนี้ได้ไหม ?” … คำตอบก็อาจจะเป็นว่า “ได้สิ” แต่ว่านี่ก็เป็นคำตอบในเชิงที่ประจักษ์ชัด ต่อคำถามที่ว่า ‘จิตจะสามารถรักษาร่างกายเนื้อได้หรือไม่ ‘ เท่านั้น มันจึงยังไม่ใช่เป็นการเข้าไปสู่การรักษาเยียวยาอยู่ดี
. . . . . . . . . . .
22. ความเกียจคร้าน ไม่สามารถทำให้คุณบรรลุเป้าหมายแห่งคุณธรรมอันสูงสุดของคุณได้
ตอนที่ 22 : หนทางแห่งคุณธรรม (The Noble Path)
>> ทุกๆความรู้สึกนึกคิดจะผลิตเอนไซม์ชีวเคมีออกมา ซึ่งเอนไซม์นั้นๆจะทำงานทั้งในระดับกายภาพและไม่ใช่กายภาพ ที่มีความสอดคล้องกับสิ่งที่ได้โปรแกรมเอาไว้ ซึ่งเป็น หนึ่งในข้อยกเว้นของแนวคิดที่ว่า ‘ร้องขอและจะได้รับ’ นั่นก็คือ หากการร้องขอนั้น ไม่ได้ถูกสื่อสารออกมาจากภายในและไม่สอดคล้องกับจิตใจอันสูงส่งกว่าแล้วละก็ มันอาจจะได้ผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ฉนั้น มนุษย์คนใดที่อยู่บนหนทางนี้ และมีภาวะจิตที่สูงมากระดับหนึ่งแล้ว อาจสามารถละความอยากขั้นหยาบๆและรุนแรงซึ่งเป็นอุปสรรคในการกีดขวางการพัฒนาการของพวกเขาได้เป็นอย่างดี และบรรดาผู้ที่มีสภาวะแห่งความดีงามไม่ว่าจะอยู่ในระดับหนึ่งระดับใดก็ตาม พวกเขาจึงมีการกลั่นกรองเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว เพื่อทำให้ทุกเป้าหมายของพวกเขานั้น มีความคุ้มค่า
เพราะ เป้าหมายแห่งคุณธรรมอันสูงสุดของพวกเขา..
:- เพื่อมาเรียนรู้ความลี้ลับของชีวิต และ
:- เพื่อเพิ่มพูนสติปัญญา และ
:- เพื่อเป็นผู้ตื่นรู้
แต่การที่จะบรรลุเป้าหมายเหล่านี้ได้นั้น..พวกคุณจะต้องยอมรับเอาความกดดันและความเครียดบางอย่างที่จำเป็นต้องใช้ความพยายามอย่างมากไปด้วย ซึ่งมันจำเป็นต้องอาศัยการฝึกฝนและปฏิบัติและต้องมีความตั้งใจจริงด้วย
หากพวกคุณเกียจคร้าน พวกคุณก็จะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ พวกคุณจะต้องยอมรับเอาภารกิจอันหนักหน่วงนั้น มันถึงจะสำเร็จลุล่วงไปได้
ดังนั้น.. การพยายามที่จะสร้างชีวิตโดยปราศจากปัญหาอุปสรรคใดๆนั้น จึงเป็นการขัดแย้งกับวัตถุประสงค์แห่งการเรียนรู้ของชีวิตอย่างสิ้นเชิง เพราะเป้าหมายทั้งหลาย ย่อมมีความท้าทายอยู่ด้วยเสมอ …เพราะฉะนั้นแล้ว… ท่านคุรุทั้งหลาย จงอย่าไปวางแผนชีวิตไว้ว่าจะต้องปราศจากปัญหาอุปสรรคใดๆเลย
. . . . . . . . . . .
23.สมองส่วนใหญ่อีก 90% ของคุณ ยังไม่ได้ถูกใช้งาน,ยังไม่ได้ถูกกระตุ้นและได้ถูกตั้งโปรแกรมให้หยุดกิจกรรมต่างๆเอาไว้ชั่วคราวอีกด้วย
ตอนที่ 23 : จิตคือ ผู้สร้าง (Mind is the Builder)
>> จิตคือผู้สร้าง และพลังแห่งเจตนาที่มุ่งมั่นจดจ่อ เป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการทำงานขึ้น ยิ่งพวกคุณมีความรับผิดชอบอย่างเหมาะสมมากพอเท่าไหร่ ความถี่ของพวกคุณก็จะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นเท่านั้นด้วย การเรียนรู้ที่จะตั้งโปรแกรมให้กับสมองเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง สมองคือคอมพิวเตอร์ชีวภาพ ที่มีฟิลเตอร์แบบ 3 มิติ และมีโปรแกรมต่างๆแบบ 3 มิติ ติดตัวมาตั้งแต่เกิด และการตั้งโปรแกรมสมองของพวกคุณ ก็จะมาจากสิ่งที่พวกเราจะเรียกว่า “การปลูกฝังเชิงสังคม-วัฒนธรรม” (socio-cultural indoctrinations) แต่หากพวกคุณไปเกิดในวิหารของทิเบต (Tibetan Monastery) ก็จะได้รับการยกเว้น
การตั้งโปรแกรมโดยสังคมส่วนใหญ่ จะสั่งสอนให้พวกคุณยอมรับมุมมองอันคับแคบมากๆเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ และศักยภาพของมนุษย์ พวกคุณได้ถูกสอนให้เชื่อแต่เพียงในสิ่งที่พวกคุณสามารถสัมผัสได้ด้วยอายตนะทั้ง 5 ซึ่งได้แก่ การเห็น การได้ยิน การลิ้มรส การได้กลิ่น และการสัมผัสเท่านั้น
ที่รักทั้งหลาย จงรู้ไว้ว่า โลกแห่งวัตถุธาตุทางกายภาพ ที่พวกคุณมองเห็นอยู่รอบๆตัวพวกคุณนี้คือมายาการ ที่พวกคุณแปลความหมายและฉายภาพของมันออกมาจากความรู้สึกของพวกคุณเองทั้งสิ้น
มันถูกรับรู้ด้วยตา แล้วถูกส่งผ่านจักษุประสาทไปยังสมอง แล้วสิ่งที่ได้รับรู้มา ก็จะไปกระตุ้นเซลล์ประสาททั้งหลายที่อยู่ในสมองจากนั้นก็จะมีการตอบสนองอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ผ่านทางปฏิกิริยาชีวเคมีซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่เกี่ยวข้องกับความร้อนโดยธรรมชาติ
เพราะโดยทั่วไปแล้ว พวกคุณจะเชื่อในสิ่งที่พวกคุณมองเห็น ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส หรือได้ยิน ดังนั้น พวกคุณจึงจะยอมรับมัน พวกคุณเชื่อว่ามันเป็นความจริงแล้วพวกคุณก็ตัดสินลงไปว่าชอบใจหรือไม่ชอบใจ จากนั้น สมอง ก็จะปลดปล่อยเซลล์ประสาททั้งหลายที่ขึ้นอยู่กับความชอบหรือไม่ชอบเหล่านั้น ให้ออกมาทำงาน
นี่เป็นวิธีการทำงานของโลกแห่งความเป็นจริงของพวกคุณและเป็นวิธีการดึงดูดของพวกคุณ โดยในเริ่มแรก พวกคุณจะถูกดึงดูดโดยคนที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจ เช่น มีเสียงที่ไพเราะ และมีกลิ่นกายที่หอม ! พวกคุณใช้ความรู้สึกทางกายภาพของพวกคุณเป็นตัวบอกว่าใช่หรือไม่ใช่
ในทำนองเดียวกัน สมองก็จะเกิดความคิดขึ้นว่า จะยอมรับ หรือปฏิเสธสิ่งเหล่านั้นดี ก็ขึ้นอยู่กับว่าตัวแปรต่างๆได้ถูกตั้งโปรแกรมไว้อย่างไร เพราะในความเป็นจริงแล้ว สมองไม่อาจแยกแยะความแตกต่างระหว่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง กับเหตุการณ์ที่เป็นแค่สภาวะทางจิตใดๆได้เลย เช่น ความฝัน เป็นต้น ดังนั้น ในด้านของจิตใจที่เป็นความหลากมิติแล้ว ทั้งสองอย่างนี้ จึงไม่แตกต่างกัน
และถึงแม้สมองของมนุษย์จะมีความสามารถในการรับรู้ข้อมูลและความถี่ต่างๆจากขอบเขตที่อยู่เหนือมิติที่ 3 ขึ้นไปได้ก็ตาม แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ ก็จะตั้งโปรแกรมให้มันปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่นอกเหนือขอบเขตคลื่นความถี่ของมิติที่ 3 เพื่อให้สอดคล้องกับอายตนะรับความรู้สึกของตัวเองอยู่ดี ดังนั้น คอมพิวเตอร์สมองเครื่องนี้ จึงรับรู้ได้เฉพาะแต่สิ่งที่พวกคุณอนุญาตให้มันรับรู้ได้เท่านั้น
การตั้งโปรแกรมตามกรอบแนวคิดที่คับแคบแบบนั้น จะทำให้มีเพียงบางส่วนของสมองของพวกคุณเท่านั้น ที่จะถูกกระตุ้น นั่นก็คือ สมองซีกขวาและซีกซ้ายของสมองส่วนหน้าด้านบน (upper cerebrum) และบางส่วนของสมองส่วนหลังด้านล่าง (lower cerebellum) ซึ่งรวมกันแล้ว จะครอบคลุมกิจกรรมการทำงานเพียงแค่ 10-12 % ของสมองเท่านั้นเอง กระบวนการและกิจกรรมการทำงานของสมองส่วนหน้าทั้งสองซีก ที่จัดอยู่ในส่วนของสมองส่วนนอก (neocortex) นี้จะทำหน้าที่หลัก อยู่แต่ในขอบเขตของมิติทางกายภาพเท่านั้น
Note :
ซีรีบรัม (cerebrum) สมองส่วนหน้าหรือสมองใหญ่ แบ่งเป็น 2 ซีก โดยสมองใหญ่ซีกซ้ายจะควบคุมร่างกายซีกขวา สมองใหญ่ซีกขวาจะควบคุมร่างกายซีกซ้าย นอกจากนี้สมองส่วนเซรีบรัมยังแบ่งเป็น 5 พลู เพื่อควบคุมการทำหน้าที่เฉพาะเจาะจงในส่วนต่างๆ อันได้แก่การควบคุมเกี่ยวกับความคิด ความจำ เชาว์ปัญญา
สมองชั้นนอก (The Neocortex) สมองส่วนที่ 3 และเป็นระดับความคิดซับซ้อนสูงสุด นั่นคือ สมองชั้นนอก (neocortex) เป็นสมองระดับสูงสุดในการจัดลำดับความซับซ้อนของสมอง ทำหน้าที่เกี่ยวกับคำสั่งที่สลับซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งเกี่ยวกับการอ่าน การวางแผน การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการทำการตัดสินใจ ซึ่งเป็นสมองส่วนที่ทุกคนจะต้องใช้มากที่สุด ในการศึกษาหาความรู้ และที่นี่คือคลังเก็บข้อมูลที่เราจะนำความรู้มาใช้ ในการคิดสิ่งต่างๆ
ส่วนสมองส่วนใหญ่อีก 90% ของพวกคุณ ยังไม่ได้ถูกใช้งาน ยังไม่ได้รับการกระตุ้นและได้ถูกตั้งโปรแกรมให้หยุดกิจกรรมต่างๆเอาไว้ชั่วคราว นั่นเป็นเพราะว่า ความคิดใดๆก็ตาม ที่ไม่สอดคล้องกับโปรแกรมความนึกคิดอันคับแคบทั้งหลายที่วัฒนธรรมหรือหลักศาสนาของพวกคุณได้ตั้งโปรแกรมเอาไว้ให้พวกคุณก็จะปฏิเสธพวกมันทันทีโดยอัตโนมัติ
. . . . . . . . .
ตอนที่ 23 : จิตคือ ผู้สร้าง (Mind is the Builder)
>> จิตคือผู้สร้าง และพลังแห่งเจตนาที่มุ่งมั่นจดจ่อ เป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการทำงานขึ้น ยิ่งพวกคุณมีความรับผิดชอบอย่างเหมาะสมมากพอเท่าไหร่ ความถี่ของพวกคุณก็จะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นเท่านั้นด้วย การเรียนรู้ที่จะตั้งโปรแกรมให้กับสมองเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง สมองคือคอมพิวเตอร์ชีวภาพ ที่มีฟิลเตอร์แบบ 3 มิติ และมีโปรแกรมต่างๆแบบ 3 มิติ ติดตัวมาตั้งแต่เกิด และการตั้งโปรแกรมสมองของพวกคุณ ก็จะมาจากสิ่งที่พวกเราจะเรียกว่า “การปลูกฝังเชิงสังคม-วัฒนธรรม” (socio-cultural indoctrinations) แต่หากพวกคุณไปเกิดในวิหารของทิเบต (Tibetan Monastery) ก็จะได้รับการยกเว้น
การตั้งโปรแกรมโดยสังคมส่วนใหญ่ จะสั่งสอนให้พวกคุณยอมรับมุมมองอันคับแคบมากๆเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์ และศักยภาพของมนุษย์ พวกคุณได้ถูกสอนให้เชื่อแต่เพียงในสิ่งที่พวกคุณสามารถสัมผัสได้ด้วยอายตนะทั้ง 5 ซึ่งได้แก่ การเห็น การได้ยิน การลิ้มรส การได้กลิ่น และการสัมผัสเท่านั้น
ที่รักทั้งหลาย จงรู้ไว้ว่า โลกแห่งวัตถุธาตุทางกายภาพ ที่พวกคุณมองเห็นอยู่รอบๆตัวพวกคุณนี้คือมายาการ ที่พวกคุณแปลความหมายและฉายภาพของมันออกมาจากความรู้สึกของพวกคุณเองทั้งสิ้น
มันถูกรับรู้ด้วยตา แล้วถูกส่งผ่านจักษุประสาทไปยังสมอง แล้วสิ่งที่ได้รับรู้มา ก็จะไปกระตุ้นเซลล์ประสาททั้งหลายที่อยู่ในสมองจากนั้นก็จะมีการตอบสนองอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้น ผ่านทางปฏิกิริยาชีวเคมีซึ่งเป็นปฏิกิริยาที่เกี่ยวข้องกับความร้อนโดยธรรมชาติ
เพราะโดยทั่วไปแล้ว พวกคุณจะเชื่อในสิ่งที่พวกคุณมองเห็น ได้กลิ่น ได้ลิ้มรส หรือได้ยิน ดังนั้น พวกคุณจึงจะยอมรับมัน พวกคุณเชื่อว่ามันเป็นความจริงแล้วพวกคุณก็ตัดสินลงไปว่าชอบใจหรือไม่ชอบใจ จากนั้น สมอง ก็จะปลดปล่อยเซลล์ประสาททั้งหลายที่ขึ้นอยู่กับความชอบหรือไม่ชอบเหล่านั้น ให้ออกมาทำงาน
นี่เป็นวิธีการทำงานของโลกแห่งความเป็นจริงของพวกคุณและเป็นวิธีการดึงดูดของพวกคุณ โดยในเริ่มแรก พวกคุณจะถูกดึงดูดโดยคนที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจ เช่น มีเสียงที่ไพเราะ และมีกลิ่นกายที่หอม ! พวกคุณใช้ความรู้สึกทางกายภาพของพวกคุณเป็นตัวบอกว่าใช่หรือไม่ใช่
ในทำนองเดียวกัน สมองก็จะเกิดความคิดขึ้นว่า จะยอมรับ หรือปฏิเสธสิ่งเหล่านั้นดี ก็ขึ้นอยู่กับว่าตัวแปรต่างๆได้ถูกตั้งโปรแกรมไว้อย่างไร เพราะในความเป็นจริงแล้ว สมองไม่อาจแยกแยะความแตกต่างระหว่างเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง กับเหตุการณ์ที่เป็นแค่สภาวะทางจิตใดๆได้เลย เช่น ความฝัน เป็นต้น ดังนั้น ในด้านของจิตใจที่เป็นความหลากมิติแล้ว ทั้งสองอย่างนี้ จึงไม่แตกต่างกัน
และถึงแม้สมองของมนุษย์จะมีความสามารถในการรับรู้ข้อมูลและความถี่ต่างๆจากขอบเขตที่อยู่เหนือมิติที่ 3 ขึ้นไปได้ก็ตาม แต่มนุษย์ส่วนใหญ่ ก็จะตั้งโปรแกรมให้มันปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่นอกเหนือขอบเขตคลื่นความถี่ของมิติที่ 3 เพื่อให้สอดคล้องกับอายตนะรับความรู้สึกของตัวเองอยู่ดี ดังนั้น คอมพิวเตอร์สมองเครื่องนี้ จึงรับรู้ได้เฉพาะแต่สิ่งที่พวกคุณอนุญาตให้มันรับรู้ได้เท่านั้น
การตั้งโปรแกรมตามกรอบแนวคิดที่คับแคบแบบนั้น จะทำให้มีเพียงบางส่วนของสมองของพวกคุณเท่านั้น ที่จะถูกกระตุ้น นั่นก็คือ สมองซีกขวาและซีกซ้ายของสมองส่วนหน้าด้านบน (upper cerebrum) และบางส่วนของสมองส่วนหลังด้านล่าง (lower cerebellum) ซึ่งรวมกันแล้ว จะครอบคลุมกิจกรรมการทำงานเพียงแค่ 10-12 % ของสมองเท่านั้นเอง กระบวนการและกิจกรรมการทำงานของสมองส่วนหน้าทั้งสองซีก ที่จัดอยู่ในส่วนของสมองส่วนนอก (neocortex) นี้จะทำหน้าที่หลัก อยู่แต่ในขอบเขตของมิติทางกายภาพเท่านั้น
Note :
ซีรีบรัม (cerebrum) สมองส่วนหน้าหรือสมองใหญ่ แบ่งเป็น 2 ซีก โดยสมองใหญ่ซีกซ้ายจะควบคุมร่างกายซีกขวา สมองใหญ่ซีกขวาจะควบคุมร่างกายซีกซ้าย นอกจากนี้สมองส่วนเซรีบรัมยังแบ่งเป็น 5 พลู เพื่อควบคุมการทำหน้าที่เฉพาะเจาะจงในส่วนต่างๆ อันได้แก่การควบคุมเกี่ยวกับความคิด ความจำ เชาว์ปัญญา
สมองชั้นนอก (The Neocortex) สมองส่วนที่ 3 และเป็นระดับความคิดซับซ้อนสูงสุด นั่นคือ สมองชั้นนอก (neocortex) เป็นสมองระดับสูงสุดในการจัดลำดับความซับซ้อนของสมอง ทำหน้าที่เกี่ยวกับคำสั่งที่สลับซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งเกี่ยวกับการอ่าน การวางแผน การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ และการทำการตัดสินใจ ซึ่งเป็นสมองส่วนที่ทุกคนจะต้องใช้มากที่สุด ในการศึกษาหาความรู้ และที่นี่คือคลังเก็บข้อมูลที่เราจะนำความรู้มาใช้ ในการคิดสิ่งต่างๆ
ส่วนสมองส่วนใหญ่อีก 90% ของพวกคุณ ยังไม่ได้ถูกใช้งาน ยังไม่ได้รับการกระตุ้นและได้ถูกตั้งโปรแกรมให้หยุดกิจกรรมต่างๆเอาไว้ชั่วคราว นั่นเป็นเพราะว่า ความคิดใดๆก็ตาม ที่ไม่สอดคล้องกับโปรแกรมความนึกคิดอันคับแคบทั้งหลายที่วัฒนธรรมหรือหลักศาสนาของพวกคุณได้ตั้งโปรแกรมเอาไว้ให้พวกคุณก็จะปฏิเสธพวกมันทันทีโดยอัตโนมัติ
. . . . . . . . . . . .
24.นี่ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นได้แบบปุปปัปหรือจากการเจิมหน้าผากนะ..แต่มันจะเกิดจากการเริ่มสำรวจตัวเองด้วยความจริงใจ
ตอนที่ 24 : การขยายขอบเขตความเชื่อของพวกคุณ (Expanding Your Belief Horizons)
>> หนึ่งในเหตุผลสำคัญ ที่ทำให้ “กฎแห่งการดึงดูด” (Law of Attraction) นี้ใช้ไม่ได้ผลสำหรับพวกคุณนั่นก็คือ “ความเชื่ออันจำกัด เพราะโปรแกรมความคิดที่จำกัด” นั่นเอง เพราะฉะนั้น การมีจิตใจที่คับแคบแบบนั้นจึงทำให้ความเป็นไปได้อันยิ่งใหญ่ ของอะไรก็ตามที่อยู่นอกเหนือช่วงคลื่นความถี่แคบๆ ที่สามารถรับรู้ได้ด้วยประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของร่างกายในมิติที่ 3 นี้ของพวกคุณ ถูกปิดกั้นไปซะหมด
และเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว
:- ทำอย่างไร ? จึงจะทำให้สมองของพวกคุณขยายขอบเขตการทำงานออกไปได้ ?
:- ทำอย่างไร ? จึงจะเปิดใจของพวกคุณออกมาได้อย่างไร ? และ…
:- ทำอย่างไร ? พวกคุณจึงจะตั้งโปรแกรมคอมพิวเตอร์ของพวกคุณใหม่ได้ ?
คำตอบนั้นง่ายมาก….แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องที่หนักหนาสากรรจ์เหลือเกิน สำหรับพวกคุณหลายๆคนที่จะทำมันให้ได้ นั่นก็คือ “ ลงมือกระทำ “ โดยการตรวจสอบและเรียนรู้ และมีความตั้งใจจริงอย่างแน่วแน่ที่จะเปิดใจตัวเองออกมาให้ได้ และเมื่อได้ตั้งความปรารถนาอย่างมั่นคงที่จะขยายขอบเขตการทำงานของสมองออกไปดังที่ว่านี้ มันก็จะไปดึงดูดคลื่นความถี่ของความนึกคิดอันทรงพลังอำนาจเข้ามา และจะทำให้เกิดการขยายขอบเขตเพิ่มมากขึ้น
หลังจากนั้น ทุกๆครั้งที่พวกคุณเปิดใจรับแนวคิดใดๆ ที่อยู่นอกเหนือขอบเขตของสิ่งต่างๆที่พวกคุณได้เคยยอมรับมาก่อนแล้ว (คือ..แนวคิดใหม่หรือแนวคิดที่เข้ามาเพิ่มเติมข้อมูลที่คุณได้เคยรับมาแล้ว =ผู้แปล )….แนวคิดอันนั้น ก็จะไปกระตุ้นส่วนอื่นๆของสมองของพวกคุณให้มีการใช้งานเกิดขึ้นอย่างมีวัตถุประสงค์ทันที
ทุกๆครั้งที่พวกคุณทำเช่นนั้นแนวคิดที่เปิดกว้างอันนั้น ก็จะทำหน้าที่เป็นพาหะช่วยนำพาขอบเขตความเชื่อของพวกคุณให้ขยายกว้างออกไปอีก และจะทำให้การคิดแบบใช้เหตุใช้ผลในระดับเอกภพซึ่งสูงส่งกว่าเกิดขึ้นได้ และหากกระบวนการนั้น ถูกกระทำซ้ำๆหลายๆครั้งอย่างจริงจังและจริงใจแล้ว มันก็จะไปดึงดูดแนวคิดใหม่ๆให้เข้ามาอีก จากการเรียนรู้และจากการทำสมาธิ
ในขณะเดียวกัน วงจรนี้ก็จะไปกระตุ้นส่วนอื่นๆในสมองของพวกคุณให้ขยายตัวออกไปมากยิ่งขึ้น และจะไปตั้งโปรแกรมใหม่ๆ และการยอมรับข้อมูลใหม่ๆให้เกิดขึ้นด้วยจิตใจที่ใสสะอาดแห่ง Mer-Ka-Na
เมื่อพวกคุณหมดข้อกังขา……
::- พวกคุณก็จะรู้ และ
::- พวกคุณเชื่อ …แล้ว
::- มันก็จะกลายเป็นกฎที่เป็นจริงเสมอไป …และจากความเชื่อที่เปิดกว้างจากใจของพวกคุณนี้ พวกคุณก็จะได้เริ่มก้าวสู่ขั้นตอนการสร้างสรรค์ชะตาชีวิตของพวกคุณเอง
แล้วทำอย่างไร ? พวกคุณจึงจะสามารถขยายขอบเขตการทำงานของสมองของพวกคุณ และเปิดประตูสู่จิตอันศักดิ์สิทธิ์/จิตแห่งพระเจ้าได้ล่ะ ?
มันไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ด้วยการปิ๊งแว๊บขึ้นมาเองแบบปุบปับหรอกนะ และมันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้เพราะเพียงแค่ได้เจิมหน้าผากด้วย เพราะหนทางอันศักดิ์สิทธิ์ที่จะสามารถทอดไปยังสิ่งที่พวกคุณอาจเรียกกันว่า “การรู้แจ้ง” (Enlightenment) นั้น มันจะต้องอาศัยขั้นตอนแห่งความตั้งใจอยู่หลายขั้นตอนด้วยกัน
ซึ่งก็มีนักอภิปรัชญาหลายคน ที่ต้องการเปิดหนังสือแห่งความรู้ขึ้นมาและต้องการที่จะกระโดดข้ามไปทีเดียวไปยังบทสุดท้ายเลย ซึ่งการกระทำเช่นนั้น มันไม่ถูกต้อง จึงใช้ไม่ได้ผล เพราะที่ถูกต้อง คือ ต้องเริ่มต้นด้วยการสำรวจดูตัวเองซะก่อน แล้วค่อยๆตรวจสอบอย่างระมัดระวังว่า สิ่งไหนได้ผล สิ่งไหนไม่ได้ผลสำหรับตัวคุณเอง
ด้วยวิธีการนี้ เท่ากับพวกคุณได้ยินยอมให้แนวความคิดที่สดใหม่ได้ขยายกว้างมากขึ้น และปล่อยให้จิตอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นคลื่นความนึกคิดที่มีความถี่สูงกว่า สามารถผ่านเข้ามาในสมองได้ ….จากนั้นพวกคุณก็จัดการพินิจพิเคราะห์มัน ด้วยการเผชิญหน้ากับแนวความคิดใหม่ๆโดยการยอมรับมันไว้ และปล่อยให้มันได้แสดงออกมา แล้วค่อยๆพัฒนาและขับเคลื่อนมันไปด้วยอารมณ์ที่สุขุมคัมภีรภาพ ซึ่งจะทำให้ข้อมูลใหม่ๆเหล่านั้น กลายไปเป็นความรู้และภูมิปัญญาต่อไป
. . . . . . . . . . . .
25.เมื่อคุณลังเลสงสัย คุณก็จะไม่เชื่อ และนั่นคืออุปสรรคที่ขวางกั้นการเนรมิตความปรารถนาของพวกคุณให้กลายเป็นจริง
ตอนที่ 25 : กระแสไฟฟ้าสถิตในสนามพลังออร่า (The Static in the Field)
>> ปัญหาของผู้คนส่วนใหญ่ ที่ทำให้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลง ความเชื่อ ของพวกเขาได้ ก็คือ …
การไปยอมรับ กับการตั้งโปรแกรมแบบ 3 มิติ ของสมองอย่างมืดบอด ดังนั้น แม้ว่าพวกคุณจะสามารถคิดบวกได้ หรือคิดถึงการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางบวกได้ แต่หากในจิตใจลึกๆของพวกคุณยังมีความลังเลอยู่ ว่ามันจะเกิดขึ้นได้จริงหรือ แล้วมันก็จะไม่เกิดขึ้น
ความลังเลสงสัย เป็นอุปสรรคอย่างหนึ่ง ที่ขวางกั้นการเนรมิตความปรารถนาของพวกคุณให้กลายเป็นจริง เพราะหากพวกคุณลังเล พวกคุณก็จะไม่เชื่อ ความลังเลสงสัยที่อยู่ในสมอง จะทำให้เกิดปฏิกิริยาชีวเคมีอย่างหนึ่งขึ้น มันจะไปกระตุ้นสารตัวนำเซลล์ประสาทในสมองตัวหนึ่ง ที่ไหลจากต่อมพิทูอิตารี ไปยังต่อมไพนีล และจะไปบล็อคทางออกเอาไว้ไม่ให้เปิดออกได้
และที่ ความลังเลสงสัย มันเกิดขึ้นมาได้ ก็เพราะพวกคุณไม่เชื่อนั่นเอง ก็อย่างที่พวกเราได้เคยกล่าวเอาไว้แล้วว่า การตั้งโปรแกรมด้านการเอาตัวรอดของสมองแห่งอัตตาตัวตนนั้น ได้ใช้ ก็อย่างที่พวกเราได้เคยกล่าวเอาไว้แล้วว่า การตั้งโปรแกรมด้านการเอาตัวรอดของสมองแห่งอัตตาตัวตนนั้น ได้ใช้ ความกลัว ในระบบทวิภาวะเป็นระบบเตือนภัย ซึ่ง คุณสมบัติในความเป็นทวิภาวะอันนั้น มันเหมือนเป็นดาบสองคมเพราะว่า ความกลัว นั้น นอกจากจะทำหน้าที่ในบริบทนั้นแล้ว มันยังสามารถนำไปสู่อารมณ์ด้านลบต่างๆได้มากมายอีกด้วย เช่น ความหดหู่ ,ความสงสัย, ความเกลียดชัง, ความอิจฉาริษยา และการดูถูกตนเอง เป็นต้น
ซึ่งอาการต่าง ๆ เหล่านี้ ล้วนมีรากเหง้ามาจากคุณสมบัติด้านลบของ ความกลัว ทั้งสิ้น และ ความกลัว นี้เอง ที่จะไปสร้างกระแสไฟฟ้าสถิตย์ให้เกิดขึ้นในสนามพลังออร่าและจะนำไปสู่การรั่วไหลของสนามพลังออร่าต่อไป อย่างที่ได้มีการสอนเอาไว้แล้วใน Metatronic Keys ว่า ออร่าของมนุษย์จะต้องสมบูรณ์ครบถ้วนเพื่อที่จะขยายไปสู่ Mer-Ka-Na ให้ได้ เพราะสนามพลังงานที่มีรอยแยก หรือแตกร้าวจะไม่สามารถปฏิบัติการได้อย่างเหมาะสมในกฎแห่งการสร้าง
. . . . . . . . . . .
