ลื่นสมอง : ชนิดของคลื่นสมอง : กรรมฐานกายแสง ด้วยความถี่ alpha
ศาสตร์ การยกระดับจิตด้วยคลื่นความถี่ ด้วยเทคนิค พิเศษ
.
.
“คลื่นสมอง” ก็คือการแกว่งขึ้นๆลงๆอย่างเป็นจังหวะของแรงดันไฟฟ้าอย่างหนึ่ง ระหว่างส่วนต่างๆของสมอง จนเป็นผลให้เกิดกระแสการไหลของไฟฟ้าขึ้น ซึ่งสภาวะของคลื่นสมอง หรือก็คือกิจกรรมทางไฟฟ้าที่เกิดขึ้นภายในช่วงความถี่หนึ่งๆ ที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุด มีอยู่ 4 สภาวะด้วยกัน ได้แก่ คลื่นสมองระดับเบต้า (Beta), อัลฟา (Alpha), ธีต้า (Theta), และ เดลต้า (Delta)
ซึ่งระดับความถี่ของคลื่นสมองของพวกคุณนี้เอง ที่เป็นตัวกำหนดระดับจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของพวกคุณเอง และในทางกลับกัน ระดับจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของพวกคุณ ก็จะนำพาไปสู่การมี ”อารมณ์” และ/หรือ “ความคิด” แบบใดแบบหนึ่งตามมาด้วย
คลื่นสมองทุกๆสภาวะ จะดำรงอยู่ในส่วนต่างๆของสมองของพวกคุณ ในปริมาณที่แตกต่างกันไป
และระดับจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของพวกคุณ ก็จะถูกกำหนดโดยคลื่นสมอง ที่กำลังเป็นใหญ่อยู่ในสมองของพวกคุณ ในขณะนั้นๆด้วย
คลื่นสมองระดับเบต้า (Beta Brainwaves)
คลื่นสมองระดับเบต้า ปกติแล้วจะเกิดจากการจดจ่ออยู่กับโลกภายนอก และเกิดจากการจดจ่อในขณะที่ยังลืมตาอยู่เป็นหลัก คลื่นสมองชนิดนี้ จะบ่งบอกถึงความสามารถของพวกคุณ ในการจัดการกับความคิดทั้งหลายของตัวเองอย่างมีสติสัมปชัญญะ พวกคุณมักใช้เวลาส่วนใหญ่ในยามตื่นของตัวเองอยู่ในจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคลื่นสมองระดับเบต้านี้ ซึ่งเป็นคลื่นสมองที่มีความถี่อยู่ระหว่าง 13 – 40 รอบต่อวินาที โดยเฉพาะคนที่มีความเครียดมาก อยู่ในภาวะเร่งรีบบีบคั้น ตื่นเต้น ตกใจ อารมณ์ไม่ดี โกรธ หรือดีใจมากๆ สมองจะมีการทำงานในช่วงคลื่นเบต้าอาจสูงได้ถึง 40 รอบต่อวินาที
ในสภาวะนี้พวกคุณจะจดจ่อความสนใจอยู่แต่กับเรื่องราวและตรรกะในชีวิตประจำวันของตัวเองซะเป็นส่วนใหญ่ พวกคุณจะใช้กิจกรรมของสมองซีกซ้ายซะเป็นส่วนใหญ่ เพราะว่าพวกคุณจะยุ่งอยู่กับการประมวณผลข้อมูลข่าวสาร จำนวนมหาศาล ที่ถูกส่งเข้ามาทางประสาทสัมผัสทั้ง 5 ของพวกคุณเองอยู่ตลอดเวลา
คลื่นสมองระดับเบต้านี้ จะทำให้พวกคุณสามารถจดจ่อความตระหนักรู้ของตัวเองไปบนร่างกายเนื้อของตัวเองได้ และไปบนภาระหน้าที่ๆกำลังทำอยู่นั้นได้ ในขณะที่หากไม่มีคลื่นเบต้าเกิดขึ้นเลย มนุษย์จะไม่สามารถเรียนรู้ หรือทำหน้าที่ให้สมบูรณ์ได้ในโลกภายนอก
คลื่นสมองระดับอัลฟา (Alpha Brainwaves)
คลื่นสมองระดับอัลฟา เป็นคลื่นสมองที่เกิดในสภาวะพักผ่อน หรือกำลังทำสมาธิ โดยจะเกิดจากการผสมผสานการจดจ่อระหว่าง การจดจ่ออยู่กับโลกภายในและกับโลกภายนอก ซึ่งในขณะนั้นๆ พวกคุณกำลังให้ความใส่ใจอยู่กับจินตนาการภายในของตัวเอง พอๆกับการให้ความใส่ใจกับสิ่งกระตุ้นจากภายนอกในเวลาทำอะไรเพลินๆ จนลืมสิ่งรอบๆตัว เวลาสบายใจ เวลาอ่านหนังสือ หรือจดจ่อกับกิจกรรมใดๆ อย่างต่อเนื่องในระยะหนึ่ง และการเข้าสมาธิในระดับภวังค์ที่ไม่ลึกมาก
ในขณะที่พวกคุณผ่อนคลาย หรือ กำลังทำกิจกรรมที่สร้างสรรค์อย่างใดอย่างหนึ่งอยู่ คลื่นสมองของพวกคุณจะเปลี่ยนไปอยู่ในระดับอัลฟา ซึ่งมีความถี่อยู่ระหว่าง 7 – 13 รอบต่อวินาที
จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคลื่นสมองในระดับอัลฟานี้ จะเป็นจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ ที่ผสมผสานระหว่างสิ่งกระตุ้นจากมิติที่ 3 และมิติที่ 4 ซึ่งจะทำให้ตัวตนที่อยู่ในมิติที่ 4 ของพวกคุณเอง ซึ่งก็คือ “กายทิพย์” (Astral Body) ของพวกคุณเอง สามารถมีปฏิสัมพันธ์กับชีวิตประจำวันของพวกคุณเองได้อย่างเป็นอิสระ
ในขณะที่พวกคุณกำลังอยู่ในจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ระดับนี้อยู่ พวกคุณจะสามารถ “คิดแบบใช้สมองทุกๆส่วน” (Whole Brain Thinking) ได้อย่างง่ายดายยิ่งขึ้น ซึ่งการคิดแบบใช้สมองทุกๆส่วนที่ว่านี้ก็คือ
การมีความสมดุลระหว่างสมองซีกขวาและสมองซีกซ้าย ในการเขียน การเต้นรำ การปั้น การร้องรำทำเพลง หรือการทำกิจกรรมที่สร้างสรรค์ใดๆก็ตาม
ในสภาวะนี้ ตามปกติแล้ว ระดับความเข้มข้นของสารเอนดอร์ฟินส์ (endorphins) ในร่างกายของพวกคุณ ก็จะสูงกว่าปกติ ซึ่งจะทำให้พวกคุณรู้สึก “เบิกบาน” ตามไปด้วย
คลื่นสมองระดับธีต้า (Theta Brainwaves)
คลื่นสมองระดับธีต้า จะเกิดขึ้นเมื่อพวกคุณหลับตาลง และจดจ่อความสนใจอยู่กับโลกภายในอย่างเข้มข้น คลื่นสมองระดับธีต้านี้ จะมีความถี่อยู่ระหว่าง 4 – 7 รอบต่อวินาที และจะเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ภายในที่เกิดจากการเข้าสมาธิ และการทำกิจกรรมสร้างสรรค์ขั้นลึกที่สุด
และเพื่อที่จะรักษาจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ระดับนี้เอาไว้ให้ได้ พวกคุณจะต้องทำให้ร่างกายเนื้อของตัวเองอยู่นิ่งๆเท่านั้น เพราะว่าในสภาวะนี้พวกคุณจะต้องจดจ่ออยู่แต่กับโลกภายในของตัวเองเท่านั้น ดังนั้น มันอาจจะเป็นการไม่ปลอดภัยหากจะเคลื่อนที่ไปไหนมาไหน ในโลกทางกายภาพในระหว่างที่กำลังอยู่ในสภาวะนี้
จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคลื่นสมองในระดับธีต้านี้ ปกติแล้วจะได้มาจากการเข้าสมาธิขั้นลึก และจะทำให้พวกคุณสามารถยังมีสติเต็มตื่นอยู่ได้ ในขณะที่กำลังท่องไปด้วยกายทิพย์ เพื่อเข้าไปสู่มิติที่ 4 ส่วนบน และเข้าไปสู่สะพานสายรุ้งที่เชื่อมต่อไปสู่มิติที่ 5 ด้วย
และด้วยการฝึกฝน พวกคุณก็จะสามารถจดจำการผจญภัยของตัวเองในช่วงระหว่างที่กำลังอยู่ในสมาธิได้ ไม่เช่นนั้นแล้ว ความทรงจำเกี่ยวกับการผจญภัยเหล่านี้ มันก็จะหายไปทันทีเมื่อพวกคุณลืมตาขึ้น
จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคลื่นสมองระดับธีต้านี้ ยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับ “การฝันแบบรู้ตัว” (Lucid Dreaming) และมีส่วนเกี่ยวข้องกับมโนภาพต่างๆ ที่พวกคุณจะได้ประสบในระหว่างที่พวกคุณ กำลังอยู่ในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่นอีกด้วย (ทั้งช่วงเวลาก่อนหลับ และ ก่อนตื่น)
จิตวิญญาณของพวกคุณ หรือตัวตนที่สูงส่งกว่าของพวกคุณเอง ที่บัดนี้ได้ผสานรวมเข้ากับตัวตนของพวกคุณแล้วนั้น จะปิติยินดีกับจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคลื่นสมองระดับนี้มาก เพราะว่ามันจะทำให้พวกคุณสามารถเข้าไปใน “กระแสของความเป็นหนึ่งเดียวกัน” (the Flow of the One) ได้
ซึ่งภายในกระแสดังกล่าวนี้ พวกคุณจะสามารถติดต่อสื่อสารกับตัวตนที่สูงส่งกว่าของตัวเองได้ เพื่อทำให้ตัวเองมีความรู้ความเข้าใจเพิ่มมากขึ้น และได้รับแรงบันดาลใจเพิ่มมากขึ้น อย่างมหาศาล
คลื่นสมองระดับธีต้านี้ จะไปกระตุ้นสมองส่วนที่ไม่เคยถูกใช้งานของพวกคุณ และจะเชื่อมต่อพวกคุณให้เข้ากับ “จิตสำนึกมวลรวมของโลกทั้งโลก” อีกด้วย
คลื่นสมองระดับเดลต้า (Delta Brainwaves)
คลื่นสมองระดับเดลต้า คือความสามารถในการรับรู้ความรู้สึกของคนอื่นของจิตเหนือสำนึกของพวกคุณ(your superconscious empathy) ซึ่งจะมีปฏิสัมพันธ์กับ และเชื่อมโยงพวกคุณเข้ากับ ตัวตนหลากมิติของพวกคุณเอง
คลื่นสมองระดับเดลต้านี้ จะมีความถี่อยู่ในช่วง 0.5 – 4 รอบต่อวินาที และจะเกี่ยวข้องกับการบำบัดรักษาโรคแบบปาฏิหาริย์, ความรู้อันศักดิ์สิทธิ์จากเบื้องบน, การเกิดใหม่, การหายจากความเจ็บปวดทางจิตใจ, การเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล (สมาธิ), ประสบการณ์เฉียดตาย (near death experience) และอาการโคม่า
ซึ่งในระหว่างที่อยู่ในจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ระดับเดลต้านี้ ปกติแล้วพวกคุณจะ “ไม่รับรู้” ความเป็นไปของโลกแห่งความเป็นจริงทางกายภาพเลย
ในระหว่างที่อยู่ในสภาวะจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ดังกล่าวนี้ ปกติแล้ว จะปราศจากความฝัน และจะมีก็เพียงแต่ผู้ปฏิบัติสมาธิที่เปี่ยมไปด้วยประสบการณ์สูงที่สุดเท่านั้น ถึงจะสามารถเข้าถึงจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ระดับนี้ได้
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อใดที่สามารถเข้าถึงสภาวะแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกับ “ความเป็นหนึ่งเดียว” (the ONE) ได้แล้ว มันก็จะไม่มีการลืมเกิดขึ้น เพราะว่ามันจะค่อยๆซึมซับเข้าไปในทุกๆพื้นที่ของชีวิตของพวกคุณ และ จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคลื่นสมองระดับนี้ มันก็จะช่วยให้พวกคุณ ได้มาซึ่งสภาวะอันมั่นคงของความเป็นหนึ่งเดียวกัน กับตัวตนที่แท้จริงของพวกคุณเอง ในท้ายที่สุด
และเมื่อใดที่ตาที่สามของพวกคุณถูกเปิดขึ้นแล้ว พวกคุณก็จะสามารถทำให้จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของพวกคุณเอง ถูกครอบงำด้วยคลื่นสมองระดับนี้ และสามารถรักษาไว้ซึ่งคลื่นสมองระดับนี้ ได้อย่างง่ายดาย
จิตวิญญาณของพวกคุณ หรือตัวตนที่สูงส่งกว่าของพวกคุณเอง ที่บัดนี้ได้ผสานรวมเข้ากับตัวตนของพวกคุณแล้วนั้น จะปิติยินดีกับจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ของคลื่นสมองระดับนี้มาก เพราะว่ามันจะช่วยให้จิตวิญญาณ/ตัวตนที่สูงส่งกว่าของพวกคุณเอง สามารถที่จะโฉบลงมาจิกเอาพวกคุณขึ้นไปได้ เพื่อพาพวกคุณท่องเที่ยวเข้าไป ใน “จิตวิญญาณต้นธาตุ” (Oversoul) ของพวกคุณเอง และท่องเที่ยวเข้าไป
ในโลกแห่งความเป็นจริงต่างๆที่มีอยู่จำนวนมากมายก่ายกอง ที่ตัวตนหลากมิติของพวกคุณเอง มี “รูปกาย” อยู่ เพื่อไปเก็บเกี่ยวประสบการณ์อันหลากหลายมาได้
คลื่นสมองระดับเดลต้านี้ จะช่วยให้พวกคุณหลุดพ้นจากมายาการของโลกแห่งความเป็นจริงในมิติที่ 3 นี้ได้ และจะช่วยเชื่อมต่อพวกคุณให้เข้ากับ “จิตสำนึกระดับกาแลกซี่” (Galactic Consciousness) ได้
คลื่นสมองระดับแกมม่า (Gamma Brainwaves)
คลื่นสมองระดับแกมม่านี้ จะสั่นสะเทือนอยู่ในช่วงความถี่ประมาณ 40 รอบต่อวินาที คลื่นสมองระดับแกมม่านี้ เป็นคลื่นสมองที่เพิ่งถูกค้นพบใหม่ชนิดหนึ่ง เพราะว่ามันเป็นคลื่นสมองที่ยากต่อการใช้เครื่องมือตรวจวัดค่ามันออกมาให้ได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ
คลื่นสมองระดับแกมม่านี้ เป็นคลื่นสมองที่มีความถี่สูงกว่าคลื่นสมองระดับเบต้าซะอีก และมันก็ถูกเข้าใจว่ามันเป็น “ความถี่แห่งการประสานกลมกลืนกัน” (harmonizing frequency)
การสังเกตการณ์ดูวัตถุใดๆ เช่น ดูขนาด, ดูสี, ดูเนื้อสัมผัส, ดูหน้าที่ของมัน เป็นต้น จะถูกเก็บบันทึกเอาไว้, ถูกรับรู้ และถูกจัดการโดยส่วนต่างๆของสมองของพวกคุณ ที่แตกต่างกัน
คลื่นสมองระดับแกมม่านี้ จะเกี่ยวข้องกับการทำหน้าที่ของสมอง ในการสร้างภาพโฮโลแกรมขึ้นมา
โดยการปะติดปะต่อเอาข้อมูลต่างๆ ที่ถูกเก็บเอาไว้ในส่วนต่างๆของสมองเข้าด้วยกัน เพื่อรวมพวกมันเข้าด้วยกัน ให้กลายเป็นภาพรวมระดับสูงกว่าขึ้นไปอีก
จิตวิญญาณของพวกคุณ จะพึงพอใจกับคลื่นสมองระดับนี้เป็นอย่างมาก พอๆกับที่พึงพอใจ “คลื่นสมองใหม่” อื่นๆ เพราะว่าพวกมันจะทำให้พวกคุณสามารถนำเอาประสบการณ์ภายในทั้งหมดของตัวเอง มารวมเข้าด้วยกันได้ และจะทำให้พวกคุณสามารถจดจำพวกมันได้ ในชีวิตจริงทางโลกของพวกคุณด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น สภาวะจิตสำนึก/ความตระหนักรู้ระดับนี้ คือสิ่งที่มีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมาก ต่อการกราวด์มิติที่ 5 ให้เข้ากับดาวเคราะห์โลกของไกอา ที่อยู่ในมิติที่ 3 แห่งนี้
.