26.เครื่องมือที่ใช้ในการเนรมิต คือ.. “ความปรารถนา + จินตนาการถึงภาพ + อารมณ์ ”
ตอนที่ 26 : กระบวนการทางชีวเคมี (Bio-Chemical Process)
>> กระแสความคิด และ จินตภาพทั้งหลายอันเกิดจาก ความเชื่อ (the belief thought-images) ที่อยู่รอบๆตัวพวกคุณนั้น มันคือ สิ่งที่ถูกพวกคุณร่วมกันสร้างขึ้นมาในสนามพลังงานมวลรวมของมนุษยชาติทั้งหมด โดยมีความเห็นพ้องต้องกันในระดับมหัพภาค พวกมันถูกฉายออกมาอย่างเป็นเอกเทศน์ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับระดับค่าของแสงสว่างของพวกคุณเอง แล้วพวกมันก็จะเนรมิตเข้าไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพของพวกคุณ
เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับกระบวนการทางกายภาพกระบวนการหนึ่งอยู่ นั่นก็คือเมื่อคลื่นความถี่ของกระแสความคิดทั้งหลาย ถูกรับเข้ามาในรูปแบบของรหัสดิจิตอลแล้ว สารชีวเคมีภายในสมองก็จะถูกขับเคลื่อนในทันที ตัวเร่งปฏิกิริยาทางจิตทั้งหลาย ถูกเชื่อมต่ออยู่กับต่อมไพเนียล ซึ่งต่อมไพเนียลจะได้รับพวกมันเข้ามา ในลักษณะของ “ แสงสว่างที่เข้ารหัสจีโอเอาไว้ ” โดยผ่านทางกระบวนการถ่ายทอด (geo-coded light transmissions)
ฉนั้น…ทุกๆจินตภาพ และทุกกระแสความคิด จะถูกแปลความหมายและถูกคัดสรรตามคุณลักษณะเฉพาะตัวในด้านพลังงานของพวกมัน ซึ่งหลังจากที่ต่อมไพเนียลรับพวกมันเข้ามาแล้ว พวกมันก็จะต้องถูกกรองผ่านตัวแปรแห่งความเชื่อที่ถูกติดตั้งโปรแกรมเอาไว้ แล้วสมองของพวกคุณก็จะเป็นผู้คัดกรองและกำหนด ว่าสิ่งไหนจริงหรือไม่จริง สิ่งไหนเชื่อได้ หรือเชื่อไม่ได้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับระดับปริมาณของแสงสว่าง ที่ถูกตั้งโปรแกรมเอาไว้ในสมองของพวกคุณ
จากนั้นผลิตภัณฑ์ที่เป็นสารชีวเคมีทั้งหลาย ก็จะถูกผลิตขึ้นมาโดยใช้ส่วนผสมแห่งการยอมรับ หรือส่วนผสมแห่งการปฏิเสธดังกล่าวเหล่านั้น แล้วสารชีวเคมีเหล่านี้ ก็จะทำหน้าที่ไปเปิด หรือ ปิด ประตูทางเข้าไปสู่จิตใจที่สูงส่งกว่าต่อไป
สารชีวเคมีเหล่านี้ จะถูกส่งไปในรูปของเซลล์ประสาทที่ถูกเข้ารหัสไว้แล้ว และนี่คือกลไกการขนส่ง “พลังงานแห่งกระแสความคิด” ซึ่งบรรจุไปด้วยข้อมูลที่จำเป็นทั้งหมด ที่ถูกจัดไว้อย่างเป็นระบบ
เพื่อใช้ในการแปลความหมาย ว่ากระแสความคิดหรือจินตภาพนั้นๆจะถูกเปลี่ยนให้กลายมาเป็นความจริงทางกายภาพหรือไม่ ? และกระแสความคิดใดที่สอดคล้องต้องกันกับความเชื่อ มันก็จะเคลื่อนผ่านเข้าไปผลิตจินตภาพขึ้นมาใหม่อีกครั้งภายในสมองของพวกคุณ และภายในทุกๆเส้นใยประสาททั่วทั้งร่างกายเนื้อของพวกคุณด้วย
ซึ่งสิ่งนี้ก็จะกลายไปเป็นตัวจุดประกายเบื้องต้น สำหรับการสร้างโลกแห่งความเป็นจริงใบใหม่ขึ้นมา ต่อมไพเนียลจะรับสัญญาณเป็นคลื่นความถี่แห่งแสงสว่าง ซึ่งทุกๆกระแสความคิด และทุกๆจินตภาพก็จะมีคลื่นความถี่แห่งแสงสว่างที่ถูกเข้ารหัสเอาไว้เฉพาะตัว ที่ขึ้นอยู่กับรูปแบบคลื่นความสั่นสะเทือนของมันเองอยู่แล้ว……..ส่วนขั้นตอนถัดไป ก็คือ
“ การตั้งเจตนาด้วยจิตใจที่ใสสะอาด” พลังของความตั้งใจจะถูกขับเคลื่อนและเร่งให้เร็วขึ้นโดยอารมณ์และความรู้สึก และเมื่อขั้นตอนนี้ได้เสร็จสิ้นลง ร่างกายเนื้อก็จะปลดปล่อย “วัตถุประสงค์อันนั้น” ซึ่งจะอยู่ในรูปแบบของรหัสดิจิตอลไปให้กับกายละเอียด ซึ่งกายละเอียดที่ว่านี้ก็คือ สนามพลังออร่าที่สมบูรณ์ซึ่งอยู่ในลักษณะ “กึ่งของแข็ง” และอัดแน่นไปด้วยรหัสแห่งแสงสว่างและถูกฉายออกมา และถูกเร่งให้เร็วขึ้นจากระบบจักระ ออร่านั้นจะต้องสมบูรณ์ไม่เสียหายและจะต้องเป็นวงจร 13-20-33 ที่เหมาะสมและเข้าถึงได้แล้วด้วยเท่านั้น
จากนั้นมันก็จะผ่าน Mer-Ki-Va ไปยัง Mer-Ka-Va และไปสู่สนามพลังงาน Mer-Ka-Na ต่อไป
และทุกๆอย่างจะถูกขับเคลื่อนไปด้วยเจตนาที่มีความชัดเจนและความเข้มข้น จากสิ่งที่พวกคุณได้ถ่ายทอดลงไปในเบื้องหลังความนึกคิดของความปรารถนา หรือ เป้าหมาย ซึ่งเป็นตัวกำหนดในสิ่งที่ต้องการเนรมิตออกมา
เมื่อพวกคุณได้เรียนรู้กลไกต่างๆของการสร้างอย่างมีสติสัมปชัญญะแล้ว พวกคุณก็จำเป็นจะต้องใช้เครื่องจักรกลแห่ง “ความปรารถนา “ อันนี้ร่วมกับการใช้การ “ จินตนาการถึงภาพ ” และใช้ “อารมณ์” เพื่อทำให้กระบวนการเนรมิตออกมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพนี้ สำเร็จเสร็จสิ้นลงได้
. . . . . . . . . . . .
27. “ เมื่อใดที่ความกลัวได้รับความรู้แล้ว มันก็จะถูกเรียกว่า ‘การรู้แจ้ง’ “
ตอนที่ 27 : กฎของการสร้างสรรค์อย่างมีสติสัมปชัญญะ (The Law of Conscious Creation)
>> ไม่มีวัตถุธาตุทางกายภาพหรือประสบการณ์ใดในชีวิตของพวกคุณเลยที่พวกคุณไม่ได้เป็นผู้สร้างมันขึ้นมาเอง ซึ่งเรื่องนี้หมายรวมถึงรูปลักษณ์ทางกายภาพ นั่นก็คือร่างกายเนื้อของพวกคุณนั่นเอง ท่านคุรุทั้งหลาย ไม่มีสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับภาพลักษณ์ทางกายภาพของพวกคุณที่พวกคุณไม่ได้เป็นผู้สร้างมันขึ้นมาเองเลย
แต่หากพวกคุณสามารถที่จะมองเห็นตัวเองในชาติภพอื่นๆได้ พวกคุณก็อาจจะประหลาดใจว่า ทำไมพวกคุณถึงได้สร้างให้กายเนื้อของพวกคุณมีคุณลักษณะต่างๆที่คล้ายคลึงกันหลายภพหลายชาติเหลือเกิน ::= เมื่อใดที่พวกคุณมีสติปัญญาอันศักดิ์สิทธิ์แล้ว พวกคุณก็จะสามารถสร้างอาณาจักรต่างๆได้อย่างไม่จำกัด ::= เมื่อใดที่พวกคุณมีความรู้แล้ว มันก็ไม่มีอะไรที่จะต้องไปเกรงกลัวอีกเลย เพราะว่าเมื่อถึงตอนนั้นแล้ว มันก็จะไม่มีสิ่งใด, ไม่มีเหตุปัจจัยใด, ไม่มีกฎเกณฑ์อันใด, ไม่มีความเข้าใจใดๆ ที่จะมาคุกคาม หรือกดขี่ หรือ ข่มขู่พวกคุณได้อีกต่อไปแล้ว เพราะ “ เมื่อใดที่ความกลัวได้รับความรู้แล้ว มันก็จะถูกเรียกว่า ‘การรู้แจ้ง’ “
โดยธรรมชาติแล้ว พวกคุณจะมีช่วงจังหวะของการดำรงอยู่ในมิติทางกายภาพ และในมิติที่ไม่ใช่กายภาพ ซึ่งเป็นสภาวะทั้งที่อยู่ในยามตื่นและยามหลับของพวกคุณ ความฝัน ทั้งหลาย เป็นหนึ่งในวิธีการบำบัดรักษาโรคตามธรรมชาติที่ยอดเยี่ยมที่สุดของพวกคุณ และเป็นทรัพย์อันมีค่า ที่ทำหน้าที่เชื่อมต่อโลกแห่งความเป็นจริงและจักรวาลทั้งภายในและภายนอกของพวกคุณ ซึ่งจิตสำนึกปกติของพวกคุณ จะได้ประโยชน์จากการเดินทางเข้าไปเที่ยวและพักอยู่ในอาณาเขตแห่งความเป็นจริงทั้งหลายที่ไม่ใช่มิติทางกายภาพในระยะสั้นๆ ในยามที่พวกคุณนอนหลับ
ส่วนสิ่งที่เรียกว่า จิตสำนึกในยามหลับ ของพวกคุณก็จะได้ประโยชน์จากการเดินทางเข้าไปเที่ยวในโลกของวัตถุธาตุทางกายภาพยามตื่นบ่อยๆด้วยเช่นเดียวกัน แต่พวกเราขอบอกพวกคุณว่า ภาพที่พวกคุณเห็นในภาวะทั้งสองนั้น (ยามตื่นและยามหลับ/ผู้แปล) มันมีพื้นฐานมาจากการตีความของสมองพวกคุณที่มีต่อสนามคลื่นความถี่ดิจิตอลของหน่วยแห่งจิตสำนึกหลักทั้งหลาย ซึ่งจริงๆแล้ว คลื่นความถี่ที่สมองของพวกคุณรับมา จะเป็นรหัสดิจิตอล ซึ่งก็คือสัญลักษณ์รูปแบบหนึ่งของพลังงานคริสตัลไลน์ (คล้ายๆกันกับสิ่งที่พวกคุณอาจจะเรียกว่า X’s และ O’s), ที่พวกคุณจะตีความ และแปลความหมายออกมาเป็นภาพและอารมณ์ความรู้สึกต่างๆ
มันไม่ใช่เรื่องยากสำหรับพวกคุณ ที่จะยอมรับว่า… พวกคุณคือคนที่สร้างความฝันทั้งหลายของพวกคุณขึ้นมาเอง แต่มันยากสำหรับพวกคุณ ที่จะยอมรับว่า… พวกคุณคือคนที่สร้างโลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพของพวกคุณขึ้นมาเอง แต่พวกคุณก็สร้างทั้งสองอย่างนั้นขึ้นมาเองจริงๆนั่นแหละ และพวกคุณก็เป็นคนกำหนดเองด้วยว่า ทั้งสองอย่างนั้นอย่างไหนคือความจริง และอย่างไหนไม่ใช่ความจริง
. . . . . . . . .. .
28.ความรู้ที่คุณยอมเชื่อ จะกลายไปเป็นโลกแห่งความเป็นจริงได้ ก็ต่อเมื่อต่อมไพเนียลเปิดประตูให้มันเข้าไปสู่จิตอันศักดิ์สิทธิ์ก่อน
ตอนที่ 28 : ต่อมไพเนียล (pineal gland)
>> ต่อมไพเนียล มีรูปทรงคล้ายๆผลของต้นโอ๊ค และมีลายนูนๆตะปุ่มตะป่ำเหมือนลูกสน (เป็นรูปกรวย) ซึ่งเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดีมาหลายยุคหลายสมัยแล้ว ว่ามันคือตัวกลางที่เชื่อมต่อระหว่างมิติที่สูงกว่ากับมิติทางกายภาพ จึงอาจกล่าวได้ว่า มันคือประตูเชื่อมต่อระหว่างความมีอัตตาตัวตน หรือสมอง กับจิตอันศักดิ์สิทธิ์/จิตแห่งพระเจ้า
ซึ่งมันถูกนักอภิปรัชญาหลายๆคน เช่น Descartes และ Edgar Cayce ตั้งชื่อให้ว่าเป็น “ศูนย์รวมอำนาจแห่งจิตวิญญาณ” (Seat of the Soul) ซึ่งภาพของต่อมไพเนียลนี้ ได้ปรากฎอยู่ในอักขรภาพ เฮียโรกลิฟฟิก ของอียิปต์ และของอาณาจักรบาบิโลเนียโบราณหลายต่อหลายภาพ ซึ่งมันได้ถูกวางไว้บนยอดของไม้คฑาแห่งความรู้ของเทพโอซิริส (Osiris) ทั้งที่จริงๆแล้ว ไม้คฑาแห่งเทพโอซิริส มีงูเห่าสองตัวพันกันเป็นเกลียวอยู่ด้วย และหัวงูทั้งสองก็ชูอยู่คู่กันที่บนยอดของคฑาที่มี “ลูกสน” ซึ่งหมายถึงต่อมไพเนียล อยู่นั่นเอง
งู หมายถึง พลังกุณฑาลิณีที่จะพุ่งขึ้นด้านบน ไปสู่ต่อมไพเนียล บนเศียรของรูปปั้นพระพุทธรูป & พระศิวะของพวกคุณ ก็มีลายเกลียวเกศาที่รูปร่างคล้ายๆต่อมไพเนียลนี้ด้วย และแม้แต่ที่ส่วนบนของธง Vatican ก็มีภาพสัญลักษณ์ของต่อมไพเนียล ที่เป็นรูปลูกสนนี้ด้วย ซึ่งนั่นย่อมแสดงว่า ความสำคัญของมัน ได้ถูกยอมรับและเป็นที่รู้จักกันมานานแล้ว และพวกเราอยากจะบอกพวกคุณว่า ในกระบวนการเลื่อนระดับขึ้นนี้ ต่อมไพเนียลแห่งยุคพลังงานคริสตัลไลน์นี้ กำลังถูกเพิ่มพลังอำนาจให้มากยิ่งขึ้นอีก
::+ ต่อมไพเนียล คือตัวกลางที่ทำหน้าที่เปลี่ยน “การรับรู้” ให้กลายไปเป็นสิ่งที่ถูกเนรมิตออกมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพ ::+ ต่อมไพเนียล จะทำงานร่วมกับต่อมพิทูอิทารี เพื่อเป็นสะพาน หรือเป็นประตูเชื่อมต่อระหว่างโลกกายภาพและโลกที่ไม่ใช่ทางกายภาพ หรือระหว่างสมองและจิตใจ ความรู้ใดๆก็ตามที่พวกคุณยอมเชื่อ จะกลายไปเป็นโลกแห่งความเป็นจริงได้ ก็ต่อเมื่อต่อมไพเนียลเปิดประตูให้มันเข้าไปสู่จิตอันศักดิ์สิทธิ์ก่อนเท่านั้น
::+ ต่อมไพเนียลจะแปลสัญญาณคลื่นความถี่ของ กระแสความคิด ให้ไปเป็นกระแสไฟฟ้าชีวเคมีของคลื่นความร้อนชนิดหนึ่ง แล้วส่งไปทั่วทั้งร่างกายของพวกคุณ จากการเปิดมันออกไปสู่จิตใจ แล้วสมองของพวกคุณก็จะแปลง กระแสความคิด ทั้งหลาย ที่พวกคุณสร้างขึ้นมาให้ไปเป็นสารชีวเคมีนับพันๆชนิดในทุกๆวินาที แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกๆกระแสความคิด ที่อยู่ในสมองแบบพื้นๆนี้จะสามารถเข้าไปถึงจิตใจที่สูงส่งกว่าได้เสมอไปหรอกนะ แต่ก็อย่างที่พวกเราได้บอกไปแล้วว่า ระบบของต่อมไร้ท่อของพวกคุณกำลังถูกกระตุ้นให้เข้าไปสู่พลังงานคริสตัลไลน์แห่งกระบวนการเลื่อนระดับขึ้นอยู่
::+ ต่อมไพเนียล, ต่อมพิทูอิทารี และต่อมไฮโปธาลามัส มีหน้าที่พิเศษเฉพาะเหมือนเป็นแท่งคริสตัลสำหรับการรับและถ่ายทอดสัญญาณแล้วเชื่อมต่อไปยังสนามพลังงาน Mer-Ka-Na ทั้งในส่วนของสสารและปฏิสสาร ทั้งในมิติทางกายภาพและมิติที่ไม่ใช่กายภาพภาย ด้วยวงจรที่สอดคล้องกลมกลืมของการเชื่อมต่ออันศักดิ์สิทธิ์ (Harmonic Cycle of Divine interface) ฉนั้น….มันจึงเป็นการดีที่จะเรียนรู้วิธีการกระตุ้นกระบวนการนี้ในฐานะที่มันเป็นภูมิปัญญาส่วนที่สลับซับซ้อนของสภาวะ Mer-Ka-Na
. . . . . . . . . . . . .
29.ร่างกายมนุษย์เป็นอุปกรณ์ชิ้นหนึ่ง ที่สามารถใช้เพื่อการเข้าถึงพลังงานอันศักดิ์สิทธิ์ที่มหัศจรรย์และเหนือธรรมดานี้ได้
ตอนที่ 29 : จิตอันศักดิ์สิทธิ์ (Divine Mind)
>> ภูมิปัญญาศักดิ์สิทธิ์มาจากจิตอันศักดิ์สิทธิ์ และเมื่อพวกคุณยอมให้จิตใจสามารถอยู่เหนืออัตตาตัวตนได้แล้ว พวกคุณจะบรรลุถึงซึ่งภูมิปัญญาแห่งการสร้างสรรค์แบบพระเจ้า ภูมิปัญญานี้เป็นความรู้ที่บริสุทธิ์ ที่จะทำให้พวกคุณเข้าถึงซึ่ง กฎแห่งการสร้างสรรค์ ได้ เมื่อพวกคุณเข้าถึงแล้ว จงรู้ถึงสิ่งที่พวกคุณต้องการจะสร้าง และลงมือกระทำเพื่อสิ่งนั้นต่อไป
ร่างกายของมนุษย์เป็นอุปกรณ์ชิ้นหนึ่ง ที่สามารถนำไปใช้เพื่อการเข้าถึงพลังงานอันศักดิ์สิทธิ์ที่มหัศจรรย์และเหนือธรรมดานี้ได้ แต่มันก็มีกฎบางข้อที่ถูกกำหนดไว้สำหรับการเข้าถึงความศักดิ์สิทธิ์นี้อยู่ นั่นก็คือ เมื่อร่างกายถูกปรับจนเหมาะสมดีแล้ว พวกคุณจึงจะได้รับภูมิปัญญานั้นได้ และเมื่อออร่าถูกรักษาให้คงความสมดุลไว้ดีแล้ว จึงจะสามารถได้มาซึ่งระบบ Mer-Ka-Na ได้ แล้วประตูไปสู่ “กฎแห่งการสร้างสรรค์” ไปสู่ “กฎแห่งความเชื่อ” และไปสู่ “กฎแห่งการดึงดูด” จึงจะเปิดออกมา ดังนั้น เพื่อที่จะให้สิ่งนั้นๆ เกิดขึ้น ระบบทั้งหมดจะต้องมีการทำงานที่เป็นไปอย่างลงตัวและสมดุล
แต่หากพวกคุณเอาแต่ใช้ร่างกายเนื้อของตัวเองเพื่อสร้างความพึงพอใจในทางกายภาพให้กับตนเองแทนที่จะใช้เพื่อเป็นเครื่องมือ สำหรับการบรรลุให้ถึงซึ่งความศักดิ์สิทธิ์แล้วละก็…พวกคุณก็จะได้เก็บเกี่ยวแต่สิ่งที่พวกคุณหว่านเอาไว้เท่านั้น (you reap what you sow)
. . . . . . . . . . .. . . .
30. การสร้างสรรค์อย่างมีสติสัมปชัญญะคือชะตาชีวิตของคุณ ที่จะทำให้คุณสามารถเนรมิตโลกของคุณ ให้ได้ดั่งใจได้จริงๆ
ตอน 30 (จบ) :- ปิดท้าย (Closing)
>> พวกคุณเป็นนายผู้มีอำนาจอยู่เหนือทุกๆประสบการณ์เสมอ แม้ในยามที่พวกคุณถูกทอดทิ้งให้อยู่ในสภาวะที่ดูเหมือนสิ้นหวังอย่างสุดแสนก็ตาม แต่พวกคุณเองนั่นแหละที่เป็นผู้เขียนบทละครของประสบการณ์นั้นๆขึ้นมาเองทุกบท ทุกตอน
แต่หากว่าพวกคุณรู้จักใช้ความพยายามในการมุ่งมั่นค้นหาและใช้ภูมิปัญญาให้เกิดประโยชน์ โดยการยอมเป็นผู้รับผิดชอบแล้ว แล้วคิดใคร่ครวญถึงสถานการณ์นั้นๆของพวกคุณ และหมั่นตรวจสอบว่า “กฎ” ข้อไหนที่กำลังมีผลต่อสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นนี้อยู่ พวกคุณก็จะกลายเป็นคุรุผู้เฉลียวฉลาดที่สามารถกำหนดทิศทางให้กับพลังงานของตัวเองได้อย่างมีปัญญา และสามารถผลิตแต่กระแสความคิดที่มีคุณค่าและควรค่าแก่การทำให้กลายมาเป็นความจริง
ความคิดหนึ่งจะดึงดูดความคิดอื่นๆให้เข้ามาหา พลังบวกจะดึงดูดพลังบวกที่มากยิ่งขึ้นเข้ามา ความคิดที่ชาญฉลาดอย่างหนึ่งจะดึงดูดความคิดที่ชาญฉลาดอื่นๆเข้ามา
ในทำนองเดียวกัน…หากพวกคุณอยู่ในสภาวะสงสารตัวเองหดหู่ซึมเซา และรู้สึกดูถูกตัวเอง พวกคุณก็กำลังดึงดูดสิ่งเหล่านี้ให้เข้ามาหาตัวเองมากขึ้นๆอยู่ และนั่นแหละคือ กฎแห่งการดึงดูด ล่ะ
นั่นแหละคือมนุษย์ผู้เป็นมาสเตอร์ที่มีความตระหนักรู้ ฉนั้น พวกคุณเพียงแค่ค่อยๆพัฒนามันขึ้นโดยการค้นหา กฎแห่งการสร้างสรรค์ ที่อยู่ภายในตนเองอย่างมีสติสัมปชัญญะให้พบ ซึ่งมันก็คือการค้นพบในสิ่งที่ถูกบัญญัติเอาไว้เป็นวิทยาศาสตร์แล้วอย่างหนึ่งโดยแท้ และมันเป็นเรื่องของการนำไปใช้, นำมาการวิเคราะห์ตนเองเพื่อการทดลองให้เกิดประสบการณ์
ท่านคุรุทั้งหลาย อย่างที่บอกไปแล้วว่า พวกคุณคือจิตวิญญาณที่มีพลังอำนาจที่กำลังมีประสบการณ์อยู่ในร่างมนุษย์ จริงๆแล้วพวกคุณคือรูปธรรมชีวิตที่สวยสดงดงามอันทรงพลังอำนาจ มีความฉลาดเฉลียว และมี ความรัก หากเมื่อใดที่พวกคุณค้นพบได้แบบนั้นแล้ว พวกคุณก็จะกลายเป็นผู้จัดการความรู้สึกนึกคิดของตนเอง แล้วจากนั้น พวกคุณก็จะสามารถแก้ปัญหาของพวกคุณได้ในทุกสถานการณ์
ในสนามพลังงาน Mer-Ka-Na พวกคุณจะสามารถใช้ กฎแห่งการดึงดูด, กฎแห่งความเชื่อ และกฎแห่งการสร้าง ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งกฎเหล่านี้ ก็คือศักยภาพแห่งพระเจ้าที่อยู่ภายในพวกคุณทุกๆคน และพวกมันก็คือผู้ที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนรูปแบบ และการปฏิรูปขึ้นได้ในสิ่งที่พวกคุณอยากจะสร้างขึ้นมา ตามความปรารถนาของพวกคุณ พวกคุณสามารถเนรมิตโลกของพวกคุณให้ได้ดั่งใจได้จริงๆ และถ้าทำเช่นนั้นแล้ว พวกคุณก็จะได้มีประสบการณ์ กับสิ่งที่เรียกว่า อาณาจักรแห่งสรวงสวรรค์
การสร้างสรรค์อย่างมีสติสัมปชัญญะคือชะตาชีวิตของพวกคุณ และพวกคุณทุกๆคน ก็สามารถที่จะทำให้ชีวิตของตัวเองมีประสบการณ์อันล้ำเลอค่าได้ตามความปรารถนาอย่างมีความรับผิดชอบของตัวเอง
ฉันคือเมตาตรอนและฉันได้มาแบ่งปันสัจจะเหล่านี้ให้กับพวกคุณ
พวกคุณคือผู้อันเป็นที่รักยิ่ง …
มันเป็นเช่นนั้น… และจะเป็นเช่นนั้นเสมอ… (จบ )
••••••••••••••••••••••
••••••••••••••••••••••
••••••••••••••••••••••
ข้อความสื่อสารจากท่าน Adamus Saint Germain
เรื่อง :- เข้าสู่การตื่นรู้ (Into Your Awaking )
ตอนที่ 1: ตอนนี้ DNA ของพวกคุณกำลังเปลี่ยนแปลงไป
1.เมื่อDNA ของพวกคุณได้ถูกชำระล้างให้บริสุทธิ์แล้ว จะทำให้พวกคุณหลุดพ้นออกมาจากหนี้กรรม และสัญญาผูกมัดทั้งหลาย
ตอนนี้ DNA (Deoxyribonucleic acid) ของพวกคุณกำลังเปลี่ยนแปลงไป เพราะระดับจิตสำนึกของพวกคุณกำลังเปลี่ยนแปลงไปอยู่ และสิ่งแรกที่จะเปลี่ยนแปลงไปภายใน DNA ของพวกคุณก็คือ “กรรมเก่า” ที่ถูกถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ หรือถูกถ่ายทอดมาทางสายเลือดของพวกคุณเอง เพราะว่าโดยปกติแล้วพวกคุณมักจะเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในเชื้อสายเดิมๆหรือในวงศ์ตระกูลเดิมๆภพชาติแล้วภพชาติเล่า เพราะฉะนั้นแล้ว บางทีผู้ที่กำลังเป็นลูกๆของพวกคุณอยู่ในตอนนี้ หรือผู้ที่กำลังเป็นพ่อแม่ของพวกคุณอยู่ในตอนนี้ พวกคุณอาจจะเคยรู้จักพวกเขามาก่อนแล้วก็ได้
เพราะในจังหวะที่พวกคุณกำลังจะลงมาเกิดใหม่อีกครั้งนั้น แรงดึงดูดอันมหาศาลของกรรมที่อยู่ในสายเลือดนั้นๆ ก็จะดึงดูดพวกคุณให้เข้าไปหามันใหม่อีกครั้งหนึ่ง แม้ว่าพวกคุณจะเคยพูดเอาไว้ว่า “ฉันจะไม่กลับมาเกิดในครอบครัวนี้อีกแล้ว” ก็ตาม แต่มันก็ดูดพวกคุณให้เข้ามาอีกจนได้ เพราะภายใน DNA ของพวกคุณนั้น มันจะมีพันธุกรรมของวงศ์ตระกูลนั้นๆถักทออยู่ ซึ่งนั่นแหละคือสาเหตุที่ทำให้พวกคุณมักจะมีลักษณะคล้ายคลึงกัน หรือ มีพฤติกรรมคล้ายๆกัน หรือแม้แต่คิดเหมือนๆกันกับสมาชิกบางคนในครอบครัวของพวกคุณเอง
แต่ว่าในตอนนี้..โครงสร้าง DNA ของพวกคุณกำลังถูกชำระล้างให้บริสุทธิ์อยู่ เพื่อที่จะได้กลับคืนไปสู่สภาวะดั้งเดิมตามธรรมชาติของมัน ซึ่งนี่คือข่าวดี เพราะว่ามันจะช่วยให้พวกคุณหลุดพ้นออกมาจากบ่วงกรรมของวงศ์ตระกูลนั้นๆได้ เพราะว่ามันจะทำให้พวกคุณหลุดพ้นออกมาจากหนี้กรรม และสัญญาผูกมัดทั้งหลาย ของบรรพบุรุษของตัวคุณเองได้ และมิหนำซ้ำมันยังจะช่วยให้พวกคุณหลุดพ้นออกมาจากพรหมลิขิตทางชีวภาพของตัวเองได้อีกด้วย
เช่น ถ้าเชื้อสายวงศ์ตระกูลของพวกคุณมีโรคมะเร็ง หรือ โรคเบาหวาน เป็นโรคประจำตระกูล มันก็จะหายสาบสูญไปในตอนนี้แหละ เพื่อที่พวกคุณจะได้สามารถสร้างสรรค์ตัวเองขึ้นมาใหม่ได้ ในแบบที่พวกคุณต้องการ โดยที่ไม่ต้องไปขึ้นอยู่กับของเดิมๆที่ถูกถ่ายทอดมาทางพันธุกรรมอีกต่อไป
และเมื่อใดที่รหัสต่างๆใน DNA ของพวกคุณถูกลบล้างออกไปจนหมดแล้ว พวกคุณก็จะได้พบว่า รูปร่างลักษณะของพวกคุณเปลี่ยนไปด้วย เช่น สีตาเปลี่ยนไป หรือเค้าโครงใบหน้าเปลี่ยนไป เป็นต้น ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ จะค่อยๆเป็นค่อยๆไปทีละน้อยๆ แต่ซักวันหนึ่งเมื่อพวกคุณมองดูตัวเองในกระจกเงา หรือมองดูรูปถ่ายของตัวเองแล้ว พวกคุณก็จะรู้ว่าตัวเองได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วมากน้อยแค่ไหน และการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนี้ ก็อาจรวมถึง..
:- การเปลี่ยนแปลงน้ำหนักของร่างกายที่พวกคุณต้องแบกรับอยู่ และ อาจรวมถึง
:- การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกล้ามเนื้อของตัวเองด้วย และ อาจรวมถึง
:- การเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง ในวิถีการตอบสนองทางพลังงานต่อสมาชิกในครอบครัวของพวกคุณเองก็ได้ด้วย เพราะว่าพวกคุณบางคน อาจไม่รู้สึกถึงความผูกพันอย่างลึกซึ้งต่อสมาชิกบางคนในครอบครัวของตัวเองเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว หรือเช้าวันหนึ่งเมื่อพวกคุณตื่นขึ้นมา พวกคุณอาจจะไม่รู้สึกสนิทสนมคุ้นเคยกับครอบครัวของตัวเองเหมือนเดิมอีกเลยก็เป็นได้
ซึ่งเรื่องนี้อาจจะทำให้พวกคุณช็อก และหากปกติแล้วพวกคุณเป็นคนที่มีสัมพันธภาพที่ดี และแนบแน่นลึกซึ้ง และเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักกับครอบครัวของตัวเองดีอยู่ ก็ขออย่าได้แปลกใจ ที่ความรู้สึกและความผูกพันที่มีต่อครอบครัวของตัวคุณเองได้เปลี่ยนไป ซึ่งก็รวมถึงความรู้สึกและความผูกพันที่มีต่อลูกๆของพวกคุณด้วย และเพราะเหตุนี้เอง ที่คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลาย มักจะคิดว่าตัวเองต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ เพราะจู่ๆ พวกคุณก็จะเกิดความรู้สึกขึ้นมาว่าเด็กๆเหล่านั้นไม่ใช่ลูกๆของพวกคุณจริงๆอีกต่อไปแล้ว
นอกจากนี้ มันยังมีอะไรบางอย่างที่สำคัญไม่แพ้กันเกิดขึ้นอยู่อีกด้วย เพราะว่าเมื่อพวกคุณได้ปลดปล่อยรหัสข้อมูลใน DNA ของตัวเองออกไปแล้ว มันก็จะไปเปลี่ยนแปลงรหัสข้อมูลของผู้ที่กำลังจะลงมาเกิดเป็นสมาชิกในครอบครัวของพวกคุณด้วย เช่น ของพ่อแม่ หรือปู่ย่าตายายที่ตายไปแล้ว ที่กำลังวางแผนว่าจะกลับลงมาเกิดใหม่อีกครั้งในเร็วๆนี้ เป็นต้น ซึ่งมันก็จะช่วยปลดปล่อยพวกเขาให้เป็นอิสระจากกรรมเก่าของวงศ์ตระกูลด้วยโดยอัตโนมัติ
เพราะฉะนั้นแล้ว พวกคุณเห็นไหมว่า ตอนนี้ในขณะที่พวกคุณกำลังปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระอยู่นี้ พวกคุณก็กำลังจะทำให้พลังงานของตัวเองเปลี่ยนแปลงไปด้วย และยังส่งผลให้ศักยภาพแห่งความเป็นไปได้ของสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของผู้อื่นเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย มันน่าทึ่งใช่ไหมล่ะ?
—————-
2.พวกคุณคงจะรู้แล้วว่า ความฝันของตัวเองได้เริ่มเปลี่ยนไปซักพักหนึ่งแล้ว คือพวกมันดูเหมือนจะคม-ชัด-ลึกมากขึ้น
ตอนที่ 2: ความฝันของพวกคุณก็กำลังเปลี่ยนไป
สิ่งที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอยู่ในตอนนี้ ลำดับถัดมาก็คือความฝันของพวกคุณเอง อันที่จริงแล้วฉันไม่จำเป็นจะต้องบอกพวกคุณเลยด้วยซ้ำไป เพราะว่าพวกคุณก็คงจะรู้แล้วว่าความฝันของตัวเองได้เริ่มเปลี่ยนไปซักพักหนึ่งมาแล้ว คือพวกมันจะคม-ชัด-ลึกมากขึ้น จนบางครั้งก็น่ากลัว เพราะว่ามันจะรู้สึกเหมือนจริงมากๆ ซึ่งมันก็จะเป็นเช่นนี้ต่อไปอีกซักระยะหนึ่งโน่นแหละ
พวกคุณบางคนจะเข้าใจผิดไปว่า ตัวเองจะฝันก็เฉพาะเวลาที่นอนหลับเท่านั้น แล้วเวลาตื่นขึ้นมาก็จะเลิกฝัน แต่มันไม่ใช่แบบนั้นเลย!! เพราะว่าพวกคุณกำลังฝันอยู่ตลอดเวลา!! ซึ่งแม้แต่ตอนนี้พวกคุณก็กำลังฝันกันอยู่!!
นั่นคือ..ถึงแม้ว่าพวกคุณจะกำลังอยู่ตรงนี้อยู่ก็ตาม แต่ว่าความฝันของพวกคุณก็กำลังดำเนินต่อไปอยู่ในระนาบอื่นๆ คือมันไม่ได้มีแค่ฝันเดียว แต่มันเป็นฝันแบบซ้อนๆกันอยู่เป็นชั้นๆ แต่ว่าปกติแล้วพวกคุณจะบล็อกการรับรู้ของตัวเองไว้จากโลกแห่งความฝันเหล่านี้ จนกว่าพวกคุณจะหลับไป พวกคุณถึงจะเลิกบล็อกมัน แต่ในตอนที่พวกคุณหลับไป พวกคุณก็จะลงไปจอดบนชั้นของความฝันเพียงชั้นเดียวเท่านั้น แม้ว่ามันจะมีชั้นของความฝันที่กำลังเกิดขึ้นพร้อมกันอยู่มากมายก็ตาม
สรุปว่า ตอนนี้ความฝันของพวกคุณกำลังเปลี่ยนแปลงไปอยู่ แต่อันที่จริงแล้วสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจริงๆก็คือ ตัวพวกคุณเองที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอยู่ เพราะว่าในเวลาที่พวกคุณหลับไปนั้น พวกคุณก็จะเข้าไปสู่ชั้นของความฝันจำนวนมากมายก่ายกองพร้อมๆกัน ซึ่งมันก็อาจจะทำให้พวกคุณสับสนและงุนงงอยู่บ้าง เพราะว่าจิตใจของพวกคุณไม่ได้ถูกออกแบบมาให้สามารถรับมือกับการคิดแบบหลากมิติแบบนี้ได้ หรือถ้าจะพูดให้ถูกต้องมากกว่านี้ก็คือ จิตใจของพวกคุณไม่ได้ถูกออกแบบมาให้แปลความหมายของสิ่งที่เป็นหลากมิติแบบนี้ได้ อย่างไรก็ตาม..ในตอนนี้พวกคุณก็กำลังฝันแบบหลายๆชั้นพร้อมๆกันอยู่
และข่าวดีสำหรับเรื่องนี้ก็คือ ความฝันเหล่านี้จะช่วยให้พวกคุณสามารถมีประสบการณ์กับมิติอื่นๆได้ และจะช่วยให้พวกคุณสามารถสร้างศักยภาพแห่งความเป็นไปได้ขึ้นมาในมิติอื่นๆจำนวนมากมายได้พร้อมๆกันด้วย แต่ปัญหาก็คือ พวกคุณจะรู้สึกสับสนและงุนงงกับความฝันของตัวเองอยู่ซักระยะหนึ่ง และในตอนเช้าที่พวกคุณตื่นขึ้นมา พวกคุณก็อาจจะไม่อยากที่จะจดจำมันได้เลยด้วยซ้ำไป และพวกคุณก็อาจจะรู้สึกว่าในเวลาตื่นนั้น พวกคุณรู้สึกสงบสุข และได้พักผ่อนมากกว่าในเวลาหลับซะอีก
และนอกจากนี้พวกคุณยังกำลังจะได้ประสบกับสภาวะหลากมิติในชีวิตประจำวันของตัวเองอีกด้วย พวกคุณกำลังจะสามารถเข้าไปในชั้นของมิติต่างๆเหล่านี้ได้ แม้ตั้งอยู่กับสติสัมปชัญญะในยามตื่นของตัวเองด้วยซ้ำไป ซึ่งตอนนี้พวกคุณบางคนก็สามารถที่จะเข้าไปสัมผัสรู้ “โลกใหม่” ได้แล้วด้วย และพวกคุณก็ยังสามารถที่จะนำเอาความตระหนักรู้อันนั้นกลับมาสู่กาลเวลาใน “ปัจจุบันนี้” ได้อีกด้วยนะ เพราะว่าอะไรก็ตามที่พวกคุณได้ไปเรียนรู้มาใน ‘โลกใหม่’ นั้น ก็จะสามารถนำมาใช้ประโยชน์กับ “โลกเก่า” ใบนี้ได้ด้วย
ตอนนี้..ในฝันชั้นใดชั้นหนึ่งของพวกคุณ กำลังเคลียร์ปัญหาด้านอารมณ์ของตัวเอง ที่อยู่ร่วมกับพวกคุณมานานเกือบจะทั้งชีวิตของพวกคุณแล้ว และในตอนนี้..อีกชั้นหนึ่งของฝันเหล่านี้ พวกคุณก็กำลังมองดูศักยภาพแห่งความเป็นไปได้ของสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตของตัวเองอยู่ เพื่อที่จะได้รู้ว่ามีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง ? และพวกคุณจะสามารถสร้างสรรค์อะไรดีๆขึ้นมาให้กับวันพรุ่งนี้ของตัวเอง และให้กับปีข้างหน้าของตัวเองได้บ้าง ?
ในตอนนี้..ในชั้นใดชั้นหนึ่งของความฝันของพวกคุณ พวกคุณกำลังกลับไปเผชิญกับเหตุการณ์ในอดีตชาติอยู่ ซึ่งเป็นจุดที่มีปัญหาที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขเกิดขึ้น ซึ่งส่งผลให้เกิดการติดขัดด้านพลังงานของพวกคุณ และพวกคุณจึงกำลังพยายามที่จะหาทางแก้ไขมันอยู่
ดังนั้น หากในยามตื่น พวกคุณสามารถที่จะตระหนักรู้ถึงความฝันชั้นต่างๆของตัวเองได้ละก็ ชีวิตของพวกคุณก็จะสมบูรณ์แบบขึ้นอีกเยอะเลยทีเดียว เพราะว่าพวกคุณจะประจักษ์แจ้งว่า ตัวตนภาคที่เป็นมนุษย์โลกของตัวเองนี้ เป็นเพียงส่วนย่อยส่วนหนึ่งของตัวตนรวมทั้งหมดของตัวพวกคุณเองเท่านั้น แล้วพวกคุณก็จะค้นพบวิธีการแก้ปัญหาแบบใหม่ และค้นพบวิธีการขับเคลื่อนพลังงานแบบใหม่ ที่ใหม่เอี่ยมอย่างสิ้นเชิงอีกด้วย
ความฝันของพวกคุณไม่ได้เป็นแค่สิ่งที่พวกคุณจินตนาการขึ้นมาเอง และก็ไม่ได้เป็นแค่อุปทานของพวกคุณเองด้วย แต่ว่าความฝันของพวกคุณนั้น มันสำคัญมากพอๆกับ “ปัจจุบันขณะ” นี้เลยทีเดียว เพราะว่ามันก็เป็นส่วนหนึ่งของ “ปัจจุบันขณะ” นี้ด้วย
ความฝัน ไม่ใช่เกิดจากจิตใจที่ซัดซ่ายไปคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้เอง หรือเกิดจากความคิดฟุ้งซ่าน เพราะว่าความฝันของพวกคุณนั้น คือข้อความที่ถูกส่งมาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์เบื้องบน และจากภาคอื่นๆของตัวตนของพวกคุณเองที่อยู่ในมิติอื่นๆหรือในโลกแห่งความเป็นจริงอื่นๆ ดังนั้น เวลาพวกคุณเพิกเฉยต่อความฝันของตัวเองแล้ว พวกคุณก็จะนอนไม่ค่อยหลับสนิท เพราะว่าความฝันจะพยายามพูดกับพวกคุณต่อไป
ดังนั้น ให้หากระดาษและปากกามาไว้ข้างๆเตียง แล้วก็จงยินยอมให้ตัวเองจดจำความฝันให้ได้ แล้วก็จดมันเอาไว้ซะ ซึ่งถ้าพวกคุณเริ่มจดบันทึกความฝันของตัวเองไว้แล้ว พวกคุณก็จะรู้ว่ามันคือส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของตัวพวกคุณเองเลยทีเดียว แล้วพวกคุณก็จะเริ่มเข้าใจสัญลักษณ์และความหมายในความฝันของตัวเอง
แต่ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ฉันกำลังพูดถึงความฝันของพวกคุณหลายๆคนที่กำลังเข้าสู่กระบวนการผสานรวมกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในตัวเองอยู่นะ ฉันไม่ได้หมายถึงความฝันของบุคคลทั่วๆไป เพราะว่าความฝันของบุคคลทั่วๆไปนั้น จะแตกต่างจากความฝันของพวกคุณมาก เพราะว่าความฝันของพวกคุณจะมาเป็นภาษาที่เข้าใจได้ง่ายๆ
เพราะฉะนั้นแล้ว ก็อย่าไปใช้หนังสือทำนายฝันที่คนอื่นๆเขาใช้กันเลย แต่หากพวกคุณมีตำราแบบนี้อยู่ หรือว่าเคยศึกษามาบ้างละก็ ก็ให้ทิ้งมันไปซะ เพราะว่าตอนนี้สัญลักษณ์และความหมายในความฝันของพวกคุณนั้น มันได้เปลี่ยนไปแล้ว
ตอนนี้ภาษาในความฝันของพวกคุณกำลังมีการเปลี่ยนแปลงไปอยู่ และความฝันของพวกคุณก็กำลังค่อยๆแม่นยำมากขึ้นเรื่อยๆแล้วด้วย ดังนั้น เรื่องราวในฝันของพวกคุณจำนวนมากมายจึงกำลังเกิดขึ้นจริงๆอยู่ในมิติอื่นๆ หรือในโลกแห่งความเป็นจริงอื่นๆ หรือในโลกคู่ขนานอื่นๆ นอกจากนี้ ความฝันของพวกคุณยังเกี่ยวข้องกับคำสอนที่พวกคุณกำลังสอนกันอยู่ใน “โลกใหม่” อีกด้วย.
……………………….
3.เตรียมรับกับ ‘สติปัญญาที่แท้จริง’ในรูปแบบใหม่เอี่ยมอ่องของพวกคุณได้เลย
ตอนที่ 3: สติปัญญาของพวกคุณก็กำลังเปลี่ยนไป
กระบวนการคิดทั้งกระบวนการของพวกคุณกำลังเปลี่ยนรูปแบบไป เพราะว่าพวกคุณคุ้นเคยอยู่แต่กับการใช้สมองของตัวเองแก้ไขปัญหาต่างๆ แล้วก็คิดเป็นแต่แบบใช้ตรรกะ และแบบเชิงวิเคราะห์เท่านั้น ซึ่งนั่นก็กำลังจะเปลี่ยนไป เพราะว่าตรรกะของพวกคุณกำลังจะปรับโครงสร้างของตัวมันเองใหม่แล้ว เพื่อที่จะทำให้พวกคุณสามารถ “คิดด้วยวิธีคิดใหม่ๆ” ได้
ตอนนี้สมองของพวกคุณกำลังจัดระบบและระเบียบ ของเหตุและผลและตรรกะของตัวมันเองใหม่อยู่ ซึ่งผลกระทบอีกด้านหนึ่งของมัน ก็จะทำให้พวกคุณรู้สึกคับข้องใจอย่างมาก เพราะว่าพวกคุณจะไม่สามารถคิดได้ในแบบที่ตัวเองเคยคิดได้อีกต่อไปแล้ว
และพวกคุณก็จะสงสัยว่า ทำไมช่วงนี้ตัวเองถึงไม่มีสมาธิเอาซะเลย และไม่สามารถจดจ่อกับอะไรได้นานๆเหมือนก่อน ดังนั้น พวกคุณก็เลยจะคิดไปว่า ‘ สงสัยเป็นเพราะฉันแก่แล้วเป็นแน่ นี่ฉันคงต้องไปหาอาหารเสริมอะไรมากินบ้างแล้ว เพื่อที่ฉันจะได้สมองใสขึ้นกว่านี้’ หรือไม่ก็..พวกคุณก็อาจคิดว่าตัวเองเริ่มที่จะสมองทึบไปแล้วแน่ๆ… แต่….ความจริงแล้วมันไม่ใช่
เพราะว่าจิตใจของพวกคุณก็จะยังคงมีส่วนร่วมในการคิดอยู่เหมือนเดิม เพียงแต่ส่วนที่มีความสำคัญมากๆในส่วนอื่นๆของพวกคุณ จะเปิดตัวเองขึ้นมาให้พวกคุณได้ใช้งานด้วยเท่านั้น เช่น สิ่งที่พวกเราเรียกมันว่า gnost เป็นต้น ซึ่งมันก็คือภูมิปัญญาอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกคุณเอง ซึ่งพวกคุณมีการเชื่อมต่ออยู่กับมันตลอดเวลาอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าพวกคุณไม่ได้นำเอามันมาใช้งานด้วยบนโลกใบนี้เท่านั้นเอง
ซึ่งนั่นก็หมายความว่า วิธีการในการวิเคราะห์โลกแห่งความเป็นจริงของพวกคุณ และวิธีการแก้ปัญหาต่างๆของพวกคุณ กำลังจะเปลี่ยนไปครั้งมโหฬาร ซึ่งในช่วงแรกๆนั้นมันอาจจะรู้สึกแปลกๆอยู่ซักหน่อย จนเหมือนกับว่าพวกคุณเพี้ยนหรือบ้าไปแล้วแน่ๆ แต่…มันไม่ใช่
เพราะว่าพวกคุณเพียงแค่กำลังจัดระบบ-ระเบียบให้กับกระบวนการทางความคิดของตัวเองใหม่อยู่เท่านั้นเอง โดยการนำเอาจิตสำนึกและพลังงานมาผสานรวมเข้ากับ “กายแห่งจิตสำนึก” (Body of Consciousness) ในเวอร์ชั่นที่อยู่บนโลกนี้ของพวกคุณเองเท่านั้นเอง ตรงนี้ถ้าจะให้อธิบายต่อเรื่องมันจะยาวนะ แต่สรุปสั้นๆว่า..ให้คอยดูสติปัญญารูปแบบใหม่เอี่ยมอ่องของพวกคุณได้เลย
‘ ปัญญาที่แท้จริง’ นั้น มันไปไกลกว่าการรู้ว่า 2+2 = 4 อีกนะ เพราะว่าภูมิปัญญาที่แท้จริงนั้นก็คือการเข้าใจว่า 2+2 = อะไรก็ได้ เพราะว่ามันขึ้นอยู่กับมุมมองของพวกคุณเอง และขึ้นอยู่กับความเชื่อ และทางเลือกของพวกคุณเองด้วย เพราะว่าแม้ว่าตรรกะของพวกคุณจะบอกว่า 2+2 จะต้องเท่ากับ 4 เท่านั้นก็ตาม แต่ ‘พลังงานของภูมิปัญญาใหม่ ‘ ของพวกคุณจะยินยอมให้พวกคุณเข้าใจได้ว่า 2+2 = อะไรก็ได้ที่พวกคุณอยากจะให้มันเป็น..
………………………
4. มันก็จะมีบางช่วงเวลาที่พวกคุณจะรู้สึกถึงการเชื่อมต่อกับวิญญาณแบบใกล้ชิดและลึกซึ้งมากเป็นพิเศษ
ตอนที่ 4: การเหวี่ยงแบบสุดขั้ว
ในประสบการณ์ชีวิตของพวกคุณมันจะมีการเหวี่ยงแบบสุดขั้วเกิดขึ้น เพราะว่าพลังงานใหม่กำลังหลั่งไหลเข้ามาอยู่ ดังนั้น จึงทำให้เพนดูลั่มของพลังงานเก่าเกิดการเหวี่ยงจากสุดปลายข้างหนึ่งไปสู่สุดปลายอีกข้างหนึ่งอยู่ และเมื่อใดที่พลังงานเก่ากับพลังงานใหม่มาผสานรวมกันแล้ว มันก็จะกลายเป็นส่วนสมบูรณ์ทั้งหมด ไม่ใช่เป็นแค่สุดปลายข้างใดข้างหนึ่งอีกต่อไป
ณ.สุดปลายข้างใดข้างหนึ่งนั้น พวกคุณอาจจะรู้สึกว่ามีพลังงานแห่งการสร้างสรรค์ระเบิดออกมาอย่างเหลือเฟือเหลือเกิน จนพวกคุณรู้สึกถึงแรงกระตุ้นอย่างฉับพลัน เช่น ให้อยากแต่งเพลง หรือเขียนหนังสือ หรือวาดภาพ หรืออะไรก็ตามแต่ จนพวกคุณรู้สึกรับไม่ได้ และมิหนำซ้ำมันอาจจะเกิดขึ้นในขณะที่พวกคุณกำลังอยู่ในสถานที่แปลกๆอีกด้วย เช่น ในขณะที่พวกคุณกำลังอยู่ในห้องประชุม หรืออยู่ในภัตาคาร หรืออยู่ในงานศพ ฯ เป็นต้น
แต่ ณ.สุดปลายอีกข้างหนึ่งนั้น มันอาจจะมีช่วงเวลาที่พวกคุณจะรู้สึกว่าไม่มีแรงบันดาลใจอะไรเลยอย่างสิ้นเชิง และพวกคุณก็อาจจะรู้สึกว่าสมองว่างเปล่า ไม่มีอะไรเลย จนพวกคุณอยากจะพูดว่า “ท่านอะดามัส ทำไมเมื่อนาทีที่แล้วฉันถึงมีความคิดสร้างสรรค์อย่างเหลือเฟือเหลือเกิน แต่พอนาทีถัดมาทำไมฉันถึงไม่รู้สึกอะไรเลยล่ะ?” แล้วฉันก็จะตอบว่า “ถูกแล้ว..มันต้องเป็นแบบนั้น”
แต่ถึงแม้ปลายสุดของทั้งสองขั้วนี้ จะเป็นสิ่งที่เหมาะสมและมีความสำคัญมากก็ตาม แต่ในที่สุดแล้วพวกมันก็จะผสานรวมเข้าด้วยกัน แต่จะไม่ใช่การผสานรวมกันแบบหักล้างกันจนมีสภาพเป็นกลาง เพราะว่าพวกมันจะกลับไปสู่สภาวะที่มีการขยายตัวอย่างเต็มที่ และกลับไปสู่สภาวะเต็มตัวของมันเหมือนเดิม
แต่ในตอนนี้มันอาจจะฟังดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือนัก ดังนั้น ฉันจึงอยากจะขอเชิญชวนพวกคุณให้ใช้ ‘หัวใจ’ มารับความรู้สึกกับมันแทน มันจะมีบางช่วงเวลาที่พวกคุณจะแอ็คทีฟอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นการแอ็คทีฟกับผู้คน หรือกับกิจกรรม หรือกับหมายกำหนดการต่างๆก็ตาม และมันก็จะมีบางคืนที่พวกคุณจะนอนคิดว่าทำไมพวกคุณถึงมีงานยุ่งเหลือเกินจนไม่รู้ว่าจะทำอะไรก่อนดี
ส่วน ณ.ปลายอีกข้างหนึ่งของการเหวี่ยงนี้นั้น มันก็จะมีบางช่วงเวลาที่พวกคุณอยากจะพักผ่อน หรือหยุดพัก หรือไม่ทำอะไรเลย เพราะว่าพวกคุณจะรู้สึกขึ้นมาอย่างกระทันหันว่า อยากจะตัดทุกสิ่งทุกอย่างออกไปจากชีวิตของตัวเองซะให้หมดๆไป เพื่อที่จะได้อยู่ตามลำพังคนเดียวบ้าง ซึ่งนี่ก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะว่าพวกคุณจำเป็นจะต้องหยุดพักซะบ้างเพื่อให้ทุกๆส่วนของความเป็นพวกคุณได้ตามทัน หลังจากที่วุ่นวายมามากพอแล้ว
เมื่อพวกคุณก้าวเข้ามาสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วเหล่านี้แล้ว มันก็จะมีบ้างบางช่วงเวลาที่พวกคุณจะต้องหยุดพักบ้าง แม้ว่าลูกๆของพวกคุณ และคู่สมรสของพวกคุณ และครอบครัวทางโลกของพวกคุณ และทุกๆคนในชีวิตของพวกคุณ จะยังต้องการให้พวกคุณเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยอยู่ก็ตาม ซึ่งพวกคุณก็จะต้องเข้มแข็งเอาไว้ เพราะว่าพวกคุณจะต้องฟังเสียงจากข้างในของตัวเองก่อน และจะต้องมอบของขวัญซึ่งก็คือการหยุดพักให้กับตัวเองบ้าง และต้องมอบเวลาอันมีค่าให้กับตัวเองบ้าง
นี่คือสิ่งที่สำคัญอย่างมาก อย่าหลบเลี่ยงที่จะทำมัน เช่น ถ้ามันหมายถึงการโทรไปลาป่วยกับที่ทำงานเพื่อที่จะได้อยู่กับตัวเองเพียงลำพัง …ก็จงทำมันเสีย หรือหากมันหมายถึงการขับรถออกไปข้างนอกไกลๆคนเดียว …. ก็จงทำมันเสีย
แต่ในทำนองเดียวกัน มันก็จะมีบางช่วงเวลาที่พวกคุณจะรู้สึกถึงการเชื่อมต่อกับวิญญาณมากเป็นพิเศษ เช่น รู้สึกถึงความรู้สึกของวิญญาณแบบใกล้ชิดและลึกซึ้ง เป็นต้น ซึ่งมันจะเหมือนกับว่าพวกคุณกำลังตกหลุมรักตัวเองอยู่อย่างนั้น และในขณะเดียวกัน มันก็จะรู้สึกด้วยว่า เจ้า “ตัวเอง” ที่ว่านี้ มันไม่น่าจะเป็นแค่ “ตัวเอง” เท่านั้นหรอก เพราะว่ามันเป็นอะไรที่ใหญ่โตกว่านั้นมากๆ ซึ่งความรู้สึกของการเชื่อมต่ออย่างแรงกล้านี้เอง ที่จะทำให้พวกคุณปลื้มปิติจนน้ำตาร่วงเลยล่ะ
แล้วหลังจากนั้น มันก็จะมีบางช่วงเวลาที่พวกคุณจะไม่รู้สึกถึงการเชื่อมต่อใดๆกับวิญญาณของตัวเองเลย จนพวกคุณอยากจะถามว่า “พระเจ้าหายไปไหนแล้ว ?” เพราะว่าพวกคุณจะรู้สึกเหมือนกับว่าไม่มีอะไรอยู่ข้างนอกนั่นเลย และข้างในตัวของพวกคุณเองก็รู้สึกเหมือนกับว่าไม่มีอะไรอยู่เลยด้วย จนพวกคุณเริ่มสงสัยว่าตอนที่มีประสบการณ์อันแสนพิเศษกับวิญญาณนั้น มันเป็นความจริงหรือเปล่า ?
พวกคุณจะมีช่วงเวลาที่รู้สึกถึงการเชื่อมต่อกับวิญญาณอย่างแรงกล้า สลับกับช่วงเวลาที่รู้สึกโดดเดี่ยวอย่างสิ้นเชิงแบบนี้ ซึ่งมันถูกต้องแล้ว และอย่าไปปฏิเสธความรู้สึกเหล่านี้ แค่ให้เข้าใจว่ามันเป็นสุดปลายข้างหนึ่งของประสบการณ์ในยุคพลังงานใหม่ก็พอแล้ว
ชีวิตของพวกคุณกำลังจะเปลี่ยนไป และพลังงานก็กำลังจะเคลื่อนที่ไปด้วย แต่ไม่นานนัก มันก็จะรู้สึกเหมือนกับว่ามันหยุดชะงักลง แล้วหลังจากนั้นมันก็จะเคลือนที่ไปข้างหน้าอีก แต่แล้วไม่นาน มันก็จะรู้สึกเหมือนกับว่ามันหยุดชะงักลงอีกครั้งหนึ่ง มันจะเป็นแบบนี้ไปตลอด เพราะมันเป็นธรรมชาติของกระบวนการตื่นรู้ และการเข้าสู่ยุคพลังงานใหม่ของพวกคุณ
…………………………..