.
หรือ
.
.
คลื่นสมองของเราบอกได้ถึง สถานะจิตใจขณะนั้น ซึ่งเชื่อมโยงกับร่างกาย
ความถี่คลื่นสมองลดลงจะช่วยพัฒนา
ระบบย่อยอาหาร, ระบบกำจัดของเสีย, ระบบภูมิคุ้มกัน, ระบบความจำ
เพราะอยู่ในภาวะผ่อนคลาย ร่างกายจึงซ่อมแซมตนเองอย่างต่อเนื่อง
ป้องกันการเกิดโรคเรื้อรัง ต้นเหตุจากความตึงเครียดได้
<><><><><><><><><>
.
คลื่นสมองเบต้า(Beta) 14-30 รอบต่อวินาที
• โดยทั่วไปคลื่นสมองของเราอยู่ในภาวะนี้
• เปิดรับประสาทสัมผัส เคลื่อนไหวตามปกติ
• ระบบประสาทอัตโนมัติซิมพาเททิก ทำงานเพื่อต่อสู้หรือหนี
• พลังงานมาอยู่ที่กล้ามเนื้อ และสมอง ทำให้ระบบอื่นๆทำงานลดลง
** ความถี่มากกว่า 30 รอบต่อวินาทีขึ้นไป **
• สติตามความคิดไม่ทัน ทำให้ โกรธง่าย กังวล กลัว และ สับสน
• เป็นสภาวะตื่นตัวทำให้หลับได้ยาก
• ความจำไม่ดี
• ใจเต้นเร็ว ใช้ออกซิเจนสูง
• ใช้พลังงานสูง น้ำตาลในเลือดไม่สมดุล
• ถ้าความถี่สูงมากๆจะทำให้เกิดภาวะแพนิค หายใจไม่ทัน หรือชักได้
เกิดจาก เคร่งเครียดติดต่อกัน, ขาดการผ่อนคลาย, ใช้อุปกรณ์สื่อสารมาก
———————————–
.
คลื่นสมองอัลฟา(Alpha) 8-13 รอบต่อวินาที
• มีจิตใจสงบขึ้น
• สติจับความคิดได้ ทำให้มีความคิดด้านบวกเพิ่มขึ้น
• มีอารมณ์ดี และความคิดสร้างสรรค์
• เข้าถึง และ เรียกความจำได้เร็ว
• ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกัน
เกิดจาก สภาวะก่อนหลับ, การสวดมนต์, กำลังใช้สมาธิ, นวด
————————————
.
คลื่นสมองเตตต้า(Theta) 4-8 รอบต่อวินาที
• สภาวะผ่อนคลายอย่างสูง(Parasympathetic)
• สามารถเชื่อมต่อกับจิตใต้สำนึก
• จิตใจสงบ
• ร่างกายหลั่งสารแห่งความสุข เซโรโทนิน เอนโดรฟิน
เกิดจาก การนอนหลับ, การทำสมาธิ
————————————-
.
คลื่นสมองเดลต้า(Delta) 1/2 – 4 รอบต่อวินาที
• สภาวะผ่อนคลายสูงมาก
• เกิดการซ่อมแซมร่างกายและสมอง
• สร้างความจำระยะยาว
• มีความสุขสงบในจิตใจ
เกิดจาก การหลับลึก, ฝึกสมาธิอย่างต่อเนื่อง
————————————-
.
วิธีปรับคลื่นสมองให้เข้าสู่สภาวะผ่อนคลาย
– อยู่ในที่สงบ
– ห่างจากอุปกรณ์มือถือ แทบเล็ต อุปกรณ์ปล่อยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า
– ฟังหรือ เล่นดนตรี ทำงานอดิเรก
– ฝึกสมาธิ สวดมนต์ โยคะ นวด
– อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ
– ฝึกสังเกตลมหายใจให้ผ่อนคลาย
– ทานสมุนไพรที่มีรสขม รสจืด รสเมาเบื่อ
– ลดการทานแอลกอฮอล์และกาแฟ
.
————————————
.
Reference
.
.
.
~ความถี่คลื่นสมอง คือการปรับจูนคลื่นสมองของคุณให้เป็นไปตามสภาวะที่คุณต้องการ ดังนี้

คลื่นเบต้า

โดยความหมายของคลื่นเบต้าคือ สมองกำลังทำงานและความคุมจิตใต้สำนึก เช่นกำลังทำงานทั่วไป กำลังพูดหรือทำกิจกรรมต่างๆ

คลื่นอัลฟ่า

คือ คลื่นสมองที่อยู่ในช่วงกำลังพักผ่อนหรือทำสมาธิที่ไม่ใช่สมาธิเชิงลึก เป็นช่วงที่สมองกำลังผ่อนคลายและเกิดความคิดสร้างสรรค์

คลื่นธีต้า

คือ คลื่นสมองที่อยู่ในช่วงการทำสมาธิเชิงลึก ซึ่งมีการเชื่อมโยงกับการเห็นภาพต่างๆ

คลื่นเดลต้า

คือ ช่วงแห่งการนอนหลับลึก สมองได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่ไม่มีการฝันใดๆ
~ความถี่แห่งการรักษา ความถี่เหล่านี้เป็นความถี่ที่นำมาใช้ในการรักษาโรคได้โดยความถี่ที่แตกต่างกัน หรือนำมาใช้กระตุ้นพลังภายใน(จักระ)ให้ตื่น ใช้กระตุ้นระบบต่างๆในร่างกายโดยใช้เสียงเป็นสื่อกลาง รวมถึงการกระตุ้นทางจิตวิญญาณด้วยเช่นกัน
~และความถี่แห่งธรรมชาติ ซึ่งคือความถี่ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ เช่นความถี่ของโลก หรือโคจรของดาวเคราะห์ต่างๆ เสียงที่เกิดขึ้นในจักวาล(ที่นาซ่าบันทึกไว้ได้)
.
.
.