5.“ถึงเวลาที่พวกคุณต้องหาเวลากับการอยู่ตามลำพังแล้ว”
ตอนที่ 5: การถือสันโดษ
ในกระบวนการตื่นรู้ พวกคุณจะพบว่ามันมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด ที่พวกคุณจะต้องมีเวลาให้กับตัวเองบ้าง ซึ่งก่อนที่จะเข้าสู่กระบวนการตื่นรู้นั้น พวกคุณหลายคนจะชอบที่จะอยู่กับคนอื่นๆ เพื่อที่จะได้รู้สึกว่าปลอดภัย และรู้สึกสบายใจ จนหลายๆคนกลายเป็นคนที่ไม่สามารถอยู่คนเดียวได้เลย เพราะว่าพวกคุณจะสับสนระหว่างความเหงากับการอยู่คนเดียว แต่ว่าตอนนี้พวกคุณจำเป็นจะต้องใช้เวลาอยู่กับตัวเองบ้างแล้ว
จงหาเวลาอยู่กับตัวเองบ้าง เพราะว่ามันมีความสำคัญมากๆ และเป็นช่วงเวลาที่พวกคุณจะได้นำพาเอาพลังงานอันศักดิ์สิทธิ์เข้ามาสู่ชีวิตของตัวเอง เพราะว่าถ้าพวกคุณมัวแต่ขลุกอยู่ในความสับสนวุ่นวายอยู่ไม่ว่าจะเป็นอยู่ในเสียงอึกทึกครึกโครม, หรืออยู่กับผู้คน, หรือการจราจร, หรืออยู่ในออฟฟิตก็ตาม มันก็จะเป็นการยากที่พวกคุณจะสามารถนำพาเอาพลังงานอันศักดิ์สิทธิ์นี้เข้ามาสู่ชีวิตของตัวเองได้ เพราะฉะนั้นแล้ว จงทำให้แน่ใจว่าพวกคุณได้หาช่วงเวลาแบบนี้ให้กับตัวเองบ้างแล้ว เพราะว่ามันเป็นของขวัญที่วิเศษมากๆสำหรับตัวพวกคุณเอง
พวกคุณจะรู้สึกได้เองจากข้างใน เพราะว่ามันจะกระซิบบอกพวกคุณว่า “ถึงเวลาแล้วที่จะต้องอยู่ตามลำพัง” ซึ่งถ้าถึงเวลาเช่นนี้จริงๆ ก็จงอย่ายอมให้อะไรมาขัดขวางช่วงเวลาแห่งการอยู่คนเดียวนี้ของพวกคุณได้ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว, การงาน หรือภาระหน้าที่อะไรก็ตามแต่ และจงอย่าหาข้ออ้างหรือข้อแก้ตัวใดๆ มาบอกว่าไม่มีเวลาอยู่ตามลำพังคนเดียวด้วย ดังนั้น เมื่อใดก็ตามที่พวกคุณได้ยินเสียงร้องเรียกออกมาจากข้างในอย่างนี้แล้ว ก็จงรับฟังมัน และทำตามมันบอกเสีย
มันมีกฎทางฟิสิกส์ด้านจิตวิญญาณอยู่หลายกฎ ที่กำลังทำงานอยู่ในระดับลึกๆและในระดับที่สวยสดงดงามมากๆของพวกคุณ ดังนั้น มันจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ที่พวกคุณจะต้องยอมรับฟังมัน และไม่เพิกเฉยต่อมันอีกต่อไป เพราะหากพวกคุณรับรู้ถึงความรู้สึกนี้แล้ว แต่จิตใจของพวกคุณกลับไปกดข่มมันเอาไว้ หรือพวกคุณไม่เชื่อในความรู้สึกของตัวเอง หรือผัดวันประกันพรุ่ง แล้วบอกว่าจะทำมันทีหลังละก็ ก็จงอย่าได้ทำอย่างนั้นเลย ขอให้ทำมันซะเดี๋ยวนี้!! และจงรับฟังมันด้วยหัวใจ เพราะว่ามันเป็นกระบวนการเปลี่ยนรูปแบบที่สวยสดงดงาม และน่าทึ่งมากๆ..
…………………..
6. พวกคุณอาจเริ่มสังเกตเห็นว่า ร่างกายเนื้อของตัวเอง เริ่มมีปฏิกิริยาแปลกๆ ที่ไม่เหมือนเดิม
ตอนที่ 6:- การสื่อสารระหว่างกายและจิต
ในช่วงเวลานี้ ร่างกายเนื้อของพวกคุณกำลังอยู่ในระหว่างกระบวนการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างมูลฐานของมันเองอยู่ มันเป็นการเปลี่ยนแปลงในระดับ DNA และรูปแบบของการเชื่อมต่อระหว่างร่างกายเนื้อของพวกคุณ กับจิตใจของพวกคุณ ก็กำลังจะเปลี่ยนไป และรวมถึง ระบบการติดต่อสื่อสารระหว่างกายกับจิตของพวกคุณก็กำลังจะเปลี่ยนไปด้วยเช่นเดียวกัน
เพราะว่าระบบการการติดต่อสื่อสารกันขององค์ประกอบทางชีวภาพในร่างกายเนื้อของพวกคุณนั้น มันเก่าแก่มากแล้ว เพราะมันมีมาตั้งแต่สมัยแอตแลนติสโน่นแล้ว ซึ่งวิถีการติดต่อสื่อสารกันของกายและจิตของพวกคุณนั้น มันก็จะมีรูปแบบเฉพาะของมันเองอยู่ แต่ว่าในตอนนี้ จิตของพวกคุณจะไม่พยายามมาควบคุมกายเนื้อของพวกคุณอีกต่อไปแล้ว เพราะว่ากายและจิตของพวกคุณจะผสานรวมเข้าด้วยกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
เพราะฉะนั้นแล้ว กาย และจิต และวิญญาณของพวกคุณ ก็จะไม่ใช่สิ่งที่แยกขาดจากกันแบบต่างคนต่างอยู่อีกต่อไปแล้ว เพราะว่าพวกมันทั้งหมดนี้จะเริ่มมาผสานรวมเข้าด้วยกัน กลายเป็น “กายแห่งจิตสำนึก” (Body of Consciousness) แทน ซึ่งพวกคุณอาจจะเริ่มสังเกตเห็นว่า ร่างกายเนื้อของตัวเอง เริ่มที่จะมีปฏิกิริยาแปลกๆ ที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป และมันก็อาจจะมีผลข้างเคียงตามมาด้วย เช่น มีปัญหาในกระเพาะอาหาร, หรือมีอาการปวดตรงโน้นปวดตรงนี้บ้าง, หรือรู้สึกอ่อนเพลีย หรือรู้สึกเหนื่อยล้าตามร่างกาย, หรือมีอาการอื่นๆที่แตกต่างออกไปจากนี้ เป็นต้น… ดังนั้น…
จงใช้เวลาเพื่อรู้สึกถึงร่างกายเนื้อของตัวเองซักครู่หนึ่ง แล้วลองถามตัวเองดูซิว่า พวกคุณรู้สึกอะไรบ้างเมื่อสักครู่นี้ ?
คราวนี้ ก็จะมาถึงปัญหาอีกอย่างหนึ่งที่กำลังส่งผลกระทบต่อพวกคุณหลายๆคนอยู่ในขณะนี้ นั่นก็คือ ปัญหาน้ำหนักเพิ่ม ซึ่งพวกคุณอาจจะพูดว่า “ฉันกินน้อยลงกว่าเดิมตั้งเยอะ แล้วทำไมฉันถึงอ้วนขึ้นมาได้ ?” ….แล้วจากนั้น พวกคุณก็จะพากันเข้าคอร์สลดน้ำหนักกันอย่างบ้าคลั่ง แต่แล้วก็กลับยิ่งอ้วนมากขึ้นไปอีก แล้วพวกคุณก็จะพูดว่า “อะไรกันเนี่ย ? มันเกิดอะไรขึ้น “ ฉันควรเป็นผู้ปฏิบัติธรรมนะ และฉันก็ควรที่จะสามารถควบคุมร่างกายเนื้อของตัวเองได้สิ ”
พวกคุณเข้าใจผิดแล้ว เข้าใจผิดทั้งหมดเลย !! เพราะว่าพวกคุณกำลังพยายามที่จะใช้ระบบของยุคพลังงานเก่า ที่ใช้จิตใจควบคุมร่างกายเนื้อของตัวเองอยู่ เพราะว่าพวกคุณอาจจะเข้าใจผิดไปว่า มันคือระบบที่มาจากวิญญาณของพวกคุณเอง แต่ว่ามันไม่ใช่เลย เพราะว่ามันคือการที่พวกคุณพยายามที่จะใช้จิตใจของตัวเองไปควบคุมชีวิตของตัวเอง แทนที่จะปล่อยให้ตัวเองดำรงอยู่ในสภาวะแห่งความสอดประสานกลมกลืนกันแบบสบายๆ ซึ่งเป็นสภาวะที่ร่างกายเนื้อ, จิตใจ และวิญญาณ ทำงานร่วมกันอย่างเป็นธรรมชาติและอย่างไม่มีจุดสะดุดต่างหากเล่า
ดังนั้น หากพวกคุณยอมที่จะรับฟังเสียงจากร่างกายเนื้อของตัวเอง แทนที่จะไปวิตกกังวลอยู่กับมัน พวกคุณก็จะรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น และพวกคุณก็จะเริ่มเข้าใจว่าการผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกันแบบใหม่นี้กำลังเกิดขึ้นอยู่แล้ว แล้วพวกคุณก็จะรู้ว่าจริงๆแล้วร่างกายเนื้อของตัวเองกำลังต้องการอะไรอยู่ แต่เพราะว่าจิตใจของพวกคุณ มันได้ทำงานของมันแบบนี้มานานนับร้อยนับพันปีแล้ว ดังนั้น ในเวลาที่พวกคุณคิด มันจึงมีรูปแบบบางอย่าง, และความสมดุลทางพลังงานบางระดับ และลำดับของการถ่ายทอดกระแสประสาท และสัญญาณไฟฟ้าบางรูปแบบเกิดขึ้น ดังนั้น พวกคุณก็เลยได้กระแสความคิดมา และก็เลยได้ความรู้สึกจากสมองมา
ซึ่งคำว่า “ความรู้สึกจากสมอง” ที่ว่านี้ ก็คือสิ่งที่พวกคุณเรียกกันว่า “อารมณ์” นั่นเอง ซึ่งมันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับ “ความรู้สึกที่แท้จริง” เลย เพราะว่าอารมณ์ทั้งหลายเหล่านั้น มันเกิดขึ้นมาจากความคิดของพวกคุณเองทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นแล้วอารมณ์ของพวกคุณจึงเป็นสิ่งที่มีข้อจำกัด และจริงๆแล้วมันก็คือของปลอมนั่นเอง เพราะว่าพวกมันไม่ใช่ความรู้สึกที่แท้จริงเลย และก็ไม่ใช่การตระหนักรู้ที่แท้จริงด้วย
และนอกจากนี้ พวกคุณยังจะเริ่มรู้สึกถึงการขาดสมดุลทางความคิดอีกด้วย จนพวกคุณบางคนหลงเข้าใจผิดไปว่าตัวเองกำลังเริ่มที่จะสูญเสียความสามารถในการวิเคราะห์ และความสามารถในการจดจ่อ และความสามารถในการคิดโดยใช้เหตุใช้ผลไปเสียแล้ว ซึ่งเมื่อพวกคุณรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาแบบนี้แล้ว มันก็จะไปส่งผลกระทบต่อร่างกายเนื้อของพวกคุณในทันที ……ดังนั้น พวกคุณจึงจะเริ่มรู้สึกราวกับว่าระบบต่างๆของตัวเองได้พังพินาศไปหมดแล้ว แล้วพวกคุณก็จะมีคำถามว่า “มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?” ….
ไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอกนะ เพียงแต่ว่าพวกคุณกำลังอยู่ในระหว่างกระบวนการตามธรรมชาติของการเริ่มผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกันของกายและจิตของตัวเองอยู่ และตัวตนอันศักดิ์สิทธิ์ของพวกคุณเองก็กำลังจะเข้ามาผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกันด้วยเท่านั้นเอง ซึ่งมันก็จะเป็นอะไรที่สวยสดงดงามอย่างมากด้วย..
…………………..
7 : มันเป็นเสียงที่ร้องเรียกให้พวกคุณ “กลับบ้าน/กลับไปหาตัวเอง” และ เพื่อให้พวกคุณได้กลับไปรวมเป็นหนึ่งเดียวกันใหม่อีกครั้ง
:- เสียงเรียกร้องจากภายใน
เมื่อเร็วๆนี้พวกคุณได้ยินเสียงร้องเรียกบ้างไหม ? ซึ่งบางทีมันอาจจะมาในรูปแบบของความรู้สึกว่าเหมือนมีใครมาเคาะประตูห้องอยู่ตลอดเวลา แต่มันก็ไม่ใช่เสียงร้องเรียกที่มาจากภายนอก หรือมาจากสรวงสวรรค์ที่ไหนหรอกนะ แล้วมันก็ไม่ได้มาจากเสียงเป่าแตรของมหาเทพกาบริเอล (Gabriel) ด้วย เพราะแท้ที่จริง มันเป็นเสียงเรียกร้องมาจากภายในของพวกคุณเอง
เสียงเรียกร้องที่ว่านี้มันมาจาก “กายแห่งความตระหนักรู้” หรือ Body of Consciousness ของพวกคุณเอง ซึ่งก็คือกายที่เกิดจากการผสานรวมกันเป็นหนึ่งเดียวกันแล้ว ของร่างกายเนื้อ-จิตใจ-วิญญาณของพวกคุณเอง และกายแห่งความตระหนักรู้ของพวกคุณนี้ มันมีความตระหนักรู้แบบเต็มพิกัดของพวกคุณบรรจุอยู่ ไม่ใช่มีแค่ความตระหนักรู้แบบคับแคบและมีข้อจำกัดของมนุษย์ของพวกคุณเท่านั้น
และเสียงเรียกร้องนี้ มันพยายามที่จะทำให้พวกคุณหันมาสนใจมันนานแล้ว แต่พวกคุณก็ได้พยายามที่จะปิดมันลงมาโดยตลอด ก็เหมือนกับการที่พวกคุณมักจะปิดหน้าต่างเสีย ถ้ามีสุนัขมาเห่าอยู่ข้างนอก แล้วพวกคุณก็จะถามตัวเองว่า “นั่นมันเสียงอะไรนะ ช่างน่ารำคาญซะจริงๆ?” แต่เสียงเรียกอันนั้น มันก็คือเสียงจากข้างในของพวกคุณเองที่กำลังร้องเรียกพวกคุณอยู่
มันเป็นเสียงที่กำลังร้องเรียกให้พวกคุณ “กลับบ้าน” เพื่อ “ไปหาตัวเอง” อยู่ ณ.ที่นี่และเดี๋ยวนี้มันเป็นเสียงเรียกให้กลับไปรวมเป็นหนึ่งเดียวกันใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยไม่มีวาระอื่นใด นอกเหนือจากการ “กลับไปรวมกับตัวเองใหม่” ดังว่านี้เลย เพราะว่ามันไม่ต้องการอะไร นอกจากที่จะได้อยู่กับพวกคุณ และได้แบ่งปันประสบการณ์ชีวิตกับพวกคุณ และได้นำพาเอาความหลงใหล หรือ passion ระดับหนึ่ง ที่ได้ถูกปิดกั้นเอาไว้นานแล้ว กลับคืนมาใหม่อีกครั้งหนึ่งเท่านั้นเอง
เพราะว่า “กายแห่งความตระหนักรู้” (The Body of Consciousness) ของพวกคุณ ที่ได้ถูกแบ่งออกเป็นส่วนๆนั้น บัดนี้ มีความปรารถนาที่จะได้กลับมาอยู่ร่วมกันใหม่อีกครั้งหนึ่งแล้ว ซึ่งการกลับมาผสานรวมกันใหม่อีกครั้งหนึ่งนี้ ก็จะต้องอาศัยพวกคุณที่กำลังอยู่ใน “ปัจจุบันขณะนี้” เป็นผู้กระทำ ซึ่งก็คือในสภาวะที่ไม่มีการเกิด (no-incarnation) ที่พวกคุณกำลังดำรงอยู่ในขณะนี้ หรือก็คือในตัวตนที่ไม่ใช่ตัวตนจากเมื่อวานนี้ แต่คือตัวตนที่แท้จริงของวันนี้ เพราะว่ามันต้องการที่จะกลับมารวมกันใหม่อีกครั้งหนึ่ง
(ตรงท่อนนี้ผมก็ไม่ค่อยเข้าใจนะครับ แต่คำว่า “พวกคุณ” ในท่อนนี้อาจจะหมายถึงตัวตนของพวกเราที่อยู่ในมิติที่ไร้กาลเวลาที่เรียกว่า I Am Present ก็ได้ – ผู้แปล)
ด้วยความตระหนักรู้ของพวกคุณ พวกคุณกำลังจะสามารถเข้าใจและรับรู้ถึงเสียงเรียกอันนั้นได้ เพราะว่ามันได้พยายามที่จะร้องเรียกพวกคุณมานานแล้วในฝันของพวกคุณ มันได้พยายามที่จะร้องเรียกพวกคุณมานานแล้วผ่านทางเสียงกระซิบเบาๆของมัน หรือผ่านทางอาการเจ็บปวดของร่างกายของพวกคุณ หรือผ่านทางปัญหาทางอารมณ์ต่างๆ เพราะฉะนั้น ขอจงรับฟังมัน เพราะว่ามันออกมาจากข้างในของพวกคุณเอง
แต่มันก็ไม่จำเป็นว่าเสียงร้องเรียกนี้จะต้องออกมาในรูปแบบของคำพูดเสมอไปนะ และมันก็จะไม่บอกพวกคุณด้วยว่าจะต้องทำอะไรบ้าง เพราะว่าความเป็น “พวกคุณ” อันนี้ มันไม่ต้องการที่จะบอกพวกคุณว่าพวกคุณจะต้องทำอะไรบ้าง เพราะว่ามันแค่อยากจะอยู่กับพวกคุณเท่านั้นเอง
มันไม่ได้มาบอกว่า “คุณจะต้องทำสิ่งนี้สิ่งนั้น หรือทำกับคนๆนั้นหรือคนๆนี้” เพราะว่านั่นจะไปขัดแย้งกับธรรมชาติของจิตสำนึกและความตระหนักรู้ และก็ขัดแย้งกับสิ่งที่พวกคุณเป็นอย่างสิ้นเชิงอีกด้วย
เพื่อนๆที่รักทั้งหลาย จงตระหนักรู้ไว้ด้วยว่าโลกใบนี้ช่างเป็นสถานที่ๆยอดเยี่ยมยิ่งนัก แม้ว่าพวกคุณจะพากันผ่านพ้นช่วงเวลาแห่งความทุกข์ยากลำบากมามากมายแล้วแค่ไหนก็ตาม แต่ว่าโลกใบนี้ก็ยังคงเป็นสถานที่ๆยอดเยี่ยมอยู่ดี
และในวันนี้หากพวกคุณจ้องมองเข้าไปในดวงตาของมนุษย์โลกคนอื่น โดยที่ไม่เอาแต่ไปต่อสู้กับศัตรูที่ไม่ใช่ศัตรูของตัวเองอยู่ และไม่มัวแต่คิดว่าตัวเองจะต้องไปปกป้องตัวเองจากอะไรอยู่ แต่พวกคุณสามารถที่จะกลับไปมองจ้องตากันแบบตรงๆและอย่างจริงใจได้ใหม่อีกครั้งหนึ่งแล้วละก็ พวกคุณก็จะพบว่าสิ่งที่ดูเหมือนว่ามันคือความวุ่นวายนั้น แท้ที่จริงแล้วมันไม่ใช่เลย เพราะพวกคุณจะได้พบว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ทั่วทั้งสรรพสิ่งทั้งปวงนี้ มันกำลังเป็นไปด้วยดีอยู่แล้ว.
…………………………..
8.การแยกห่างออกจากกันนี้ ก็จะกลายเป็นเหมือนแม่เหล็ก ที่จะดึงดูดพวกเขาให้หวนกลับคืนมาใกล้ชิดกันใหม่อีกครั้ง
ตอนที่ 8: รูปแบบคลื่นของจิตสำนึก
วิญญาณของพวกคุณกำลังอยู่ในระหว่างการเดินทางอยู่ ซึ่งมันก็มีความปรารถนาเป็นของตัวมันเองอยู่เหมือนกัน คือมันต้องการรู้จักตัวมันเองให้มากที่สุด ซึ่งการที่จะตอบคำถามที่มีมาช้านานที่ว่า “ข้าคือใคร?” นี้ให้ได้นั้น มันก็จะต้องรู้จักตัวมันเองซะก่อน ซึ่งวิธีการที่มันใช้เพื่อให้รู้จักตัวมันเองนั้น ก็มีอยู่ 3 วิธีด้วยกัน คือหนึ่ง: มีประสบการณ์, สอง: ขยายตัว, และสาม: แสดงออกมา
จิตวิญญาณของพวกคุณต้องการที่จะมีประสบการณ์ เพราะว่ามันไม่สามารถที่จะรู้จักตัวเองได้หากปราศจากประสบการณ์ เพราะฉะนั้น มันจึงได้มอบของขวัญให้กับตัวเองด้วยการมีประสบการณ์ที่หลากหลาย และมันก็ยังต้องการที่จะขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆอีกด้วย เพราะความสุขของวิญญาณก็คือการขยายตัว และเพราะการทำอะไรที่ตรงข้ามกัน มันไม่เวิร์ค และส่วนการอยู่นิ่งๆเฉยๆก็รังแต่จะทำให้ระเบิดตายซักวันหนึ่งเท่านั้นเอง..บูม!!
เพราะฉะนั้นแล้ว มันหรือก็คือพวกคุณ ก็เลยชอบที่จะขยายตัว และมันก็ยังชอบที่จะแสดงความสุขเหล่านั้นออกมาอีกด้วย เพื่อที่จะได้รู้จักกับความสุขในตัวเองอันนั้น เพราะว่าถ้าไม่ได้แสดงมันออกมา มันก็ยังจะไม่เสร็จสิ้นสมบูรณ์ลงได้ ดังนั้น จิตวิญญาณของพวกคุณจึงชอบที่จะแสดงออก ด้วยการร้องเพลง, ด้วยการเล่นดนตรี, ด้วยการเขียนหนังสือ, ด้วยการทำงาน, ด้วยการมีสัมพันธภาพที่เลวร้าย, ด้วยการมีปัญหาสุขภาพ เพราะว่าสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดล้วนเป็นการแสดงออกทั้งสิ้น และนี่ก็คือสิ่งที่วิญญาณของพวกคุณชอบทำกัน
มันมีส่วนหนึ่งของความเป็นตัวตนของพวกคุณเอง ที่พวกคุณรู้จักกันดี ซึ่งก็คือตัวตนส่วนที่เป็นมนุษย์โลกของพวกคุณนั่นเอง ซึ่งเจ้าตัวตนส่วนที่เป็นมุนษย์โลกนี้ คือตัวตนส่วนที่กินความตระหนักรู้ของพวกคุณมากที่สุดอยู่ในตอนนี้ แต่มันก็เป็นตัวตนส่วนที่มีความสำคัญมากที่สุดส่วนหนึ่ง ของบทเพลงแห่งการมีประสบการณ์-การขยายตัว-การแสดงออกของจิตวิญญาณของพวกคุณเองด้วย
ซึ่งเจ้าตัวตนส่วนที่เป็นมนุษย์นี้ มันก็มีจังหวะการร่ายรำและความปรารถนาเป็นของตัวมันเองแยกต่างหากอีกด้วย และมันก็มีวาระต่างๆที่เป็นของตัวมันเองมากมาย เพราะปกติแล้วมันจะไม่สามารถตระหนักรู้ถึงวิญญาณได้ และมันก็คิดว่ามันกำลังทำอะไรเองโดยลำพังด้วย เพราะฉะนั้นแล้ว มันจึงต้องคอยระวังตัวอย่างมาก และก็โดดเดี่ยวอย่างมากด้วยการจดจ่ออยู่แต่กับการมีชีวิตรอดเพียงเท่านั้นด้วย
‘การเอาชีวิตรอด ‘ คือโปรแกรมเก่าของชาวเลมูเรีย เพราะว่าเมื่อพวกคุณลงมาเกิดในร่างกายที่เป็นเนื้อหนังบนโลกใบนี้ เพื่อที่จะมามีประสบการณ์ต่างๆแล้ว พวกคุณกลับพากันติดอยู่ในมิตินี้ เพราะฉะนั้นแล้วพวกคุณจึงต้องเรียนรู้ที่จะเอาชีวิตรอดให้ได้ แต่มันเป็นโปรแกรมที่เก่าแล้ว เพราะว่ามันเป็นโปรแกรมที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดและการมีข้อจำกัดอย่างแท้จริง เพราะว่าจริงๆแล้วพวกคุณไม่ใช่เพียงแค่ต้องการมีชีวิตรอดเท่านั้น แต่พวกคุณต้องการที่จะมีชีวิตชีวาด้วย
ส่วนความโหยหาสิ่งที่น่าพึงพอใจนั้น ก็เป็นผลพวงมาจากโปรแกรมเก่าของชาวแอตแลนติสอีกด้วยเช่นเดียวกัน มันมีต้นกำเนิดมาจากศูนย์กลางแห่งความพึงพอใจที่ถูกใส่โปรแกรมเข้าไปให้กับทุกๆคน
ทำไมน่ะหรือ ? ..ก็เพราะว่าพวกคุณจะได้สามารถใช้งานผู้คนได้อย่างหนัก เพื่อที่ในตอนค่ำของวันนั้นพวกเขาจะได้รับรางวัลเล็กๆน้อยๆที่พวกเขาพึงพอใจ เช่น ให้มีเซ็กเพียงเล็กน้อย, ให้ดื่มแอลกอฮอล์เพียงเล็กน้อย, ให้การยอมรับเพียงเล็กน้อย, ให้อำนาจเพียงเล็กน้อย อะไรแบบนั้นเป็นต้น สิ่งเหล่านี้คือศูนย์กลางของพลังงานแห่งความสะดวกสบาย และคือศูนย์กลางพลังงานแห่งความพึงพอใจที่อยู่ในตัวพวกคุณ ซึ่งฉันอยากจะเห็นมนุษย์โลกทิ้งโปรแกรมแห่งความพึงพอใจและโปรแกรมแห่งความสะดวกสบายของตัวเองไปเสีย เพราะว่าพวกคุณไม่จำเป็นต้องได้รับคุกกี้ในตอนค่ำของวันอีกต่อไปแล้ว
น้ำตาลเป็นสิ่งวิเศษอย่างหนึ่งที่ถูกค้นพบ แต่ว่ามันก็มีอำนาจสะกดจิตแอบซ่อนอยู่ในตัวมันเองด้วย ฉันไม่ได้กำลังบอกว่าน้ำตาลเป็นสิ่งที่ไม่ดี แต่ฉันกำลังจะบอกว่าน้ำตาลจะไปกระตุ้นให้อะไรบางอย่างที่อยู่ในตัวพวกคุณ ที่ทำให้พวกคุณคิดว่าตัวเองรู้สึกดี เกิดการทำงานขึ้นมา และพวกคุณก็มักจะเอาน้ำตาลให้เด็กๆกินด้วย ทำไมน่ะหรือ ? ก็เพื่อให้เด็กอยู่นิ่งๆเงียบๆไง แม้ว่าจริงๆแล้วมันไม่เป็นผลดีต่อเด็กเลย เพราะว่ามันจะทำให้เด็กอยู่ในอารมณ์คลุ้มคลั่ง เพราะว่าน้ำตาลมีฤทธิ์เป็นสะกดจิตชนิดหนึ่ง ใช่แล้ว พวกคุณจะจดเอาไว้ก็ได้นะว่า “ท่านอะดามัสบอกว่า น้ำตาลคือยาสะกดจิตชนิดหนึ่ง”
ดังนั้น มนุษย์โลกจึงต้องการที่จะมีชีวิตรอด และต้องการที่จะได้รับความพึงพอใจ และความสะดวกสบาย และเพราะเหตุนี้เอง มันจึงได้มีการควบคุมโดยใช้อำนาจ หรืออะไรทำนองนี้ เกิดขึ้นตามมาด้วย เพราะว่ามนุษย์โลกชอบแบบนี้ มนุษย์โลกชอบในอัตลักษณ์ของตัวเอง ที่มาจากตัวตนส่วนที่เป็นมนุษย์โลกของพวกคุณที่ได้แยกตัวเองออกมา แล้วจากนั้นก็พยายามที่จะสร้างอัตลักษณ์ของตัวเองขึ้นมาใหม่ แล้วพยายามปกป้องอัตลักษณ์นั้นอย่างแข็งขัน
ส่วนวิญญาณของพวกคุณนั้น กลับพยายามที่จะมีประสบการณ์, และพยายามที่จะขยายตัว และพยายามที่จะแสดงตัวตนของมันออกมา ดังนั้น… เมื่อตัวตนส่วนที่เป็นมนุษย์โลกของพวกคุณพยายามที่จะปกป้องอัตลักษณ์ของตัวเองอยู่เช่นนี้แล้ว จึงทำให้การขยายตัว และการแสดงตัวตนออกมาของตัวมันเองเป็นไปได้ไม่เต็มที่นัก เพราะว่ามันต้องการที่จะจำกัดขอบเขต และสร้างขีดจำกัดของความเป็นตัวตนของมันขึ้นมา และมันแทบจะปฏิเสธทุกสิ่งทุกอย่างที่มาท้าทายอัตลักษณ์นี้ของมันด้วย แม้ว่าสิ่งที่มาท้าทายที่ว่านั้นจะเป็นไปเพื่อความสูงส่งดีงามของตัวมันเองก็ตาม
วิญญาณของพวกคุณจะร่ายรำไปตามท่วงทำนองของมันไปเรื่อยๆ ส่วนตัวตนส่วนที่เป็นมนุษย์โลกของพวกคุณนั้น ก็จะทำกิจของมันไปเรื่อยๆด้วยเช่นเดียวกัน ดังนั้น โดยธรรมชาติแล้ว มันก็จะมีบางช่วงเวลา ที่ทั้งสองส่วนนี้จะแยกตัวออกห่างจากกันมากขึ้นเรื่อยๆๆ ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว มันก็จะทำให้เกิดประสบการณ์ที่สวยสดงดงามขึ้นมาอย่างหนึ่ง เพราะว่าส่วนที่เป็นมนุษย์โลกก็จะจมดิ่งลงไปอยู่ในเส้นทางสำรวจของตัวมันเอง ส่วนที่เป็นวิญญาณนั้นก็จะสามารถขยายตัวได้มากขึ้นกว่าเดิม
แต่ว่า..ไม่ว่าจะช้าหรือเร็วก็ตาม การแยกห่างออกจากกันนี้ ก็จะกลายเป็นเหมือนแม่เหล็ก ที่จะดึงดูดพวกมันให้หวนกลับคืนมาใกล้ชิดกันใหม่อีกครั้งหนึ่ง แล้วจากนั้นพอเวลาผ่านไปอีก พวกมันก็จะแยกห่างจากกันอีกเหมือนเดิม โดยที่ส่วนที่เป็นมนุษย์โลกก็จะจมดิ่งลงไปในประสบการณ์มากขึ้นอีกเหมือนเดิม และส่วนที่เป็นวิญญาณก็จะเดินหน้าเฉลิมฉลองให้กับตัวมันเองต่อไปด้วยเช่นเดียวกัน
มันจะมีการเดินหน้าและถอยหลังอยู่แบบนี้เป็นช่วงๆอย่างต่อเนื่อง เพราะว่ามันเป็นการร่ายรำที่สวยสดงดงามของจิตวิญญาณของพวกคุณ ที่มีทั้งจังหวะของการมาอยู่ด้วยกัน แล้วแยกจากการ แล้วกลับมาอยู่ด้วยกัน แล้วแยกจากกันใหม่อีกครั้งหนึ่ง เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ แต่ในท้ายที่สุดแล้ว ส่วนที่เป็นวิญญาณและส่วนที่เป็นมนุษย์โลก ก็จะกลับมาอยู่ด้วยกันใหม่อีกครั้งหนึ่ง ในแบบที่ใกล้ชิดกันมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ซึ่ง ณ.จุดๆหนึ่งพวกมันจะมาสัมผัสกันและไขว้กันเป็นรูปกากบาท แล้วจากนั้นจังหวะการร่ายรำของพวกมันก็จะเปลี่ยนไปตลอดกาล เพราะว่าแทนที่จะมีการแยกจากกันอีก พวกมันกลับจะถักทอเข้าด้วยกันแทน..ตลอดกาล
ซึ่งจุดๆแรกที่พวกมันเริ่มมาไขว้กันนั้น ถือเป็นจุดวิกฤติที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะว่านี่คือจุดๆ “ปรับตั้งค่าศูนย์ใหม่ให้กับความตระหนักรู้” (awareness ground zero) หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ พวกคุณได้ทิ้งจังหวะการร่ายรำเดิมของตัวเองไปจนหมดสิ้นแล้ว ซึ่งก็คือได้ทิ้งอดีตไปจนหมดแล้วนั่นเอง เพราะฉะนั้น พวกมันทั้งหมดจึงกลายไปเป็นประวัติศาสตร์ หรือกลายไปเป็นความทรงจำ หรือกลายไปเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ชีวิตไปนั่นเอง เพราะว่าตอนนี้ทั้งส่วนของวิญญาณและส่วนมนุษย์โลกได้ร่ายรำไปพร้อมๆกันแล้ว
นี่คือสัญลักษณ์ที่พวกคุณหลายคนคุ้นเคยกันดี แต่พวกคุณรู้ไหมว่า จริงๆแล้วมันหมายความว่าอย่างไร? สัญลักษณ์นี้มันมีมาตั้งแต่ยุคสมัยของพระเยซูแล้ว และหลายคนก็คิดว่ามันเป็นรูปปลา ซึ่งหมายถึงการที่พระเยซูเคยเป็นชาวประมงมาก่อน แต่ว่ามันไม่จริงเลยซักนิด! เพราะว่าสัญลักษณ์นี้มันหมายถึง การที่คลื่นของมนุษย์โลกกับคลื่นของวิญญาณมาบรรจบกันในท้ายที่สุด
คลื่นทั้งสองชุดนี้จากที่เคยแยกกันอยู่มาโดยตลอด บัดนี้..พอเข้าสู่วิถีแห่งการตื่นรู้แล้วพวกมันก็จะมาบรรจบกันในที่สุด มันเป็นการร่ายรำที่ดำเนินต่อเนื่องไปเรื่อยๆๆไม่สิ้นสุด และ ณ.จุดนี้มันก็ไม่ใช่การสิ้นสุดแต่อย่างใดด้วย! มันเป็นแต่เพียงการมาบูรณาการเข้าด้วยกันเท่านั้นเอง มันคือการกลับมาอยู่ด้วยกันเหมือนเดิมเท่านั้นเอง ซึ่งสัญลักษณ์ของจุดนี้ก็คือเครื่องหมายกากบาทนั่นเอง
อ๋อ..งั้นพระเยซูก็รู้เรื่องนี้ด้วยสิ… แน่นอน..เพราะว่าพระเยซูก็เคยอธิบายเรื่องนี้ให้กับสาวกของพระองค์และคนอื่นๆฟังแล้วด้วยเช่นกัน และแมรี่แม็กดาเลนก็ยืนอยู่ข้างๆพระองค์ แล้วก็ช่วยอธิบายรายละเอียดที่ลึกซึ้งลงไปกว่านี้ ของสิ่งที่จะเกิดขึ้นในระหว่างกระบวนการอันน่าทึ่งมากที่สุดนี้ด้วยเช่นเดียวกัน
พระเยซูเคยใช้สัญลักษณ์นี้มาแล้ว เพื่อหมายถึงการกลับมาอยู่ด้วยกันใหม่อีกครั้งหนึ่ง และหมายถึงจังหวะการร่ายรำที่ในที่สุดแล้วก็ได้นำพามนุษย์และวิญญาณให้มาอยู่ด้วยกันจนได้ ซึ่ง ณ.จุดนี้ ก็คือจุดที่พวกคุณกำลังอยู่ในตอนนี้ และเป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับโลกและกับพวกคุณอยู่ในขณะนี้ และนับจากจุดตัดนี้เป็นต้นไป คลื่นทั้งสองชุดนี้จะไม่แยกจากกันอีกแล้ว ซึ่งจะทำให้พวกคุณกลายไปเป็น “กายแห่งจิตสำนึกที่บริบูรณ์” (Integrated Body of Consciousness)
ในการสัมมนาเชิงปฏิบัติการเกี่ยวกับเรื่องความไม่สมดุลทางจิตที่ฉันเคยจัดขึ้น เรื่องสัญลักษณ์พวกนี้คือหัวใจสำคัญประเด็นหนึ่งในการอภิปรายของพวกเรา ซึงถ้ามนุษย์โลกคนใดมีความไม่สมดุลทางจิตเกิดขึ้น ก็จะมีรูปแบบของคลื่นทั้งสองชุดนี้ผิดปกติตามไปด้วย เพราะว่าพลังงานของมันจะไม่ค่อยราบเรียบและสมดุลเหมือนที่ควรจะเป็น
เพราะเมื่อใดที่คลื่นของส่วนที่เป็นมนุษย์โลก เกิดความผิดปกติขึ้นมา อันเนื่องมาจากการได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่างๆ เช่น ความคิดเห็น และจิตสำนึกมวลรวมของคนทั้งโลก คลื่นของวิญญาณของคนๆนั้น ก็จะเกิดความผิดปกติตามไปด้วยเช่นเดียวกัน
ซึ่งภายในระยะเวลาไม่นานนัก คลื่นทั้งสองชุดนี้ก็จะทิ้งห่างกันไปโดยสิ้นเชิง แล้วคลื่นมนุษย์โลกก็จะเข้าสู่สภาวะโรคจิต หรือป่วยทางจิต หรือวิกลจริต หรือมีบุคลิกภาพแปลกแยก หรือมีอาการอื่นๆอันเนื่องมาจากความไม่สมดุลทางจิตดังกล่าวนี้ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเกี่ยวข้องกับจิตใจด้วยกันหมดทั้งสิ้น แต่มันเป็นการสูญเสียจังหวะตามธรรมชาติของรูปแบบคลื่นของวิญญาณและของมนุษย์โลก .
……………………………..
9. อ้าว!.. แล้วอย่างนี้ มนุษย์โลกมีทางเลือกเสรีอยู่จริงหรือเปล่า ?.. คำตอบคือ..ไม่เลย..ไม่เลยแม้แต่นิดเดียว !!
ตอนที่ 9 : ทางเลือกเสรี (Free will)
มนุษย์โลกมีทางเลือกเสรีจริงหรือไม่? แล้วถ้าไม่..ใครล่ะที่เป็นผู้ควบคุมอยู่เบื้องหลัง? ใครล่ะที่เป็นคนเลือกครอบครัวทางชีวภาพนี้มาให้กับพวกคุณ? แล้วทักษะความชำนาญและพรสวรรค์ต่าง ๆ ของพวกคุณล่ะ..มันมาได้อย่างไร?
ใช่มันมาจากอิทธิพลของโหราศาสตร์หรือเปล่า? หรือว่ามันมาจากพระเจ้ากันแน่? หรือว่ามันจะมาจากทวยเทพทั้งหลายที่คอยปกปักรักษาพวกคุณอยู่? หรือว่ามันจะมาจากวิญญาณผู้นำทางของพวกคุณเองกันหละ? หรือว่าจะเป็นตัวตนที่สูงกว่า (Higher Self) ของพวกคุณ? หรือไม่ก็มาจากจิตวิญญาณต้นธาตุ (Over Soul) ของพวกคุณโน่นเลย?
หรือว่ามันจะเป็นแค่โชคชะตา หรือพรหมลิขิตธรรมดา ๆ เท่านั้นเอง? หรือจริง ๆ แล้วมันก็คือความโชคร้ายอย่างหนึ่งเท่านั้นเอง? ใครกันหนอที่เป็นผู้คอยควบคุมอยู่เบื้องหลังเรื่องราวเหล่านี้?
ซึ่งคำตอบก็คือ “มันก็แล้วแต่” คือ..มันจะขึ้นอยู่กับว่าพวกคุณกำลังมีระดับจิตสำนึกอยู่ระดับไหนน่ะสิ
เพราะว่าวิญญาณของพวกคุณเอง ก็จะมีท่วงทำนองเพลงเป็นของตัวมันเองอยู่ คือมันจะไหลไปตามลำน้ำเรื่อย ๆ เพื่อโต้คลื่นแห่งประสบการณ์ชีวิต
มันจะประมาณว่า มันไม่ค่อยแคร์อะไรนัก เพราะว่าวิญญาณของพวกคุณกำลังได้รับประสบการณ์ที่มันปรารถนาอยู่ และมันก็กำลังขยายตัวและกำลังแสดงออกมาอยู่ตลอดเวลาด้วย แม้ว่าการแสดงออกดังกล่าวนั้น จะหมายถึงการที่พวกคุณจะต้องร้องคร่ำครวญด้วยความทุกข์ยากก็ตาม แต่จิตวิญญาณของพวกคุณก็ยังจะอยากมีประสบการณ์กับมันและก็แสดงมันออกมาอยู่ต่อไป
เช่น ปัญหาด้านสุขภาพก็คือการแสดงออกอย่างหนึ่งด้วยนะ และวิญญาณของพวกคุณก็คือผู้ที่ยินยอมให้มันเกิดขึ้นกับพวกคุณด้วยนะ เพราะว่าพวกคุณจะต้องไม่ลืมว่าวิญญาณของพวกคุณนั้น มีความแตกต่างจากพวกคุณที่กำลังเป็นมนุษย์โลกอยู่นี้อย่างสิ้นเชิง ในด้านความต้องการ, ความปรารถนา และแรงบันดาลใจอย่างแรงกล้า หรือ Passion
เพราะว่าตัวตนภาคที่เป็นมนุษย์โลกของพวกคุณจะหมกมุ่นอยู่แต่กับการยึดมั่นถือมั่นในอัตตาตัวตนของตัวเอง และหมกมุ่นอยู่กับการเอาชีวิตรอดเท่านั้น
แต่พวกคุณก็อยากจะพูดว่า “ก็ใช่น่ะสิ..เพราะว่าฉันกำลังสร้างโลกแห่งความเป็นจริงของตัวเองขึ้นมาอยู่นี่” แต่นั่นมันไม่ใช่เลย..ไม่ใช่เลยแม้แต่น้อย เพราะว่าโลกแห่งความเป็นจริงของพวกคุณจำนวนมากมายก่ายกอง กำลังได้รับผลกระทบ และก็กำลังถูกสร้างขึ้นจากรูปแบบคลื่นของตัวตนภาคที่เป็นวิญญาณของพวกคุณเองอยู่ตลอดเวลาอยู่ด้วย
เพราะฉะนั้นแล้ว มันจึงหมายความว่า พวกคุณในเวอร์ชั่นที่เป็นมนุษย์โลกนี้ ไม่ได้สร้างประสบการณ์ชีวิตของตัวเองขึ้นมามากซักเท่าไหร่เลย!
อ้าว! แล้วอย่างนี้ มนุษย์โลกมีทางเลือกเสรีอยู่จริงหรือเปล่า? คำตอบคือ..ไม่เลย !..ไม่เลยแม้แต่นิดเดียว ! เพราะว่าถ้ามนุษย์โลกมีทางเลือกเสรีจริง ๆ แล้วหละก็ ชีวิตของพวกเขาก็คงจะแตกต่างไปจากนี้อย่างสิ้นเชิงเลยทีเดียว
เพราะว่าปกติแล้วมนุษย์โลกก็จะตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสิ่งต่าง ๆ มากมายหลายอย่างอยู่แล้ว เช่น กรรม, ศาสนา, ลัทธิความเชื่อด้านจิตวิญญาณ, โหราศาสตร์, ความลังเลสงสัย, ความกลัว, ความรู้สึกผิด, การทำตามอย่างกัน และระบบความเชื่อที่ล้าสมัยแล้วทั้งหลาย เป็นต้น (แล้วแบบนี้ ยังจะเรียกว่ามนุษย์โลกมี free will ได้อยู่หรือ – ผู้แปล)
แต่มนุษย์โลกก็ยังชอบคิดว่าตัวเองมีทางเลือกเสรีอยู่ เช่น “ฉันมีทางเลือกที่จะลาออกจากงานเมื่อไหร่ก็ได้” เป็นต้น แต่เขาก็จะไม่ลาออกหรอก เพราะว่ากลัวจะไม่ได้รับเงินเดือน
หรือ “ฉันมีทางเลือกที่จะไปอยู่ที่ไหนก็ได้ เท่าที่ฉันต้องการ” แต่เขาก็จะไม่ย้ายไปอยู่ในที่ ๆ เขาต้องการจริง ๆ หรอก ดังนั้นเขาจึงยังคงอาศัยอยู่ในเมืองที่เขาเกิดต่อไป และก็อยู่ข้าง ๆ บ้านของคุณพ่อ-คุณแม่ของเขาอีกซะด้วย!
อันที่จริงแล้ว..มนุษย์โลกก็ “เคย” มี Free Will อยู่เหมือนกันนะ เพียงแต่ว่าพวกเขาเลิกใช้งานมันไปนานแล้วเท่านั้นเอง ดังนั้น ในตอนนี้พวกเขาจึงไม่มีมันอีกแล้ว!
แต่พวกเขาก็ยังคงเสแสร้งว่าตัวเองมี free will อยู่เหมือนเดิมนะ เพียงเพราะว่าพวกเขาคิดว่าตัวเองยังมีทางเลือกเสรีที่จะเลือกทานอะไรก็ได้ ในตอนเที่ยงนี้อยู่ และเพราะว่าพวกเขามีมายาการของ free will อยู่ ที่ว่าจะสามารถเลือกใส่ชุดสีฟ้าหรือชุดสีแดงไปทำงานก็ได้
แต่นั่นมันไม่ใช่เลย..เพราะว่ามนุษย์โลกไม่มี free will เหลืออยู่เลย พวกเขาไม่มี free will เหลืออยู่แล้วจริง ๆ
ฉันหวังว่าคำพูดเมื่อสักครู่นี้จะทำให้พวกคุณหลายคนรู้สึกโกรธขึ้นมาบ้างแล้วหละนะ เพราะว่าพวกคุณชอบคิดว่าตัวเองยังมี free will อยู่ ซึ่งนี่อาจจะช่วยให้พวกคุณรู้สึกเห็นคุณค่าของสิ่งที่ตัวเองได้สูญเสียไปแล้วขึ้นมาบ้างก็ได้
เพราะความจริงคือ พวกคุณมี “Divine Will” อยู่ด้วย ซึ่งก็คือ “พระประสงค์ของเบื้องบน” ซึ่งเรื่องนี้ Tobias ได้เคยพูดเอาไว้หลายปีมาแล้ว แต่ข้อความสื่อสารชุดนั้นพวกคุณก็คงจะลืมมันไปแล้วหละ
ในตอนนั้นพวกคุณไม่อยากฟังมัน เพราะว่าเขาบอกว่า “ความประสงค์ของตัวตนภาคที่เป็นมนุษย์โลกของพวกคุณนี้ มันได้ถูกควบคุมโดยพระประสงค์ของเบื้องบนอยู่อีกทีหนึ่ง” ซึ่งก็คือพระประสงค์ของคลื่นของวิญญาณของพวกคุณเอง หรือก็คือท่วงทำนองการร่ายรำของวิญญาณของพวกคุณเอง นั่นเอง
และนี่แหละคือสาเหตุของเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นในชีวิตของพวกคุณหละ แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าวิญญาณของพวกคุณกำลังยัดเยียดประสบการณ์อันเลวร้ายทั้งหลายมาให้กับพวกคุณอยู่นะ
แต่มันหมายถึง ในมุมมองของวิญญาณของพวกคุณแล้ว มันยังมีอะไรอีกหลายอย่างที่มีความสำคัญซะยิ่งกว่าการเล่นสนุกของมนุษย์โลก และสำคัญยิ่งกว่าความพยายามอย่างสุดความสามารถของมนุษย์โลก ที่จะควบคุมชีวิตของตนเองให้ได้ และที่จะให้ได้รับความพึงพอใจ และที่จะสร้างอัตตาตัวตนของตัวเองขึ้นมา และที่จะให้ตัวเองมีชีวิตรอด
เพราะว่าสิ่งเหล่านั้น ในมุมมองของวิญญาณของพวกคุณแล้ว มันไม่สำคัญอะไรเลย เพราะว่ายังไงเสีย วิญญาณของพวกคุณก็ยังจะมีชีวิตรอดอยู่ดี เพราะว่าวิญญาณของพวกคุณไม่มีวันตาย
แล้วก็..พระเยซูก็ไม่ได้ตายเพื่อไถ่บาปให้กับพวกคุณหรอกนะ แต่ที่พวกคุณพากันเศร้าโศกไปแล้วนั้น ก็เป็นเรื่องที่ดีแล้ว มันเป็นเพราะอีโก้ของพวกคุณเท่านั้นแหละที่ทำให้พวกคุณคิดไปว่าพระเยซูตายเพื่อไถ่บาปให้กับพวกคุณ
แต่พระเยซูได้มาถึงจุดที่สามารถพูดได้ว่า “ตอนนี้ฉันกำลังจะทำให้ตัวตนภาคที่เป็นวิญญาณของฉัน กับตัวตนภาคที่เป็นมนุษย์โลกของฉัน มาบรรจบกันแล้ว ณ ที่นี่และบนโลกใบนี้ ดังนั้น ฉันจึงไม่แคร์อะไรอีกต่อไปแล้วว่าฉันจะอยู่หรือจะตาย เพราะว่าฉันเบื่อที่จะอยู่ในกรงขังแห่งความเป็นมนุษย์ของฉันเต็มทนแล้ว ฉันเบื่อที่จะต้องอยู่ห่างจากตัวตนที่แท้จริงของฉันเต็มทน
แล้ว ฉันเบื่อที่ตัวตนภาคที่เป็นวิญญาณของฉันกับตัวตนภาคที่เป็นมนุษย์โลกของฉันต้องแยกจากกันเต็มทนแล้ว เพราะฉะนั้น จึงจึงอยากที่จะกลับไปอยู่กับตัวตนที่แท้จริงของฉันเองซะที”
แล้วทันใดนั้น บูม!! ตัวตนภาคที่เป็นมนุษย์โลกของเขากับวิญญาณของเขาก็ผสานรวมเข้าด้วยกัน ซึ่งก็คือการที่สวรรค์และโลกมนุษย์ผสานรวมเข้าด้วยกันนั่นเอง จนในที่สุดแล้วคลื่นของสิ่งศักดิ์สิทธิ์กับคลื่นของมนุษย์โลกก็มาบรรจบกันเสียที
แล้วพระเยซูตายบนไม้กางเขนไหม? ไม่เลย เพราะว่าเขากลับมามีชีวิตใหม่อีกครั้งบนไม้กางเขนนั้น และร่างกายเนื้อของเขาก็ไม่มีความหมายใด ๆ อีกเลย เขารู้ตัวเมื่อเขาได้มาถึง “จุดตัด” นั้นแล้ว
แต่อย่างไรก็ตาม สัญลักษณ์รูปไม้กางเขนนี้ ก็คือสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นมาในภายหลัง หลังจากเวลานั้นตั้งหลายร้อยปีเลยทีเดียว เพื่อใช้เป็นส่วนหนึ่งของการสะกดจิตทางศาสนา โดยใช้คำว่า “เขาตายเพื่อล้างบาปให้แก่พวกคุณ”
แต่ฉันไม่คิดอย่างนั้นนะ! เพราะว่าไม่มีใครสามารถมาตายเพื่อล้างบาปให้กับพวกคุณได้ และอีกอย่างหนึ่ง ความหมายดั้งเดิมของสัญลักษณ์รูปไม้กางเขนนั้น ก็คือ จุดตัดของคลื่นของวิญญาณกับคลื่นของมนุษย์โลก ที่มาบรรจบกัน
แต่ว่าตอนนี้ มันกลับถูกใช้เพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งความทุกข์ทรมาน, ความเจ็บปวด, ความรู้สึกผิด, และการควบคุมไปซะแล้ว
เพื่อน ๆ ที่รักทั้งหลาย พระเยซูได้ตื่นรู้ขึ้นมาบนไม้กางเขนนั้น และในช่วงเวลานั้นเองที่เขาได้ปลดปล่อยร่างกายเนื้อของเขาไป แต่เขาก็ได้ใช้ชีวิตอยู่ต่อไปอย่างสนุกสนามกับแมรี่ แมกดาเลน และพวกเขาก็มีลูกด้วยกันหลายคนด้วย แม้ว่าเขาจะไม่มีกายเนื้อแล้วก็ตาม และลูก ๆ ของพวกเขาก็น่ารักมากซะด้วย ใช่แล้ว..พวกคุณสามารถที่จะมีเซ็กซ์ได้ด้วย แม้ว่าจะไม่มีกายเนื้อก็ตาม!! นี่คือความจริงจริงๆ!!
(หมายเหตุ: เรื่องที่ท่านพูดถึงพระเยซูนี้ อย่ามาถามผมนะครับว่าตกลงมันเป็นยังไงกันแน่ ทำไมข้อความโน้นบอกอย่างโง้น ทำไมข้อความนี้บอกยังงี้ เพราะว่าผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ฮิฮิ ใช้วิจารณญาณกันเอาเองนะครับ – ผู้แปล)
…………………..
10.ความแตกต่างระหว่าง ‘ ยุคพลังงานใหม่ ‘ กับ ‘ ยุคพลังงานเก่า ‘
ตอนที่ 10 : แบบแผนและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ (Formulas)
จะเกิดอะไรขึ้นบ้างใน Awakening Zone หรือโซนแห่งการตื่นรู้ ซึ่งเป็นจุดที่คลื่นมนุษย์และคลื่นวิญญาณของพวกคุณมาตัดกัน? แบบแผน หรือสูตร หรือมาตรฐาน หรือกฎเกณฑ์เก่า ๆ ทั้งหลาย มันจะใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไปแล้ว
ซึ่งแบบแผน หรือกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ก็คือสิ่งที่พวกคุณพากันคิดค้นและพัฒนาขึ้นมา เพื่อเอามาใช้บริหารจัดการกับชีวิตมนุษย์ของพวกคุณ เพราะว่ามนุษย์โลกชอบที่จะอยู่ภายใต้มาตรฐานและกฎเกณฑ์เหล่านั้น
และเจ้าระบบความเชื่อสำเร็จรูปห่อเล็ก ๆ และสวยงามทั้งหลาย ก็เป็นเหมือนอาหารกล่องแช่แข็งสำเร็จรูปที่พวกคุณพากันไปซื้อมารับประทานจากร้านค้านั่นแหละ
จริงอยู่แบบแผนหรือกฎเกณฑ์บางอย่าง มันก็มีความเหมาะสมดีอยู่ เช่น กฎจราจรของพวกคุณเป็นต้น มันก็เป็นกฎสามัญและก็มีเหตุมีผลดีอยู่ แต่กฎเกณฑ์อื่น ๆ ส่วนใหญ่แล้ว มักจะทำให้ผู้คนไปติดแหง็กอยู่กับมันมากจนเกินไป
เช่น การที่พวกคุณจะแต่งกายยังไงนั้น มันก็ยังมีกฎมีเกณฑ์ควบคุมอยู่อีกแหละ และการที่พวกคุณจะกินยังไง, จะทำงานยังไง, จะหารายได้ยังไง, หรือจะศึกษาเล่าเรียนแบบไหน และแม้กระทั่งจะตายยังไง มันก็ยังมีกฎเกณฑ์ควบคุมอยู่อีกแหละ
มนุษย์โลกมีนิสัยและคุ้นเคยอยู่กับการทำสิ่งต่าง ๆ เดิม ๆ ซ้ำ ๆ อยู่อย่างนั้น ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะว่ามันทำให้พวกเขารู้สึกว่าตัวเองมีระบบระเบียบขึ้นมาได้บ้าง แต่พวกเขาก็ไม่สามารถรู้สึกถึงความมีระบบระเบียบที่ว่านั้นได้จริง ๆ หรอก
เพราะว่า..ถึงแม้ว่าพวกเขาจะพยายามทำให้มันมีระบบระเบียบขึ้นมาอยู่จริง ๆ ก็ตาม แต่ว่าพวกเขาก็รู้ดีว่ามันไม่ได้เป็นระบบระเบียบอะไรขึ้นมาเลยแม้แต่นิดเดียว มันก็จะเหมือนกับการกวาดใบไม้ท่ามกลางลมพายุนั่นแหละ เพราะว่าถึงยังไงมันก็จะไม่เวิร์ค แต่ว่ากฎเกณฑ์เหล่านั้นก็ช่วยให้พวกเขารู้สึกสบายใจขึ้นมาได้บ้าง
แบบแผนหรือกฎเกณฑ์ต่างๆได้ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่ช่วงก่อนการตื่นรู้ แต่เมื่อใดที่พวกคุณได้มาถึงจุดตัด หรือก็คือจุด X ของ Awakening zone แล้ว กฎเกณฑ์เหล่านั้นมันก็จะใช้ไม่ได้อีกต่อไป
ซึ่งประเด็นนี้มันก็จะทำให้มนุษย์โลกรู้สึกว่าตัวเองกำลังล้มเหลวอยู่ และก็รู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างกำลังจะพังพินาศลงอยู่ และก็รู้สึกว่าตัวเองกำลังกลิ้งลงหุบเหวลึกอยู่ และก็มองไม่เห็นทางที่จะแก้ไขให้มันกลับคืนมาดีดังเดิมได้เลยด้วย
ดังนั้น โดยธรรมชาติแล้วสิ่งที่มนุษย์มักจะทำกันเป็นอันดับถัดไปก็คือ การสร้างกฎและเกณฑ์ขึ้นมาใหม่นั่นเอง!! ดังนั้น จิตใจของมนุษย์จึงพยายามอย่างสุดความสามารถที่จะสร้างกฎเกณฑ์ใหม่ขึ้นมาแทนที่ให้ได้ พวกคุณจึงเพิ่มคำศัพท์ที่หรูหราลงไปให้กับมันอีก แล้วก็เรียกมันว่าเป็นพลังงานใหม่
แต่ว่า..นั่นมันใช่พลังงานใหม่จริง ๆ หรือเปล่าล่ะ? หรือว่ามันเป็นแค่กฎเกณฑ์เก่า ๆ แต่ใช้ชื่อใหม่เท่านั้นเอง?
ใช่แล้ว..เพราะว่าในยุคพลังงานใหม่จริง ๆ แล้ว มันจะไม่มีสูตร หรือกฎเกณฑ์ หรือแบบแผนทางพลังงานใด ๆ อยู่เลย ไม่เหมือนยุคพลังงานเก่า ที่จะพึ่งพาแต่สูตร หรือกฎเกณฑ์ หรือแบบแผนเป็นหลัก เพื่อที่ว่า..พวกคุณจะได้สามารถทำในสิ่งที่เคยให้ผลสำเร็จมาแล้ว ได้ใหม่อีกครั้งหนึ่งในวันนี้ และก็จะได้ผลสำเร็จเหมือนเดิมด้วย และก็จะยังคงเป็นเช่นนี้ตลอดไป จนกว่าพวกคุณจะเข้าสู่สภาวะวิกฤติและความความวุ่นวายโกลาหลซะก่อน
เพราะฉะนั้นแล้ว ในยุคพลังงานเก่านั้น อะไร ๆ ก็จะเป็นความสั่นสะเทือนไปทั้งหมดหนะแหละ และก็สามารถพยากรณ์ผลลัพธ์ของมันได้ด้วย ดังนั้น พวกคุณจึงเล่นกับมันอยู่ต่อไป แต่ด้วยวิธีการใหม่ ๆ เท่านั้นเอง และมันก็ค่อนข้างที่จะคาดเดาได้ซะด้วย เพราะว่ามันก็คือพลังงานเก่านั่นเอง
พลังงานใหม่ที่แท้จริง จะไม่สามารถถูกจับมาใส่ไว้ในกรอบของกฎและเกณฑ์ใด ๆ ได้ เพราะว่ามันไม่เกี่ยวข้องกับความสั่นสะเทือน เพราะว่ามันไม่มีรูปแบบ เพราะว่ามันจะทำงานด้วยวิธีการหนึ่งในช่วงเวลาหนึ่ง แต่ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องทำงานด้วยวิธีการนั้นอีกในครั้งถัดไปก็ได้
ดังนั้น พลังงานใหม่จึงดูเหมือนว่ามันไร้ระเบียบแบบแผนอย่างมาก แต่อันที่จริงแล้วมันไม่ใช่เลย เพราะว่าจริง ๆ แล้วมันสวยสดงดงามอย่างมาก ดังนั้น ถ้าพวกคุณได้เจอกับพลังงานใหม่ของจริงแล้วละก็ พวกคุณก็จะรู้ว่ามันสวยสดงดงามจริง ๆ
พวกคุณไม่จำเป็นจะต้องมีกฎเกณฑ์แต่อย่างใดเลย และพวกคุณก็ไม่จำเป็นจะต้องทำตามขั้นตอน หรือกระบวนการใด ๆ เลยอีกด้วย
แต่ถ้ามันจะมีกระบวนการใด ๆ มาเกี่ยวข้องกับการทำงานของพลังงานใหม่ ที่กำลังทำงานอยู่กับพลังงานเก่า หรือที่กำลังทำงานอยู่กับพลังงานใหม่อีกชุดหนึ่งละก็ กระบวนการเหล่านี้ก็จะแทรกซึมอยู่ในตัวพลังงานใหม่นั้นเลย เพราะว่ามันไม่จำเป็นจะต้องไปสร้างหรือไปผลิตหรือไปวิเคราะห์กระบวนการใด ๆ ขึ้นมาใหม่อีกเลย เพราะว่ากระบวนการเหล่านั้นมันอยู่ในตัวพลังงานใหม่ชุดนั้นแล้ว เพียงแต่ว่ามันจะเปลี่ยนไปเท่านั้นเอง
ดังนั้น จิตใจของพวกคุณจึงกำลังสับสนหรืองุนงงกับมันอยู่ เพราะว่ามันจะดูเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างกำลังจะพังทลายลงมาอย่างนั้นแหละ แต่ว่าที่จริงแล้วมันไม่ใช่ “ มันเพียงแต่กำลังปรับเปลี่ยนโครงสร้างของตัวมันเองอยู่ ก่อนที่จะสร้างขึ้นมาใหม่ ” เท่านั้นเอง (ต่อ ตอน 11)
***************
แต่ถ้ามันจะมีกระบวนการใด ๆ มาเกี่ยวข้องกับการทำงานของพลังงานใหม่ ที่กำลังทำงานอยู่กับพลังงานเก่า หรือที่กำลังทำงานอยู่กับพลังงานใหม่อีกชุดหนึ่งละก็ กระบวนการเหล่านี้ก็จะแทรกซึมอยู่ในตัวพลังงานใหม่นั้นเลย เพราะว่ามันไม่จำเป็นจะต้องไปสร้างหรือไปผลิตหรือไปวิเคราะห์กระบวนการใด ๆ ขึ้นมาใหม่อีกเลย เพราะว่ากระบวนการเหล่านั้นมันอยู่ในตัวพลังงานใหม่ชุดนั้นแล้ว เพียงแต่ว่ามันจะเปลี่ยนไปเท่านั้นเอง
ดังนั้น จิตใจของพวกคุณจึงกำลังสับสนหรืองุนงงกับมันอยู่ เพราะว่ามันจะดูเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างกำลังจะพังทลายลงมาอย่างนั้นแหละ แต่ว่าที่จริงแล้วมันไม่ใช่ “ มันเพียงแต่กำลังปรับเปลี่ยนโครงสร้างของตัวมันเองอยู่ ก่อนที่จะสร้างขึ้นมาใหม่ ” เท่านั้นเอง
…………………..