คลื่นสมองใหม่ (New Brainwaves)
นักวิจัยด้าน EEG ได้สังเกตเห็นว่ามันมีคลื่นสมองที่มีความถี่สูงมากๆแบบสุดขั้ว จนสูงกว่าคลื่นสมองระดับแกมม่าอยู่อีก คือราวๆ 100 รอบต่อวินาที ดังนั้น พวกเขาจึงตั้งชื่อให้มันว่า “คลื่นสมองระดับไฮเปอร์แกมม่า” (Hyper Gamma Brainwaves)
ส่วนคลื่นสมองที่มีความถี่สูงกว่านั้นไปอีก คือมีความถี่ราวๆ 200 รอบต่อวินาที พวกเขาตั้งชื่อให้มันว่า “คลื่นสมองระดับแลมบ์ด้า” (Lambda Brainwaves)
และในทางกลับกัน พวกเขาก็ยังค้นพบคลื่นสมองที่มีความถี่ต่ำมากๆแบบสุดขั้วอีกด้วย ซึ่งต่ำกว่าคลื่นสมองระดับเดลต้าซะอีก นั่นก็คือมีความถี่ต่ำกว่า 0.5 รอบต่อวินาที ดังนั้น พวกเขาจึงได้ตั้งชื่อให้กับมันว่า “คลื่นสมองระดับเอปซิลอน” (Epsilon Brainwaves)
จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ระดับเอปซิลอนนี้ ถูกเข้าใจว่ามันคือสภาวะที่เหล่าโยคีทั้งหลายใช้เพื่อเข้าสู่นิโรธสมาบัติ (Suspended animation) ซึ่งในระหว่างที่อยู่ในสภาวะนี้ เหล่าแพทย์ชาวตะวันตกจะไม่สามารถตรวจพบชีพจร, การเต้นของหัวใจ, และการหายใจ ของโยคีเหล่านี้ได้เลย
จิตสำนึก/ความตระหนักรู้ระดับไฮเปอร์แกมม่า และ แลมบ์ด้านี้ เป็นสภาวะที่มีความเกี่ยวข้องกับ ความสามารถของพระทิเบตบางนิกาย ที่สามารถนั่งสมาธิบนภูเขาหิมาลัยที่มีอุณหภูมิติดลบได้ โดยสวมใส่เครื่องนุ่งห่มเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้นเอง และยังสามารถทำให้หิมะที่อยู่รอบๆตัวพวกเขาละลายได้ด้วย
คลื่นสมองระดับเอปซิลอน ที่มีความถี่ต่ำกว่า 0.5 รอบต่อวินาทีนี้ พวกคุณจะเห็นว่ามันซ่อนอยู่ภายในรูปแบบของคลื่นสมองระดับไฮเปอร์แกมม่า และแลมบ์ด้า ซึ่งมีความถี่ 100 – 200 รอบต่อวินาทีด้วย
และในทำนองเดียวกัน ถ้าพวกคุณสามารถถ่ายภาพเป็นมุมกว้างย้อนกลับไปได้ พวกคุณก็จะเห็นว่า คลื่นสมองระดับแลมบ์ด้า ซึ่งมีความถี่สูงแบบสุดขั้ว คือราวๆ 200 รอบต่อวินาทีนี้ ก็จะขี่อยู่บนยอดของคลื่นสมองระดับเอปซิลอน ซึ่งมีความถี่ต่ำแบบสุดขั้ว อยู่เช่นเดียวกัน
ในทำนองเดียวกัน ประสาทสัมผัสภายในของพวกคุณเอง ก็จะถูกตรึงเอาไว้กับประสาทสัมผัสภายนอกทั้ง 5 ของพวกคุณ และจะต้องพึ่งพาอาศัยประสาทสัมผัสภายนอกทั้ง 5 ของพวกคุณด้วย ดังนั้น พวกคุณจึงสามารถรับรู้โลกภายในได้ อย่างมีสติสัมปชัญญะ ในท้ายที่สุด ในขณะที่ยังคงอยู่ในรูปกายทางกายภาพของมิติที่ 3 นี้
มันเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับพวกคุณ ที่จะต้องจดจำเอาไว้ว่า โลกแห่งความเป็นจริงที่อยู่ในมิติสูงๆกว่าทั้งหลาย พวกมันยังคงมีอยู่เสมอ แต่ในชั่วขณะใดที่พวกคุณหลงลืมพวกมันไป พวกมันก็จะไม่มีอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงที่เป็นไปได้ของพวกคุณอีกต่อไป
เพราะฉะนั้นแล้ว แนวความคิดเกี่ยวกับเรื่องโลกที่อยู่ในมิติที่สูงๆกว่าทั้งหลาย จึงจะกลายเป็นเรื่องที่ “เป็นไปไม่ได้” ไป
ดังนั้น ยิ่งพวกคุณกล้าที่จะเชื่อในสิ่งที่ “เป็นไปไม่ได้” อันนั้น มากเท่าไหร่ พวกคุณก็จะยิ่งสามารถ เข้าถึงการทำงานขั้นสูงกว่าของสมองตัวเองได้มากขึ้นเท่านั้นด้วย
หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ยิ่งพวกคุณ “เปิดใจตัวเอง” มากขึ้นเท่าไหร่ พวกคุณก็จะยิ่งทำให้ “สมองของตัวเองพัฒนา” มากขึ้นเท่านั้นด้วย
.
.
คลื่นสมอง
การแก้ไขจิตใต้สำนึก ด้วยคลื่นคลื่นความถี่สมอง
Relaxing music : water sound wave
Relaxing music : ขลุ่ยอินเดีย ชามทิเบต
Alpha wave เพื่อการผ่อนคลาย เบิกบาน อิสระ อยู่ในภวังค์ ที่ไม่ลึกมาก
Alpha wave improve your memory
Alpha ปรับปรุง ความทรงจำ มีสติปัญญา
Alpha wave spiritual wisdom life
กรรมฐานกายแสงสว่าง 10 ด้วยคลื่นความถี่ alpha พลังศักดิ์สิทธิ์
Theta wave : healing improve memory ภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น ความฝันแบบรู้ตัว
Deta wave เพื่อการนอนหลับ เก็บข้อมูล การหลับลึก
Beta wave : supper memory จดจ่อกับโลกภายนอก จดจ่อ อยู่กับความคิด
Accelerated learning Gamma
.
.
.
คลื่นความถี่ Healing Brain
Damage Brain Healing & Nerve Regeneration Wave
Synchronization right & left brain
ปลดล็อค เพิ่มพลังสมอง ด้วยการอดอาหาร
.
.
ปลุกและเพิ่ม vibration หรือแรงสั่นสะเทือนด้วย 6 วิธี…
ในจักรวาลที่กว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้มีหลากหลายกฎหลากหลายศาสตร์แห่งจักรวาลความสำเร็จมาก นอกเหนือจากกฎแห่งแรงดึงดูด ก็ยังมีกฎแห่งพลังงาน หรือเรียกอีกอย่างว่ากฎแห่งแรงสั่นสะเทือน ทุกสิ่งทุกอย่างที่ดำรงอยู่ในจักรวาลอันกว้างใหญ่เหล่านี้ล้วนทำและเกิดขึ้นด้วยพลังงาน และพลังงานมีความถี่หลายระดับมากอย่างนับไม่ถ้วน พลังงานและแรงสั่นสะเทือนมันถูกส่งออกไปให้กับจักรวาลอย่างทุกๆวินาที นั่นหมายความว่ากฎแห่งพลังงานนั้นทำงานอยู่ตลอดเวลาเฉกเช่นเดียวกันกับกฎแห่งแรงดึงดูด
.