11.ทุกภาคส่วนของความเป็นพวกคุณ ซึ่งรวมถึงภาคที่เป็นมนุษย์และภาคที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด กำลังจะมาผสานรวมเข้าด้วยกันแล้ว
ตอนที่ 11: กาบริเอลซินโดรม (Gabriel Syndrome)
นอกจากนี้พวกคุณยังจะมีอาการที่ฉันเรียกว่า “กาบริเอลซินโดรม” (The Gabriel Syndrome) อีกด้วยนะ ซึ่งก็คืออาการที่เมื่อพวกคุณได้เข้ามาอยู่ในโซนแห่งการตื่นรู้แล้ว พวกคุณก็จะได้ยิน “เสียงร้องเรียก” ซึ่งอันที่จริงแล้วมันก็คือเสียงร้องเรียกจากจิตวิญญาณของพวกคุณเองนั่นเอง
เพราะว่าก่อนหน้านี้พวกคุณเคยขานรับเสียงเป่าแตรเรียกรวมพล เพื่อขออาสาสมัครมาเกิดบนโลก ในยุคแห่งการตื่นรู้ที่น่าทึ่งนี้ ของมหาเทพ Gabriel มาครั้งหนึ่งแล้ว แต่ฉันคิดว่ามันอาจจะถูกเขียนขึ้นมา โดยเทพฝ่ายโฆษณาทั้งหลายก็ได้ ที่อาจจะโฆษณาเกินจริงไปซักหน่อย โดยใช้คำพูดที่ว่า “See the world”
แล้วคราวนี้ เมื่อพวกคุณได้ก้าวเข้ามาสู่โซนแห่งการตื่นรู้นี้แล้ว เสียงแตรของมหาเทพ Gabriel ที่อยู่ข้างในตัวพวกคุณเอง ก็กำลังดังอยู่เหมือนกัน เพราะว่ามันกำลังเรียกรวมพลทุกๆส่วนของความเป็นตัวตนของพวกคุณให้มารวมกัน ไม่ว่าจะเป็นด้านมืดด้านสว่างของพวกคุณเอง และไม่ว่าจะเป็นภพชาติไหนๆของพวกคุณเองก็ตาม ทั้งอดีตชาติ และอนาคตชาติที่อาจะเป็นไปได้ทั้งหมด และรวมถึงศักยภาพแห่งความเป็นไปได้ในอดีตของพวกคุณที่ไม่ได้ถูกเลือกทั้งหมดด้วย
สรุปแล้วก็คือ ทุกๆส่วนของความเป็นพวกคุณ ซึ่งก็รวมถึงทั้งภาคที่เป็นมนุษย์โลกและภาคที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดเลย บัดนี้พวกมันกำลังจะมาผสานรวมเข้าด้วยกันแล้ว
ซึ่งการกลับมาผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกันของส่วนต่างๆของความเป็นพวกคุณนี้เอง ที่กำลังก่อให้เกิดสิ่งที่ดูเหมือนกับว่าเป็นความโกลาหลอยู่ เพราะว่าปุบปับทุกๆส่วนของความเป็นพวกคุณก็จะได้กลับบ้านพร้อมๆกันหมดด้วย ดังนั้น ตัวตนส่วนนี้ของพวกคุณ จึงไม่ค่อยแน่ใจนักว่ามันอยากจะให้ส่วนอื่นๆทั้งหมดกลับบ้านด้วยหรือไม่ เพราะว่าพวกคุณจะประมาณว่า..ชอบที่จะมีบ้านของตัวเองเท่านั้น หรือจะพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ พวกคุณไม่เคยรู้เลยว่าบ้านหลังนั้นก็มีคนอื่นๆอยู่ด้วยเหมือนกัน แล้วคราวนี้ทุกๆคนก็กำลังจะกลับมาบ้านพร้อมๆกันหมด ซึ่งพวกเขาก็ใช่แค่จะมาเยี่ยมเท่านั้น แต่พวกเขาจะมาอยู่ด้วยเลยด้วยซ้ำ
แต่นั่นเป็นเรื่องดีนะ เพราะว่าพวกเขาจะมาผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน เพราะว่าพวกคุณกำลังจะนำพาเอาทุกๆส่วนของตัวเองเข้ามาสู่ชีวิตของตัวเองอยู่ และในขณะที่ปรากฎการณ์ที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด มันกำลังดำเนินไปเรื่อยๆอยู่นี้ พวกคุณก็จะมีอาการดำดิ่งเข้าไปข้างในของตัวเองอย่างลึกล้ำ แล้วพวกคุณก็จะตำหนิตัวเองอย่างร้ายกาจ และก็จะรู้สึกคลางแคลงใจในตัวเองเป็นอย่างมากด้วย ทั้งยังชอบที่จะวิเคราะห์-วิจารณ์ทั้งตัวเองและผู้อื่นอย่างรุนแรงด้วย
เพราะว่าเมื่ออยู่ในโซนแห่งการตื่นรู้นี้แล้ว พวกคุณจะได้ดำดิ่งลงมาสำรวจตรวจดูภายในของตัวเอง ซึ่งมันก็คือการดำดิ่งลงมาเพื่อค้นหาตัวเอง และเพื่อเปิดความตระหนักรู้ของตัวเองให้กว้างขึ้นนั่นเอง แต่มันก็จะทำให้พวกคุณรู้สึกสับสนและคลางแคลงใจในตัวเองอย่างมากตามมาด้วย และมันก็จะนำมาซึ่งความรู้สึกชอบจับผิดอย่างรุนแรงตามมาด้วย และมันก็จะกลายไปเป็นความหมกมุ่น ชนิดที่ว่ามันจะกลายไปเป็นความคิดแรกของพวกคุณ หลังจากตื่นนอนขึ้นมา แล้วมันก็จะกลายไปเป็นความคิดสุดท้ายของพวกคุณ ก่อนที่จะหลับไปเลยทีเดียว และแม้กระทั่งในเวลาฝันพวกคุณก็ยังจะพกพาเอาเจ้านิสัยช่างจับผิดนี้ติดเอาไปฝันอีกด้วย
แล้วหลังจากนั้น พวกคุณก็จะมาถึงจุดที่สามารถ “ปล่อยวาง” ได้ ซึ่งในประเด็นนี้ Tobias ได้สรุปสั้นๆแต่ได้ใจความที่สมบูรณ์ดีมากว่า “ช่างมันเถอะ” เพราะว่า เมื่อพวกคุณได้มาถึงจุดที่เหนื่อยล้า จากการเฝ้าแต่จับผิดและจดจ่ออยู่กับเรื่องที่ไม่ดีของตัวเอง ที่ได้เคยทำไว้ในอดีต ทั้งในภพชาตินี้และในอดีตชาติแล้ว พวกคุณก็จะรู้สึกว่าไม่ไหวแล้ว พอแล้ว..พอกันทีไปเอง …….
(( หมายเหตุ: ในความเป็นจริงแล้ว ทุกๆภพชาติของเราดำรงอยู่พร้อมๆกันหมด ในสายตาของจิตวิญญาณ เพราะว่าพวกเขาอยู่เหนือช่องว่างและกาลเวลา ดังนั้น แต่ละภพชาติของเรา จึงเปรียบเสมือนซี่ของล้อจักรยาน ที่ยื่นออกมาจากดุมล้อที่อยู่ตรงกลาง ซึ่งเปรียบเหมือนเป็นจิตวิญญาณของเรา และทุกๆครั้งที่เราได้ทำการตัดสินใจครั้งสำคัญลงไปในชีวิตของเรา มันก็จะเกิดศักยภาพแห่งความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น แยกออกเป็นอย่างน้อยสองทางเสมอ ซึ่งทางที่เราเลือก ก็คือเส้นทางที่เราได้รับประสบการณ์กับมันแล้ว ส่วนทางที่เราไม่ได้เลือกนั้น ก็จะดำเนินชีวิตของมันเองต่อไป ในแบบของมัน ในโลกคู่ขนานอีกโลกหนึ่ง
ดังนั้น ตัวตนของเรา..แค่เฉพาะที่อยู่ในภพชาติเดียวนี้ ก็มีอยู่ในโลกคู่ขนานอื่นๆอีกมากมายก่ายกอง จนนับไม่ถ้วนแล้ว จะประสาอะไรกับตัวตนอื่นๆในโลกคู่ขนานอื่นๆ ของภพชาติอื่นๆอีก และนี่ยังไม่ได้นับรวมตัวตนที่อยู่ในภาคของพลังงานเลยนะครับ
และที่ท่านใช้คำว่า “อนาคตที่อาจจะเป็นไปได้” หรือ future potentials นั้นก็เพราะว่า อนาคตไม่ใช่สิ่งที่ถูกกำหนดไว้แน่นอนตายตัวแล้ว เพราะว่ามันจะดำรงอยู่ในรูปแบบของ “ศักยภาพแห่งความเป็นไปได้” เท่านั้นเอง ดังนั้น มันจึงยังไม่แน่นอน และก็สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้เสมอด้วย แล้วมันก็ยังมีอยู่มากมายก่ายกองจนนับไม่ถ้วนอีกด้วย แต่ที่เรา..ตัวตนนี้และเวอร์ชั่นนี้ จะได้พบเจอมันจริงๆนั้น ก็จะมีอยู่เพียงศักยภาพเดียวหรือเส้นทางเดียวเท่านั้น แต่จะเป็นอนาคตเส้นทางไหนนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการเลือกในแต่ละ “ปัจจุบันขณะ” ของเราเองครับ
ขอแถมอีกนิดครับ..และปัจจุบันแต่ละเส้นทาง มันก็จะมีอดีตและอนาคตเป็นของตัวมันเองด้วยนะ และจะแปลกใจไหมถ้ารูปธรรมชีวิตจากต่างมิติทั้งหลาย จะพูดตรงกันว่า ทุกวันนี้เราก็เปลี่ยนแปลงแก้ไข ทั้งอดีตและอนาคต อยู่เกือบจะตลอดเวลาอยู่แล้วด้วย ดังนั้น “เรา” คนที่กำลังนั่งอ่านข้อความอยู่นี้ ก็อาจจะไม่ใช่ “เรา” เมื่อ 5 นาทีที่แล้วก็ได้นะครับ ฮิฮิ ขอแสดงความยินดีด้วยครับที่ท่านงง เพราะนั่นแปลว่าท่านยังปกติดีอยู่ครับ J – ผู้แปล ))
……………………..
12.จงเชื่อมั่น และอย่าใช้สมองคิดเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น แต่ให้ใช้หัวใจทำความเข้าใจให้ได้ว่า จริงๆแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ตอนที่ 12: ความแตกต่างระหว่างการใช้สมอง กับ หัวใจในการทำความเข้าใจในสถานะการณ์ต่างๆ
ตอนนี้พวกคุณก็ได้มาอยู่ในโซนแห่งการตื่นรู้แล้ว และคำถามก็คือ… พวกคุณจะสามารถทำอะไรได้บ้างในตอนนี้ ? เพราะว่าพวกคุณก็รู้แล้วว่าทุกๆส่วนของความเป็นตัวตนของพวกคุณกำลังจะผสานรวมเข้าด้วยกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นส่วนที่เป็นมนุษย์โลกและส่วนที่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพวกคุณเอง และส่วนที่เป็นพลังงานแห่งเพศหญิงและส่วนที่เป็นพลังงานแห่งเพศชาย และรวมถึงส่วนที่อยู่ในมิติที่ 3 แห่งความเป็นทวิภาวะนี้ทั้งหมดทุกๆส่วนของพวกคุณด้วย (ทุกภพชาติ, ทุกโลกคู่ขนาน, ทั้งด้านมืดและด้านสว่าง – ผู้แปล)
เพราะฉะนั้นแล้ว สิ่งที่สำคัญมากที่สุดในตอนนี้ก็คือ “ความไว้วางใจ” ซึ่งหมายถึงการไว้วางใจหรือการเชื่อมั่นอย่างหมดจิตหมดใจในตัวเอง ไม่ใช่การไว้วางใจหรือเชื่อมั่นอย่างมืดบอด แต่เป็นการไว้วางใจหรือเชื่อมั่นที่ออกมาจากข้างในจริงๆ เพราะว่าพวกคุณจะต้องมีความเชื่อมั่นและมีความไว้วางใจในตัวเอง ในสิ่งที่กำลังผ่านเข้าไปในกระบวนการที่เป็นธรรมชาติและเหมาะสมอยู่นี้อย่างเต็มที่ พวกคุณจะต้องเชื่อมั่นและไว้วางใจว่า พวกคุณก็คือพระเจ้าคนหนึ่งด้วยเหมือนกัน และจงยินยอมให้ภาคที่เป็นมนุษย์โลกของพวกคุณ หรือจิตมนุษย์นี้ของพวกคุณ รู้สึกถึงมันได้จริงๆให้ได้ด้วย ว่าพวกคุณคือพระเจ้า
มันจะเป็นอย่างไร ?..เมื่อพวกคุณพยายามที่จะเปิดใจและเชื่อมั่นในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในตัวเอง ?
:- พวกคุณรู้สึกว่ามันดีและใช่สำหรับพวกคุณไหม? และ….
:- พวกคุณรู้สึกดีมากใช่ไหมที่ได้เปิดใจยอมรับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในตัวเอง ? หรือว่า..
:- พวกคุณรู้สึกตีบตันและอึดอัด? หรือไม่ก็..
:- พวกคุณมีความรู้สึกว่าเหมือนตัวเองกำลังจมดิ่งลงไปในเหวลึก ? ซึ่งถ้ามันเป็นความรู้สึกอย่างหลังนี้ละก็ ให้หายใจเข้าลึกๆ เพราะไม่มีอะไรที่จะต้องรีบหรอกนะ (นั่นหมายความว่าพวกคุณยังไม่สามารถจะเชื่อมั่นและไว้วางใจได้จริงๆ – ผู้แปล)
เพราะความเชื่อมั่นและความไว้วางใจที่ว่านี้ จะต้องเป็นความรู้สึกที่ออกมาจากข้างในของพวกคุณจริงๆ มันหมายถึงการเชื่อมั่นและไว้วางใจในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ภายในตัวพวกคุณเองอย่างหมดจิตหมดใจ และเจ้าความรู้สึกนี้มันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะถูกสร้างขึ้นมาได้ และก็ไม่สามารถที่จะบงการให้มันเกิดขึ้นมาได้ด้วย ทั้งมันก็ไม่ใช่ระบบความเชื่ออย่างหนึ่ง เหมือนกับระบบความเชื่ออื่นๆที่พวกคุณเคยรู้จักมาในอดีตอีกด้วย
หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความเชื่อมั่นและไว้วางใจที่ว่านี้ มันไม่ใช่แค่ระบบความเชื่อที่เกิดจากการคิดเอาเองของสมองพวกคุณ เหมือนกับระบบความเชื่ออื่นๆที่พวกคุณทุ่มเทด้วยชีวิต ไปกับความเชื่อและศรัทธากันอยู่นี้ เพราะมันจะต้องเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติอย่างแท้จริง
‘ จงมีความเชื่อมั่นและไว้วางใจในตัวเอง’ ว่ากระบวนการทั้งหมดนี้ มันเกิดขึ้นด้วยพระมหากรุณาธิคุณของเบื้องบน…. แต่ก็อย่าไปเชื่อมั่นหรือไว้วางใจในองค์โน้นและองค์นี้มากนักนะ (ชี้มือขึ้นด้านบน) และก็อย่าไปเชื่อมั่นในผู้นำทางจิตวิญญาณและกูรูทั้งหลายด้วย แต่ “ ให้เชื่อมั่นและไว้วางใจในตัวพวกคุณเองเพียงคนเดียวเท่านั้น !! “ แล้วก็..อย่าไปเชื่อมั่นและไว้วางใจในเจ้าคริสตัลและกำไลหินสวยๆพวกนั้น รวมถึง..คำบริกรรม มนตรา หรือสิ่งอื่นใดด้วยก็อย่าไปเชื่อมันไว้วางใจ…… เพราะความเชื่อมั่นและไว้วางใจที่ว่านี้มันจะต้องออกมาจากข้างในจริงๆเท่านั้น
แต่อย่าบอกฉันนะว่า “โอเค..ท่านอดามัส..ฉันจะเชื่อมั่นและไว้วางใจในตัวเองตามที่ท่านบอกแล้ว” แล้วจากนั้นพอพวกคุณกลับไปถึงบ้าน พวกคุณก็กกลับเข้าสู่โหมดเดิม คือโหมดไม่เชื่อมั่นในตนเอง
ประเด็นที่มีความสำคัญอย่างมากอีกประเด็นหนึ่งก็คือ “ความเมตตากรุณา” ซึ่งก็หมายถึงความเมตตากรุณาต่อตัวพวกคุณเองนั่นเอง เพราะว่า ‘ ความเมตตากรุณาต่อตัวเอง ‘ ที่ว่านี้ก็คือ พวกคุณจะต้องสามารถยอมรับในทุกๆส่วนของความเป็นตัวเองให้ได้ เพราะว่าทุกๆด้าน, ทุกๆชิ้น และทุกๆส่วนของพวกคุณ กำลังจะกลับบ้านพร้อมกันแล้ว และพวกมันทั้งหมดนี้ก็กำลังต้องการความเมตตากรุณาจากพวกคุณด้วย ซึ่งนั่นแหละจะเป็นการต้อนรับพวกมันกลับบ้านล่ะ และก็จะเหมือนกับ “ความเชื่อมั่น และความไว้วางใจ” นั่นเอง ที่มันจะต้องออกมาจากใจจริงๆเท่านั้นด้วย
หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ พวกคุณจะแค่พูดขึ้นมาลอยๆว่า “ฉันจะมีความเมตตากรุณา” แล้วพอกลับไปถึงบ้าน พวกคุณก็เริ่มลงมือทำร้ายตัวเองเหมือนเดิม (ทำร้ายตัวเองด้วยวิธีการต่างๆ ทั้งทางกาย-วาจา-ใจ เช่น นำของที่มีพิษมีภัยเข้าไปในร่างกายของตัวเองโดยเจตนา, หรือนึกตำหนิส่วนต่างๆของร่างกายตัวเอง ที่ไม่สวยไม่งาม หรือที่กำลังป่วยหรือเสียสมดุลอยู่ เป็นต้น – ผู้แปล)
หรือไม่….พวกคุณอาจจะผลัดผ่อนกับตัวเองว่า เดี๋ยวค่อยมาเมตตาตัวเองทีหลังก็แล้วกัน แบบนั้นก็ใช้ไม่ได้อีกเช่นกัน เพราะว่าความเมตตากรุณานั้น มันก็จะต้องออกมาจากข้างในจริงๆเท่านั้น แต่ว่า..เจ้าความเมตตากรุณานี้ ก็สามารถที่จะสร้างให้เกิดความท้าทายขึ้นแก่พวกคุณได้ด้วย เพราะว่าเมื่อพวกคุณมีความเมตตากรุณา หรือมีความเห็นอกเห็นใจตัวเองแล้ว ปัญหาต่างๆที่เกี่ยวข้องกับสาเหตุที่ทำให้พวกคุณไม่มีความเมตตานั้น จะถูกเขย่าให้ลอยขึ้นมาสู่ระดับพื้นผิวของความตระหนักรู้ของพวกคุณทั้งหมดเลย และทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกคุณไม่ได้จัดการกับมันด้วยความเมตตากรุณา ก็จะโผล่ขึ้นมาให้พวกคุณได้เห็นทั้งหมดเลยด้วย
เพราะฉะนั้นแล้ว ทุกๆความเจ็บปวด, ทุกๆเรื่องราวที่แตกร้าวและมืดดำของพวกคุณก็จะโผล่ขึ้นมาให้พวกคุณได้เห็นทั้งหมด เพราะว่าพวกมันต้องการความเมตตากรุณาและความเห็นอกเห็นใจจากพวกคุณ ในท้ายที่สุด
“ความเมตตากรุณา “ คือความสามารถในการมองเข้าไปในสถานการณ์ที่เลวร้ายมากที่สุดที่เคยเกิดขึ้นในชีวิตของพวกคุณ แล้วมองมันด้วยมุมมองที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง แต่ฉันไม่ได้กำลังพูดถึงให้มองหาเทพ เก๊ ๆที่อยู่ในนั้นหรอกนะ เพราะว่าฉันกำลังพูดถึงความรู้สึกที่แท้จริงอยู่ ฉันกำลังพูดถึงความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับสถานการ์นั้นๆอยู่ต่างหาก
อย่าใช้สมองคิดเกี่ยวกับสถานการณ์นั้นๆแต่ให้ใช้ ‘หัวใจ’ทำความเข้าใจให้ได้จริงๆว่าเกิดอะไรขึ้นกับสถานการณ์นั้นกันแน่ ? เพราะก่อนหน้านี้พวกคุณเอาแต่มองดูมันด้วยมุมมองเดียว และด้วยวิสัยทัศน์เดียวมาโดยตลอด แต่ตอนนี้..ถ้าพวกคุณต้องการที่จะมีความเมตตากรุณา และมีอารมณ์ร่วม และมีความรู้สึกจริงๆละก็ พวกคุณก็จะต้องมองดูมัน จากทุกๆแง่มุมของมัน ในฐานะของ “ผู้สังเกตการณ์” แล้วละนะ
พวกคุณได้พากันห้อยไม้กางเขนไปไหนมาไหนด้วยมานานแล้ว แต่ว่าสัญลักษณ์ไม้กางเขนนั้น ก็ไม่ได้หมายถึงการจมอยู่ในความทุกข์สักหน่อย เพราะอันที่จริงแล้ว ไม้กางเขน หมายถึงการมาบรรจบกันของมนุษย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ ณ.ที่นี้และเดี๋ยวนี้ บนโลกใบนี้ ดังนั้น ขอให้พวกคุณมองดูไม้กางเขนซะใหม่ ด้วยมุมมองใหม่อันนี้แทนด้วย
………………………
13. จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อพวกคุณตื่นรู้ขึ้นมาแล้ว ?
ตอนที่ 13: การตื่นรู้
ฉันอยากจะขอให้พวกคุณลองหันหลังกลับมาสักครู่หนึ่ง (ตอนนี้ท่านอดามัสกำลังยืนอยู่ที่หลังห้อง) ซึ่งเหตุผลที่ฉันขอให้พวกคุณหันกลับมามองที่หลังห้องก็ด้วยเหตุผลที่ง่ายมากๆ …
นั่นก็คือ..พวกคุณตื่นรู้อยู่แล้ว พวกคุณคือคนที่เลื่อนระดับขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว หรือไม่ว่าพวกคุณจะเรียกมันว่าอะไรก็ตาม แต่พวกคุณก็คือคนที่รู้แจ้งอยู่แล้ว และพวกคุณก็คือผู้ที่อยู่ ณ.ฟากฝั่งโน้นของโซน x อยู่แล้ว เพราะว่าพวกคุณได้ไปถึงแล้ว พวกคุณทำสำเร็จแล้ว ดังนั้น ตอนนี้พวกคุณจึงกำลังแค่มองย้อนกลับมาดูมันอยู่ ว่าพวกคุณผ่านมันมาได้ยังไงเท่านั้นเอง
ซึ่งก็จะเหมือนกับเมอร์ลินตัวจริงคนหนึ่ง (เมอร์ลินคือคำเรียกชื่อผู้วิเศษคำหนึ่ง ไม่ใช่ชื่อคน – ผู้แปล) เพราะว่าตอนนี้พวกคุณกำลังเดินทางย้อนเวลากลับมาสู่อดีตของตัวเองอยู่ เพราะว่าพวกคุณได้เลือกไว้แล้วว่าจะเลื่อนระดับขึ้น เพราะฉะนั้น มันจึงได้เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว และในตอนนี้ พวกคุณก็กำลังเดินทางย้อนเวลากลับมาเพื่อมามีประสบการณ์กับการเลื่อนระดับขึ้นอยู่
เพราะในความเป็นจริงแล้วพวกคุณกำลังหันกลับมามองดูตัวเองอยู่ ว่าตัวเองสามารถตื่นรู้ขึ้นมาได้อย่างไร ? และว่าพวกคุณปรารถนาที่จะมีประสบการณ์กับมันอย่างไรด้วย ซึ่งเรื่องนี้ท่าน Kuthumi ได้เคยพูดเอาไว้แล้วเมื่อหลายปีก่อน ว่าจริงๆแล้วพวกคุณได้เลื่อนระดับขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว
ฉนั้น ถึงแม้พวกคุณจะยังสงสัยอยู่ หรือ จะยังรู้สึกต่อต้านอยู่ …หรือ ยังมีวิธีการ มีวิธีรักษา มีคำแนะนำ หรืออยู่กับกระบวนการที่แปลกประหลาดอะไรอยู่มากมายอยู่ก็ตาม …ถึงกระนั้นแล้ว..พวกคุณก็คือผู้ที่ตื่นรู้ไปเรียบร้อยแล้ว เพราะว่าพวกคุณได้ไปถึงที่นั่นแล้ว
ดังนั้น ตอนนี้..ก็แค่สูดลมหายใจเข้าให้ลึกๆ เพราะว่ามันไม่มีอะไรที่จะต้องไปวิตกกังวลเลย นอกเสียจากว่าพวกคุณจะต้องเลือกเส้นทางแห่งความเป็นไปได้ว่า ตัวเองอยากจะไปถึงที่นั่นให้ได้ด้วยศักยภาพแห่งความเป็นไปได้เส้นทางไหนเท่านั้นเอง
และแม้ว่าในตอนนี้พวกคุณอาจจะยังไม่รู้สึกว่าตัวเองได้ตื่นรู้ขึ้นมาแล้วก็ตาม และพวกคุณอาจจะยังรู้สึกอยู่ว่า “จิตสำนึกมวลรวมของคนทั้งโลก” และพลังมืด และโลกทั้งโลก ก็ยังคงรวมหัวกันต่อต้านพวกคุณอยู่ก็ตาม …..ซึ่งอันที่จริงแล้ว มันไม่ใช่เลย … เพราะว่าคนที่รวมหัวกันต่อต้านพวกคุณนั้นก็คือตัวพวกคุณเองต่างหาก… มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่มันก็โอเคนะ เพราะว่าจริงๆแล้วมันมีเรื่องตลกมากมาย เพราะแม้แต่ตัวฉันเองก็รวมหัวต่อต้านตัวฉันเองมานับร้อยนับพันปีเลยทีเดียว
Tobias เคยพูดไว้ว่า “สิ่งศักดิ์สิทธิ์” เป็นสิ่งที่พื้นๆและไม่มีความสลับซับซ้อนอะไรเลย เพียงแต่มนุษย์ไปทำให้มันดูเข้าใจยากไปเอง เพราะแท้ที่จริงแล้ว สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นมีความเรียบง่าย งดงาม และก็บริสุทธิ์อย่างมากด้วย
เพียงแต่ว่ามนุษย์ได้พยายามที่จะทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์กลายเป็นสิ่งที่เข้าใจยากและสลับซับซ้อนขึ้นมา ซึ่งความพยายามที่ว่านี้ ก็อาจจะเพื่อศาสนา เพื่อธุรกิจ หรือเพื่ออะไรก็ตามแต่ ที่คอยบอกพวกคุณว่ามันมีทางที่จะเข้าถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้อยู่ เพียงแต่ว่ามันจะต้องอาศัยตัวกลางช่วย หรืออาศัยผู้ฝึกสอนช่วย หรืออาศัยผู้ที่มีหน้าที่ด้านนี้ช่วยด้วยเท่านั้นเอง
แล้วจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อพวกคุณตื่นรู้ขึ้นมาแล้ว ?