ซึ่งความถี่ของแรงสั่นสะเทือนที่คุณปล่อยออกไปให้กับจักรวาลนี่แหละที่เป็นตัวดึงดูด สถานการณ์ เหตุการณ์ ผู้คน สถานที่ และสิ่งต่างๆให้เข้ามาในชีวิตของคุณ ยิ่งแรงสั่นสะเทือนมีความถี่ที่สูงมากแค่ไหน มันก็จะยิ่งถูกสะท้อนกลับมาพร้อมกับดึงดูดสิ่งต่างๆให้เข้ามาในชีวิตของคุณมากแค่นั้น การเพิ่มแรงดึงดูดของตัวคุณเองให้มีระดับความถี่ที่สูงจึงเท่ากับว่าเป็นการเพิ่มพลังและเร่งกระบวนการให้กับแรงดึงดูด ให้แรงดึงดูดทำงานได้อย่างรวดเร็ว ให้จักรวาลสะท้อนสิ่งที่คุณขอหรือสิ่งที่คุณส่งออกไปกลับมาอย่างรวดเร็วในรูปแบบของความจริงที่จะประจักษ์ขึ้น
.
6 วิธีปลุกและเพิ่มแรงสั่นสะเทือนให้มีความถี่ที่สูง
1. ชื่นชมและซาบซึ้งในสิ่งที่สวยงาม
หาสิ่งที่สวยงามและชื่นชมสิ่งๆนั้น ซึ่งความสวยงามนั้นอยู่รอบตัวคุณครับ การมองและชื่นชมท้องฟ้า ภูเขา ต้นไม้ สิงสาราสัตว์ ธรรมชาติ สิ่งของทั้งหลายแล้วชื่นชมว่าสวยงามก็เป็นการทำให้ vibration ของคุณนั้นสูงขึ้น จะชื่นชมตัวคุณเองหรือผู้คนรอบข้างก็ได้ครับ เพราะทุกๆสิ่งทุกๆอย่างและทุกๆคนต่างก็สวยงามในแบบของตัวเอง ถ้าคุณสามารถเข้าถึงความงามในทุกๆสิ่งและชื่นชมซาบซึ้งไปกับความงามเหล่านั้นได้ แรงสั่นสะเทือนของคุณจะมีความถี่ที่สูงไม่ใช่เล่นเลยละครับ
.
2. เลือกทานอาหารให้ดี
อาหารบางชนิดก็มีความถี่ที่สูง เช่นอาหารตามสีของจักระ พวกพืช ผัก ผลไม้ ต่างๆ ส่วนอาหารบางชนิดก็แทบจะไม่มีแรงสั่นสะเทือนเลย การเลือกทานอาหารที่มีประโยชน์เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะทำให้แรงสั่นสะเทือนของคุณสูงขึ้นได้
.
3. ดื่มน้ำ
การดื่มน้ำเปรียบเสมือนกับการเติมเต็มสิ่งที่มีแรงสะเทือนอยู่แล้วเข้าไปในร่างกายเพื่อชำระล้างสิ่งต่างๆ รวมถึงมอบและเติมเต็มคุณประโยชน์ต่างๆให้กับร่างกาย และเสียงของน้ำนั้นมีความถี่ที่ดีมากๆ โดยเฉพาะน้ำที่ได้จากธรรมชาติ ก่อนดื่มน้ำแนะนำลองรินใส่แก้วฟังเสียงดูด้วยนะครับ น้ำเป็นสิ่งที่ส่งและสร้างแรงสั่นสะเทือนออกมาหนักมาก
.
4. ทำสมาธิ
จะลืมสิ่งนี้ไปไม่ได้ครับ สมาธิเป็นอีกสิ่งที่จะทำให้แรงสั่นสะเทือนของคุณนั้นสูงและเข้มข้นมาก มันเหมือนกับว่าทำให้คลื่นของจิตคุณมันไหลไปในทิศทางเดียวกันและผสมกลมกลืนกับคลื่นของจิตจักรวาล
.
5. การขอบคุณ
การขอบคุณเปรียบเสมือนกับการสื่อว่าคุณมองเห็นคุณค่าในทุกสิ่งทุกอย่างที่หล่อเลี้ยงคุณมา อารมณ์เดียวกันกับการสำนึกรู้ในบุญคุณ และสิ่งนี้นี่แหละที่จะทำให้คุณมีแรงสั่นสะเทือนที่สูงมาก ยิ่งขอบคุณ แรงสั่นสะเทือนยิ่งสูง
.
6. ทำให้เลือดของคุณนั้นสูบฉีด
แรงสั่นสะเทือนต้องการการเคลื่อนไหว จะลุกขึ้นมาเต้น จะออกกำลังกาย จะวิ่ง จะทำอะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้เลือดคุณสูบฉีด ทำเลยครับ นอกจากจะดีต่อสุขภาพของคุณเองแล้วยังเป็นการสร้างแรงสั่นสะเทือนให้สูงเพื่อดึงดูดสิ่งต่างๆและความปรารถนาที่มีให้เข้ามาในชีวิต ลองสังเกตตัวคุณเองดูนะครับ ช่วงไหนที่คุณเลือดสูบฉีด ได้เคลื่อนไหวร่างกายบ่อยๆ ช่วงนั้นแรงดึงดูดจะทำงานให้คุณดีมาก
.
จะเห็นได้ว่าทั้ง 6 วิธีที่กล่าวไป นอกจากจะเพิ่มแรงสั่นสะเทือนให้สูงขึ้นแล้วในทางพลังงาน ยังล้วนเป็นวิธีที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของตัวคุณเองทั้งสิ้นในทางกายภาพและสภาพจิตใจ คุณก็อาจจะสรุปได้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณทำแล้วมีประโยชน์ต่อตัวคุณเองทั้งทางกายภาพและสภาพจิตใจ ล้วนก็เป็นการบริหารทักษะในการใช้กฎแห่งจักรวาลด้วยเช่นเดียวกัน อะไรที่ทำแล้วดี มีประโยชน์ เป็นการดูแลตัวคุณเอง จงทำเถอะครับ มันไม่มีอะไรที่ต้องเสียหรือขาดทุน ยิ่งทำมีแต่จะยิ่งได้
การเปลี่ยนชีวิต ด้วยพลังจิต
.
.
.
คลื่นสมอง ที่เป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ความถี่สมอง และ ผลกระทบสมองมนุษย์ที่มาจากดวงอาทิตย์
การสลับขั้วของสนามแม่เหล็กดวงอาทิตย์และปฏิกิริยาบนดวงอาทิตย์ที่มีผลต่อพฤติกรรมของมนุษย์
ขณะเดียวกันคลื่นพลังงานหรืออนุภาคต่างๆ Solar flare ที่มาจากดวงอาทิตย์มันได้ส่งผลกระทบต่อมนุษย์เช่นกัน โดยมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งเกี่ยวกับปฏฺิกิริยาบนดวงอาทิตย์ที่นักวิทยาศาสตรของนาซ่าได้ทำการศึกษาไว้ซึ่งเขาแยกพฤติกรรมของมนุษย์ไว้ในช่วงที่ดวงอาทิตย์เริ่มเกิดการสลับขั้วและช่วงที่ดวงอาทิตย์เริ่มมีปฏิกิริยาสูงได้มา 5 พฤติกรรม จากการสำรวจวิจัยทั่วโลกคือ
1.เหล่าผู้นำเริ่มมีอารมณ์เกิดการถูกกระตุ้นทำให้มีอิทธิพลเพื่อโน้มน้าวปลุกปั่นมวลชน
2.ทำให้เกิดการกระทำด้วยการเน้นหนักทางความคิดความตื่นเต้นต่อมวลชน
3.การเกิดความไม่แน่นอนเมื่ออยู่ในสถานที่หนึ่งของบุคคลนั้นๆ ซึ่งมีผลโดยตรงต่อจุดสำคัญทางด้านจิตใจ
4.การควบคุมคนกลุ่มๆหนึ่ง หรือถูกดึงความสามารถพิเศษ ซึ่งมีผลต่อการเคลื่อนไหวของมวลชน
5.การผสมผสานความแตกต่างระหว่างบุคคลในหมู่มวลชน ให้เข้าใจกันได้
ทุกครั้งที่ดวงอาทิตย์มีการสลับขั้วสนามแม่เหล็กเหนือใต้ ใต้เหนือ จะมีผลทำให้พฤติกรรมของมนุษย์ก้าวร้าว หุนหัน ต่อต้าน ไม่นิ่ง พูดง่ายๆว่าปฏิกิริยาที่ดวงอาทิตย์จะมีผลต่อความแปรปรวนทางด้านอามรณ์และความรู้สึกได้ ไม่ใช่เพียงแต่สภาพอากาศเท่านั้น
โดยการเปรียบเทียบเหล่านี้จากพฤติกรรมมนุษย์ในแต่ละช่วงของยุคสมัย เมื่อ 500 ปีก่อนคริสตกาลถึงคริสต์ศักราช 1922 โดยนักวิทย์ได้ตรวจสอบประวัติศาสตร์ทั้ง 72 ประเทศในช่วงเวลาที่สังเกตเห็น ซึ่งสัญญาณความไม่สงบของมนุษย์เช่น สงครามโลกและการปฏิวัติจลาจล , การเดินทางอพยพโยกย้าย อื่นๆ บวกกับจำนวนของคนที่เกี่ยวข้อง พบว่าอย่างเต็มที่ 80% ของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด เป็นไปอย่างมีนัยสำคัญทางด้านสถิติที่สุดที่เกิดขึ้นในปีนั้น ระหว่างกิจกรรมจุดดับบนดวงอาทิตย์ที่มีมากเมื่อสูงสุด เขายืนยันว่า “น่าตื่นเต้นมาก” ระยะเวลาอาจจะอธิบายได้โดยการเปลี่ยนแปลงที่รุนแรงของพฤติกรรมมนุษย์ในระดับระบบประสาทและจิตใจจิตสำนึกของความเป็นมนุษย์ซึ่งจะเกิดขึ้นที่ดวงอาทิตย์เมื่อถึงกิจกรรมจุดสูงสุดของมัน
การศึกษาเมื่อเร็วๆนี้ ได้ถูกตีพิมพ์ลงและออกมาเผยแพร่ในวารสาร New Scientist ที่บอกว่า การเชิ่อมต่อระหว่าง พายุสุริยะและผลกระทบที่มีต่อร่างกายมนุษย์ ท่อที่นำอนุภาคพวกประจุไฟฟ้าคลื่นความถี่จากดวงอาทิตย์ ส่งผลมายังร่างกายมนุษย์จนเกิดการรบกวนเป็นท่อเดียวกัน ซึ่งจะนำพาผ่านสภาพอากาศของโลก ผ่านสนามแม่เหล็กบนโลก และผ่านไปยังสนามแม่เหล็กรอบๆ ตัวมนุษย์ อีกด้วย
ซึ่งผลของพฤติกรรมมนุษย์ดังกล่าว เมื่ออนุภาคต่างๆที่เกิดจาก Solar flare มันจะส่งผลกระทบต่อ ระบบประสาทส่วนกลาง(เส้นกลางกะเพาะ) , การทำงานต่างๆ ของสมอง (รวมทั้ง ความสมดุลย์) , อีกทั้งความประพฤติของคน ผลตอบสนองทั้งทางร่างกาย และจิตใจ(จิตใจ อารมณ์ ร่างกาย)
โดย Solar flare มีความสามารถทำให้เกิดอาการ ประสาท , ความกังวล , ความห่วง , กระวนกระวายใจ , วิงเวียน , สั่นคลอน , ระคายเคือง , เซื่องซึม , หมดแรง ไม่มีพลัง , ความจำสั้น และหัวใจเต้นสั่น ,พะอึดพะอมจะอ้วก , อึดอัด , มีความดันหัวเป็นเวลานานและปวดหัว , ปัญหาหูชั้นใน เสียงในหู , ปัญหาคอและต่อมไทรอยด์
แพลทตินัม โฟตอน คือแสงที่มีผลต่อการเจริญเติบโตของสิ่งมีชีวิต ขนาด 4- 14 ไมครอน ซึ่งเป็นคลื่นยาวในร่างกายมนุษย์และเป็นประเภทหนึ่งของรังสีอินฟาเรดชนิดคลื่นความถี่ไกล (ฟาร์อินฟาเรด)
Solar flare และ คลื่นโฟตอน จะเปลี่ยนภายนอกของกายภาพมนุษย์ เพราะมันมีพลังมากๆ ที่จะส่งผลต่อระดับเซลล์ของมนุษย์ ทำให้หน่วยความจำของเราตื่นและสะอาด ส่วนอารมณ์ที่อยู่ล่างๆ ไป คือ พลังงานความถี่ต่ำ ที่ถูกเก็บไว้ในเซลล์ต่างๆ จากประสบการณ์ในอดีตและในตำแหน่งนี้ ที่พวกเราประสบและไม่เคยถูกดำเนินการ พวกมันจะถูกเก็บไว้ในระบบความจำ พลังงานโฟตอนจะมีคลื่นความถี่ที่สูงกว่ามาก จะทำการดึงอารมณ์ที่อยู่ในคลื่นความถี่ต่ำ ดังนั้นเราสามารถปรับให้มาเป็นคลื่นความถี่สูงได้ ดังนั้นพวกเราจะประสบว่า พวกเรารู้สึกปล่อยความรู้สึกความถี่ต่ำของความเศร้าเหงาหงอยออกไปได้ โดยไม่รู้ตัวเลยว่าทำไม
.
.
Cr. อนันตญาณ พุทธปัญญาญาณ
——————————
โปรแกรมอัจฉริยะ การรีเซ็ตจิต :
โปรแกรมจิตอัจฉริยะ การตั้งค่าใหม่ให้ตนเอง
.
การดึงโปรแกรมจิต อัจฉริยะ มาใช้งาน
ความลังเลสงสัย : พลังแห่งการอนุญาต : ความเชื่อ คือ ความจริง
จงปลุกพลังศักดิ์สิทธิ์ผ่านการตระหนักรู้
พลัง เดอร์มาสเตอร์ หรือ พลังต้นแบบ ช่วยให้เรา มีพลังสักดิ์สิทธิ์ ในตัว
พลังศักดิ์สิทธิ์ สถิตย์ในเราทุกคน ผ่านการตระหนักรู้
ศรัทราที่แรงกล้าสร้างปราฏิหาร
เพียงแค่เชื่อมั่นทุกอย่างสำเร็จ
ศรัทราที่เหนือ ศรัทรา คือการส่งพลังศรัทราไปยังตัวตนคุณในอนาคต : เพื่อเพิ่มอำนาจจิต
คาถาปลุกธาตุ หลวงพ่อ จำเนียร
กสิณธาตุ 4 หลวงพ่อฤษีลิงดำ
โปรแกรมจิต อัจฉริยะ ล้างพลังลบ และ เพิ่มพลัง ธาตุ 4
การสมดุลย์ธาตุ คือ การรักษาโรค
มหาเวทย์ ธาตุ 4 การควบคุมธาตุ :
ลมปราณ ธาตุ 4 วิชา ปลุก เจริญ ธาตุ 4 คาถาทิพย์มนต์ ( ควบคุมธาตุ )
จิตตภาวนา จิตตภาวนาเพิ่ม อำนาจจิต และ พลังวิญญาณอำนาจแห่งใจ
.