พวกคุณก็จะเริ่ม “รู้สึก” ใหม่อีกครั้งหนึ่งน่ะสิ เพราะว่าความรู้สึกคือความตระหนักรู้ทางประสาทสัมผัสอย่างหนึ่ง และเมื่อพวกคุณเริ่มมีความตระหนักรู้มากขึ้นแล้ว พวกคุณก็จะเริ่มมีความไวในการรับรู้และรู้สึกมากขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งประสาทสัมผัสก็เริ่มไวต่อทุกสิ่งทุกอย่าง ที่อยู่ในมิติต่างๆรอบๆตัวพวกคุณ ในขณะนั้นๆ มากขึ้นกว่าเดิมด้วย
แล้ว ‘ การตื่นรู้ ‘ คืออะไร ? การตื่นรู้ก็คือการเชื่อมั่นและไว้วางใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดีอย่างที่สุดอยู่แล้ว ก็อย่างที่ฉันพูดเอาไว้ในตอนท้ายของการชุมนุมกันของพวกเราไงว่า
“ทั่วทั้งเอกภพแห่งการสรรค์สร้างนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดีแล้ว ซึ่งรวมถึงพวกคุณเองด้วย..”
เพราะแนวคิดที่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างดำรงอยู่ในสภาวะที่ไม่สมบูรณ์นั้น เป็นเพียงคำโกหกเท่านั้น แต่ชาวโลกส่วนใหญ่กลับไปหลงเชื่อมัน
“ ทั้งที่ความจริงแล้วสรรพสิ่งทั้งปวงล้วนสมบูรณ์แบบในตัวมันเองทั้งสิ้น แม้ว่าพวกคุณจะไม่เลือกมองว่ามันสมบูรณ์แบบก็ตาม “
พวกคุณไม่มีความรู้สึกแบบนั้นบ้างหรือ ในตอนที่พวกคุณผ่าน ‘จุดของการตื่นรู้ ‘ เพื่อเลื่อนระดับขึ้นไปแล้วนั่น
……………………….
14.พวกคุณนึกออกไหมว่า การที่ไม่ต้องคอยวิตกกังวลกับสุขภาพและความตายของตัวเองอีกแล้วนั้น มันจะเป็นอย่างไร ? .
ตอนที่ 14: แล้วอะไร ? ที่จะมาช่วยกระตุ้นให้กระบวนการตื่นรู้ของพวกคุณเริ่มต้นขึ้นมาได้ ?
มันอาจจะเป็นหนังสือซักเล่มหนึ่ง ที่บังเอิญหล่นลงมาจากชั้นวางในร้านขายหนังสือพอดี ในขณะที่พวกคุณกำลังค้นหาหนังสือเล่มอื่นอยู่ …..หรือ…
:- มันอาจเป็นภาพยนตร์ซักเรื่องที่กระตุ้นให้พวกคุณหันมามองดูชีวิตในมุมมองที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง…..หรือ….
:- มันอาจจะเป็นความฝันที่คมชัดลึกมากๆ จนนำพาพวกคุณเข้าไปในระดับที่พวกคุณไม่เคยไปถึงมาก่อน….หรือ…
:- มันอาจจะเป็นการตายของใครบางคน ซึ่งเป็นผู้ที่พวกคุณรัก จนทำให้พวกคุณต้องหวนกลับมาคิดใคร่ครวญถึงความหมายของชีวิตและความตายใหม่อีกครั้งหนึ่ง….หรือ….
:- มันอาจจะเป็นความทุกข์ทรมานอันเกิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ที่กระชากพวกคุณออกมาจาก comfort zone ของตัวเองอย่างฉับพลัน ….หรือ….
:- พวกคุณอาจจะแค่..ตื่นขึ้นมาในเช้าวันหนึ่ง แล้วพบว่าตัวเองอยู่คนเดียวก็ได้ ….หรือ…..
:- มันอาจจะเป็นความสงสัยและความอยากรู้-อยากเข้าใจ ที่มีขึ้นมาแบบปัจจุบันทันด่วน และมีอีกมากอย่างเหลือล้นก็ได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันได้บ่มเพาะตัวเองมาหลายภพชาติแล้ว และบัดนี้พวกคุณก็สามารถที่จะเชื่อมต่อกับพวกมันได้แล้ว
ซึ่งหนึ่งในประสบการณ์ที่คุรุผู้รู้แจ้งแล้วทั้งหลายมักจะเป็นกันในช่วงเวลาแห่งการตื่นรู้ของพวกเขา ก็คือ พวกเขาจะรู้เองว่าพวกเขาได้มาถึงแล้ว ทำกิจเสร็จแล้ว ….
:- ไม่มีอีกแล้วโลกใบนี้ ไม่มีอีกแล้วภพชาติต่อไป
:- ไม่มีอีกแล้วความสัมพันธ์กับมนุษย์โลกในแบบที่พวกเขาเคยรู้จัก
:- ไม่มีอีกแล้วกับการที่จะต้องมานั่งล้อมวงทานอาหารค่ำด้วยกัน
:- ไม่มีอีกแล้วกับการที่จะต้องเข้าไปเดินจงกรมในป่า และ…
:- ไม่มีอีกแล้วในเรื่องทางเพศ
และคุรุผู้รู้แจ้งแล้วทุกๆคน ก็มักจะมาถึงจุดที่พวกเขาจะมีความปรารถนาอย่างแท้จริง ที่จะหวนกลับคืนไปใหม่อีกครั้งหนึ่ง เพื่อที่จะอยู่ต่ออีกซัก 2-3 ภพชาติด้วย …
จริงอยู่ มันอาจจะฟังดูดีไม่น้อยเลย ที่จะได้ลงจากยานอวกาศที่ชื่อว่าดาวเคราะห์โลกดวงนี้ซะที แต่ว่าเมื่อมันมาถึงเวลานั้นจริงๆแล้ว มันก็จะมีความทรงจำอะไรบางอย่างที่สวยสดงดงามเหลือเกินเกี่ยวกับโลกใบนี้ให้พวกคุณได้อาลัยอาวรณ์อยู่ เพราะว่าถึงอย่างไรก็ตาม การมามีชีวิตบนโลกใบนี้นั้น ก็ถือว่าสนุกดีเหมือนกัน และภพชาตินี้มันก็จะเป็นภพชาติสุดท้ายของพวกคุณบางคนแล้ว
พวกคุณนึกออกไหมว่า …
การที่จะได้รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างกำลังจะให้ผลลัพธ์ออกมาแล้วนั้น มันเป็นอย่างไร? หรือ….
การที่จะจะได้รู้ในทุกสิ่งทุกอย่างที่ส่งผลลัพธ์ออกมาอยู่ลอดเวลาแล้วนั้น มันเป็นอย่างไร?
และมันจะเป็นอย่างไรถ้าพวกคุณรู้ว่า..จริงๆแล้วพวกคุณสามารถที่จะสร้างสรรค์อะไรขึ้นมาก็ได้เท่าที่พวกคุณปรารถนา ?
พวกคุณนึกออกไหมว่า การที่ไม่ต้องคอยเป็นกังวลเกี่ยวกับสุขภาพของตัวเองอีกแล้วนั้น มันจะเป็นอย่างไร ? …และ…
พวกคุณนึกออกไหมว่า การที่ไม่ต้องเป็นกังวลเกี่ยวกับความตายอีกเลยนั้น มันจะเป็นอย่างไร?
ดาวเคราะห์โลกดวงนี้ เป็นดาวเคราะห์ที่น่าทึ่งมากๆ เพราะว่า..แม้มันจะมีสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์อื่นๆอาศัยอยู่อีกมากมายในจักรวาลแห่งนี้ก็ตาม แต่ก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์ไหนเลยที่จะเหมือนกับมนุษย์โลก เพราะว่าไม่มีดาวเคราะห์ดวงไหนเลย ที่จะเป็นประตูทางเข้าไปสู่การเลื่อนระดับขึ้น หรือเป็นประตูทางเข้าไปสู่การรู้แจ้งอย่างเช่นดาวเคราะห์โลกดวงนี้
และก็..ไม่มีสิ่งมีชีวิตเผ่าพันธุ์ไหนเลยที่จะฉลาดปราดเปรื่องไปกว่ามนุษย์โลกอีกด้วย โอ..จริงอยู่ มันมีรูปธรรมชีวิตทรงภูมิปัญญาชั้นสูงอยู่มากมายข้างนอกโน่น แต่พวกเขาก็ไม่ได้ฉลาดปราดเปรื่องมากซักเท่าไหร่หรอกนะ เพราะว่าพวกเขาก็ยังมีอะไรที่จะต้องเรียนรู้อยู่อีกมากมายเหมือนกัน
ในช่วงแห่งการตื่นรู้นี้ มันจะมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นมาด้วย โดยเฉพาะในช่วงก่อนที่จะถึงจุดที่เรียกว่า “ผลกุหลาบ” (Fruit of the Rose) ซึ่งคำๆนี้เป็นคำที่ Tobias ตั้งขึ้นมา เพื่อใช้เรียกสิ่งที่เป็นเครื่องเตือนใจให้พวกคุณรู้ว่า นับตั้งแต่จุดนี้เป็นต้นไปพวกคุณสามารถที่จะเลือกเลื่อนระดับขึ้นไปเมื่อไหร่ก็ได้ ที่พวกคุณต้องการ
แต่แล้ว..พวกคุณก็จะเสแสร้งว่า จุดๆนั้นมันไม่ได้อยู่ที่นั่นอีกตามเคย ดังนั้น พวกคุณก็เลยพากันเริงร่าอยู่กับชีวิตบนโลกต่อไป ภพชาติแล้วภพชาติเล่าโดยไม่ยอมเลื่อนระดับขึ้นไปสักที และหลายครั้งที่พวกคุณเดินไปสะดุดมันเข้า พวกคุณก็จะทำเป็นว่ามองไม่เห็นมันด้วยซ้ำไป ซึ่งในวันหนึ่ง พวกคุณก็จะได้ประจักษ์ว่า กุญแจแห่งการเลื่อนระดับขึ้นนั้น มันก็อยู่ตรงนั้นเสมอมาอยู่แล้ว ซึ่งมันก็คือ “ผลกุหลาบ” ที่ว่านี้นั่นเอง
คราวนี้..ขอให้พวกคุณลองนึกย้อนกลับไปถึงตอนที่กระบวนการตื่นรู้ของพวกคุณเริ่มต้นขึ้นมาใหม่ๆโน่นซิ ซึ่งในตอนนั้น พวกคุณอาจจะตื่นเช้าขึ้นมาพร้อมกับมีคำถามอยู่มากมาย ที่พวกคุณอยากจะรู้และอยากจะเข้าใจอยู่ แล้วจากนั้นก็มีใครบางคนพาพวกคุณเข้าไปในห้องเรียนห้องหนึ่ง ที่ได้ช่วยเปิดโลกทรรศน์ของพวกคุณขึ้นมา ที่ก่อนหน้าที่จะถึงจุดๆนั้น มันได้มีความไม่พึงพอใจหลายอย่างเกิดขึ้นในชีวิตมนุษย์ของพวกคุณ ซึ่งอาจจะเป็นความรู้สึกลึกๆอยู่ข้างในว่า อยากจะกลับไปหาตัวเองอีกครั้งหนึ่ง อยากจะกลับไปอยู่กับทุกๆส่วนของความเป็นตัวตนของตัวเองใหม่อีกครั้งหนึ่ง
ซึ่งความรู้สึกโหยหาดังกล่าวนี้ มันก็จะเหมือนกับความรู้สึกของการสูญเสียคนรักหรือคู่แท้ไป มันจะรู้สึกเหมือนกับว่ามีรูปธรรมชีวิตอีกรูปธรรมหนึ่ง ที่อยู่ ณ.ฟากฝั่งโน้นของม่านพราง ที่กำลังรอคอยพวกคุณอยู่ มันเป็นนิยายรักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมา แต่มันก็เป็นเรื่องจริงอย่างที่สุดด้วย เพียงแต่ว่ารูปธรรมชีวิตอีกรูปธรรมหนึ่งที่ว่านั้น มันกลับไม่ใช่ใครอื่นเลย แต่มันก็คือตัวของพวกคุณเองนั่นเอง
ไม่ช้าก็เร็ว..มนุษย์โลกทุกๆคนก็จะต้องตื่นรู้ขึ้นมาแน่ๆ เพียงแต่ว่าสำหรับบางคนแล้ว มันก็อาจจะช้ากว่าคนอื่นๆอยู่มากโขเลยก็เป็นได้ แต่พวกคุณที่อยู่ที่นี่ คือผู้ที่อยู่แถวหน้าของกระบวนการตื่นรู้ในครั้งนี้
จริงอยู่..ที่ว่า..มันเคยมี ‘ คุรุผู้รู้แจ้ง ’ เกิดขึ้นมาก่อนหน้าพวกคุณแล้ว แต่ก็ไม่ได้มากเท่าไหร่นักหรอก ดังนั้น พวกคุณจึงเป็นหนึ่งในจำนวนคนที่ฉันจะเรียกว่า “คนกลุ่มแรก” ที่จะได้ผ่านเข้าไปสู่กระบวนการตื่นรู้ในครั้งนี้ ซึ่งก็หมายความว่า มันมีคนที่ตื่นรู้ขึ้นมาแบบเดี่ยวๆอยู่แล้ว ในทุกยุคทุกสมัย แต่ว่า “การตื่นรู้แบบทั้งกลุ่ม” แบบนี้ พวกคุณคือคนกลุ่มแรก
ในช่วงเวลาที่กระบวนการตื่นรู้ของพวกคุณได้เริ่มต้นขึ้นใหม่ๆนั้น ประสบการณ์ที่พวกคุณส่วนใหญ่ได้พบเจอมาแล้ว ก็จะเป็นความรู้สึกเบิกบานใจ หรือไม่ก็เป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกเลย และมันก็ได้ทำให้พวกคุณต้องหันกลับมาพิจารณาสิ่งต่างๆใหม่อีกครั้งหนึ่ง
มันได้ทำให้พวกคุณเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกมีความหวังและมีความสุข ดังนั้น ในตอนนั้นพวกคุณจึงรู้สึกราวกับว่ากำลังเริงระบำอยู่กลางถนน พวกคุณจึงมีความรู้สึกราวกับว่ากำลังปั่นจักรยานไปตามท้องถนน แล้วไปเที่ยวเคาะประตูบ้านของทุกๆคนเล่น ๆ
ซึ่งในตอนนั้นพวกคุณก็จะรู้สึกราวกับว่า อยากบอกกับทุกๆคนถึงภูมิปัญญาอันใหม่และถึงความสุขอันน่าอัศจรรย์ที่พวกคุณได้ไปเจอมา แล้วพวกคุณก็พูดว่า “ฉันกำลังจะได้กลับบ้าน เพื่อไปหาตัวฉันเองแล้ว” พวกคุณจำกันได้ไหม ?
นี่คือ ‘ จุดแห่งการตื่นรู้ ‘ …มันเป็นอะไรที่สวยสดงดงามอย่างมาก มันสวยงามจนหาที่ติไม่ได้ และหลังจากนั้น มันก็ได้นำพาพวกคุณให้เข้ามาสู่ช่วงของการเรียนรู้ครั้งใหญ่ ซึ่งก็จะเป็นการเรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกคุณจะสามารถเอื้อมมือไปถึงได้ เรียนรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของจิตวิญญาณ และพากันอ่านหนังสือเกี่ยวกับปรัชญา ศาสนา อย่างมากมาย รวมถึงหนังสือแนวนิวเอชแทบจะทุกเล่ม และตามอ่าน ข้อความสื่อสารจากต่างมิติแทบจะทุกๆรูปธรรมชีวิต
ในช่วงนั้น..พวกคุณก็คิดว่าได้กลายเป็นผู้รู้ธรรมไปแล้ว และพวกคุณก็ติดยศของผู้รู้ธรรมเอาไว้บนไหล่ของตัวเอง และบอกใครๆว่า บัดนี้ฉันคือผู้ที่รู้ธรรมแล้ว ….แต่แท้ที่จริงแล้ว…พวกคุณก็ไม่รู้หรอกว่ามันหมายความว่าอย่างไร แต่แน่นอนว่ามันทำให้พวกคุณรู้สึกดีมากๆ เพราะว่ามันเป็นยศแห่งเกียรติยศ และมันก็ได้ทำให้พวกคุณมีอะไรเอาไว้อวดอ้างอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม….มันก็เป็นเครื่องเตือนใจให้พวกคุณได้ระลึกว่า..”ใช่แล้ว..ฉันกำลังเดินอยู่บนเส้นทางที่มุ่งไปสู่การรู้แจ้งแล้ว ” ซึ่งช่วงเวลาแห่งการตื่นรู้ในเฟสนี้ของพวกคุณ ก็ได้ใช้เวลาไปแล้ว 2-3 ปี
(โอ..ว้าว..พระเจ้าช่วย!!..ตรงหมดทุกประเด็นเลย มีใครเป็นแบบนี้อีกบ้างไม๊เนี่ย – ผู้แปล)
…………………………..
15. เฟสนี้จะเป็นเฟสแห่งการ “รื้อ-ถอน” ใหม่ทั้งหมด.. เพื่อ ‘ ให้ทุกสิ่งทุกอย่างมันได้ลงเอยไปด้วยดี ‘..
ตอนที่ 15 :- การตื่นรู้ในช่วงที่ 2
(หมายเหตุ :- การตื่นรู้ในช่วงแรก ก็คือช่วงที่ท่านเพิ่งพูดถึงไปในตอนที่ 14 นี้นะครับ ซึ่งเป็นช่วงที่เราเพิ่งเริ่มถูกกระตุ้นให้ตื่นรู้ ซึ่งในช่วงแรกนั้น เราก็จะรู้สึกมีความหวังและกำลังใจอย่างมาก และเราก็จะรู้สึกเหมือนกับว่า “ได้มาพบแล้ว” หรือ “มาถูกทางแล้ว” ไม่ว่าเราจะกำลังเดินตามระบบความเชื่อของศาสนาไหน หรือนิกายไหนอยู่ก็ตาม
ซึ่งในช่วงแรกๆนี้ เราก็จะตะลุยศึกษา-ค้นคว้าข้อมูลเกี่ยวกับด้านจิตวิญญาณอย่างบ้าคลั่งด้วย เท่าที่เราจะสามารถทำได้ และเราก็จะรู้สึกว่าเรารู้ธรรมมากพอสมควรแล้ว และเราก็จะร้อนวิชา และอยากจะออกไป “โปรด” ใครต่อใครให้รู้ตามเรา หรือเชื่อตามเรา หรือเดินตามเราด้วย ซึ่งมันก็อาจจะกินเวลาประมาณ 2-3 ปี แล้วมันก็จะผ่านไป ส่วนข้อความในตอนที่ 15 นี้ ก็จะเป็นข้อความที่เกี่ยวข้องกับระยะที่สองของการตื่นรู้นะครับ ซึ่งจะเกิดขึ้นหลังจากที่เราผ่านช่วงแรกนั้นมาแล้ว – ผู้แปล)
การตื่นรู้ในช่วงที่ 2 :
แล้วหลังจากนั้น..บางสิ่งบางอย่างที่น่าสนใจมากๆก็บังเกิดขึ้น คือพวกคุณจะผ่านเข้ามาสู่ Phase 2 ของการตื่นรู้ ซึ่งเฟสนี้จะเป็นเฟสแห่งการ “รื้อ-ถอน” ใหม่ทั้งหมด… โอ้ว!! ตอนนี้พวกคุณหลายๆคนก็ยังคงติดอยู่ในเฟสนี้อยู่ แต่บางคนก็ได้ผ่านพ้นมันมาแล้ว แต่ผลข้างเคียงของมันก็ยังคงส่งผลกระทบต่อพวกคุณอยู่ มันจะเป็นเฟสที่พวกคุณพร้อมแล้วที่จะเลื่อนระดับขึ้น และพร้อมแล้วที่จะเป็นผู้ทรงศีลทรงธรรมอันดีงาม …..แต่แล้ว..บางสิ่งบางอย่างก็ได้เกิดขึ้น แล้วชีวิตของพวกคุณก็พังทลายลง และพวกคุณก็แตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ฉันไม่อยากใช้คำว่าโชคร้าย แต่เป็นเพราะบางที “โชคร้าย” ก็เป็นสิ่งที่มีความจำเป็นอยู่เหมือนกัน ..ซึ่งมันก็ไม่จำเป็นจะต้องเต็มไปด้วยความเจ็บปวดเสมอไป และมันก็ไม่จำเป็นจะต้องเป็นเหมือนกับตายทั้งเป็นด้วย แต่ถึงอย่างไร มันก็จำเป็นจะต้องเกิดขึ้น เพราะว่าในโซนแห่งการร้องคร่ำครวญนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกคุณคิดว่าพวกคุณเป็น และทุกๆความเชื่อที่พวกคุณคิดว่าตัวเองมี จะค่อยๆพังทลายลง เพราะว่ามันเป็นกระบวนการเปลียนรูปแบบโดยแท้จริง ซึ่งมันจะดูเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างกำลังพังทลายลงมาแล้วจริง ๆ..
และพวกคุณก็จะรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ราวกับว่าเป็นตึกเก่าๆโทรมๆที่ตั้งอยู่ท่ามกลางแผ่นดินไหวยังไงยังงั้น ดังนั้น ภาคที่เป็นมนุษย์ของพวกคุณ หรือจิตมนุษย์ของพวกคุณ ก็จะร้องตะโกนออกมาว่า “มันเกิดบ้าอะไรขึ้น กับชีวิตของฉันกันล่ะนี่ !?”
ดังนั้น ในช่วงเวลานี้..พวกคุณจึงอยู่ท่ามกลางความขัดแย้งมากมาย เพราะว่าในฐานะที่พวกคุณก็คือผู้รู้ธรรมคนหนึ่ง แต่ดูเหมือนว่าชีวิตของพวกคุณกลับกำลังจะพังทลายลง ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้พวกคุณได้ไปเที่ยวบอกใครต่อใครเอาไว้ว่า จุดหมายปลายทางของชีวิตของพวกคุณนั้น จะสวยงามและยิ่งใหญ่สักปานใด แต่ว่าบัดนี้ชีวิตของพวกคุณกลับไม่มีอะไรเลย
ผู้คนจะพากันหัวเราะเยาะพวกคุณ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง มิหนำซ้ำพวกคุณยังมาตกงาน และแฟนก็ทิ้งอีกด้วย ทั้งสุขภาพก็ทรุดโทรมย่ำแย่ และจิตใจก็กระเจิดกระเจิง ทุกสิ่งทุกอย่างของพวกคุณได้พังทลายลงมาหมดแล้ว และชีวิตพวกคุณก็กำลังแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
แต่จงเฉลิมฉลองให้กับมัน !! เพราะว่านั่นหมายความว่า ตอนนี้..พวกคุณกำลังอยู่ในช่วงสำคัญของกระบวนการตื่นรู้แล้ว ฉนั้น สิ่งเก่าๆทั้งหลายที่พวกคุณเคยคิดว่ามันทรงคุณค่านั้น บัดนี้มันกำลังจะเปลี่ยนแปลงไปแล้ว ซึ่งทำให้ระบบความเชื่อเก่าๆทั้งหลายของพวกคุณ ก็กำลังจะพังทลายลงมาด้วยเช่นกัน
มีพวกคุณจำนวนมากมาย ที่ภาคหนึ่งของพวกคุณ ถูกเลี้ยงดูมาให้มุ่งหวังแต่จะประสบความสำเร็จในชีวิตทางโลก เช่น ได้มีงานทำดีๆ และได้ครอบครัวที่อบอุ่น และได้ทำให้ผู้คนภาคภูมิใจ และได้ลูกๆที่ทำให้พวกคุณภาคภูมิใจด้วย เป็นต้น
แต่ในชีวิตจริงนั้น มันอาจจะไม่เป็นอย่างที่พวกคุณคาดหวังเสมอไปก็ได้ ….อย่างไรก็ตาม เจ้าตัวตนภาคนั้นของพวกคุณมันก็ยังไม่จากไปไหนไกล มันยังคงวนเวียนอยู่ใกล้ๆ แล้วพูดว่า “อืม..เพราะแกทีเดียว ที่เลือกที่จะมาเดินอยู่บนเส้นทางสายจิตวิญญาณบ้าๆสายนี้แทน… แล้วดูซินี่…..ดูซิ..ว่าตอนนี้ชีวิตของฉันเป็นยังไงบ้าง?”
นี่เป็นเพราะตัวตนภาคนั้นของพวกคุณมันไม่ได้มาสนใจ ว่าชีวิตของพวกคุณจะเป็นอย่างไร เพราะว่ามันเพียงแต่ต้องการที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตทางโลกเท่านั้น มันเพียงต้องการให้หนังสืออัตถชีวประวัติของมันสวยหรูเท่านั้น ไม่ได้ต้องการชีวิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยจิตวิญญาณเลย
สรุปว่า..ในเฟสนี้…ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของพวกคุณจะพังทลายลงมาอย่างฉับพลัน แล้วพวกคุณก็จะรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะบ้าไปแล้ว พวกคุณก็จะสูญเสียความสมดุล ทั้งทางด้านจิตใจ, ด้านร่างกาย, ด้านการเงิน และด้านจิตวิญญาณไปพร้อมๆกันด้วย และในช่วงเวลานี้ก็จะไม่มีอะไรที่เข้าท่าเลยซักอย่างเดียว
และนี่…คือช่วงเวลาที่ส่วนต่างๆของพวกคุณจะมาเฮฮาปาตี้กัน เพราะว่าพวกเขาทั้งหมดกำลังจะได้กลับมาอยู่ด้วยกันแล้ว ซึ่งบางส่วนของพวกเขาก็ไม่ได้ติดต่อกับพวกคุณมานานหลายภพชาติแล้วด้วย เพราะว่าพวกเขาแยกไปอยู่ในอีกมิติหนึ่งหรือในโลกคู่ขนานอีกโลกหนึ่ง เพราะว่าพวกเขาไม่ไว้วางใจพวกคุณ
แต่หลังจากที่พวกเขาได้แยกไปอยู่อีกที่หนึ่งมาเป็นเวลาช้านานแล้วนั้น อยู่ๆพวกเขาก็ถูกกระตุ้นให้อยากกลับมาอยู่ร่วมกับพวกคุณใหม่อีกครั้งหนึ่ง เพราะว่าพวกเขาก็ได้ยินเสียงร้องเรียกเช่นเดียวกันกับพวกคุณ และพวกเขาก็รู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ปั่นป่วนขึ้นมาด้วยเช่นเดียวกัน
ดังนั้น พวกเขาจึงกลับมาหาพวกคุณเพื่อมาดูซิว่ามันถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่พวกเขาจะมาเป็นฝ่ายเป็นใหญ่บ้าง และถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็จะมาเป็นผู้กำกับการแสดงซะเอง..แทนพวกคุณ …..หรือไม่ก็..บางส่วนของพวกเขากำลังสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกคุณอยู่กันแน่นะ “บางทีพวกเราอาจจะกำลังกลับบ้านอยู่จริงๆก็ได้นะ” แต่แล้วพวกเขาก็จะพากันหัวเราะเยาะ..”โอ..ไม่หรอก..ไม่มีทาง..ไม่มีทาง”
แต่….ทันใดนั้น พวกคุณก็ค้นพบว่า แท้ที่จริงแล้วมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น !!
………………..
16. เฟสนี้เป็นเฟสที่เปราะบางมากๆ..แต่มันเป็นเฟสที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดสำหรับพวกคุณ ที่จะต้องผ่านมันไปให้ได้
:- การตื่นรู้ในช่วงที่ 2 (ต่อ)
ส่วนต่างๆ ของพวกคุณจะกลับมาหาพวกคุณ แต่ว่าก็จะมีบางส่วนเหมือนกันที่จะรู้สึกรังเกียจพวกคุณ หรือไม่ก็..บางส่วนอาจจะคิดว่าพวกคุณนั้นโง่เง่า แต่อีกบางส่วนก็จะต้องการเข้ามาควบคุม และมีอำนาจเหนือพวกคุณ
ดังนั้น ช่วงเวลานี้จึงเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายอย่างมาก ทั้งสำหรับตัวพวกคุณเอง และสำหรับส่วนต่างๆของพวกคุณด้วย และ Phase นี้ก็เป็นเฟสที่เปราะบางมากๆด้วยสำหรับพวกคุณ แต่มันก็เป็นเฟสที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดสำหรับพวกคุณ ที่พวกคุณจะต้องผ่านมันไปให้ได้
แต่จงจำไว้ว่า..เดี๋ยวทุกอย่างก็จะลงเอยด้วยดี เพราะว่าพวกคุณได้เลื่อนระดับขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนี้..พวกคุณกำลังย้อนเวลากลับมา เพื่อมามีประสบการณ์กับมันว่า พวกคุณสามารถผ่านพ้นไปถึงจุดนั้นได้อย่างไรเท่านั้นเอง
และเรื่องที่จะทำให้พวกคุณนึกเสียใจขึ้นมาในภายหลัง หลังจากที่ได้เลื่อนระดับขึ้นไปเรียบร้อยแล้ว มันก็จะมีอยู่เพียงเรื่องเดียว..ซึ่งนั่นก็คือ การที่พวกคุณไม่รู้ว่าแล้วทุกอย่างก็จะลงเอยด้วยดี พวกคุณจะนึกเสียใจขึ้นมาทีหลังว่า ทำไมตอนนั้นพวกคุณถึงได้ไปคัดค้านความจริงที่ว่า “ แล้วทุกอย่างก็จะลงเอยด้วยดี” ด้วยนะ
พวกคุณจะนึกเสียใจขึ้นมาในภายหลังว่า ทำไมตอนนั้นถึงไม่ยอมเชื่อนะว่า “ แล้วทุกอย่างก็จะลงเอยด้วยดี “ ซึ่งในกระบวนการอันน่าทึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ของมัน มีเพียงเรื่องๆเดียวเท่านั้นที่จะทำให้พวกคุณนึกเสียใจขึ้นมาในภายหลัง จนพวกคุณจะต้องพูดออกมาว่า “โถ่เอ๊ย!..ฉันน่าจะสนุกกับมันให้มากกว่านี้” เพราะ ‘ เดี๋ยวทุกอย่างมันก็จะลงเอยด้วยดี ‘
เมื่อสักครู่นี้..พลังงานในห้องนี้ได้เปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิง เพราะความตึงเครียด และความวิตกกังวลทั้งหลาย ที่พวกคุณเที่ยวแบกเอาไปด้วยตลอดเวลานั้น บัดนี้พวกมันได้ถูกยกออกไปจนหมดสิ้นแล้ว เพราะพวกคุณรู้แล้วว่า ที่อุตส่าลงทุนวิตกกังวลไปตั้งมากมายแล้วนั้น มันไม่ได้อะไรเลย มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่พวกคุณจะได้ก็คือ ได้รู้ว่าความวิตกและความกังวลนั้น มันเป็นอย่างไร..เท่านั้นเอง!