การแลกเปลี่ยนพลังชีวิต กับสิ่งที่ปรารถนา ( การเสกเป่า…..ด้วยพลังชีวิต โอมเพี้ยง )
.
.
.
พลังธาตุ ที่ปรากฏในฝ่ามือคุณ :
มือของคุณมีพลังมหาศาล
มากเกินกว่าที่มนุษย์ทั่วไป
จะรู้ค่าของมือตัวเอง
ความจริงของมือนั้น คือ ต้นกำเนิด
เเห่งการทุกสรรพสิ่งทั้งจักรวาล
มือ คือ ตัวเเทนของผู้สร้าง
เป็นการรวมตัวกัน
ขององค์ประชุมเเห่งผู้สร้าง
มนุษย์จึงมีทั้งหมด 5 นิ้วได้เเก่
นิ้วโป้ง ดิน
นิ้วชี้ น้ำ
นิ้วกลาง ลม
นิ้วนาง ไฟ
นิ้วก้อย วิญญาณ
ส่วนอุ้งมือ คือ ฐานรวมพลังงาน
เพื่อให้ทั้งห้าธาตุ
ได้อยู่ด้วยกันรวมกันเป็นหนึ่ง
มือซ้าย คือ หญิง หัวใจรักเมตตา
มือขวา คือ ชาย สมองคิดทำงาน
เมื่อมือประกบเเละตั้งจิตอธิษฐาน
อย่าลืมเป่าลมท่องว่า “โอมเพี้ยง”
เพื่อเพิ่มพลังชีวิตในการสร้างลงไปด้วย
ก่อนส่งพลังการสร้างทั้งหมดไปที่กลางหน้าผาก
หรือบริเวณตาที่สาม
ให้จิตผู้รู้ทราบถึงสิ่งที่คุณปรารถนา
พวกเขาจะได้ทำงานของเขาได้ถูกต้อง
เเละรวดเร็วทันใจ
เพราะเหตุนี้เองทุกครั้งที่คุณยกมือขึ้น
ตั้งจิตอธิษฐานด้วยศรัทธาอันเเรงกล้า
ไร้ข้อลังเลสงสัยทำไมถึงสำเร็จ
เพราะจิตเเละกายทำงานร่วมกันโดยสมบูรณ์
จากการรวมตัวของธาตุทั้งห้า
เเละเเรงศรัทธาอันเเรงกล้าของผู้อธิษฐาน
ต่อไปเวลาอธิษฐานคุณจะได้เข้าใจอย่างถ่องเเท้
เเละเห็นค่าของมือของคุณมากกว่าที่เคย
คุณจะได้ไม่ทำอะไรที่ดูถูกตัวเองอีกต่อไป
คนดูถูกพลังในตัวเอง
ย่อมไม่มีวันทำอะไรสำเร็จเเน่นอน
.
.
ธาตุ ดิน สงบมั่นคง นิ่ง : ฐานพลัง
***จงสร้างศรัทธาในตนเองอย่างมั่นคงเหมือนดิน***
ดินอุ้มน้ำ พลังหยิน
ลมก่อไฟ พลังหยาง
หยินหยาง เป็นสัญลักษณ์ที่ใช้แทนจักรวาล
หรือ เป็นตัวแทนพลังของจักรวาลที่ยิ่งใหญ่
ที่ให้ความสมดุลแบบตรงกันข้าม
แต่กลมกลืนประสานสอดคล้องอย่างสมบูรณ์
ถ้าอยากให้ตัวเรา ครอบครัวเรา หรือ สังคมใด
มีพลังฐานพลังที่ยิ่งใหญ่มั่นคงเป็นปึกเเผ่น
เราก็จำเป็นที่ต้องมีพลังของ “ดินน้ำลมไฟ”ให้ครบ
จะขาดส่วนประกอบใดส่วนประกอบนึงไม่ได้เลย
ดิน คือ ความมั่นคงทางจิตใจ
น้ำ คือ ความสบายใจเเละความอุดมสมบูรณ์
ลม คือ การเปลี่ยนเเปลงให้เกิดการเรียนรู้สิ่งใหม่
ไฟ คือ ชีวิต ความเอื้อเฟื้อเผื่อเเผ่
ถ้าบ้านเเตกเเยกเพราะ ดินไม่มั่นคง
ถ้ามีใครคนใดคนนึงมั่นคง
น้ำ ลม ไฟก็จะอยู่ด้วยกันอย่างสามัคคี
ตัวเราต้องเป็นผู้มีหัวใจที่มั่นคง
อย่าหวั่นไหวต่อสิ่งใด
เพราะถ้าทั้งบ้านมีเเต่ น้ำ ลมเเละไฟ
ไม่มีทางที่บ้านนั้นจะสมดุลได้
เพราะน้ำก็ไร้รูปทรง ลมก็ไร้ตัวตน
เเละไฟก็เป็นเพียงภาพมายา
ขาดดินไปมันก็ไร้ซึ่งคำว่าครอบครัว
หรือขาดที่ยึดเหนี่ยวของพลังงาน
เหมือนเป็นเพียงวิญญาณที่ไม่มีร่างกายอาศัย
ก็ต้องเร่ร่อนไปเรื่อยๆไร้ที่อยู่เพื่อดูคนอื่นไปวันๆ
เเต่ถ้าเรามีครบทั้งดิน น้ำ ลม ไฟ
เราก็จะเป็นวิญญาณที่มีร่างกาย
สร้างอะไรก็ได้บนโลกใบนี้
ลองหันกลับไปดูตัวเองเเละคนในครอบครัวของคุณ
เเล้วคุณจะมองเห็นว่าทุกๆสังคม
มีลักษณ์เเบบนั้นกันทุกครอบครัว
คนที่อยู่บ้านหาอาหารให้คนในบ้าน = ดินน้ำ (หยิน)
คนที่ไปทำงานออกจากบ้านทุกวัน = ลมไฟ (หยาง)
เจ้านายออกไปติดต่อลูกค้า = ลมไฟ (หยาง)
เลขาเฝ้าออฟฟิศประสานงานภายใน = ดินน้ำ (หยิน)
ถ้าคนในบ้านกินเหล้าไฟในบ้านก็ร้อนเกินความอบอุ่นใจ
ถ้าคนในบ้านไม่กลับบ้านคนในบ้านก็ขาดที่พึ่งทางใจ
ถึงเวลาหรือยังที่ตัวเราจะปรับสมดุล
พลังหยินหยางในตัวเราคนเเรก
อย่างน้อยที่สุดจงเป็น “ดิน” ให้ได้
เพื่อเป็นพลังเเห่งการยึดเหนี่ยว
ทุกจิตวิญญาณให้มาอยู่ร่วมกัน
ในบ้านของคุณ หรือ ร่างกายของคุณ
ถ้าเราเข้าใจกฎแห่งจักรวาลข้อนี้
ตัวเราก็จะเเข็งเเรงสมบูรณ์ทั้งกายใจ
เเละสามารถช่วยสังคมที่เราอยู่ให้มี
องค์ประกอบที่ครบในอนาคตต่อไปเช่นกัน
.
.
การดูดพลัง และ การส่งพลัง
จินตนาการ หรือ ใช้รูปถ่าย
ของคนที่คุณต้องการช่วย
ดูดพลัง หรือ ส่งพลังให้กับเขา
อย่าลืมท่อง “ดินน้ำลมไฟ” กำกับด้วย
เวลาดูดหรือให้พลังกับคนอื่น
วิธีการดูดพลังส่วนเกิน
ให้จินตนาการว่าคุณ คือ หลุมดำ
ที่สามารถดูดพลังงานได้อย่างไร้ขีดจำกัด
ใช้ดูดพลังออกมาจาก
คนอารมณ์เสีย หรือ นิสัยไม่ดี
เปลี่ยนความคิดว่า
พลังในตัวเขา คือ
พลังงานหยาง (หรือ ธาตุไฟ)
ดูดพลังหยาง(พลังชีวิต)ในตัวเขา
ออกมาให้หมดจนกว่าเขาจะสงบลง
หรือ หยุดอาละวาด
เเล้วส่งพลังที่ได้รับมา
ไปช่วยคนที่อ่อนเเอ
เจ็บไข้ได้ป่วย หรือ ใกล้ตาย
หรือ คนที่บอกกับคุณว่า
เขาหมดพลังชีวิต
ต่อไปอย่าเรียก
พลังหยางว่า
พลังงานลบนะ
ให้เรียกว่า
พลังธาตุไฟเกิน
เราก็จะเจอเเต่
อาหารอันโอชะเเทน
คุณไม่ต้องบอกใคร
เพียงเเค่จินตนาการ
หรือ มีภาพถ่ายก็ช่วยพวกเขาได้เเล้ว
เเต่คุณต้องศรัทธาในตนเอง 100% เท่านั้น
เพราะพลังทั้งหมดจะผ่านคุณ 100%
ไม่มีครูบาอาจารย์คุ้มครอง
ไม่เก่งจริงอย่าลองของเล่นกับสิ่งที่มองไม่เห็น
เพราะคนที่จะช่วยคุณมีคนเดียว
คือ ตัวคุณเอง ไม่มีใครช่วยคุณได้
ดังนั้นอย่าลองวิชากับใครทั่วไป
วิชานี้ควรใช้ช่วยเหลือเฉพาะ
คนที่คุณรักเเละเคารพบูชาอย่างจริงๆ
เพราะถ้าคุณทำเล่นๆเเล้วเกิดอันตราย
ตัวคุณจะเดือดร้อน
เเต่ถ้าคุณช่วยคนที่คุณรัก
ความรักของคุณจะปกป้องคุณ
เเละเกิดเป็นพลังในการช่วย
ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดจากหัวใจของคุณ
ถ้าจะช่วยควรช่วยคนที่คุณรักเขาจริงๆ
เเม้เเต่ชีวิตก็ยอมสละให้เขาได้
.
.
ธาตุไฟ : โทษะ พลังหยาง ความอบอุ่น
***ดูดพลังหยาง หรือ ธาตุไฟออกมาจากคนใจร้อน***
เเค่ไกด์วิธีจินตนาการเท่านั้นนะคะ
ส่วนใครจะต่อยอดจินตนาการยังไง
ก็เลือกปรับให้เหมาะกับตัวเองกันเองค่ะ
ถ้าหากคนที่คุณรัก หรือ คนในครอบครัวของคุณ
มีคนขี้โมโหใจร้อนเเละชอบอาละวาดบ้านพัง
ขอให้คุณดูสภาวะอารมณ์เเละร่างกายของเขา
ร้อนอยู่หรือไม่ ถ้าใช้เเสดงว่าเขามี ธาตุไฟร้อนเกิน
ไม่ว่าจะเกิดจากเหตุผลใด คุณต้องช่วยปรับสมดุลให้เขาเย็นลง
ถ้าคุณไม่สามารถพูดได้ หรือ อยู่ไกลเกินกว่าจะเข้าไปช่วยได้
ให้ดูดพลังไฟในตัวเขาระยะไกลเเทน
เพื่อลดทอนไฟในตัวเขาให้มอดดับลง
เเต่คุณก็ต้องเตรียมพร้อมรับสภาพความร้อน
ส่วนเกินที่คุณดูดจากตัวคนที่คุณช่วย
เข้ามาในตัวคุณด้วยเช่นกัน
ด้วยการกำหนดภาวนาสมดุลธาตุทั้งสี่ด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ
ท่องไปเรื่อยๆขณะที่จินตนาการดูดพลังไฟจากคนๆนั้นออกมา
คนที่คุณต้องการดูดพลังไฟ
ออกมาจากตัวเขา
ให้เขาอยู่ตรงหน้าประจันหน้าคุณ
ในลักษณะที่เขาอยู่ในกองไฟขนาดใหญ่
หากคุณได้ยินเสียงเขาดังมาก
ยิ่งเขาโกรธมากเท่าไร
ให้จินตนาการกองไฟยิ่งใหญ่มากตาม
ยกมือทั้งสองข้างขึ้นมา
เเล้วจินตนาการมือทั้งสองข้าง
คือ หลุมดำที่ดูดกลืนทุกสิ่งได้
อย่างไร้ขีดจำกัด
ดูดไฟในตัวคนที่คุณต้องการช่วย
ออกมาให้หมดไม่เหลือพลังไฟ
เเม้เเต่เปลวเดียว
ดูดไปเรื่อยๆจนกว่าคนที่โกรธจะสงบลง
หรือ จนกว่าคุณจะรู้สึกว่าเสร็จเรียบร้อยเเล้ว
พอเสร็จก็เดินพลังเเละภาวนาว่า
ดิน น้ำ ลม ไฟ เพื่อให้ไฟที่ได้รับมานั้น
ได้ทำการปรับสมดุลต่อไป
ถ้าได้ผลก็ทดลองครั้งต่อไป
ถ้าหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก
เเต่หากไม่ได้ผลก็ให้เพิ่ม
ศรัทธาในตัวเอง 100%
เเละพลังรักที่มีต่อผู้นั้นลงไป
ปาฏิหาริย์จะเกิดเฉพาะคนที่
มีศรัทธาอย่างเเรงกล้าเท่านั้นนะคะ
ถ้าคุณรู้สึกร้อนเกิน
ก็จินตนาการน้ำเข้ามาดับไฟ
ภายในจิตวิญญาณของคุณ
หรือ จินตนาการว่าตัวเอง
อยู่ในเเช่น้ำในอ่าง
เเละจินตนาการว่าไฟดับมอดลง
เพียงเท่านี้ไฟในคนๆนั้น
ก็จะถูกดูดออกมาทำลายจนหมดสิ้น
จะได้ผลหรือไม่อยู่ที่จินตนาการ
เเละความเชื่อของคนที่ทำผู้เดียว
อย่าไปทดลองดูดใครก็ได้
เพราะคุณควรจะรักเขา
เเละปรารถนาที่จะช่วยเขา
ด้วยหัวใจอันบริสุทธิ์อย่างเเท้จริงเท่านั้น
ไม่ใช่ลองวิชากับใครก็ได้
มันไม่คุ้มเสีย
ถ้าเกิดอะไรอย่างน้อย
คุณก็ช่วยคนที่เรารัก
ดีกว่าช่วยคนที่ไม่ได้มีค่า
หรือเห็นค่าอะไรในตัวเราเลย
.
.
Cr. เจ เจ
หลักในการฝึก กสิณไฟ หลวงพ่อเกษม เขมโก
วิชา วิหก เพลิง ( นก ฟีนิกซ์เพลิง : ผู้ไม่มีวันตาย )
มหาเวทย์ ธาตุ 4 ควบคุม ธาตุ ทั้ง 4
.
.
ควบคุมดินน้ำลมไฟภายในได้เเล้ว
ต่อไปสร้างเกราะคุ้มครองภายนอกต่อไป
***การเกราะป้องกันตัว***
ด้วยพลังชีวิตเเละพลังความตาย
สร้างลูกโป่งป้องกันพลังงาน
ด้วยพลังหยินหยาง
ทำความรู้จักพลังทั้งสองอย่าง
ก่อนใช้งานให้คุ้มค่าตลอดชีวิต
.
พลังชีวิต และ พลังแห่งความตาย