ดังนั้น…อย่าไปคิดถึงมัน แค่ให้รู้สึกถึงมันก็พอ (รู้สึกว่าแล้วทุกอย่างก็จะลงเอยด้วยดี – ผู้แปล) เพราะการใช้สมองคิดนั้น จะทำให้พวกคุณพูดออกมาว่า “เย้..เอ่อ..แต่ว่า..ท่านอะดามัส..ในชีวิตจริงนั้น ท่านก็รู้ว่าผมยังมีงานต้องทำและมีครอบครัวให้เลี้ยงดู และมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบอยู่ไม่ใช่หรือ ?” และบลา บลา บลา..เฮ้อ! นั่นก็แสดงว่าพวกคุณเริ่มวกกลับเข้าไปอยู่ในเกมเก่าอีกแล้ว
พวกคุณจะสามารถยืนอยู่ ณ.จุดที่พวกคุณได้เลื่อนระดับขึ้นไปแล้ว แล้วมองย้อนกลับมาในช่วงเวลานี้..แล้วพูดว่า “ฉันจะเลื่อนระดับขึ้นด้วยวิธีการไหนดีนะ ?”…แล้วจะเลื่อนได้ไหม? ซึ่งมีสิ่งหนึ่งที่ฉันพอจะช่วยพวกคุณได้ คืออยากจะบอกให้พวกคุณหันกลับมามองดูตัวเอง ที่กำลังอยู่ในช่วงเวลานี้นั่นเอง ถ้าพวกคุณเลือกที่จะทำนะ
เพราะหากพวกคุณต้องการที่จะดำเนินการไปตามวิถีแห่งการเลื่อนระดับขึ้นแบบเดิมๆของตัวเองต่อไปละก็ พวกคุณก็สามารถทำได้ และหากต้องการที่จะหันหลังกลับมามองดูตัวเอง แล้วพูดว่า “นี่ไงคือวิธีการที่ฉันได้เลือกเอาไว้แล้วว่าจะใช้เพื่อเลื่อนระดับขึ้น” พวกคุณก็สามารถทำได้ด้วยเช่นเดียวกัน แต่มันอาจจะต้องอาศัยการฝึกฝนอยู่บ้างเล็กน้อย เพราะว่าพวกคุณได้เลือกใช้วิธีการอื่นๆที่ไม่ใช่วิธีการนี้มาหลายภพหลายชาติจนนับไม่ถ้วนแล้ว
เพราะฉะนั้นแล้ว เพื่อนๆที่รักทั้งหลาย ในโซนแห่งการตื่นรู้เฟสที่สองนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของพวกคุณ ก็จะพังทลายลงมา ซึ่งมันก็จะดูเหมือนว่าเป็นเรื่องที่ไม่ดีเลย และมันก็จะดูเลวร้ายด้วย และพวกคุณก็จะอับจนหนทาง และมันก็จะเป็นกระบวนการตายที่เข้มข้นรุนแรงมากที่สุด เท่าที่พวกคุณเคยประสบมาเลยที่เดียว ซึ่งก็หมายถึงกระบวนการตายของร่างกายเนื้อของพวกคุณด้วย
การตายของร่างกายเนื้อนั้น ถ้าเปรียบเทียบกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในเฟสนี้แล้ว มันก็จะเหมือนกับการเดินเล่นในสวนสาธารณะ ในวันที่ท้องฟ้าสดใส ซึ่งเป็นการปลดปล่อยร่างกายเนื้อของพวกคุณไป เพราะปกติแล้วจิตสำนึกได้เลิกเชื่อมต่อ และออกไปจากร่างกายเนื้อของพวกคุณไปตั้งแต่หลายวันก่อนที่พวกคุณจะตายจริงๆอยู่แล้ว ดังนั้น พวกคุณก็เลยแค่หายตัวแว๊ปไปโผล่อีกที่หนึ่ง ณ.ฟากฝั่งโน้นของม่านพรางเท่านั้นเอง แล้วหลังจากนั้น ร่างกายเนื้อของพวกคุณถึงจะค่อยๆตายตามไปทีหลัง แล้วทุกๆคนก็ถึงจะร้องไห้ เอ่อ..หมายถึงเกือบทุกคนนะ
แต่ว่าเรื่องนี้มันหนักหนาสาหัสสากรรจ์กว่านั้น เพราะว่านี่จะเป็นการตายของ “อัตตาตัวตน” ของพวกคุณเอง ซึ่งเป็นอัตตาตัวตนที่ได้ถูกพวกคุณบรรจงสร้างกันขึ้นมาอย่างตั้งอกตั้งใจ และได้ถูกออกแบบมาอย่างไร้ซึ่งที่ติอีกด้วย ทั้งยังถูกควบคุมโดยมือโปร มาแล้วหลายภพหลายชาติ ภพชาติแล้วภพชาติเล่า และอัตตาตัวตนนี้ก็ถูกพวกคุณออกแบบมาให้มันคงอยู่ชั่วนิจนิรันดร์……
แต่….ทันใดนั้น พวกคุณก็ค้นพบว่า แท้ที่จริงแล้วมันไม่ได้เป็นเช่นนั้น !!
นี่ฉันไม่ได้กำลังพูดถึงร่ายกายเนื้อของพวกคุณอยู่หรอกนะ แต่ฉันกำลังพูดถึงอัตตาตัวตนของมนุษย์โลก หรือ Human Identity อยู่ต่างหากเล่า ซึ่งเจ้าส่วนที่เป็นเหมือนหุ่นยนตร์ของพวกคุณนี้ มันได้ถูกตั้งโปรแกรมมา เพื่อให้แสวงหาความสมบูรณ์แบบของมนุษย์ เช่น เพื่อให้มีร่างกายที่สวยสดงดงาม, และมีใบหน้าที่งดงามหยดย้อย, มีเสื้อผ้าสวยๆที่ไร้ตำหนิใส่, มีความมั่งคั่งร่ำรวยเกินกว่าคำว่ารวย, มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดกว่าใครๆทั้งหมด, มีความสามารถในการสร้างปาฏิหาริย์ให้เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย โดยอาศัยแค่การโบกมือเท่านั้นเอง เป็นต้น
และแน่นอนว่า ความสบบูรณ์แบบที่ว่านี้ ก็หมายรวมถึงการมีกลิ่นตัวที่หอมกลุ่นอยู่ตลอดเวลา ดุจคุ้กกี้รสช็อกโกแลตอีกด้วย ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ของมนุษย์ ที่ถูกพวกคุณออกแบบ และตั้งโปรแกรมเอาไว้อย่างพิถีพิถัน จากประสบการณ์ชีวิตที่ได้สั่งสมมาหลายภพชาติ บนดาวเคราะห์โลกดวงนี้ ซึ่งบัดนี้พวกคุณก็ได้ค้นพบแล้วว่า มันก็เป็นแค่มายาการที่ยิ่งใหญ่อันหนึ่งเท่านั้นเอง !!
และพวกคุณก็ไม่มีวันได้ไปถึง จุดแห่งความสมบูรณ์แบบของมนุษย์ที่ว่านั้นอย่างแน่นอน เพราะว่ามันไม่ใช่จุดที่จะไปถึงได้….. ทำไมน่ะหรือ ? ….ก็เพราะว่าบางสิ่งบางอย่างที่อยู่ภายในลึกๆของพวกคุณรู้ดี ว่า หากพวกคุณสามารถกลายไปเป็น “มนุษย์ผู้สมบูรณ์แบบ” ได้จริงๆแล้วล่ะก็ พวกคุณก็จะไม่อยากที่จะจากโลกใบนี้ไปเลย ซึ่งจิตวิญญาณของพวกคุณรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ช้าก็เร็ว มันก็จะต้องมาถึงวันเวลาที่พวกคุณจะต้องจากโลกนี้ไปอยู่ดี
ส่วนระยะเวลาที่พวกคุณจะต้องอยู่ในเฟสแห่งการล่มสลายนี้ มันอาจจะใช้เวลานานเท่าไหร่ก็ได้ ตั้งแต่ 10-15 ปี สำหรับผู้ที่สามารถไปได้เร็ว แต่สำหรับผู้ที่ไปได้ช้าๆแล้ว ก็อาจจะใช้เวลานาน 3-4 ภพชาติก็เป็นได้…
ก็ลองตรองดูสิว่า พวกคุณแต่ละคนพากันสั่งสมความเชื่อ, การหลงผิด, มายาการ, ความโกรธ, ความเจ็บปวด, และอะไรต่อมิอะไรทำนองนี้เอาไว้มากน้อยกันมาเท่าไหร่แล้ว และได้ใช้ระยะเวลายาวนานซักแค่ไหน กว่าที่จะสั่งสมมาได้มากถึงขนาดนี้ได้ ดังนั้น…ระยะเวลาในการที่จะปลดปล่อยพวกมันออกไปให้หมดนั้น พวกคุณคิดว่า มันจะยาวนานเพียงใด ? ….. ได้จริงๆแล้วล่ะก็ พวกคุณก็จะไม่อยากที่จะจากโลกใบนี้ไปเลย ซึ่งจิตวิญญาณของพวกคุณรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ช้าก็เร็ว มันก็จะต้องมาถึงวันเวลาที่พวกคุณจะต้องจากโลกนี้ไปอยู่ดี
ส่วนระยะเวลาที่พวกคุณจะต้องอยู่ในเฟสแห่งการล่มสลายนี้ มันอาจจะใช้เวลานานเท่าไหร่ก็ได้ ตั้งแต่ 10-15 ปี สำหรับผู้ที่สามารถไปได้เร็ว แต่สำหรับผู้ที่ไปได้ช้าๆแล้ว ก็อาจจะใช้เวลานาน 3-4 ภพชาติก็เป็นได้…
ก็ลองตรองดูสิว่า พวกคุณแต่ละคนพากันสั่งสมความเชื่อ, การหลงผิด, มายาการ, ความโกรธ, ความเจ็บปวด, และอะไรต่อมิอะไรทำนองนี้เอาไว้มากน้อยกันมาเท่าไหร่แล้ว และได้ใช้ระยะเวลายาวนานซักแค่ไหน กว่าที่จะสั่งสมมาได้มากถึงขนาดนี้ได้ ดังนั้น…ระยะเวลาในการที่จะปลดปล่อยพวกมันออกไปให้หมดนั้น พวกคุณคิดว่า มันจะยาวนานเพียงใด ? …..(จบ)
……………….
▁▁▁▁•↞☽●☾↠•▁▁▁▁
การเปลี่ยนแปลงรหัสพันธุกรรม
และซ่อมแซม DNA ด้วยคลื่นเสียง
https://bit.ly/37u3STW
▁▁▁▁•↞☽●☾↠•▁▁▁▁
ตอนที่ 1:
การค้นพบใหม่ๆเกี่ยวกับธรรมชาติของ DNA เมื่อเร็วๆนี้ ได้ลบล้างแนวความคิดที่ว่า พันธุกรรมของมนุษย์ถูกกำหนดไว้ตายตัวแล้วอย่างสิ้นเชิง โดยโครงการศึกษาเกี่ยวกับพันธุกรรมของมนุษย์ ได้เปิดเผยข้อเท็จจริงที่น่าสนใจเกี่ยวกับยีนของมนุษย์ 2 เรื่องด้วยกัน ซึ่งแต่เดิมเชื่อกันว่า:
1). ใน DNA ของมนุษย์มียีนอยู่เพียง 30,000 ยีนเท่านั้น ซึ่งมากกว่าของหนูเพียง 300 ยีน
2). DNA ของมนุษย์ มีเพียง 10% เท่านั้นที่ถูกใช้สำหรับการเข้ารหัสและการสร้างโปรตีนขึ้นมาใหม่ ส่วนที่เหลือประมาณ 90% รู้จักกันในนามของ DNA ขยะ ที่นักวิทยาศาสตร์ทั้งหลายบอกว่า มันไม่มีประโยชน์และเป็นส่วนที่เกินมา แต่อย่างไรก็ตาม ส่วนหนึ่งของโครงการศึกษาเกี่ยวกับพันธุกรรมของมนุษย์ของรัซเซีย นำโดยนักวิทยาศาสตร์ผู้มีชื่อเสียง คือ ดร. Pjotr Garjajev ได้เปิดเผยให้ทราบว่า DNA ขยะ ตามที่เคยเข้าใจกันนั้น แท้ที่จริงแล้ว พวกมันมีความสามารถบางอย่างที่เกี่ยวพันกับภาษาและจิตใจอยู่
.
ซึ่งผลจากการค้นพบนี้ ทำให้ต้องมีการประเมินค่ายีนของมนุษย์เสียใหม่ ในบทบาทที่เกี่ยวกับ “คำพูด”, “พันธุศาสตร์คลื่น” (Wave genetics) และ “ไวยากรณ์แห่งจิตวิญญาณ”(Grammar of spirituality)
.
ตอนที่ 2: การเปลี่ยนแปลง DNA กับคำพูด
ผลจากการค้นพบของกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ชาวรัซเซียดังกล่าว ทำให้รู้ว่ารหัสพันธุกรรม จะเป็นไปตามกฎเกณฑ์เดียวกันกับกฎเกณฑ์ต่างๆที่พบในภาษาของมนุษย์นั่นเอง คือเมื่อมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบความถี่ของเสียงบางอย่างไปบนลำแสงเลเซอร์ มันสามารถส่งผลกระทบต่อความถี่ของ DNA และข้อมูลด้านพันธุกรรมของมันได้ แต่สิ่งที่น่าสนใจมากที่สุดในการค้นพบของพวกเขาครั้งนี้ก็คือ เพียงคำพูดธรรมดาๆบางคำ หรือวลีธรรมดาๆบางวลี ก็สามารถส่งผลกระทบต่อ DNA ได้เช่นเดียวกับลำแสงเลเซอร์แล้ว นั่นหมายความว่า มนุษย์สามารถปรับตั้งโปรแกรมใหม่ ให้กับแบบแผนทางพันธุกรรมของตนเองได้จริงๆ โดยใช้ “คำพูด” นี่จึงทำให้สามารถอธิบายได้ว่าทำไมการตั้งจิตสาบาน และการสะกดจิต จึงสามารถส่งผลต่อร่างกายและจิตใจได้มากมายเหลือเกิน เพราะฉะนั้นการบำบัดรักษาอาการเจ็บไข้ได้ป่วยด้วยเสียงและคำพูด จึงเป็นพลังอำนาจที่มนุษย์ทุกคนสามารถทำได้อยู่แล้ว
.
ตอนที่ 3: การเปลี่ยนแปลง DNA กับพันธุศาสตร์ของคลื่น
การค้นพบในครั้งนี้ ยังได้ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของ “คลื่นเสียง” และ “ความสั่นสะเทือนของเสียง” ในแหล่งกำเนิดของชีวิตของมนุษย์ และแสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่ว่าสรรพสิ่งทั้งปวงได้ถูกสร้างขึ้นจาก
.
“คลื่นแห่งจิตสำนึก” (wave of consciousness)
ปรากฏการณ์ DNA ผี (The Phantom DNA effect) เป็นสิ่งที่ช่วยอธิบายได้อย่างชัดเจนว่า สนามพลังงานของ DNA จะยังคงอยู่ที่เดิม ที่ๆ DNA เคยอยู่ ให้สามารถตรวจวัดได้ด้วยแสงเลเซอร์ แม้ว่าตัว DNA จริงๆ จะถูกนำออกไปจากตรงนั้นแล้วก็ตาม
.
โดยทั่วไปแล้ว มนุษย์เราก็คือพลังงานดีๆนี่เอง ในพันธุศาสตร์ของคลื่น (Wave Genetics) DNA ขยะทั้งหลาย ทำหน้าที่อยู่ในระดับโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ (rich infrastructure)
.
เกี่ยวกับการติดต่อสื่อสารของคลื่นและซูเปอร์รหัส, ปรากฏออกมาเป็นวัตถุธาตุในรูปแบบของโครงสร้างคริสตัลไลน์ นั่นคือ ไดนามิกยีน (dynamic gene) และสะท้อนภาพมายา อยู่ในคริสตัลเหลวของโครโมโซม สิ่งที่แบบจำลองนี้บอกเราก็คือยีนของมนุษย์เป็นส่วนของมายาการที่ใหญ่กว่ามากมาย (พหุจักรวาล) ของมิติแห่งคลื่นข้อมูลข่าวสาร (wave information reality) การติดต่อสื่อสารเหนือธรรมดา (Hyper-communication) ในรูปแบบของสัมผัสทิพย์, การบำบัดรักษาระยะไกล และการสื่อสารทางโทรจิต ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของคุณสมบัติของมนุษย์ทั้งสิ้น
.
ตอนที่ 4: การเปลี่ยนแปลง DNA กับไวยากรณ์แห่งจิตวิญญาณ
มันจะเป็นไปได้ไหมว่า โครงสร้างทางภาษาของพันธุกรรมมนุษย์ จะคือรูปแบบอย่างหนึ่ง ของการพูดของจักรวาล หรือคือไวยากรณ์แห่งจิตวิญญาณ?
.
William A. Tiller เขียนไว้ในหนังสือชื่อ Psychoenergetic Science: A Second Copernican-Scale Revolution (Walnut Creek, CA: Pavior Publishing, 2007) เขามีความคิดแบบนี้จริงๆว่า มนุษย์เรามีส่วนประกอบที่สำคัญอยู่สองส่วน ได้แก่ ส่วนของร่างกาย และส่วนที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ (rich infrastructure) ที่อยู่ในกายละเอียดทั้งหลาย ซึ่งทำให้มนุษย์มีศักยภาพที่เหนือกว่าและความมีความสามารถที่มากกว่า Michael Cremo เขียนไว้ในหนังสือชื่อ Human Devolution: a Vedic Alternative to Darwin’s theory (Badger, CA: Torchlight Publishing, 2003) ว่ามนุษย์กำเนิดขึ้นมาเมื่อหลายล้านปีมาแล้ว
.
ในรูปแบบของ “คลื่นแห่งจิตสำนึก” แต่ถูกนำไปใส่ในร่างอวตารชุดใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยความมีอัตตาตัวตน เพราะฉะนั้น จึงได้ห่างเหินจากบรรพบุรุษที่มีระดับจิตสำนึก และระดับจิตวิญญาณสูงส่งกว่าตั้งแต่นั้นมา จิตสำนึกมวลรวมของมนุษย์ สามารถเยียวยาโลกใบนี้ได้ ถ้าสามารถทำให้ภูมิอากาศได้รับผลกระทบจากคลื่นความถี่ ของ Schumann (Schumann’s frequencies) ได้ เพราะว่ามนุษย์ มีความสามารถที่จะสั่นสะเทือนตัวเอง ให้สอดคล้องกับคลื่นความถี่เหล่านี้ได้อยู่แล้ว จึงสามารถนำพาการเปลี่ยนแปลงมาสู่โลกใบนี้ ให้กลายเป็นโลกที่ปราศจากความรุนแรง และกลับคืนไปสู่โลกที่มีความสมดุลตามธรรมชาติอีกครั้งหนึ่งได้ โดยการใช้จิตสำนึกมวลรวม
.
การบำบัดด้วยเสียง
ที่มา : http://www.suite101.com/content/healing-with-sound-a135164#ixzz0n8WI69ha
.
ตอนที่ 1 : ชนเผ่าโบราณหลายๆเผ่า รู้กันมานานแล้วว่าเสียงมีพลังอำนาจต่อร่างกายของมนุษย์ คนโบราณจึงใช้วิธีการสวดมนต์ และการตีกลอง และดนตรีศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เพื่อทำให้พลังงานของร่างกาย, จิตใจ และจิตวิญญาณกลับคืนสู่ความสมดุล ในขณะที่คนสมัยใหม่ได้สูญเสียความรู้เกี่ยวกับพลังอำนาจแห่งเสียงที่ว่านี้ไปแล้ว แต่ตอนนี้โดยอาศัยความก้าวหน้าทางด้านวิชาฟิสิกส์ มนุษย์ยุคใหม่จึงกำลังเริ่มกลับมา ค้นพบมันใหม่อีกครั้งหนึ่งแล้ว และหนึ่งในพัฒนาการดังกล่าวนี้ ก็คือการค้นพบแนวความคิดที่ว่า “วัตถุธาตุคือภาพฉายสามมิติของพลังงาน” และ “DNA ทำหน้าที่เป็นเครื่องฉายภาพสามมิตินั้น ซึ่งแปรงพลังงานให้เป็นรูปเป็นร่างต่างขึ้นมา” และเพราะว่ารูปร่างเหล่านี้แสดงพฤติกรรมเหมือนกับคลื่นเสียง ดังนั้น “เสียงจึงกลายเป็นวิธีการหลักในการเขียน และการเข้ารหัสข้อมูลทางพันธุกรรม” พลังอำนาจของการบำบัดด้วยเสียง สามารถเห็นได้ในทฤษฎีหลายๆทฤษฎีเมื่อไม่นานมานี้ เช่น ทฤษฎีภาพสามมิติชีวภาพแห่งควอนตัม (Quantum bioholography), การกลับมาของความถี่ Solfeggio โบราณ และกฎแห่งการปรับพันธุกรรมใหม่ เป็นต้น
.
ตอนที่ 2: Quantum Holography
พันธุศาสตร์คลื่น แสดงให้เห็นถึงธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่มีความเป็นทวิภาวะ ซึ่งประกอบด้วยร่างกายทางกายภาพ และร่างกายทางพลังงาน ในขณะที่พันธุศาสตร์ทั่วไป พุ่งประเด็นความสนใจไปที่ DNA เพียง 2% ที่รู้จักแล้วเท่านั้น ดังนั้น พันธุศาสตร์คลื่น จึงเปิดโอกาสให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่ว่า ” DNA ขยะ” ทั้งหลาย มีรหัสทางพันธุกรรม ที่เป็นภาษาเฉพาะตัวของพวกมัน ที่เราเห็นเป็นภาพสามมิติของยีน ที่สามารถแลกเปลี่ยนพลังงาน และข้อมูลข่าวสารระหว่างร่างกายเนื้อกับร่างกายแห่งพลังงานของมันได้อย่างคล่องแคล่วมีชีวิตชีวา
.
ตอนที่ 3: Solfeggio Frequencies
ถ้าเสียงและการสวดมนต์ สามารถเข้าถึงข้อมูลแห่งการบำบัดรักษาได้ ดังนั้นเราก็อาจจะสามารถกู้รหัสแห่งการบำบัดรักษาเหล่านี้กลับคืนมาได้ โดยใช้ดนตรีโบราณใช่หรือไม่? คำถามนี้เคยถูกถามโดย Dave Hulse D.D. ผู้ที่ตระหนักว่าการสั่นสะเทือนอย่างสอดคล้องกัน คือหลักการเบื้องต้นของการบำบัดรักษา และเขาก็ได้เริ่มศึกษาว่าเสียงและความถี่ของเสียง ทำหน้าที่เป็นรหัสแห่งการบำบัดรักษา ที่สามารถกระตุ้น DNA ได้อย่างไร
.
เขาได้ค้นพบว่านักชีวเคมีทั้งหลาย ใช้คลื่นความถี่ 528 Hz เพื่อซ่อมแซม DNA ได้ และเขาก็ได้เรียนรู้ว่า คลื่นความถี่พิเศษเฉพาะนี้ มีอยู่ในบันไดเสียง Solfeggio โบราณ ซึ่งเป็นบันไดเสียง 6 ระดับที่ใช้ในการสวดมนต์ของชาว Gregorian โดยเฉพาะเพลงสวดสรรเสริญท่านเซนท์จอห์น เดอะแบบติสในยุคกลาง สิ่งที่ทำให้นาย Hulse คนนี้สนใจเป็นพิเศษก็คือ เลขจำนวนรากของการสั่นสะเทือนของคลื่นเสียงเหล่านี้ ซึ่งได้แก่ 3, 6 และ 9 ตามลำดับ ซึ่งเขาพบว่ามันมีความเชื่อมโยงกับเทคโนโลยีด้านแม่เหล็กไฟฟ้า และความสอดคล้องกลมกลืนอย่างน่าอัศจรรย์
.
เขากล่าวว่านักวิทยาศาสตร์บางคนเช่น Nikola Tesla และนักดนตรีบางคนเช่น Mozart และ Hadyn ก็ใช้หลักการของตัวเลข 3, 6 และ 9 ที่มีพลังอยู่ในตัวเหล่านี้ด้วย
.
นาย Hulse ได้พัฒนาวิธีการบำบัดรักษาด้วยเสียงของเขาเอง โดยการใช้ซ่อมเสียงที่ให้เสียง ที่มีคลื่นความถี่ตรงกับคลื่นความถี่ของ Solfeggio
.
ตอนที่ 4: Regenetics
วิธีบำบัดรักษาทางพันธุกรรมของนาย Luckman ก็อาศัยหลักการของพันธุศาสตร์คลื่นเช่นเดียวกัน เขาและผู้ร่วมงานของเขา Leigh ค้นพบว่า สนามพลังออร่าหรือสนามพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้า ของร่างกายคนเราแต่ละสนาม มีความสัมพันธ์โดยตรงไม่ใช่เฉพาะกับจักระเท่านั้น แต่ยังมีความสัมพันธ์กับระดับเสียงของตัวโน้ตทั้งแปดของมิติที่สามนี้อีกด้วย ซึ่งการค้นพบนี้ชี้ชัดว่าร่างกายของมนุษย์เรา คือภาพสามมิติที่ถูกฉายขึ้นในมิติที่สามนี้ ซึ่งทำหน้าที่เชื่อมต่อจักระทั้งหลาย ที่เรียงตัวกันอยู่ในแนวตั้ง และทำหน้าที่ตอบสนองต่อแสงสว่าง ให้เข้ากับสนามพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีส่วนสัมพันธ์กับเสียงโดยธรรมชาติ Luckman กล่าวว่า “ในระดับพันธุกรรมแล้ว เสียงทำให้แสงสว่างเพิ่มขึ้น”
.
ร่างกายของมนุษย์คือภาพฉายสามมิติของควอนตัม ที่ทำหน้าที่เป็น “ตัวแปรง” โฮโลแกรมของเสียงและแสงสว่างในตัวมันเองอยู่แล้ว กระบวนการปรับแต่งพันธุกรรมของ Luckman ทำโดยการปรับตั้งระบบกระตุ้นพลังงานชีวภาพ ที่ได้รับความเสียหายจากการโศกเศร้า และจากสารพิษใหม่ และมันยังช่วยกระตุ้นพลังงานชีวภาพ และความคิดสร้างสรรค์ โดยการไปเปิดสวิทส์ส่วนของสมองที่ไม่ทำงานแล้วได้
…………………………………..
เนื้อหาข้างล่างนี้ จากเวปไซท์นี้นะครับ ซึ่งเวปไซท์นี้เขามี file เสียงของ Solfeggio ทั้ง 9 เสียงให้ดาวน์โหลดฟรีครับ
คำแนะนำของการฟังเขาแนะนำไว้ดังนี้ครับ
http://www.solfeggiotones.com/
คำแนะนำ:
หาที่สงบๆนั่งฟัง เพื่อที่คุณจะได้ไม่ถูกรบกวน ขอแนะนำอย่างยิ่งยวดว่า ให้ใช้หูฟัง stereo headphones ในการฟังคลื่นความถี่ Solfeggio เหล่านี้ ยิ่งคุณภาพของหูฟังสูงมากเท่าไหร่ คุณก็จะยิ่งได้รับผลดีมากเท่านั้น เมื่อคุณเริ่มฟังคลื่นความถี่ Solfeggio เหล่านี้ มันเป็นสิ่งสำคัญมากที่คุณจะต้องเพ่งความสนใจมาที่เสียงนี้ ให้เสียงนี้แหละเป็นจุดรวมสมาธิของคุณ เมื่อคุณเริ่มฟังคลื่นความถี่เหล่านี้แล้ว คุณอาจจะมีอาการบางอย่างเกิดขึ้น เช่น ปวดศรีษะ, ร่างกายกระตุก หรือแม้แต่มีอาการคลื่นไส้ ก็อย่าตกใจไป เพราะว่านี่เป็นอาการที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดามากๆ เพราะว่าเสียงเหล่านี้กำลังกำจัดสิ่งที่อุดตันการไหลเวียนของพลังงานในร่างกายของคุณออกไป เพื่อให้สนามพลังแม่เหล็กไฟฟ้า ที่กลมกลืนกันตามธรรมชาติของคุณ สามารถไหลเวียนไปสู่ส่วนของร่างกายของคุณ ที่กำลังต้องการมันอยู่ได้ดียิ่งขึ้น เพื่อให้ได้ผลลัพธ์สูงสุด คุณควรจะฟังเสียงคลื่นความถี่นี้เวอร์ชั่นไหนก็ได้ อย่างน้อยวันละครั้ง ผลลัพธ์สูงสุด จะสามารถเห็นพัฒนาการได้หลังจากเริ่มฟังไปแล้วทุกๆวัน เป็นเวลา 6 สัปดาห์ คุณสามารถฟังเสียงเหล่านี้ได้กี่ครั้งต่อวันก็ได้ บ่อยเท่าที่คุณต้องการ เพราะว่าเสียงเหล่านี้ มีแต่จะเป็นประโยชน์ต่อคุณเท่านั้น ตราบเท่าที่คุณยังคงฟังอยู่อย่างต่อเนื่องทุกๆวันวันละครั้ง ติดต่อกันเป็นเวลา 6 สัปดาห์ คุณก็จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ของมัน
.
แต่โปรดจำไว้ว่าคลื่นความถี่ Solfeggio เหล่านี้ ไม่ใช่ “การรักษาแบบใช้ปาฏิหาริย์” แต่อย่างใด ไม่ว่าอย่างไรก็ตามคุณไม่ควรใช้มันแทนการรักษาตามคำแนะนำของแพทย์ หรือตามวิธีการบำบัดรักษาแบบอื่นๆ โดยไม่ได้รับคำแนะนำเบื้องต้นจากแพทย์ของคุณก่อน คลื่นความถี่ Solfeggio เหล่านี้ เป็นเครื่องมือเสริมสำหรับการรักษาทางการแพทย์ปกติของคุณ แต่ไม่ควรใช้เป็นวิธีการรักษาหลัก โดยไม่ได้รับความเห็นชอบจากแพทย์ซะก่อน
.